ตอนที่
[2] ตระกูลฉี ในค่ำคืนนั้นพี่น้องตระกูลฉีต่างพูดคุยกันว่าเหตุใดฉีจื่อหรานจึงทำเช่นนี้ เหตุใดคนที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้อื่นมาเกือบสิบปี กินข้าวก็กินที่เรือนตนเองจึงได้ลุกมาร่วมกินข้าวที่เรือนใหญ่เช่นนี้ แต่คิดไปแล้วก็ไร้คำตอบ ได้แต่รอดูท่าทีของอีกฝ่ายอีกสักนิด สุดท้ายจึงได้แยกย้ายกันไปเช่นนั้น แต่แล้วพวกเขาก็ต้องตกใจ เมื่อในยามเช้าก็พบว่าฉีจื่อหรานกำลังนั่งรอที่โต๊ะอาหารพร้อมกับรอยยิ้มสดใส เมื่อผู้เป็นบิดาและมารดาเห็นเช่นนั้น จึงได้ชะงักก่อนจะพากันเดินสะบัดหน้าหนีไปเฉกเช่นเมื่อวาน หากแต่ฉีจื่อหรานกลับคล้ายไม่กระทบกระเทือนอันใด นางยังคงกินอาหารที่เรือนใหญ่ด้วยความเอร็ดอร่อย อีกทั้งตลอดมื้ออาหารทั้งสามมื้อนางก็มากินที่เรือนใหญ่ทั้งสามมื้อไม่ขาดแม้แต่มื้อเดียว จนในเช้าวันต่อมาบนโต๊ะอาหารที่เรือนใหญ่กลับไม่มีผู้ใดมาเลยแม้แต่คนเดียว กระทั่งอาหารก็ไม่มีเช่นกัน เห็นทีคงจะสุดทนกับนางแล้วกระมังแม้แต่กินอาหารร่วมกันก็ไม่อาจทำได้ แต่นางก็ยังคงเป็นนายผู้หนึ่งของจวนนี้มิใช่หรือ เหตุใดถึงผู้อื่นไม่มาแล้วอาหารในส่วนของนางก็ไม่มาเช่นกัน แม้นางจะรู้คำตอบ แต่ก็อยากจะสร้างความปั่นป่วนให้กับจวนนี้เสียหน่อย “อ้ายมี่ เราไปโรงครัวกันเถิด” อ้ายมี่ไม่มีคำถามใด ๆ ไม่ว่าคุณหนูของตนจะอยากทำสิ่งใด ตนก็จะคอยสนับสนุนอย่างเต็มที่ เหล่าพี่น้องคนอื่น ๆ ของฉีจื่อหรานกำลังรวมตัวกันที่ห้องของฉีเยว่อินพี่รองที่ยามนี้ถือว่าเป็นพี่คนโตสุดของบ้าน “พวกเราทำเช่นนี้ต่อไปน้องหกคงไม่กล้ามากินข้าวที่เรือนใหญ่แล้วกระมัง” ฉีเยว่อินเปิดประเด็น “น้องหกไม่เคยทำเช่นนี้มาก่อน วันนี้โดนหักหน้าคงไม่กล้ามาแล้วล่ะ มาก็ไม่มีผู้ใดสนใจ” ฉีเยว่ชิงว่าพลางเชิดหน้า “แต่หากน้องหกยังมาบ่อย ๆ พวกท่านจะหันไปสนใจนางมากขึ้นหรือไม่” ครานี้เป็นฉีเยว่เผิงที่กล่าวขึ้นดวงตาเต็มไปด้วยประกายเศร้าสร้อย “โถ่น้องห้า ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็จะเป็นน้องเล็กสำหรับพวกเราเสมอ ฉีจื่อหรานไม่นับเป็นอันใดสำหรับพวกเรา” ฉีเยว่ซินรีบเอ่ยปลอบโยนน้องสาว ก่อนที่พี่ ๆ คนอื่นจะเข้ามารุมกอดน้องสาวคนเล็กของตนเอาไว้ ฉีเยว่เผิงมีประกายสาสมใจ นั่นสิ ฉีจื่อหรานจะนับเป็นอะไรได้ ที่โรงครัวเหล่าพ่อครัวแม่ครัวต่างก็จัดเตรียมอาหารเพื่อที่จะให้บ่าวของแต่ละเรือนนำไปให้เจ้านายของตน พวกเขาต่างเพิ่มความไม่พอใจไปให้ฉีจื่อหรานที่เป็นตัวต้นเหตุทำให้พวกเขาต้องวุ่นวายมากขึ้นในเช้าวันนี้ แต่แล้วตัวต้นเหตุก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า…. คราแรกตกใจแต่ไม่นานก็แปรเปลี่ยนเป็นความไม่พอใจ “คุณหนูหกมาทำอันใดที่นี่เจ้าคะ” เป็นสุ่นเย้าสตรีวัยกลางคนรูปร่างท้วม ที่เป็นหัวหน้าแม่ครัวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงคุกรุ่นนอกจากน้ำเสียงแล้ว สีหน้าท่าทางก็ไม่ต่างกัน “ข้าหิวน่ะ แต่บนโต๊ะอาหารที่เรือนใหญ่กลับไม่มีอาหารเลย ข้าเลยต้องมาที่นี่” น้ำเสียงอันไม่ทุกข์ร้อนของฉีจื่อหรานตอบกลับทันทีและไม่สนใจต่อท่าทีกระด้างกระเดื่องของหัวหน้าแม่ครัวเลยแม้แต่น้อย แต่ทว่าคำตอบของนางนั้นกลับทำให้สุ่นเย้าและคนอื่นส่งสีหน้าดูแคลนออกมา “มิใช่ว่าคุณหนูหกทำอาหารกินเองมาเป็นหลายปีหรือเจ้าคะ เหตุใดวันนี้จึงต้องการกินอาหารของโรงครัวของจวนไปเสียได้” “ข้าทำอาหารกินเองมาจนเบื่อ ยามนี้อยากกินอาหารของเรือนใหญ่บ้างจะไม่ได้หรือ” “คงไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ เพราะอาหารแต่ละมื้อถูกจัดเตรียมให้ครบกับเจ้านายทุกคนในจวนนี้แล้ว” สุ่นเย้ากล่าวเน้นคำว่าเจ้านายเป็นพิเศษกล่าวคือฉีจื่อหรานไม่นับรวมกับเจ้านายคนอื่น จึงไม่มีอาหารในส่วนของนาง “แล้วหากข้าอยากกินเล่า” สีหน้าของฉีจื่อหรานยังคงมีแววทะเล้น “เห็นทีคุณหนูต้องกลับไปกินอาหารที่เรือนตนเองเช่นเดิมแล้วเจ้าค่ะ เพราะข้าบอกว่าไม่มีคือไม่มี” ทันใดนั้นฉีจื่อหรานก็หันไปเห็นถาดอาหารที่บ่าวผู้หนึ่งกำลังจะยกไปยังทิศทางหนึ่ง นางจึงได้รีบเดินไปดักหน้าบ่าวผู้นั้น ก่อนจะใช้มือหยิบอาหารขึ้นมากิน !!! “นี่…” บ่าวที่ยกถาดอาหารอยู่ตกใจไม่น้อย หากแต่สุ่นเย้ากลับรีบเดินมาอย่างไม่พอใจ “นั่นเป็นถาดอาหารของคุณหนูสาม มิใช่ของท่าน ท่านไม่มีสิทธิ์กินมัน!!” น้ำเสียงเดือดดาลตวาดลั่น ดวงตาแข็งกร้าวใช้มองไปยังสตรีที่มักจะเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่ในเรือนด้วยความไม่พอใจ ฉีจื่อหรานไม่เคยมีตัวตนในจวนแห่งนี้ ดังนั้นบ่าวคนอื่น ๆ จึงไม่ได้คิดจะเคารพอันใดนาง เพราะแม้แต่พ่อแม่พี่น้องยังไม่แม้แต่จะสนใจนางเช่นกัน ด้านฉีจื่อหรานไม่ได้ตกใจในเสียงตวาดลั่นและสายตาที่ไม่พอใจนั่นแต่อย่างใด นางหยิบองุ่นลูกสีเขียวลูกใหญ่ขึ้นมากินก่อนจะหันไปมองสุ่นเย้าช้า ๆ รอยยิ้มเย็นเยียบที่ปรากฏขึ้น จู่ ๆ ก็ทำให้สุ่นเย้ารู้สึกหวั่นใจไม่น้อย หลังเคี้ยวองุ่นและกลืนลงไปจนหมดแล้ว หญิงสาวก็ค่อย ๆ ก้าวเข้าไปหาหัวหน้าแม่ครัวช้า ๆ ไม่เร่งร้อนใด ๆ เมื่อเข้าใกล้อีกฝ่ายแล้วจึงได้ยกยิ้มขึ้น ก่อนที่มือจะคว้าหมับเข้าที่ผมของอีกฝ่ายอย่างเต็มแรง !!! “ข้าอยากกิน ข้าก็กิน เจ้ามีปัญหานักหรือ” กล่าวจบก็ลากอีกฝ่ายเข้าไปยังจุดหนึ่งในโรงครัวทันที เหล่าคนที่อยู่ในเหตุการณ์ได้แต่เบิกตากว้างขึ้นตอนที่[3]บ้าไปเสียแล้ว ฉีจื่อหรานลากศีรษะของหัวหน้าแม่ครัวไปจุ่มกับถาดน้ำมันที่เหมือนจะจัดเตรียมไว้ทอดบางอย่างจนเปียกชุ่ม ผมของสุ่นเย้ายามนี้จึงมีแต่ความมันเยิ้มรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนดูเหนอะหนะยิ่ง ผู้อื่นที่เห็นเหตุการณ์เห็นดังนั้นจึงไม่อาจที่จะปล่อยให้ฉีจื่อหรานกระทำการได้ตามใจ จึงได้พากันกรูเข้าไปหาหญิงสาวคิดหวังจะช่วยเหลือหัวหน้าแม่ครัว อ้ายมี่พยายามจะใช้เรี่ยวแรงของตนเองขัดขวางไว้แต่คนเดียวหรือจะสู้กำลังหลายคนที่มีทั้งหญิงและชาย เมื่อผลักอ้ายมี่ไปยังทิศทางหนึ่งสำเร็จ พวกเขาก็รีบเข้าไปหาฉีจื่อหราน หากแต่ยังช้าไป หญิงสาวกำผมของสุ่นเย้าไว้แน่นก่อนจะลากไปที่หม้อตุ๋นขนาดใหญ่ที่สุมถ่านไม้มีไฟลุกโชติช่วงอยู่ข้างใต้ ในนั้นมีไก่ตุ๋นอยู่หลายตัว ใบหน้าของสุ่นเย้าห่างจากน้ำที่กำลังเดือดพล่านเพียงแค่ไม่กี่ชุ่น เหล่าผู้คนที่คิดจะเข้ามาช่วยเหลือสุ่นเย้าจึงได้ชะงักฝีเท้าของตนลงแล้วสูดหายใจเข้าด้วยความลุ้นระทึก “นั่น…. คุณหนูหกกำลังคิดจะฆ่าหัวหน้าแม่ครัวหรือ!!” คนผู้หนึ่งเห็นท่าไม่ดีจึงได้รีบปลีกตัวออกไปรายงานเจ้านายที่เรือนใหญ่ “ทำไมไม่เข้ามากันแล้วเล่า” เมื่อครู่ฉีจื่อหรานเห็นคนที่ปลีกต
ตอนที่[3]บ้าไปเสียแล้ว ไม่นานหลังจากนั้นฉีจื่อหรานก็ถูกบ่าวจากเรือนใหญ่ถูกตามตัวให้ไปพบ สองขาเดินอย่างไม่รีบร้อน พลางชมธรรมชาติไปเรื่อยเปื่อย บ่าวผู้นั้นถึงกับไม่พอใจที่หญิงสาวทำท่าทางราวกับไม่ทุกข์ร้อนเช่นนี้ พลางดูถูกในการแต่งกายของฉีจื่อหราน งดงามเสียเปล่าหากแต่แต่งตัวซอมซ่อยิ่งกว่าบ่าวในจวนเช่นตนเสียอีก ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงเรือนใหญ่ที่เป็นห้องโถงหลักจนได้ ฉีจื่อหรานใช้สายตากวาดมองทุกคนที่อยู่ในห้องนั้น แหมอยู่กันครบเลยนะ ทีเมื่อเช้าล่ะหายกันไปหมด “ฉีจื่อหรานเจ้าได้ทำความผิดอันใดไว้หรือไม่!” เสียงของบิดาที่ไม่ได้เอ่ยเรียกนางมาเนิ่นนานดังขึ้น ทั้งยังเรียกแบบเต็มยศเสียด้วย ดูท่าจะไม่พอใจ “หืม มีอันใดหรือเจ้าคะ” กล่าวแล้วปั้นสีหน้าไร้เดียงสาก่อนจะหันไปมองเหล่าคนครัวด้วยความตกใจ เหล่าคนครัวยามนี้ล้วนแต่มีใบหน้าปูดบวม นางเกือบจะขำออกมา หากแต่ต้องรักษากิริยาเอาไว้ “นี่เกิดอะไรขึ้นเหตุใดใบหน้าพวกเจ้าจึงเป็นเช่นนั้น” “เจ้าอย่าทำเป็นไม่รู้เรื่อง หากไม่มีผู้ใดทำ พวกเขาจะตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร” ครานี้ผู้เป็นมารดาเอ่ยขึ้นอย่างไม่ชอบใจ “ข้าไม่รู้เรื่องจริง ๆ เจ้าค่ะ
ตอนที่[4]ฉีจื่อหราน “คุณหนูทำเช่นนี้จะเป็นการดีหรือเจ้าคะ” อ้ายมี่เอ่ยถามขึ้นเมื่อกลับมาถึงเรือน นางไม่ได้เอ่ยถามสักครั้งว่าแผนการของคุณหนูมีแผนอย่างไรบ้าง แต่เพราะหากคุณหนูยังทำเช่นนี้ต่อไป เห็นทีต่อไปจะอยู่จวนตระกูลฉีได้อย่างลำบาก เอ๊ะหรือว่า…. ฉีจื่อหรานเห็นสาวใช้คนสนิทคล้ายจะตกผลึกบางอย่างได้จึงได้แย้มยิ้มออกมา “ข้ามิคิดจะอยู่ที่นี่ จึงได้หาทางที่จะออกจากที่นี่ตามแบบฉบับของข้า” “เป็นเช่นนี้เอง” อ้ายมี่พยักหน้า “แล้วพวกเราจะไปจากที่นี่อย่างไรหรือเมื่อใดเจ้าคะ” ทันใดนั้นดวงตาของผู้เป็นนายก็เข้มขึ้น “เร็ว ๆ นี้ ส่วนวิธีการเจ้าก็ค่อยรอดู” พอเสียทีกับชีวิตของสตรีนามว่าฉีจื่อหราน สตรีอาภัพที่ไม่มีผู้ใดต้องการ เดิมทีการเป็นบุตรสาวคนเล็กควรจะเป็นคนที่ได้รับความสนใจมากที่สุด เพราะบุตรคนเล็กจะอายุน้อยและมักจะดูน่าเอ็นดูกว่าใครเสมอ ทั้งในสายตาบิดามารดาและผู้อื่นที่ได้พบเห็น หากแต่กับนางนั้นมิใช่ นางเป็นคนที่บิดามารดาเกลียดชังและผลักไสให้มีชีวิตอย่างโดดเดี่ยว หากจะย้อนไปยังจุดเริ่มต้น บิดากับมารดาของนางแต่งงานกันด้วยความรักที่มีให้กัน ณ ขณะนั้น และผู้ใหญ่ต่างก็เห็นว่าทั้งคู่มีฐ
ตอนที่[4]ฉีจื่อหราน สุดท้ายเมื่อเห็นว่าบิดาเกลียดชังและไม่ชอบใจในบุตรสาวคนเล็ก ผู้เป็นมารดาก็ยิ่งพลอยไม่ชอบใจบุตรสาวเข้าไปด้วย รวมถึงพี่น้องคนอื่น ๆที่เริ่มห่างเหิน สุดท้ายพวกเขาก็คงจะลืมไปแล้วว่านางเป็นน้องสาวคนสุดท้องของพวกนาง แต่ที่จริงที่เหล่าพี่สาวไม่ชอบนางนั้นก็มีสาเหตุอื่นอยู่ ในตอนเด็กนางไม่รู้แต่ยิ่งโตมากลับมองได้ชัดขึ้น เรื่องราวทั้งหมดนี้ที่นางได้รับรู้ก็เป็นเพราะแม่นมที่เลี้ยงดูนางได้ถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านี้ให้ฟัง คงเพราะสงสารเด็กน้อยที่ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดบิดามารดาจึงเอาแต่เมินเฉยใส่ พี่น้องคนอื่นก็ไม่พูดด้วย แม่นมเป็นคนเดียวที่นางสามารถพูดคุยด้วยได้ ซึ่งแม่นมผู้นั้นก็ดันมาเสียในตอนที่นางอายุเจ็ดหนาว ในตอนนั้นเองที่นางถูกย้ายมาอยู่เรือนปัจจุบันที่ห่างจากเรือนของพี่น้องคนอื่น โชคดีที่ไม่ได้อยู่คนเดียว ยังมีอ้ายมี่หลานสาวของแม่นมผู้นั้นอยู่ด้วย แต่จะว่าโชคดีก็ไม่ถูก เด็กน้อยที่อายุน้อยสองคน แม้อยู่ในจวนขุนนางใหญ่ แต่ก็ราวกับเด็กกำพร้าสองคนที่ถูกทอดทิ้งให้อยู่ตามลำพัง ทำสิ่งใดก็ล้วนลำบาก นางไม่เคยได้รับความรักจากบิดามารดา โดยเฉพาะมารดาที่ดูเหมือนจะเกลียดชังนางขึ้นเรื
ตอนที่[5]หน้าหนาดูสักครา ในค่ำคืนนั้นนางได้ยินเพียงเสียงก่นด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย สุดท้ายจึงจบที่คำว่า ‘ตัวซวย’ ของบิดา ไหนความยุติธรรม ไหนการสืบสาวราวเรื่องหาข้อเท็จจริง เหตุใดเมื่อพวกเขามาถึงก็เอาแต่โทษว่านางทำตัวไม่เหมาะสมเช่นนั้นเช่นนี้ และที่เจ็บปวดใจไปยิ่งกว่านั้นเหตุที่ทำให้นางรู้สึกสะเทือนใจนั่นก็คือสภาพของอ้ายมี่ที่ดูเลวร้ายกว่านางยิ่งนัก ใบหน้าที่เคยยิ้มสดใสกลับเต็มไปด้วยคราบสีดำของสิ่งสกปรก คราบสีแดงของเลือดที่สดใหม่และหยาดน้ำตา เนื้อตัวมอมแมม อาภรณ์ฉีกขาด บริเวณที่ชายกระโปรงยังมีเลือดเปรอะเปื้อนเต็มไปหมด ต้องลงมือเลวร้ายถึงเพียงใดถึงได้มีสภาพเช่นนี้ สุดท้ายคำตัดสินของคนตระกูลฉีคือ ให้นำตัวอ้ายมี่ไปโบย เพราะบกพร่องในการดูแลผู้เป็นนาย ชีวิตของอ้ายมี่จึงสิ้นชีวิตลงนับตั้งแต่คืนนั้น ส่วนนางถูกสั่งให้ออกเรือนไปกับ ถงเจี้ยน บุรุษเลวทรามที่มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของนางผู้นั้น ค่ำคืนนี้สิ่งที่บาดลึกลงจิตใจนางนั้นมีหลายอย่างเหลือเกิน แต่ที่เจ็บปวดในจิตใจมากที่สุดเห็นทีจะเป็นในยามที่ถงเจี้ยนกำลังรังแกนาง เขาได้หลุดเผลอกล่าวบางอย่างออกมา ‘ไม่น่าเชื่อว่าท่านป้าจะให้ข้าได้ครอบ
ตอนที่[5]หน้าหนาดูสักครา “ไม่ได้!!” ครานี้เป็นเหล่าพี่สาวที่ยังไม่ออกเรือนทั้งหลายเอ่ยขึ้นพร้อมกัน หากให้ฉีจื่อหรานได้ของสวยงามเหล่านี้นั่นจะไม่เป็นการยิ่งส่งเสริมให้งามยิ่งขึ้นไปอีกหรือ “นี่พวกท่านหวงของกับข้าถึงเพียงนี้ พวกท่านดูเถิด อาภรณ์ของข้าก็ล้วนแต่เป็นของเก่าของพวกท่านที่เบื่อแล้ว ไม่ก็ใส่ไม่ได้ ไหนเลยจะเคยได้ของใหม่เฉกเช่นของบนโต๊ะนั่น…” กล่าวแล้วก็แสดงสีหน้าเศร้าสร้อยเหลือคณนา หากแต่ได้รับสายตาดูแคลนกลับมา “พี่ใหญ่ ของเหล่านั้นท่านเอามาหรือเจ้าคะ แบ่งให้ข้าบ้างได้หรือไม่” ยามนี้สายตาที่ราวกับกวางน้อยของฉีจื่อหรานกำลังมีน้ำตาคลอดูแล้วน่าสงสารยิ่ง ดวงตานั้นกำลังส่งสายตาอ้อนวอนไปยังพี่สาวคนโต ด้านฉีเยว่สือกลับใช้สายตาลึกล้ำมองกลับไปยังน้องสาว ฉีจื่อหรานที่นางรู้จักไหนเลยจะกล้าหน้าหนามาขอข้าวของผู้อื่นเช่นนี้ วัน ๆ เอาแต่อยู่ที่เรือนไม่ออกมาพบปะผู้ใด คนผู้หนึ่งเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้เลยหรือ เปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อใด สุดท้ายเป็นฉีฮูหยินที่ทนไม่ไหว จึงได้เอ่ยขึ้นว่าจะมอบอาภรณ์และเครื่องประดับให้ฉีจื่อหรานเอง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้บุตรสาวคนอื่นมองไปที่มารดาด้วยความไม่พอใจ ฉีฮูห
ตอนที่[6]สามีดี ๆ ไม่มีไม่ได้แล้ว วันนี้ฉีจื่อหรานจงใจแต่งกายด้วยอาภรณ์และเครื่องประดับที่มีอยู่อย่างประณีตที่สุด ใบหน้างามแม้แต่งแต้มด้วยเครื่องประทินโฉมเพียงนิดก็สามารถฉายแววความโดดเด่นเปล่งประกายแม้ไร้แสงแดดจ้าเช่นช่วงกลางวันออกมาได้ ใบหน้าเดิมที่งดงามก็ยิ่งงดงามหาตัวจับยากยิ่งขึ้นไปอีก ยามเยื้องย่างก็ราวกับเทพธิดาลงมาจากสรวงสวรรค์ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนแต่ทำให้คนตระกูลฉีที่ต่างเตรียมตัวจะไปร่วมงานเลี้ยงล้วนแต่ตื่นตะลึงและอยู่ไม่สุข หากวันนี้ปล่อยให้ฉีจื่อหรานไปร่วมงานได้ เห็นทีว่าต้องเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นแน่ ดังนั้นผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวจึงได้เอ่ยเสียงเย็น “เจ้าตามข้าไปที่เรือนใหญ่เดี๋ยวนี้” “เอ๋ ไปทำไมหรือเจ้าคะท่านพ่อ พวกเราไม่รีบไปงานหรือ” หากแต่ฉีจื่อหรานกลับทำราวกับไม่เข้าใจเอียงคอเล็กน้อยเชิงสงสัย “ฉีจื่อหราน!!” ไม่รอช้าแขนเรียวก็ถูกบิดาลากเข้าไปยังเรือนใหญ่จนแทบตั้งตัวไม่ทัน ตามมานั้นคือสมาชิกคนอื่น ๆ รวมถึงบ่าวที่สอดรู้สอดเห็นต่าง ๆ “มิใช่ว่าข้าพูดอย่างชัดเจนแล้วหรือ ว่าที่นั่นมิใช่ที่ที่เจ้าควรจะไป” ทันทีที่เข้าไปในเรือนมือหนาก็สะบัดแขนของบุตรสาวอย่างแร
ตอนที่[6]สามีดี ๆ ไม่มีไม่ได้แล้ว ด้านถงเจี้ยนที่เพิ่งเร่งเดินทางมาเมืองหลวงเป็นการด่วนพร้อมบ่าวรับใช้คนสนิทตั้งแต่เมื่อคืนเดิมทีเขาคิดจะพักผ่อนให้เต็มที่แล้วค่อยไปทำตามที่ผู้เป็นป้าบอกเอาไว้ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ทำให้เขาต้องเร่งเดินทางมาเมืองหลวงในครั้งนี้ หากแต่จู่ ๆ เมื่อเช้าก็ได้รับจดหมายลับจาก ไจ้อิ่ง คณิกาชื่อดังในเมืองหลวงว่าอยากพบเขาเพราะมีสุราดีมาใหม่ ซึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด เพราะครั้งก่อนที่มาเมืองหลวง เขาได้ทุ่มเงินไปมากมายเพื่อที่จะได้เจอนาง ไม่แน่ว่านางอาจจะติดใจในรสรักของเขา จึงได้ส่งจดหมายมาตามตัวทั้งที่เขาเพิ่งถึงเมืองหลวงเช่นนี้ คิดแล้วก็ไปหาไจ้อิ่งเสียก่อน แล้วค่อยกลับมาจัดการคนงามตระกูลฉีต่อก็ได้ เขานั้นมีพลังเหลือล้นยิ่ง แต่ถงเจี้ยนคงไม่รู้ว่าทุกอย่างไม่ได้เรียบง่ายถึงปานนั้นและคืนนี้จะเป็นคืนที่เปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล ถงเจี้ยนถูกไจ้อิ่งดึงตัวเอาไว้ที่หอจันทร์งามจนถึงปลายยามซวี (ในบริบทนี้คือ สองทุ่มครึ่งค่ะ) หากแต่เขาไม่ได้แนบเนื้อกับไฉอิ่งเลยแม้แต่น้อย เพราะอีกฝ่ายเอาแต่รบเร้าให้เขากินสุราชนิดใหม่ แม้แต่บ่าวรับใช้ของเขายังถูกนำตัวให้มาลิ้มลองด้วยพร้อมส
ตอนพิเศษ[2]พร้อมหน้าพร้อมตา วันเวลาผันผ่านไปนานหลายปีหากแต่แคว้นตี้ยังมีแต่ความสงบสุข ไร้ซึ่งความวุ่นวาย นอกจากนั้นยามนี้ยังกลายเป็นผู้นำในด้านสมุนไพรหายากและล้ำค่าอีก เซี่ยจื่อหรานกลายเป็นที่ปรึกษาพิเศษของสำนักหมอหลวง ไม่ว่าหัวขาวหัวดำต่างเรียกนางว่า ‘ท่านอาจารย์’ แทบทั้งสิ้น แม้ไม่อยากจะรับแต่ก็ต้องรับไว้ ไทเฮากล่าวว่าลับหลังนางพวกเขาก็เรียกขานนางว่าท่านอาจารย์อยู่ดี สู้ทำให้กลายเป็นที่ประจักษ์กันไปเลย ผู้ใดจะคิดว่าสตรีอายุน้อยจะมีความรู้แตกฉานในด้านสมุนไพรเช่นนี้ ทั้งสามารถนำสมุนไพรเหล่านั้นมาปรุงเป็นอาหารจานเด็ดได้ด้วยผู้ใดได้กินก็ล้วนแต่ติดใจ หากแต่มีโอกาสได้กินน้อยนัก เพราะชินอ๋องซื่อจื่อหวงภรรยายิ่งกว่าสิ่งใด คงมีแต่ชินอ๋องซื่อจื่อและเชื้อพระวงศ์ที่สนิทกระมังถึงจะได้กินฝีมือของท่านอาจารย์เซี่ย และก็เป็นจริงดังนั้น วันนี้เป็นวันจะเข้าคืนวันขึ้นปีใหม่ ทุกคนตกลงกันว่าจะมารวมตัวกันและเฉลิมฉลองปีใหม่กันที่เรือนซิ่งฝู ดังนั้นเซี่ยจื่อหรานจึงต้องเตรียมอาหารที่ทุกคนลงความเห็นว่าอร่อยหาที่ใดเทียม อาหารที่ว่าก็คือ ไก่ผัดเซียงเหมา นอกจากนั้นยังมีปลาผัดกันเจียง (ขิง) เนื้อแกะตุ๋นส
ตอนพิเศษ[1]ถูกกลั่นแกล้ง สองขาแข็งแกร่งก้าวไปอย่างมั่นคงไม่มีซวนเซเลยแม้แต่น้อยแม้จะดื่มสุรามงคลเข้าไปเพียงใดก็ตาม ค่ำคืนนี้เขาจะได้ร่วมเรียงเคียงหมอนกับสตรีในดวงใจแล้วจะไม่ให้ตื่นเต้นได้อย่างไร ทว่ายิ่งเร่งรีบเหตุใดปลายทางก็ยิ่งห่างไกล หรือว่าเขากำลังตื่นเต้นเกินไป จึงรู้สึกว่าทุกอย่างเชื่องช้าไปเสียหมด แต่สุดท้ายก็สามารถพาตนเองไปอยู่ที่หน้าห้องที่ประดับตกแต่งด้วยผ้าสีแดงเต็มไปหมด ในขณะที่มือหนากำลังจะเอื้อมมือไปเปิดบานประตู จู่ ๆ องครักษ์ก็มารายงานว่าฝ่าบาทมีรับสั่งให้เขาไปทำภารกิจเร่งด่วนในคืนนี้ หากเป็นวันทั่วไปเขาก็คงไปโดยไม่อิดออด แต่คืนนี้เป็นคืนสำคัญของเขา คิดได้อย่างเดียวว่านี่ต้องเป็นการกลั่นแกล้งจากเสด็จลุงเป็นแน่ ไม่สิ อาจจะมีเสด็จย่าเข้าร่วมด้วย “ข้าไม่ไป” ชายหนุ่มปฏิเสธเตรียมจะเปิดประตูเข้าห้องหออีกครั้ง “เอ่อ ฝ่าบาทรับสั่งว่าหากซื่อจื่อไม่ไปจะทำการโยกย้ายพระองค์ไปประจำการที่แดนใต้ตั้งแต่คืนนี้โดยไม่ให้ฮูหยินติดตามไปด้วยขอรับ” “ฮึ่ม นี่มันเกินไปจริง ๆ” ชินอ๋องซื่อจื่อเสวี่ยจิ้นกัดฟันกรอดแม้จะรู้สึกขัดใจเพียงใด แต่สุดท้ายก็ต้องไป มาดูกันว่าเสด็จลุงจะกลั่นแกล้
ตอนที่[30]จบอย่างที่ควรจะเป็นภาพทุกอย่างตัดกลับไปที่ฉีจื่อหรานยังคงเป็นทารกน้อยครานี้เสิ่นเจียงร้องไห้ออกมาราวกับจะขาดใจ นั่นสิ นางเป็นแม่แบบใดกัน อุ้มท้องมาตั้งเก้าเดือน กว่าจะคลอดออกมา จื่อหรานในยามเป็นทารกก็น่ารักน่าชังยิ่ง นางทำกับเด็กที่ไร้เดียงสาเช่นนั้นได้อย่างไร สวรรค์ลงโทษแล้ว เป็นนาง นางเป็นมารดาที่ชั่วช้า เหล่าคนตระกูลฉีเริ่มรู้แล้วว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้น เป็นผลจากการกระทำที่ตนได้กระทำกับฉีจื่อหรานอย่างโหดร้ายในชาติก่อน ชาตินี้ก็ยังกระทำซ้ำรอบเดิมอีก ไม่แปลกที่จะได้รับความทุกข์ทรมานทั้งกายและใจเช่นนี้ บัดนี้ความรู้สึกโกรธแค้น ความรู้สึกไม่เข้าใจ ไม่ยินยอมได้แปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกผิดมาจากใจจริง “หรานเออร์พวกเราขอโทษเจ้า โปรดให้อภัยพวกเราด้วย”เหล่าผู้ที่รับหน้าที่คุมตัวตระกูลฉีไปส่งที่แดนเหนือ รีบลงมาจากรถม้าเมื่อรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น ไม่นานพวกเขาก็ต้องถอนหายใจออกมาเพราะยามนี้เบื้องหน้าปรากฏเพียงร่างไร้วิญญาณของพ่อแม่ลูกตระกูลฉีเท่านั้น ใบหน้าของพวกเขายังมีคราบน้ำตาติดอยู่มากมายราวกับคนที่ร้องไห้ด้วยความทรมานจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต โดยเฉพาะคนผู้หนึ่งที
ตอนที่[30]จบอย่างที่ควรจะเป็น “เหตุใดจึงแต่งงานกันไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ” ยามนี้ชินอ๋องซื่อจื่อเสวี่ยจิ้นกำลังเอ่ยถามพระอัยยิกาพร้อมทั้งมีสีหน้าบึ้งตึงด้วยไม่พอใจอย่างยิ่งยวด “ย่าอนุญาตให้คบหากันนั่นก็ที่สุดแล้ว แล้วนี่เพิ่งคบกันได้หนึ่งเดือนจะแต่งงานกันเลยได้อย่างไร เวลาน้อยไป หรานเออร์หลานย่า ย่าไม่ยอมให้คบผู้ใดเพียงแค่ผิวเผินแน่นอน” เซี่ยไทเฮาว่าพลางดึงหลานสาวให้ไปอยู่ด้านหลังตน “แล้วหลานมิใช่หลานของเสด็จย่าเช่นเดียวกันหรือ อีกอย่างหลานหาใช่คนชั่วร้ายอันใด จะให้รอไปถึงเมื่อใดกัน เสด็จย่าอย่าใจร้ายกับหลานเลย” ว่าแล้วพลางส่งสายตาที่น่าสงสารไปให้คนรักที่อยู่ด้านหลังผู้เป็นย่า หวังว่านางจะเห็นใจเขาและช่วยพูดกับเสด็จย่า หากแต่นางกลับมีเพียงรอยยิ้มน้อย ๆ และไม่กล่าวอันใดอีก “ระยะเวลาไม่กำหนด แต่หากซื่อจื่อทำให้ย่าเห็นว่าเจ้าสามารถดูแลหรานเออร์ได้ดี เมื่อนั้นย่าจะอนุญาตเอง” “โธ่ แล้วหากว่ากว่าจะเป็นที่ถูกใจเสด็จย่ามันก็ผ่านไปหลายปีแล้วเล่า” “หลายปีก็หลายปีสิ ซื่อจื่อรอไม่ไหวหรือ เช่นนั้นย่าจะได้ให้หรานเออร์ไปแต่งกับผู้อื่นที่ความอดทนมีมากกว่า” “ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ!! เฮ้อ เช่นนั้น รอก็ร
ตอนที่[29]ต้นตอของโรคระบาด ใช้เวลากว่าแรมเดือนกว่าที่นางจะสามารถจัดการธุระสำคัญทั้งหมดเสร็จสิ้น หลังจากที่เหตุการณ์อันตรายผ่านพ้นไป ไทเฮาจึงได้ชวนเชื้อพระวงศ์ไปพักผ่อนที่ตำหนักซินหยานอีกครา แม้อากาศจะเริ่มเหน็บหนาวแล้วแต่ยังสามารถเดินทางออกไปได้อยู่ ยามนี้ที่นั่นคงงดงามไม่น้อย “จื่อหราน รอบนี้เราไปปีนเก็บผลไม้กันมาเยอะ ๆ อย่าให้พี่ใหญ่จับได้” ท่านหญิงเสวี่ยเร่อมากระซิบข้างหูนางด้วยความซุกซนเช่นเคย นั่นสินะ ผลไม้หลายอย่างที่เติบโตในอากาศหนาวคงกำลังออกผลผลิตเต็มต้น หากแต่สิ่งที่นางตื่นเต้นนั้นมิใช่แค่การเก็บผลไม้เหล่านั้นอย่างเดียว หากแต่เป็นสิ่งที่คนผู้นั้นกล่าวว่ามีบางอย่างจะพูดคุยกับนาง “หรานเออร์ พี่มีบางอย่างจะพูดคุยกับเจ้า” เพียงแค่ถึงตำหนัก เขาก็ไม่รอช้าที่ลากนางเข้าไปในป่า ในป่าที่เป็นป่าจริง ๆ หาใช่สวนบุปผาที่สวยงามแต่อย่างใด ลากมาอย่างรวดเร็วและไกลชนิดที่ว่าเสวี่ยเร่อตามไม่ทันกันเลยทีเดียว พร้อมทั้งคำเรียกขานที่เปลี่ยนไปทั้งหมด “เจ้าหนาวหรือไม่” เขาว่าพร้อมถอดเสื้อคลุมมาคลุมให้นางโดยไม่รอคำตอบ แต่เขาควรจะถามว่าเหนื่อยหรือไม่ก่อนสิ ก็เล่นลากกันมาไกลเช่นนี้ “เจ้า
ตอนที่[29]ต้นตอของโรคระบาด โทษของตระกูลฉีสามารถทำให้ร้ายแรงไปจนถึงขั้นประหารชีวิตเฉกเช่นองค์ชายห้าได้ แต่เพราะนางอยากให้พวกเขาได้ลิ้มรสความสิ้นหวังและการถูกทอดทิ้งว่าเป็นอย่างไร เมื่อไม่สามารถกลับบ้านและกลับมาสู่จุดเดิมที่เคยอยู่ ตกต่ำไร้คนเหลียวแล แบบนั้นคงจะเจ็บแสบกว่าการประหารและลิ้มรสความเจ็บปวดเพียงแค่ระยะเวลาสั้น ๆ ที่จริงแล้วตระกูลฉีไม่ได้ฉลาดล้ำโดยการไปร่วมมือวางแผนการกับองค์ชายห้าถึงเพียงนั้น แต่เพราะพวกเขาถูกหลอกใช้ ว่าจะมอบยารักษาให้รวมถึงช่วยแก้แค้นหากพวกเขาสามารถเผาที่เก็บยาสมุนไพรของนางได้สำเร็จ แต่น่าเสียดายที่มันไม่ได้ง่ายถึงเพียงนั้น เพราะสมุนไพรทั้งหมดนางเก็บเอาไว้ที่เรือนที่ถูกสร้างขึ้นใกล้กันกับเรือนซิ่งฝู แต่เมื่อลงมือทำแล้วก็ต้องรับผลของการกระทำ ชีวิตหลังจากนี้ของพวกเขาจะเป็นเช่นไรก็แล้วแต่โชคชะตากำหนดก็แล้วกัน ด้านองค์ชายห้าผู้ที่เป็นต้นเหตุและต้นตอของความวุ่นวายในเมืองหลวงที่เกิดขึ้นมาตลอดหลายวัน และเป็นคลื่นใต้น้ำในราชสำนักมาหลายปีก็ถูกจับกุมตัวและถูกสั่งโทษประหารเรียบร้อยแล้ว เรื่องราวเริ่มต้นที่องค์ชายห้าผู้ที่มักวางตัวเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด แท้จริงกลั
ตอนที่[28]ถอยกลับไม่ทันแล้ว “ใช่ ช่างไม่นึกถึงข้าวแดงแกงร้อน และบุญคุณที่ข้าอุ้มท้องเจ้ามาตั้งหลายเดือนเลยสักนิด” เสิ่นเจียงไม่อาจปั้นหน้ากล่าวดี ๆ กับอีกฝ่ายได้เช่นกัน จึงได้ชี้หน้าใส่บุตรสาวด้วยความโกรธเกรี้ยว “หึ คำก็บุญคุณสองคำก็บุญคุณ พวกท่านเลี้ยงข้าดีนักหรือ อาหารที่ข้าได้รับนั้นแย่ยิ่งกว่าของบ่าวในเรือนเสียอีกกระมัง หากจะพูดถึงเรื่องบุญคุณข้าว่า…. ข้าน่าจะชดใช้ให้พวกท่านไปแล้วตั้งแต่ที่พวกท่านคิดแผนร้ายเพื่อจัดการกับข้าในคืนนั้น” “แล้วอย่างไร สุดท้ายคนที่แต่งกับถงเจี้ยนก็คือข้ามิใช่หรือ ฉีจื่อหรานเป็นเพราะเจ้า ข้าถึงต้องแต่งกับคนชั่วเช่นนั้น เป็นเพราะเจ้าข้าถึงต้องตกอยู่ในสภาพนี้” ฉีเยว่เผิงกล่าวแล้วก็ยกมือขึ้นจับใบหน้าตนเอง “การที่ท่านแต่งกับถงเจี้ยนมันเกี่ยวอันใดกับข้าแล้วการที่ใบหน้าของท่านเสียโฉมแล้วมันเกี่ยวกันอันใดกับข้าพี่ห้า ไปทำชั่วอันใดเข้าล่ะ หน้าถึงได้เละเช่นนั้น” “นี่ นังน้องชั่ว!” ฉีเยว่เผิงทำท่าจะเข้าไปจัดการกับเซี่ยจื่อหราน หากแต่ยังไม่ได้ทำอันใดก็มีมือปริศนาตบเข้าที่ใบหน้าจนล้มฟุบลงไป มิใช่เพียงแค่ฉีเยว่เผิงสมาชิกทุกคนของตระกูลฉีก็ถูกฝ่ามือปริศนาตบแบบไ
ตอนที่[28]ถอยกลับไม่ทันแล้ว บ่าวในเรือนล้วนหาทางหลบหนีแต่ก็ไร้ทางออก บ้างก็ร้องไห้บ้างก็ฟุบลงอย่างไร้เรี่ยวแรง อาการป่วยเช่นนี้พวกเขาไม่เคยประสบมาก่อน อาการช่างกำเริบรวดเร็วฉับพลันเหลือเกิน หากรู้ว่าเป็นเช่นนี้พวกเขาคงไม่กลับเข้ามาในจวน ไม่สิ คงไม่ดูหมิ่นคุณหนูหกเช่นนั้น หากเป็นเช่นนั้นพวกเขาอาจจะไม่ต้องถูกขังอยู่ที่นี่ ด้านเจ็ดคนพ่อแม่ลูกตระกูลฉีที่พยายามจะออกที่หน้าประตูหลัก เมื่อไม่สามารถทำได้ก็พยายามคิดหาหนทางกันแทบหัวแตก จนท้ายที่สุดฉีเยว่เผิงกลับนึกถึงเส้นทางหนึ่งที่ตนเคยจำได้ว่ามันมีรอยแยกระหว่างกำแพงที่ยังไม่ได้รับการซ่อมแซม “ท่านพ่อท่านแม่ พี่ใหญ่ พี่รอง พี่สาม พี่สี่ พวกเราไปที่ท้ายจวนกันเถิดข้ามีวิธีออกจากจวนได้แล้ว” ทุกคนเมื่อเห็นว่ามีทางรอดจึงได้แย้มยิ้มออกมาแม้ว่าร่างกายจะอิดโรยจากอาการป่วยแทบเดินไม่ไหวกันเต็มที ฉีเยว่เผิงคิดว่าหากออกไปรักษาจนหายดีทั้งอาการป่วยและใบหน้าแล้ว จากนั้นตนจะเอาคืนฉีจื่อหรานให้สาสม และชินอ๋องซื่อจื่อก็ต้องตกเป็นของนางในที่สุด ยิ่งเมื่อนึกถึงว่าหนึ่งปีก่อนที่นางได้พบกับชินอ๋องซื่อจื่อเสวี่ยจิ้นที่งานเลี้ยงในเมืองหลวงแล้วรู้สึกประทับใจเ
ตอนที่[27]ถูกทอดทิ้งเป็นอย่างไร ครอบครัวที่ได้เกี่ยวดองกับบุตรสาวตระกูลฉีต่างก็เร่งให้สะใภ้ของตนไปขอขมาท่านหญิงเซี่ยเพื่อจะได้เข้ารับการรักษาหรือรับยามากิน แต่สตรีที่เกลียดชังน้องสาวอย่างฝังลึกมีหรือจะยินยอม เมื่อเห็นว่าสะใภ้อย่างไรก็ไม่ยอม สุดท้ายเพื่อความอยู่รอดตระกูลเหล่านั้นจึงได้ให้บุตรชายเขียนหนังสือหย่าขาดจากภรรยาเสีย บุรุษเหล่านั้นหาได้เป็นคนดีอันใดอยู่แล้ว เพราะความกลัวตายจึงได้รีบหย่าภรรยาโดยเร็ว หนำซ้ำก่อนจะขับไล่อีกฝ่ายออกจากจวนยังตบตีทำร้ายร่างกายที่พวกนางไม่ได้ดังใจอีก สุดท้ายเหล่าสตรีตระกูลฉีเลยต้องพาร่างกายและจิตใจอันบอบช้ำกลับบ้านเดิมของตนเพราะไม่มีที่ไป ยิ่งเมื่อเห็นสภาพของบุตรสาวแต่ละคนฉีหวังก็กล่าวออกมาอย่างมีโทสะว่า “หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรข้าก็ไม่มีทางไปขอร้องนังตัวซวยนั่นเด็ดขาด!!”โดยที่ระหว่างนั้นไม่ได้สังเกตอาการตนเองแม้แต่น้อยว่าเริ่มมีอาการระคายคอแล้ว “ฝีมือท่านหรือ” เซี่ยจื่อหรานเอ่ยถามชายหนุ่มที่กำลังจิบชาสมุนไพรอยู่ไม่ไกลจากโต๊ะคัดแยกสมุนไพรของนางที่เรือนซิ่งฝู “ก็ผู้ใดให้พวกเขามาเผาร้านของเรากัน ก็ต้องสั่งสอนไปเสียบ้าง” เซี่ยจื่อหรานรู้สึกทำหน้า