เรื่องราวความรักของเราทั้งคู่ดูเหมือนว่าจะราบรื่น ทุกอย่างจบลงด้วยความสุขสมหวัง
แต่มันกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น
อีกเพียงแค่หนึ่งคืนเท่านั้น ผ่านค่ำคืนนี้ไป วันรุ่งขึ้นก็จะเป็นวันที่เธอรอคอย เพราะวันพรุ่งนี้คือวันแต่งงานของเธอกับหวังลู่เสียน
เจิ้งซิงอีจึงตั้งใจเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ และก็เป็นดังที่ชายคนรักพูดเอาไว้ เมื่อเธอไม่อาจที่จะข่มตาให้หลับลงได้เพราะรู้สึกตื่นเต้นมากจนเกินไป
ริมฝีปากอวบอิ่มแดงระเรื่อคลี่เป็นรอยยิ้มสุขใจเพียงแค่คิดถึงชายคนรัก ในขณะที่ฝ่ามือเรียวเล็กสอดเข้าไปใต้หมอนหนุน หยิบเอาขวดสเตนเลสทรงเหลี่ยมสลักลวดลายงดงามออกมา แล้วกอดมันเอาไว้แนบอก ซึ่งด้านในนั้นคือเหล้าหมักผลไม้รสชาติหอมหวาน
มันเป็นสิ่งที่หวังลู่เสียนมอบให้กับเธอ
เขาบอกกับเธอว่าสิ่งนี้จะทำให้เธอนอนหลับสบายขึ้น ซึ่งตัวเขาเองก็ต้องพึ่งสิ่งนี้เพราะเขาก็คงจะตื่นเต้นจนนอนไม่หลับเช่นเดียวกันกับเธอ
เจิ้งซิงอีเปิดฝาของมันออก ยกขึ้นจรดปลายจมูก สูดดมกลิ่นหอมละมุนของมันเข้าไปเต็มปอด ก่อนจะยกขึ้นดื่ม กลืนน้ำสีหวานลงคอ รสชาติของมันนุ่มละมุนทั้งยังหวานล้ำ
เธอรู้สึกพอใจกับรสชาติของมันเป็นอย่างมาก จนเผลอดื่มเข้าไปจนหมดขวด จากนั้นจึงทอดกายลงนอนด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า ขณะหลับตาลง ภายในหัวของเธอก็ยังมีเพียงใบหน้าของชายคนรัก
ในค่ำคืนนั้นหญิงสาวรู้สึกว่าเธอหลับไปพร้อมกับความฝันที่ทำให้รู้สึกดีจนยากที่จะอธิบาย เป็นความฝันที่ทำให้เธอรู้สึกดีมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
แต่ไม่คิดเลยว่า ตื่นขึ้นมาอีกทีเธอกลับไม่ได้นอนอยู่ในห้องนอนของตัวเอง ทั้งยังนอนเปลือยกายอยู่ในอ้อมแขนของบุรุษที่เธอไม่ชอบหน้า ทั้งยังชิงชังเขาอย่างที่สุด
เสิ่นหนิงหลง
ชายหนุ่มผู้นี้เป็นสหายรักของพี่สาม เจิ้งซาน ของเธอ ทั้งยังสนิทสนมกับสมาชิกทุกคนในครอบครัวของเธอเป็นอย่างดี แต่เขากลับเป็นคนที่เธอไม่เคยชอบหน้า
ตั้งแต่เล็กจนโตเธอชิงชังคนผู้นี้อย่างที่สุด เพราะอีกฝ่ายเป็นคนเดียวที่มักจะขัดใจเธอตลอด ทั้งยังต่อว่าเธอซึ่งหน้า กล่าวหาว่าเธอเป็นเด็กที่เอาแต่ใจ ดื้อด้านและ ไม่รู้จักโต
พี่สามเจิ้งซานกับเสิ่นหนิงหลงเข้ากองทัพไปเป็นทหารด้วยกัน และได้กลับมาเยี่ยมบ้านพร้อมกันเมื่อหลายวันก่อน ทุกครั้งที่กลับมาเยี่ยมบ้าน เสิ่นหนิงหลงก็มักจะพักอยู่บ้านเจิ้ง เขาไม่เคยกลับไปเหยียบบ้านเสิ่นของตนเลยสักครั้ง และทุกๆ ปีก็มักจะเป็นเช่นนี้ ซึ่งเธอก็ไม่ได้สนใจเรื่องของอีกฝ่ายว่าเหตุใดเขาจึงไม่อยากกลับบ้านของตัวเอง เขาอยากจะอยู่ที่ไหนทำอะไรก็หาใช่เรื่องของเธอ ขอแค่อีกฝ่ายไม่เข้ามาอยู่ในระยะสายตาของเธอก็เพียงพอแล้ว
แต่ในครั้งนี้เขาไม่เพียงอยู่ผิดที่ผิดทาง แต่กลับยังกล้ากระทำตัวต่ำช้าไร้ยางอาย
เจิ้งซิงอีรู้สึกตกใจจนแทบสิ้นสติ แต่นั่นไม่น่าตกใจเท่ากับความปวดร้าวกลางกายที่เกิดขึ้นกับเธอ ความเปียกชื้นเหนียวเหนอะหนะตรงซอกกายสาวเป็นสิ่งยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าเมื่อคืนนี้เกิดสิ่งใดขึ้นระหว่างเธอกับเสิ่นหนิงหลง
ในตอนนั้นเธอยังไม่ทันจะได้ตั้งตัวหรือคิดทำสิ่งใดเลยด้วยซ้ำ ก็มีคนเปิดประตูเข้ามา
เจิ้งซิงอีดวงตาเบิกโพลง ณ ตอนนั้น เธอไม่สนใจใบหน้าตื่นตะลึงของคนในครอบครัวหรือใครๆ เลยด้วยซ้ำ ในสายตาของเธอเห็นเพียงแววตาเจ็บปวดเสียใจของชายคนรักเพียงเท่านั้น
เขากำลังมองมาที่เธอด้วยความเจ็บช้ำและผิดหวังอย่างที่สุด ก่อนจะหันหลังให้เธอแล้วเดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะฟังเสียงร้องอ้อนวอนของเธอแม้แต่น้อย
"พี่ลู่เสียนอย่าพึ่งไป ได้โปรดฟังฉันก่อน"
เสียงร้องเรียกอันสั่นเครือน่าเวทนานั้นไม่ได้ทำให้คนที่เดินออกไปหันกลับมามอง
ราวกับทุกอย่างรอบกายของเธอนั้นหยุดเคลื่อนไหว ภายในหัวของเธอนั้นอื้ออึงไปหมด
เพราะความตื่นตระหนก ตกใจ เจ็บปวด เสียใจ ไม่ยอมรับ ไม่เข้าใจ ความรู้สึกมากมายที่ถาโถมเข้ามา ทำให้เธอไม่อาจที่จะทนรับได้ไหว ถึงกับหมดสติไปในทันที
หลังจากที่ฟื้นขึ้นมา เจิ้งซิงอีอยากให้เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนจะหมดสติไปเป็นเพียงแค่ฝันร้าย แต่มันกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น
งานแต่งของเธอกับหวังลู่เสียนในวันนั้นถูกยกเลิกไปแล้ว และอีกสามวันข้างหน้าเธอจะต้องเข้าพิธีแต่งงานกับ เสิ่นหนิงหลง ผู้ชายคนที่เธอเกลียดแสนเกลียด และยิ่งเกลียดชังเขามากขึ้น เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้
เธอถึงกับอาละวาดอย่างหนัก ทั้งกรีดร้อง ร่ำไห้ ไม่ยินยอมที่จะแต่งให้กับชายผู้นั้น เธอด่าทอต่อว่าเขามากมายจนไม่เหลือชิ้นดี ทั้งยังลงมือทุบตีเขาด้วยความคับแค้นใจ
คำพูดที่ชายคนรักเคยเอ่ยกับเธอเกี่ยวกับเสิ่นหนิงหลงหลั่งไหลเข้ามาในหัว เธอจึงปักใจเชื่อว่าเขาเป็นคนวางแผนทุกอย่างเพื่อที่จะทำลายความรักของเธอกับหวังลู่เสียน
เขาวางแผนเพื่อที่จะทำลาย ทำร้ายจิตใจคนรักของเธอ
เพราะเสิ่นหนิงหลงคือศัตรูคู่แค้นตั้งแต่วัยเยาว์ของหวังลู่เสียน ภายหลังยังต้องกลายมาเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน เขาจึงยิ่งเกลียดชังลูกติดของแม่เลี้ยงเข้ากระดูก เกลียดชังคนที่เขาคิดว่าเป็นคนแย่งชิงทุกอย่างไปจากตน ไม่ว่าจะเป็นบิดา และกิจการของตระกูลเสิ่นภายในเมืองที่หวังลู่เสียนบริหารจนเจริญรุ่งเรือง ทั้งที่ความจริงแล้วเป็นเสิ่นหนิงหลงเองต่างหากที่ไร้ความสามารถ เขาไม่เคยที่จะช่วยเหลือสิ่งใดเลยด้วยซ้ำ จะมากล่าวหาว่าผู้อื่นแย่งชิงของของตนได้อย่างไร
เป็นเสิ่นหนิงหลงที่วางแผนมาตั้งแต่ต้น เพื่อที่จะเอาคืนเธอและหวังลู่เสียน
เธออยากที่จะฆ่าเขาให้ตกตายด้วยมือของเธอเอง
เรื่องราวที่เกิดขึ้นนับเป็นเรื่องใหญ่ มีผู้คนที่มาร่วมงานในวันนั้นรู้เห็นเป็นพยานอีกหลายปาก หาใช่เรื่องที่เจิ้งซิงอีจะกระทำเอาแต่ใจได้ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ยินยอม หรือต่อต้านมากเพียงใดก็ตาม กลับไม่อาจทำสิ่งใดได้อีก เพราะเรื่องราวฉาวโฉ่นั้น ถูกใครบางคนกระจายข่าวไปทั่วทั้งหมู่บ้านแล้ว ในที่สุดเธอก็จำต้องแต่งให้กับเสิ่นหนิงหลงนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาชีวิตของเธอก็ตกอยู่ในวังวนแห่งความแค้น ความเกลียดชัง เธอมีชีวิตอยู่เพื่อทำลาย สามี ที่เธอไม่ต้องการผู้นั้น อยู่เพื่อทำให้ชีวิตของเขาพังพินาศเธอยอมทำได้ทุกอย่างถึงแม้ว่าสิ่งนั้นจะเลวร้ายแค่ไหนก็ตาม แต่หากมันทำให้อีกฝ่ายย่อยยับได้ เธอก็ยินดีและพร้อมที่จะทำแม้ใครจะเอ่ยห้ามหรือกล่าวตักเตือนอย่างไรเธอก็ไม่คิดที่จะรับฟัง ทั้งยังเลือกที่จะหันหลังให้กับทุกคนเธอทำร้ายอีกฝ่ายทุกทาง ทั้งคำพูด การกระทำ ทำร้ายร่างกาย ทำร้ายจิตใจ ทั้งยังเข้าบ่อนเล่นการพนัน เพื่อสร้างเรื่องเสื่อมเสีย จนสามีถูกปลดออกจากตำแหน่งงานที่กำลังก้าวหน้าของเขาแม้กระทั่งการทำลายเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง ไม่ยอมให้เขาได้ลืมตาขึ้นมาดูโลก เพราะเธอไม่มีวันยอมอุ้มท้องและคลอดลูกของคนที่เ
หลังจากที่เธอหมดสิ้นลมหายใจ เจิ้งซิงอีคิดว่าทุกอย่างคงจะจบสิ้นลงแล้วในชาติภพนี้ต่อจากนี้เธอคงต้องเดินทางไปชดใช้กรรมในสิ่งที่เคยก่อ และวิญญาณชั่วร้ายเช่นเธอคงไม่พ้นต้องตกนรกแต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อเธอไม่อาจที่จะไปไหนได้ กลายเป็นเพียงดวงวิญญาณที่ล่องลอย วนเวียนอยู่ในภพภูมินั้นหลังจากหมดลมหายใจไปแล้ว เธอคิดว่าความเจ็บปวดที่ได้รับเหล่านั้นจะจางหายแต่เธอกลับยิ่งต้องพบกับความเจ็บปวดทบทวี ทุกข์ทรมานเสียยิ่งกว่าตาย เพราะเธอต้องทนมองผลของการกระทำของตัวเธอเองบิดามารดาที่รักและถนอมเธอที่สุด ต้องอับอายกับคำติฉินนินทาของผู้คน เพราะการกระทำอันน่ารังเกียจของเธอ และตรอมใจกับการตายของเธอจนล้มป่วย ใบหน้าที่มักจะมีรอยยิ้มเมตตาอยู่เป็นนิจกลับเต็มไปด้วยความโศกเศร้าหม่นหมอง ร่างกายซูบผอมลงทุกวัน รอเวลาที่จะได้ตายตามบุตรสาวอันเป็นที่รักไปพี่ชายทั้งสามของเธอที่ต้องการทวงความยุติธรรมกับการตายที่คลุมเครือให้น้องสาวเช่นเธอ กลับถูกอีกฝ่ายเล่นงานจนแทบจะไร้ที่ซุกหัวนอนพี่ใหญ่เจิ้งโฮ่ว ถูกแจ้งข้อหาทำร้ายร่างกาย และพยายามฆ่า เพราะบุกเข้าไปทำร้ายร่างกายของหวังลู่เสียน ทั้งที่ฝ่ายนั้นบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย
เฮือก!!!เจิ้งซิงอีลืมตาขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก ภาพที่เสิ่นหนิงหลงถูกยิงตายไปต่อหน้าต่อตาทำให้เธอหวาดกลัวและรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากหญิงสาวรีบกวาดตามองหาร่างของชายหนุ่มที่เธอเห็นว่าเขานอนจมกองเลือดอยู่หน้าหลุมศพของเธออย่างร้อนรน แต่สิ่งที่เธอเห็นตอนนี้กลับทำให้เธอต้องนิ่งงันเมื่อพบว่าตอนนี้ตัวเธอกำลังอยู่บนเตียงเตาในห้องที่คุ้นเคย ห้องนี้เป็นห้องนอนของเธอในบ้านเจิ้ง หาใช่สุสานบนหุบเขาในหมู่บ้านไม่มีร่างไร้วิญญาณของเสิ่นหนิงหลง ไม่มีแม้แต่รอยเลือดสักหยด มีเพียงข้าวของที่กระจัดกระจายไร้ระเบียบ สภาพเตียงเตาที่เธอนั่งอยู่ดูยุ่งเหยิง ภายในห้องราวกับสมรภูมิรบแต่สิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจยิ่งกว่าคือเสียงเสียงหนึ่งที่เธอไม่ได้ยินมาเป็นเวลานาน ตอนนี้มันกลับกำลังดังขึ้นอีกครั้งตึกๆ ตึกๆ ตึกๆเธอได้ยินเสียงและรู้สึกถึงก้อนเนื้อที่กำลังเต้นอย่างบ้าคลั่งและรุนแรงอยู่ภายในอก นั่นทำให้เธอรู้สึกตื่นตะลึงจนต้องยกมือขึ้นทาบลงไปตรงตำแหน่งนั้น เธอมีหัวใจ และมันก็กลับมาเต้นอีกครั้งอย่างน่าอัศจรรย์"นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน"หญิงสาวกวาดตามองไปรอบๆ ตัวอีกครั้ง นี่คือห้องนอนของเธอไม่ผิดแน่ เมื่อลองหยิกเนื้อตั
หลังจากที่จัดการทุกอย่างจนเรียบร้อยดีแล้ว เจิ้งซิงอีจึงได้เดินออกมาจากห้อง หญิงสาวกวาดตามองและเดินสำรวจไปทั่วบริเวณบ้านด้วยความคิดถึง ในตอนนี้ไม่มีใครอยู่ในบ้านเพราะทุกคนต่างก็ออกไปทำงานกันหมด ภายในบ้านจึงค่อนข้างที่จะเงียบ เวลานี้ทั้งพ่อ แม่ พี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่คงจะกำลังตากแดดตากลมทำงานอยู่ในแปลงนา พี่รองและพี่สะใภ้รองคงวุ่นวายอยู่กับการเปิดร้านค้าจนหัวหมุน พี่สามก็คงประจำการอยู่ในค่ายทหารทำหน้าที่ที่เขารักและภาคภูมิใจ ส่วนหลานชายทั้งสองของเธอก็คงกำลังมีความสุขกับการได้ไปโรงเรียน เจิ้งซิงอียิ้มออกมาอย่างมีความสุขเมื่อคิดถึงทุกคนในครอบครัว ตอนนี้ทุกคนยังคงใช้ชีวิตอย่างดี แม้จะเหนื่อยแต่พวกเขาก็มีรอยยิ้มและมีความสุขกับชีวิตในตอนนี้ดีจริงๆ ที่เธอได้มีโอกาสได้ย้อนกลับมาในตอนที่ทุกอย่างยังไม่สายเกินไป และการได้กลับมาในครั้งนี้ เธอจะไม่ยอมให้ความสุขและรอยยิ้มของพวกเขาต้องหายไปอีกตอนนี้เป็นเวลาสายมากแล้วหญิงสาวจึงเดินเข้าไปในห้องครัว เพื่อเตรียมหุงหาอาหารให้กับทุกคน ทำในสิ่งที่ในชีวิตก่อนเธอไม่เคยคิดที่จะทำ หากเป็นเมื่อก่อน หน้าที่นี้คงจะเป็นของผู้เป็นแม่ พอใกล้จะเที่ยงแม่เจิ้งที่ทำ
"พี่คะ ฉันเอาอาหารมาให้ค่ะ""พี่หนิงหลง อาหารสำหรับพี่ค่ะ""สามี ฉันเอาอาหารมาให้คุณค่ะ"แค๊ก! แค๊ก!เจิ้งซิงอีสำลักน้ำลายตัวเองจนหน้าแดง รีบยกฝ่ามืออ่อนนุ่มขึ้นลูบหน้าลูบอก ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นเพราะความกระดากอาย เมื่อลองเอ่ยคำพูดเหล่านั้นออกมาตลอดเส้นทางที่เดินมาบ้านเสิ่น เธอเรียบเรียงคำพูดที่จะเอ่ยกับสามีเอาไว้มากมาย แต่กลับไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นพูดคุยกับอีกฝ่ายอย่างไรดี ไม่คิดว่าการพูดประโยคง่ายๆ เพียงหนึ่งประโยคจะยากเย็นถึงเพียงนี้ด้วยทุกครั้งที่ผ่านมาเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสามี เธอไม่เคยที่จะเอ่ยกับเขาก่อนเลยด้วยซ้ำ และแน่นอนว่าย่อมไม่เคยที่จะเอ่ยถ้อยคำเหล่านี้ด้วยเช่นกัน หากจะพูดด้วยก็มีเพียงแค่คำด่าทอ พูดจาหาเรื่องชวนทะเลาะคำพูดของเธอนั้นจะมีเพียงคำถากถาง จิกกัดและคำต่อว่าเท่านั้น ไม่มีคำพูดดีๆ เลยสักครั้ง คิดๆ ดูแล้วเธอจะพูดดีๆ กับเขาก็ในตอนที่ต้องการบางอย่างจากเขาเท่านั้น แต่คำพูดพวกนั้นก็ล้วนแต่เสแสร้งหาความจริงใจไม่เจอและท่าทีของเธอที่มีต่อผู้เป็นสามีก็มักจะเป็นการแสดงออกว่ารังเกียจ เมินเฉย และมักจะหลีกเลี่ยงเขาเสียด้วยซ้ำ จู่ๆ มาเดินเข้าไปพูดจาอ่อนหวาน ทั้งยังทำอาหารไปให้ อี
"มาทำอะไรที่นี่"น้ำเสียงอันคุ้นเคยที่ดังขึ้นจากด้านหลังทำให้เจิ้งซิงอีสะดุ้ง รู้ดีว่าเจ้าของเสียงทุ้มนั้นคือผู้ใดโดยที่ไม่ต้องหันกลับไปมอง หัวใจของเธอพลันเต้นแรงขึ้นราวกับจะทะลุออกมานอกอก เมื่อถึงเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายจริงๆเจิ้งซิงอีกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ รู้สึกประหม่าขึ้นมาเสียอย่างนั้น จนอยากจะแทรกกายหายไปจากตรงนี้ อย่างน้อยๆ ก็ขอไปตั้งหลักก่อน แต่เมื่อไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อย่างใจคิด จึงตัดสินใจหันกลับไปเผชิญหน้ากับเจ้าของเรือนกายสูงใหญ่กำยำเฉกเช่นชายชาติทหารภาพที่ปรากฏสู่สายตาทันทีที่หันกลับไปมองคือแผ่นอกกว้างของอีกฝ่าย เสื้อเนื้อบางสีเทาหม่นที่ชื้นเหงื่อ เปียกจนแนบเนื้อ มองเห็นเป็นรูปเป็นร่างแผงอกกำยำและยอดอกเด่นชัด จนอดไม่ได้ที่จะหลุบสายตามองต่ำลงไปกว่านั้นมัดกล้ามเนื้ออันทรงพลังของบุรุษเพศที่เรียงตัวสวยทำลมหายใจคนมองสะดุด ลำคอถึงกับแห้งผาก จนต้องรีบดึงสายตากลับขึ้นมาด้านบน แต่นั่นกลับไม่ได้ช่วยอันใดมากนัก เมื่อไล่สายตาไปตามลำคอแกร่ง และสันกรามคมชัดที่สื่อถึงความมั่นคง ริมฝีปากบางได้รูปรับกับจมูกโด่งเป็นสัน จนกระทั่งสบเข้ากับดวงตาสีสนิมเข้มดั่งดวงดาวในยามราตรี แฝงไว้ด้ว
เจิ้งซิงอีอ้าปากค้าง มองค้อนอีกฝ่ายตาแทบพลิกก่อนจะคว้าตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารเหล่านั้นเข้าปาก"ทีนี้จะกินได้หรือยัง"เสิ่นหนิงหลงมองสตรีที่ขึงตามองเขา ใบหน้าสวยงอง้ำอย่างไม่พอใจ แต่ดวงตากลมโตกลับปรากฏประกายแง่งอนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แม้ปฏิกิริยาเหล่านั้นจะทำให้หัวใจคันยุบยิบ กระนั้นความคลางแคลงสงสัยก็ยังคงไม่จางหาย เพราะนี่ไม่ใช่วิสัยปกติของคนเป็นภรรยา หากในยามปกติคาดว่าถ้อยคำแสลงหูคงได้หลุดออกมาจากปากเล็กๆ นั่น และอาหารบนโต๊ะคงได้ถูกเก็บกลับไปตั้งแต่เขาเอ่ยจบประโยคแล้วแต่ถึงแม้จะไม่รู้ว่าภรรยามีจุดประสงค์ใดที่มาทำดีด้วย เขาก็ไม่อยากให้เธอต้องรู้สึกขุ่นเคืองและอารมณ์เสียไปมากกว่านี้อีก เพราะอาจจะเป็นเขาเองที่ไม่อาจทนรับได้ไหว วาจาเชือดเฉือนที่ทำให้ต้องระเห็จมาที่นี่ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางยังทำให้ใจเจ็บและจุกไม่หาย หากถูกภรรยาแสดงฤทธิ์เดชใส่อีกรอบเขาคงได้หลั่งน้ำตาเป็นแน่ จึงยอมเดินไปล้างมือแล้วกลับมานั่งลงฝั่งตรงข้ามภรรยาแต่โดยดี แต่ภาพอาหารหน้าตาน่ากินบนโต๊ะทำให้เขาต้องแปลกใจอีกครั้งเจิ้งซิงอีขยับตัวอย่างอึดอัดรู้สึกใจแป้วขึ้นมาเมื่อคนตรงหน้าเอาแต่จ้องมองอาหารนิ่งไม่ยอมขยับตะเกียบเสียท
หลังจากมื้อเที่ยงที่ไม่เคยได้มีร่วมกันมาก่อนกับภรรยาจบลง เสิ่นหนิงหลงที่เฝ้าสังเกตพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของภรรยาคนงามก็ยิ่งเกิดความระแวงสงสัย เพราะเธอเปลี่ยนไปมากจริงๆ เปลี่ยนไปจนเขาคิดว่าคนตรงหน้าไม่ใช่ภรรยาของเขา เธอไม่ใช่เจิ้งซิงอีผู้หญิงเอาแต่ใจที่เขารู้จักถึงแม้ว่าท่าทางจะดูเหมือนปั้นปึ่ง ไม่ใส่ใจ นิ่งๆ เงียบๆ แต่เขาก็รู้ว่าเธอไม่ได้รู้สึกอย่างที่แสดงออกมา ดังคำกล่าวที่ว่า สายตาหลอกกันไม่ได้ตลอดมื้ออาหารสายตาของภรรยาที่มักจะเผลอไผลมองมานั้น มันทั้งรอคอยและเต็มไปด้วยความคาดหวังแม้ปากเล็กๆ นั้นจะปิดเงียบ แต่ดวงตาพราวระยับของเธอกลับกำลังส่งเสียงดังอร่อยใช่หรือไม่ ชมฉันสิ ชมฉันสิถึงแม้จะรู้สึกแบบนั้น แต่เขาก็ทำเพียงกินอาหารด้วยใบหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ ถึงมันจะอร่อยมากๆ ก็ตาม แต่เขาก็ไม่คิดจะเอ่ยปากชมให้เธอได้ใจหรอกเพราะรู้ดีว่าเธอมีจุดประสงค์แอบแฝง ภรรยามีบางอย่างในใจแน่ แต่เมื่อไม่อาจบังคับให้อีกฝ่ายพูดออกมาได้ในตอนนี้ว่าต้องการสิ่งใดจากเขา จึงได้แต่นิ่งเฉยเสีย ความอดทนของอีกฝ่ายใช่ว่าจะมีมากเสียเมื่อไหร่ ยิ่งการต้องมาทำดีกับเขา อีกฝ่ายไม่เคยที่จะฝืนใจทำได้นานเสียด้วยซ้ำ อีกไ
แสงแดดอ่อนๆ ส่องกระทบใบหน้ายิ้มแย้มของคู่สามีภรรยาที่กำลังประคับประคองกันเดินเข้ามาในตลาดยามเช้า พวกเขาทั้งสองยืนมองตลาดสดที่คึกคักไปด้วยผู้คนที่มาจับจ่ายซื้อข้าวของกันอย่างคับคั่ง บรรดาพ่อค้าแม่ค้าขายของกันมือเป็นระวิง เสียงหัวเราะและการพูดคุยเจื้อยแจ้วของผู้คนดังก้องไปทั่วบริเวณ เรือนร่างที่ดูอวบอิ่มมีน้ำมีนวลขึ้นของเจิ้งซิงอีเดินตามการประคองของสามี หญิงสาวยืนอยู่ท่ามกลางความวุ่นวาย แต่ใบหน้างามกลับเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มแห่งความพึงพอใจ เจิ้งซิงอีมองไปรอบๆ ตลาดแห่งนี้ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ นี่คือตลาด 'สร้างสุข' ตลาดสดที่สร้างขึ้นด้วยมือและน้ำพักน้ำแรงของทุกคน ตอนนี้มันกำลังเติบโตขึ้นมาอย่างมั่นคงตลาดแห่งนี้เปิดให้บริการมาได้กว่าสามเดือนแล้ว และเป็นสามเดือนที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้กับทุกคนจนน่าตกใจ เจิ้งซิงอีลูบหน้าท้องของตัวเองที่นูนเด่นออกมาด้วยความรักใคร่ วันนี้เธอจะพาเจ้าก้อนแป้งมาเดินชมตลาดของครอบครัว ดวงหน้างามระบายไปด้วยรอยยิ้ม ตลาดแห่งนี้เติบโตมาพร้อมๆ กับบุตรในท้องของเธอที่ตอนนี้กำลังย่างเข้าเดือนที่สี่แล้ว และนี่นับเป็นครั้งแรกที่เธอได้มาเห็นตลาดแห่งนี้ด้ว
เจิ้งซิงอีลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก ทันทีที่รู้สึกตัวฝ่ามือบางรีบวางทาบลงบนหน้าท้องแบนราบของตนในทันที แต่เธอก็ต้องประหลาดใจเมื่อตอนนี้เธอไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด ไม่ว่าจะเป็นอาการเจ็บปวดตามร่างกายจากการหกล้มหรืออาการเจ็บหน่วงบริเวณท้องน้อย ราวกับว่าก่อนหน้านี้เธอไม่เคยได้รับความเจ็บปวดใดๆ มาก่อนหญิงสาวกวาดตามองสำรวจไปรอบๆ เมื่อรับรู้ถึงความผิดปกติ พลันรู้สึกเย็นเยียบไปทั้งกายเมื่อพบเพียงความว่างเปล่า เธอมองเห็นเพียงหมอกหนาทึบโอบล้อมอยู่รอบๆ เพียงเท่านั้น ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่นอย่างพยายามระงับความหวาดกลัวที่กัดกินใจ เอ่ยเรียกสามีน้ำเสียงสั่น เธอหวังอย่างยิ่งว่าจะได้ยินเสียงของเขาตอบกลับมา"พี่หนิงหลง สามีคะ พี่อยู่ไหน"แต่เหมือนว่าเธอต้องพบกับความผิดหวัง เพราะทันทีที่เปล่งเสียงออกไป เธอกลับได้ยินเพียงเสียงสะท้อนของตัวเองตอบกลับมาเท่านั้นเจิ้งซิงอีชันกายลุกขึ้นยืน พยายามมองฝ่าหมอกหนาด้วยหัวใจที่สั่นสะท้าน เธอไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเธอ เหตุใดถึงได้มาอยู่ในสถานที่นี้ได้ หรือเธอจะตายไปแล้วและกลายมาเป็นวิญญาณอีกครั้งดวงตาหวาดหวั่นหันมองความว่างเปล่ารอบกาย ภายในใจรู้สึกเจ็บปวดอย่
เจิ้งซิงอีเนื้อตัวสั่นเทา เอ่ยอ้อนวอนคนตรงหน้าที่ตอนนี้ดวงตาทั้งสองแดงก่ำเต็มไปด้วยโทสะ เธออยากจะขยับหนีแต่ไม่อาจทำได้ เพราะรู้สึกเจ็บร้าวไปหมดทั้งตัว และบริเวณข้อเท้าก็รู้สึกเจ็บแปลบ คงทำได้แค่ถ่วงเวลาให้นานที่สุดเท่านั้น ภาวนาให้คนเป็นสามีรู้ว่าเธอหายตัวไปโดยเร็วหวังลู่เสียนในตอนนี้ดูน่ากลัวมาก เขาคล้ายกับคนเสียสติ เธอไม่รู้ว่าอีกฝ่ายไปทำอะไรมาถึงได้มีสภาพเช่นนี้ หยาดเลือดที่ไหลซึมจากบาดแผล ทำให้เสื้อผ้าเปียกชุ่มกลายเป็นสีแดงฉาน กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งจนเธอรู้สึกสะอิดสะเอียนจนอยากจะอาเจียน"ซิงอีทำไมพูดแบบนั้น ไม่รักกันแล้วหรือ ทำไมละ เธออยากจะอยู่กับพี่มาตลอดไม่ใช่หรอกหรือ"ดวงตาของหวังลู่เสียนไหววูบกับคำอ้อนวอนนั้น ก่อนจะคลี่ยิ้มเอ่ยถามเสียงเย็น ท่าทางหวาดกลัวจนตัวสั่นและความเกลียดชังในแววตาของหญิงสาวทำให้ภายในใจรู้สึกไม่พอใจและไม่ยินยอมทำไมล่ะ เธอรักเขา อยากอยู่กับเขามาตลอดนี่ ทำไมตอนนี้ถึงเปลี่ยนใจ ทำไมเธอถึงจะทิ้งเขาไปล่ะ ชีวิตของเขาในตอนนี้ไม่เหลือใครแล้ว คำถามมากมายเกิดขึ้นภายในใจของหวังลู่เสียน ภาพของเด็กหญิงที่คอยอยู่ข้างกายเขา คอยปกป้อง คอยปลอบใจเขายามเมื่อทุกข์ใจผุดขึ้นม
ในที่สุดตำรวจก็คลี่คลายปมคดีการตายของเสิ่นจงได้ เขาไม่ได้ป่วยตายอย่างที่คิดจริงๆ แต่ตายเพราะถูกฆาตกรรมตำรวจสืบเสาะจนกระทั่งพบหลักฐานสำคัญที่ชี้ไปยังตัวฆาตกรว่าเป็นซูหลันผู้เป็นภรรยาและหวังลู่เสียนลูกเลี้ยงของเขาเอง และหลักฐานสำคัญคือผลตรวจเนื้อเยื่อในซอกเล็บของผู้ตายที่ส่งมาจากปักกิ่ง ชี้ชัดว่าเป็นของหวังลู่เสียนเมื่อพร้อมด้วยพยานหลักฐาน หยางตงฟง นายตำรวจหนุ่มผู้รับผิดชอบคดีจึงนำกำลังเข้าจับกุมสองแม่ลูกมาดำเนินคดี หลังจากนั้นจึงค่อยส่งข่าวให้เสิ่นหนิงหลงพี่ชายคนสนิทผู้เป็นเจ้าทุกข์รับทราบแต่ไม่คิดเลยว่าเมื่อไปถึงบ้านเช่าของสองแม่ลูก กลับพบกับกลุ่มชาวบ้านหลายสิบคนภายในบ้าน พวกเขากำลังมุงดูและวิพากษ์วิจารณ์บางอย่างด้วยอาการตื่นตกใจเหล่าชาวบ้านเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ต่างพากันหลีกทางให้ แล้วมายืนสังเกตการณ์กันอยู่ห่างๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นหยางตงฟงนำกำลังเข้าไปในบ้านทันที เมื่อเข้าไปตรวจสอบก็พบว่าภายในบ้านนั้นมีร่องรอยการต่อสู้ ข้าวของถูกรื้อค้นกระจุยกระจายจนกระทั่งเดินลึกเข้าไปภายในตัวบ้านนายตำรวจหนุ่มมีสีหน้าตึงเครียดในทันที เมื่อพบกับร่างไร้วิญญาณของซูหลันถูกฆ่าตายด้วยอาวุ
ยิ่งตลาดใกล้จะเปิดให้บริการเจิ้งซิงอีก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น ในตอนนี้ทุกคนต่างก็มีงานล้นมือและยุ่งจนหัวหมุน สามีของเธอต้องออกจากบ้านพร้อมกับพี่ใหญ่และพี่รองตั้งแต่เช้าทุกวัน กว่าจะได้กลับบ้านก็มืดค่ำ ส่วนพี่สามแม้จะกลับค่ายทหารไปแล้วแต่ก็นำเงินเก็บที่มีมอบไว้ให้เธอส่วนตัวเธอเองก็มีหน้าที่จัดการงานเกี่ยวกับเอกสาร บัญชีรายจ่ายในการก่อสร้างตลาดทั้งหมด และรายรับในส่วนของค่าเช่าแผงที่เหล่าพ่อค้าแม่ค้ามาวางมัดจำเอาไว้ แม้ว่าเธอจะทำงานอยู่กับบ้านแต่ก็ยุ่งวุ่นวายจนหัวหมุนเหมือนกัน และจากหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบ ทำให้เจิ้งซิงอีหลงลืมทุกอย่างและแทบจะไม่มีเวลาให้ได้คิดถึงเรื่องอื่นเลยทางด้านหนึ่งที่กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับกิจการการงานที่กำลังเติบโต อีกด้านหนึ่งก็กำลังเกิดความโกลาหลขึ้นเช่นเดียวกัน แต่เป็นความโกลาหลที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงเพล้ง! เพล้ง! เพล้ง!ฝ่ามือใหญ่รื้อค้นข้าวของภายในบ้านก่อนจะจับทุ่มลงกับพื้นอย่างแรงจนมันแตกกระจัดกระจาย ใบหน้าดำคล้ำบิดเบี้ยวด้วยความโกรธแค้น ดวงตาสีดำสนิทฉายแววอันตราย อาวุธปืนในมือกวัดแกว่งไปมาชี้หน้าสองแม่ลูกที่กำลังกอดกันตัวสั่นเทาหวังลู่เสียนไม่คิดเลยว
หวังลู่เสียนกลับบ้านมาด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม เขาอารมณ์ดีอย่างที่สุดที่สามารถกำจัดคนพวกนั้นไปได้โดยที่ไม่ต้องเสียเงินแม้แต่หยวนเดียว ไม่เสียแรงที่เขาต้องเค้นสมองวางแผนการอยู่หลายวัน"ไอ้ชั่วพวกนั้นมันถูกตำรวจจับไปหมดแล้วหรือ ดีจริงๆ"ซูหลันหลังจากที่ได้รู้เรื่องจากปากบุตรชาย ว่าพวกในบ่อนถูกตำรวจจับเข้าซังเตในข้อหาค้ายาเสพติดไปแล้ว ใบหน้าที่มืดครึ้มมาตั้งแต่เช้าหลังจากที่บุตรชายบอกกับนางว่าจะเอาเงินไปใช้หนี้ให้บ่อนก็ปรากฏรอยยิ้มกระจ่างเต็มหน้า นางดีอกดีใจยกใหญ่จนแทบจะจุดพลุฉลอง ซูหลันรู้สึกยินดีอย่างยิ่ง โชคดีเหลือเกินที่กำจัดอุปสรรคใหญ่ในชีวิตออกไปได้หลายวันมานี้แม้ว่าจะได้เงินประกันมาก้อนโต แต่นางก็ไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ซักคืนเดียว และไม่มีความยินดีเลยสักนิด เพราะความเสียดายเงิน เงินที่ได้มาเกือบทั้งหมดต้องเอาไปจ่ายหนี้ให้กับบ่อน หากจะไม่จ่ายก็ไม่ได้ เพราะยังรักชีวิต ไม่อย่างนั้นก็ถูกคนพวกนั้นตามรังควานไม่เลิกพอเรื่องกลับกลายมาเป็นเช่นนี้จะไม่ให้นางรู้สึกยินดีได้อย่างไร ช่างโชคดีเหลือเกินที่บุตรชายยังไม่ทันได้เอาเงินให้พวกมันไป พวกมันก็ถูกจับเสียก่อน สมน้ำหน้าคนพวกนั้นจริงๆ ซูหล
หลังจากที่ช่วยให้สามีคลายความหม่นเศร้า ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ วันนี้เจิ้งซิงอีกับสามีจึงจูงมือกันเข้าเมืองมาตั้งแต่เช้า เพื่อมาดูความคืบหน้าและตรวจตราดูความเรียบร้อยในการสร้างตลาด ซึ่งในตอนนี้ตัวอาคารนั้นสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตลาดของพวกเขาเริ่มเป็นรูปเป็นร่างและเป็นที่น่าพอใจอย่างมาก ทุกอย่างราบรื่นและเป็นไปได้ด้วยดี คาดว่าอีกไม่เกินสิบวันการก่อสร้างก็คงจะแล้วเสร็จสามารถเปิดให้บริการได้ในทันที"อีกไม่นานตลาดของเราก็จะสร้างเสร็จแล้ว"เจิ้งซิงอีเอ่ยบอกสามีพร้อมด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า ดวงตาคู่งามส่องประกายระยิบระยับ มองสำรวจอาคารเปิดโล่งเบื้องหน้าด้วยความตื่นเต้นยินดี อีกไม่นานความฝันความหวังของเธอก็จะเป็นจริง ชีวิตของเธอและครอบครัวจะต้องดีขึ้น เธอเชื่อเต็มหัวใจว่าตลาดแห่งนี้จะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน"ครับ ภรรยาเก่งมากๆ"เสิ่นหนิงหลงยิ้มกว้างเอ่ยชื่นชมภรรยา ก่อนจะจูงมืออีกฝ่ายเดินเข้าไปยังตัวอาคารขนาดกว้างขวาง สายตามองคนข้างกายอย่างภาคภูมิใจ ภรรยาของเขาช่างเก่งกาจและมีความสามารถ วางแผนทุกอย่างได้อย่างรอบคอบ รูปแบบการก่อสร้างเหล่านี้ล้วนเป็นภรรยาของเขาที่ออกแบบตัว
ฝ่ามืออ่อนนุ่มถูกคนเป็นสามีดึงรั้งให้เลื่อนลงไปเบื้องล่าง สัมผัสกับความแข็งขึงที่ร้อนผ่าวของเขา มันกร้าวแกร่งและดุดันจนหญิงสาวถึงกับสะดุ้ง เจิ้งซิงอีจ้องมองสามีตาโตอย่างตื่นตะลึง หัวใจของเธอเต้นกระหน่ำ ภายใต้มวลน้ำอุ่นร้อนมือของเธอกำลังสัมผัสกับสิ่งที่ร้อนเสียยิ่งกว่า มันแข็ง มันร้อนผ่าว และสู้มือเธอ จนต้องเกร็งมือหนีแต่คนไร้ยางอายกลับไม่ยอมให้เธอทำเช่นนั้น พอเธอจะขยับมือหนี เขากลับรั้งมือของเธอเอาไว้ กุมกระชับให้มือน้อยๆ ของเธอกอบกุมท่อนเนื้อขนาดใหญ่ที่แทบจะกำไม่รอบ โดยมีฝ่ามือใหญ่ของเขาคอยควบคุมขยับมันขึ้นลงเจิ้งซิงอีกลืนน้ำลายลงคอ หลุบตาลงมองความใหญ่โตใต้ผืนน้ำที่ขยับไหวเลือนราง ระดับน้ำที่ปริ่มอยู่ตรงเอวสอบของสามี ทำให้เธอมองเห็นสิ่งนั้นวับๆ แวมๆสิ่งนี้น่ะหรือที่เข้าไปในร่างกายของเธอ เข้าไปในช่องทางอ่อนนุ่มที่แสนจะเปราะบางของเธอ มิน่าเล่าทุกครั้งที่ร่วมรักกันเธอถึงได้เจ็บจุกจนหน่วงท้องน้อยไปหมดผ่านมาสองชีวิตบอกอย่างไม่อายเลยว่า ครั้งนี้เธอพึ่งจะได้สัมผัสตัวตนของเขาด้วยมือและตาตัวเอง ชีวิตแรกเพราะไม่เต็มใจ เธอจึงไม่เคยที่จะลืมตามองเขาเลยสักครั้งส่วนชีวิตนี้ แม้จะผ่านการร่วมร
"สามี มาล้างไม้ล้างมือได้แล้วค่ะ อาหารใกล้จะเสร็จแล้ว"เจิ้งซิงอีเดินออกมาชะโงกหน้าด้านหลังประตูห้องครัว ร้องบอกคนเป็นสามีที่กำลังพรวนดินอยู่ในแปลงผักที่อยู่ห่างออกไปไม่มากนัก เมื่อเห็นว่าขาหมูตุ๋นที่เธอตุ๋นมาหลายชั่วโมงเริ่มที่จะเปื่อยได้ที่แล้ว"ครับๆ พี่ขอรดน้ำผักอีกนิด ไม่นานก็เสร็จแล้วครับ"เสิ่นหนิงหลงขานตอบภรรยาก่อนจะวางจอบในมือลง แล้วคว้าบัวรดน้ำที่วางอยู่ข้างกัน เร่งรดน้ำผักในแปลงที่ตอนนี้เขียวชอุ่ม เติบโตอวบอ้วน ใกล้จะเก็บมากินได้แล้ว หลังจากที่รดน้ำผักเรียบร้อยแล้วก็เดินกลับมาล้างไม้ล้างมือและหน้าตาที่เปื้อนดินโคลนจนสะอาดสะอ้านเตรียมกินมื้อเย็นแสนอร่อยกับภรรยา"เหนื่อยไหมคะ"เจิ้งซิงอีเอ่ยถามสามีด้วยรอยยิ้มหวาน เมื่อเห็นเขาเดินเข้ามาในครัว เธอวางจานผัดเห็ดป่าในมือลง ก่อนจะใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กเช็ดหน้าเช็ดตาที่เปียกน้ำให้เขาอย่างใส่ใจ"เหนื่อยมากๆ เลยครับภรรยา"เสิ่นหนิงหลงเอ่ยตอบภรรยา สีหน้าและแววตากรุ้มกริ่มเจ้าเล่ห์ ใบหน้าหล่อเหลาโน้มลงมาหอมแก้มนุ่มนิ่มฟอดใหญ่"แต่ตอนนี้หายเหนื่อยแล้วครับ"ลำแขนแกร่งโอบกอดภรรยาเข้ามาแนบชิด กระซิบบอกเสียงแหบพร่า ปลายจมูกโด่งกดหอมกดจูบไปทั่