เรื่องราวความรักของเราทั้งคู่ดูเหมือนว่าจะราบรื่น ทุกอย่างจบลงด้วยความสุขสมหวัง
แต่มันกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น
อีกเพียงแค่หนึ่งคืนเท่านั้น ผ่านค่ำคืนนี้ไป วันรุ่งขึ้นก็จะเป็นวันที่เธอรอคอย เพราะวันพรุ่งนี้คือวันแต่งงานของเธอกับหวังลู่เสียน
เจิ้งซิงอีจึงตั้งใจเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ และก็เป็นดังที่ชายคนรักพูดเอาไว้ เมื่อเธอไม่อาจที่จะข่มตาให้หลับลงได้เพราะรู้สึกตื่นเต้นมากจนเกินไป
ริมฝีปากอวบอิ่มแดงระเรื่อคลี่เป็นรอยยิ้มสุขใจเพียงแค่คิดถึงชายคนรัก ในขณะที่ฝ่ามือเรียวเล็กสอดเข้าไปใต้หมอนหนุน หยิบเอาขวดสเตนเลสทรงเหลี่ยมสลักลวดลายงดงามออกมา แล้วกอดมันเอาไว้แนบอก ซึ่งด้านในนั้นคือเหล้าหมักผลไม้รสชาติหอมหวาน
มันเป็นสิ่งที่หวังลู่เสียนมอบให้กับเธอ
เขาบอกกับเธอว่าสิ่งนี้จะทำให้เธอนอนหลับสบายขึ้น ซึ่งตัวเขาเองก็ต้องพึ่งสิ่งนี้เพราะเขาก็คงจะตื่นเต้นจนนอนไม่หลับเช่นเดียวกันกับเธอ
เจิ้งซิงอีเปิดฝาของมันออก ยกขึ้นจรดปลายจมูก สูดดมกลิ่นหอมละมุนของมันเข้าไปเต็มปอด ก่อนจะยกขึ้นดื่ม กลืนน้ำสีหวานลงคอ รสชาติของมันนุ่มละมุนทั้งยังหวานล้ำ
เธอรู้สึกพอใจกับรสชาติของมันเป็นอย่างมาก จนเผลอดื่มเข้าไปจนหมดขวด จากนั้นจึงทอดกายลงนอนด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า ขณะหลับตาลง ภายในหัวของเธอก็ยังมีเพียงใบหน้าของชายคนรัก
ในค่ำคืนนั้นหญิงสาวรู้สึกว่าเธอหลับไปพร้อมกับความฝันที่ทำให้รู้สึกดีจนยากที่จะอธิบาย เป็นความฝันที่ทำให้เธอรู้สึกดีมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
แต่ไม่คิดเลยว่า ตื่นขึ้นมาอีกทีเธอกลับไม่ได้นอนอยู่ในห้องนอนของตัวเอง ทั้งยังนอนเปลือยกายอยู่ในอ้อมแขนของบุรุษที่เธอไม่ชอบหน้า ทั้งยังชิงชังเขาอย่างที่สุด
เสิ่นหนิงหลง
ชายหนุ่มผู้นี้เป็นสหายรักของพี่สาม เจิ้งซาน ของเธอ ทั้งยังสนิทสนมกับสมาชิกทุกคนในครอบครัวของเธอเป็นอย่างดี แต่เขากลับเป็นคนที่เธอไม่เคยชอบหน้า
ตั้งแต่เล็กจนโตเธอชิงชังคนผู้นี้อย่างที่สุด เพราะอีกฝ่ายเป็นคนเดียวที่มักจะขัดใจเธอตลอด ทั้งยังต่อว่าเธอซึ่งหน้า กล่าวหาว่าเธอเป็นเด็กที่เอาแต่ใจ ดื้อด้านและ ไม่รู้จักโต
พี่สามเจิ้งซานกับเสิ่นหนิงหลงเข้ากองทัพไปเป็นทหารด้วยกัน และได้กลับมาเยี่ยมบ้านพร้อมกันเมื่อหลายวันก่อน ทุกครั้งที่กลับมาเยี่ยมบ้าน เสิ่นหนิงหลงก็มักจะพักอยู่บ้านเจิ้ง เขาไม่เคยกลับไปเหยียบบ้านเสิ่นของตนเลยสักครั้ง และทุกๆ ปีก็มักจะเป็นเช่นนี้ ซึ่งเธอก็ไม่ได้สนใจเรื่องของอีกฝ่ายว่าเหตุใดเขาจึงไม่อยากกลับบ้านของตัวเอง เขาอยากจะอยู่ที่ไหนทำอะไรก็หาใช่เรื่องของเธอ ขอแค่อีกฝ่ายไม่เข้ามาอยู่ในระยะสายตาของเธอก็เพียงพอแล้ว
แต่ในครั้งนี้เขาไม่เพียงอยู่ผิดที่ผิดทาง แต่กลับยังกล้ากระทำตัวต่ำช้าไร้ยางอาย
เจิ้งซิงอีรู้สึกตกใจจนแทบสิ้นสติ แต่นั่นไม่น่าตกใจเท่ากับความปวดร้าวกลางกายที่เกิดขึ้นกับเธอ ความเปียกชื้นเหนียวเหนอะหนะตรงซอกกายสาวเป็นสิ่งยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าเมื่อคืนนี้เกิดสิ่งใดขึ้นระหว่างเธอกับเสิ่นหนิงหลง
ในตอนนั้นเธอยังไม่ทันจะได้ตั้งตัวหรือคิดทำสิ่งใดเลยด้วยซ้ำ ก็มีคนเปิดประตูเข้ามา
เจิ้งซิงอีดวงตาเบิกโพลง ณ ตอนนั้น เธอไม่สนใจใบหน้าตื่นตะลึงของคนในครอบครัวหรือใครๆ เลยด้วยซ้ำ ในสายตาของเธอเห็นเพียงแววตาเจ็บปวดเสียใจของชายคนรักเพียงเท่านั้น
เขากำลังมองมาที่เธอด้วยความเจ็บช้ำและผิดหวังอย่างที่สุด ก่อนจะหันหลังให้เธอแล้วเดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะฟังเสียงร้องอ้อนวอนของเธอแม้แต่น้อย
"พี่ลู่เสียนอย่าพึ่งไป ได้โปรดฟังฉันก่อน"
เสียงร้องเรียกอันสั่นเครือน่าเวทนานั้นไม่ได้ทำให้คนที่เดินออกไปหันกลับมามอง
ราวกับทุกอย่างรอบกายของเธอนั้นหยุดเคลื่อนไหว ภายในหัวของเธอนั้นอื้ออึงไปหมด
เพราะความตื่นตระหนก ตกใจ เจ็บปวด เสียใจ ไม่ยอมรับ ไม่เข้าใจ ความรู้สึกมากมายที่ถาโถมเข้ามา ทำให้เธอไม่อาจที่จะทนรับได้ไหว ถึงกับหมดสติไปในทันที
หลังจากที่ฟื้นขึ้นมา เจิ้งซิงอีอยากให้เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนจะหมดสติไปเป็นเพียงแค่ฝันร้าย แต่มันกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น
งานแต่งของเธอกับหวังลู่เสียนในวันนั้นถูกยกเลิกไปแล้ว และอีกสามวันข้างหน้าเธอจะต้องเข้าพิธีแต่งงานกับ เสิ่นหนิงหลง ผู้ชายคนที่เธอเกลียดแสนเกลียด และยิ่งเกลียดชังเขามากขึ้น เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้
เธอถึงกับอาละวาดอย่างหนัก ทั้งกรีดร้อง ร่ำไห้ ไม่ยินยอมที่จะแต่งให้กับชายผู้นั้น เธอด่าทอต่อว่าเขามากมายจนไม่เหลือชิ้นดี ทั้งยังลงมือทุบตีเขาด้วยความคับแค้นใจ
คำพูดที่ชายคนรักเคยเอ่ยกับเธอเกี่ยวกับเสิ่นหนิงหลงหลั่งไหลเข้ามาในหัว เธอจึงปักใจเชื่อว่าเขาเป็นคนวางแผนทุกอย่างเพื่อที่จะทำลายความรักของเธอกับหวังลู่เสียน
เขาวางแผนเพื่อที่จะทำลาย ทำร้ายจิตใจคนรักของเธอ
เพราะเสิ่นหนิงหลงคือศัตรูคู่แค้นตั้งแต่วัยเยาว์ของหวังลู่เสียน ภายหลังยังต้องกลายมาเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน เขาจึงยิ่งเกลียดชังลูกติดของแม่เลี้ยงเข้ากระดูก เกลียดชังคนที่เขาคิดว่าเป็นคนแย่งชิงทุกอย่างไปจากตน ไม่ว่าจะเป็นบิดา และกิจการของตระกูลเสิ่นภายในเมืองที่หวังลู่เสียนบริหารจนเจริญรุ่งเรือง ทั้งที่ความจริงแล้วเป็นเสิ่นหนิงหลงเองต่างหากที่ไร้ความสามารถ เขาไม่เคยที่จะช่วยเหลือสิ่งใดเลยด้วยซ้ำ จะมากล่าวหาว่าผู้อื่นแย่งชิงของของตนได้อย่างไร
เป็นเสิ่นหนิงหลงที่วางแผนมาตั้งแต่ต้น เพื่อที่จะเอาคืนเธอและหวังลู่เสียน
เธออยากที่จะฆ่าเขาให้ตกตายด้วยมือของเธอเอง
เรื่องราวที่เกิดขึ้นนับเป็นเรื่องใหญ่ มีผู้คนที่มาร่วมงานในวันนั้นรู้เห็นเป็นพยานอีกหลายปาก หาใช่เรื่องที่เจิ้งซิงอีจะกระทำเอาแต่ใจได้ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ยินยอม หรือต่อต้านมากเพียงใดก็ตาม กลับไม่อาจทำสิ่งใดได้อีก เพราะเรื่องราวฉาวโฉ่นั้น ถูกใครบางคนกระจายข่าวไปทั่วทั้งหมู่บ้านแล้ว ในที่สุดเธอก็จำต้องแต่งให้กับเสิ่นหนิงหลงนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาชีวิตของเธอก็ตกอยู่ในวังวนแห่งความแค้น ความเกลียดชัง เธอมีชีวิตอยู่เพื่อทำลาย สามี ที่เธอไม่ต้องการผู้นั้น อยู่เพื่อทำให้ชีวิตของเขาพังพินาศเธอยอมทำได้ทุกอย่างถึงแม้ว่าสิ่งนั้นจะเลวร้ายแค่ไหนก็ตาม แต่หากมันทำให้อีกฝ่ายย่อยยับได้ เธอก็ยินดีและพร้อมที่จะทำแม้ใครจะเอ่ยห้ามหรือกล่าวตักเตือนอย่างไรเธอก็ไม่คิดที่จะรับฟัง ทั้งยังเลือกที่จะหันหลังให้กับทุกคนเธอทำร้ายอีกฝ่ายทุกทาง ทั้งคำพูด การกระทำ ทำร้ายร่างกาย ทำร้ายจิตใจ ทั้งยังเข้าบ่อนเล่นการพนัน เพื่อสร้างเรื่องเสื่อมเสีย จนสามีถูกปลดออกจากตำแหน่งงานที่กำลังก้าวหน้าของเขาแม้กระทั่งการทำลายเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง ไม่ยอมให้เขาได้ลืมตาขึ้นมาดูโลก เพราะเธอไม่มีวันยอมอุ้มท้องและคลอดลูกของคนที่เ
หลังจากที่เธอหมดสิ้นลมหายใจ เจิ้งซิงอีคิดว่าทุกอย่างคงจะจบสิ้นลงแล้วในชาติภพนี้ต่อจากนี้เธอคงต้องเดินทางไปชดใช้กรรมในสิ่งที่เคยก่อ และวิญญาณชั่วร้ายเช่นเธอคงไม่พ้นต้องตกนรกแต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อเธอไม่อาจที่จะไปไหนได้ กลายเป็นเพียงดวงวิญญาณที่ล่องลอย วนเวียนอยู่ในภพภูมินั้นหลังจากหมดลมหายใจไปแล้ว เธอคิดว่าความเจ็บปวดที่ได้รับเหล่านั้นจะจางหายแต่เธอกลับยิ่งต้องพบกับความเจ็บปวดทบทวี ทุกข์ทรมานเสียยิ่งกว่าตาย เพราะเธอต้องทนมองผลของการกระทำของตัวเธอเองบิดามารดาที่รักและถนอมเธอที่สุด ต้องอับอายกับคำติฉินนินทาของผู้คน เพราะการกระทำอันน่ารังเกียจของเธอ และตรอมใจกับการตายของเธอจนล้มป่วย ใบหน้าที่มักจะมีรอยยิ้มเมตตาอยู่เป็นนิจกลับเต็มไปด้วยความโศกเศร้าหม่นหมอง ร่างกายซูบผอมลงทุกวัน รอเวลาที่จะได้ตายตามบุตรสาวอันเป็นที่รักไปพี่ชายทั้งสามของเธอที่ต้องการทวงความยุติธรรมกับการตายที่คลุมเครือให้น้องสาวเช่นเธอ กลับถูกอีกฝ่ายเล่นงานจนแทบจะไร้ที่ซุกหัวนอนพี่ใหญ่เจิ้งโฮ่ว ถูกแจ้งข้อหาทำร้ายร่างกาย และพยายามฆ่า เพราะบุกเข้าไปทำร้ายร่างกายของหวังลู่เสียน ทั้งที่ฝ่ายนั้นบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย
เฮือก!!!เจิ้งซิงอีลืมตาขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก ภาพที่เสิ่นหนิงหลงถูกยิงตายไปต่อหน้าต่อตาทำให้เธอหวาดกลัวและรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากหญิงสาวรีบกวาดตามองหาร่างของชายหนุ่มที่เธอเห็นว่าเขานอนจมกองเลือดอยู่หน้าหลุมศพของเธออย่างร้อนรน แต่สิ่งที่เธอเห็นตอนนี้กลับทำให้เธอต้องนิ่งงันเมื่อพบว่าตอนนี้ตัวเธอกำลังอยู่บนเตียงเตาในห้องที่คุ้นเคย ห้องนี้เป็นห้องนอนของเธอในบ้านเจิ้ง หาใช่สุสานบนหุบเขาในหมู่บ้านไม่มีร่างไร้วิญญาณของเสิ่นหนิงหลง ไม่มีแม้แต่รอยเลือดสักหยด มีเพียงข้าวของที่กระจัดกระจายไร้ระเบียบ สภาพเตียงเตาที่เธอนั่งอยู่ดูยุ่งเหยิง ภายในห้องราวกับสมรภูมิรบแต่สิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจยิ่งกว่าคือเสียงเสียงหนึ่งที่เธอไม่ได้ยินมาเป็นเวลานาน ตอนนี้มันกลับกำลังดังขึ้นอีกครั้งตึกๆ ตึกๆ ตึกๆเธอได้ยินเสียงและรู้สึกถึงก้อนเนื้อที่กำลังเต้นอย่างบ้าคลั่งและรุนแรงอยู่ภายในอก นั่นทำให้เธอรู้สึกตื่นตะลึงจนต้องยกมือขึ้นทาบลงไปตรงตำแหน่งนั้น เธอมีหัวใจ และมันก็กลับมาเต้นอีกครั้งอย่างน่าอัศจรรย์"นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน"หญิงสาวกวาดตามองไปรอบๆ ตัวอีกครั้ง นี่คือห้องนอนของเธอไม่ผิดแน่ เมื่อลองหยิกเนื้อตั
หลังจากที่จัดการทุกอย่างจนเรียบร้อยดีแล้ว เจิ้งซิงอีจึงได้เดินออกมาจากห้อง หญิงสาวกวาดตามองและเดินสำรวจไปทั่วบริเวณบ้านด้วยความคิดถึง ในตอนนี้ไม่มีใครอยู่ในบ้านเพราะทุกคนต่างก็ออกไปทำงานกันหมด ภายในบ้านจึงค่อนข้างที่จะเงียบ เวลานี้ทั้งพ่อ แม่ พี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่คงจะกำลังตากแดดตากลมทำงานอยู่ในแปลงนา พี่รองและพี่สะใภ้รองคงวุ่นวายอยู่กับการเปิดร้านค้าจนหัวหมุน พี่สามก็คงประจำการอยู่ในค่ายทหารทำหน้าที่ที่เขารักและภาคภูมิใจ ส่วนหลานชายทั้งสองของเธอก็คงกำลังมีความสุขกับการได้ไปโรงเรียน เจิ้งซิงอียิ้มออกมาอย่างมีความสุขเมื่อคิดถึงทุกคนในครอบครัว ตอนนี้ทุกคนยังคงใช้ชีวิตอย่างดี แม้จะเหนื่อยแต่พวกเขาก็มีรอยยิ้มและมีความสุขกับชีวิตในตอนนี้ดีจริงๆ ที่เธอได้มีโอกาสได้ย้อนกลับมาในตอนที่ทุกอย่างยังไม่สายเกินไป และการได้กลับมาในครั้งนี้ เธอจะไม่ยอมให้ความสุขและรอยยิ้มของพวกเขาต้องหายไปอีกตอนนี้เป็นเวลาสายมากแล้วหญิงสาวจึงเดินเข้าไปในห้องครัว เพื่อเตรียมหุงหาอาหารให้กับทุกคน ทำในสิ่งที่ในชีวิตก่อนเธอไม่เคยคิดที่จะทำ หากเป็นเมื่อก่อน หน้าที่นี้คงจะเป็นของผู้เป็นแม่ พอใกล้จะเที่ยงแม่เจิ้งที่ทำ
"พี่คะ ฉันเอาอาหารมาให้ค่ะ""พี่หนิงหลง อาหารสำหรับพี่ค่ะ""สามี ฉันเอาอาหารมาให้คุณค่ะ"แค๊ก! แค๊ก!เจิ้งซิงอีสำลักน้ำลายตัวเองจนหน้าแดง รีบยกฝ่ามืออ่อนนุ่มขึ้นลูบหน้าลูบอก ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นเพราะความกระดากอาย เมื่อลองเอ่ยคำพูดเหล่านั้นออกมาตลอดเส้นทางที่เดินมาบ้านเสิ่น เธอเรียบเรียงคำพูดที่จะเอ่ยกับสามีเอาไว้มากมาย แต่กลับไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นพูดคุยกับอีกฝ่ายอย่างไรดี ไม่คิดว่าการพูดประโยคง่ายๆ เพียงหนึ่งประโยคจะยากเย็นถึงเพียงนี้ด้วยทุกครั้งที่ผ่านมาเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสามี เธอไม่เคยที่จะเอ่ยกับเขาก่อนเลยด้วยซ้ำ และแน่นอนว่าย่อมไม่เคยที่จะเอ่ยถ้อยคำเหล่านี้ด้วยเช่นกัน หากจะพูดด้วยก็มีเพียงแค่คำด่าทอ พูดจาหาเรื่องชวนทะเลาะคำพูดของเธอนั้นจะมีเพียงคำถากถาง จิกกัดและคำต่อว่าเท่านั้น ไม่มีคำพูดดีๆ เลยสักครั้ง คิดๆ ดูแล้วเธอจะพูดดีๆ กับเขาก็ในตอนที่ต้องการบางอย่างจากเขาเท่านั้น แต่คำพูดพวกนั้นก็ล้วนแต่เสแสร้งหาความจริงใจไม่เจอและท่าทีของเธอที่มีต่อผู้เป็นสามีก็มักจะเป็นการแสดงออกว่ารังเกียจ เมินเฉย และมักจะหลีกเลี่ยงเขาเสียด้วยซ้ำ จู่ๆ มาเดินเข้าไปพูดจาอ่อนหวาน ทั้งยังทำอาหารไปให้ อี
"มาทำอะไรที่นี่"น้ำเสียงอันคุ้นเคยที่ดังขึ้นจากด้านหลังทำให้เจิ้งซิงอีสะดุ้ง รู้ดีว่าเจ้าของเสียงทุ้มนั้นคือผู้ใดโดยที่ไม่ต้องหันกลับไปมอง หัวใจของเธอพลันเต้นแรงขึ้นราวกับจะทะลุออกมานอกอก เมื่อถึงเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายจริงๆเจิ้งซิงอีกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ รู้สึกประหม่าขึ้นมาเสียอย่างนั้น จนอยากจะแทรกกายหายไปจากตรงนี้ อย่างน้อยๆ ก็ขอไปตั้งหลักก่อน แต่เมื่อไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อย่างใจคิด จึงตัดสินใจหันกลับไปเผชิญหน้ากับเจ้าของเรือนกายสูงใหญ่กำยำเฉกเช่นชายชาติทหารภาพที่ปรากฏสู่สายตาทันทีที่หันกลับไปมองคือแผ่นอกกว้างของอีกฝ่าย เสื้อเนื้อบางสีเทาหม่นที่ชื้นเหงื่อ เปียกจนแนบเนื้อ มองเห็นเป็นรูปเป็นร่างแผงอกกำยำและยอดอกเด่นชัด จนอดไม่ได้ที่จะหลุบสายตามองต่ำลงไปกว่านั้นมัดกล้ามเนื้ออันทรงพลังของบุรุษเพศที่เรียงตัวสวยทำลมหายใจคนมองสะดุด ลำคอถึงกับแห้งผาก จนต้องรีบดึงสายตากลับขึ้นมาด้านบน แต่นั่นกลับไม่ได้ช่วยอันใดมากนัก เมื่อไล่สายตาไปตามลำคอแกร่ง และสันกรามคมชัดที่สื่อถึงความมั่นคง ริมฝีปากบางได้รูปรับกับจมูกโด่งเป็นสัน จนกระทั่งสบเข้ากับดวงตาสีสนิมเข้มดั่งดวงดาวในยามราตรี แฝงไว้ด้ว
เจิ้งซิงอีอ้าปากค้าง มองค้อนอีกฝ่ายตาแทบพลิกก่อนจะคว้าตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารเหล่านั้นเข้าปาก"ทีนี้จะกินได้หรือยัง"เสิ่นหนิงหลงมองสตรีที่ขึงตามองเขา ใบหน้าสวยงอง้ำอย่างไม่พอใจ แต่ดวงตากลมโตกลับปรากฏประกายแง่งอนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แม้ปฏิกิริยาเหล่านั้นจะทำให้หัวใจคันยุบยิบ กระนั้นความคลางแคลงสงสัยก็ยังคงไม่จางหาย เพราะนี่ไม่ใช่วิสัยปกติของคนเป็นภรรยา หากในยามปกติคาดว่าถ้อยคำแสลงหูคงได้หลุดออกมาจากปากเล็กๆ นั่น และอาหารบนโต๊ะคงได้ถูกเก็บกลับไปตั้งแต่เขาเอ่ยจบประโยคแล้วแต่ถึงแม้จะไม่รู้ว่าภรรยามีจุดประสงค์ใดที่มาทำดีด้วย เขาก็ไม่อยากให้เธอต้องรู้สึกขุ่นเคืองและอารมณ์เสียไปมากกว่านี้อีก เพราะอาจจะเป็นเขาเองที่ไม่อาจทนรับได้ไหว วาจาเชือดเฉือนที่ทำให้ต้องระเห็จมาที่นี่ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางยังทำให้ใจเจ็บและจุกไม่หาย หากถูกภรรยาแสดงฤทธิ์เดชใส่อีกรอบเขาคงได้หลั่งน้ำตาเป็นแน่ จึงยอมเดินไปล้างมือแล้วกลับมานั่งลงฝั่งตรงข้ามภรรยาแต่โดยดี แต่ภาพอาหารหน้าตาน่ากินบนโต๊ะทำให้เขาต้องแปลกใจอีกครั้งเจิ้งซิงอีขยับตัวอย่างอึดอัดรู้สึกใจแป้วขึ้นมาเมื่อคนตรงหน้าเอาแต่จ้องมองอาหารนิ่งไม่ยอมขยับตะเกียบเสียท
หลังจากมื้อเที่ยงที่ไม่เคยได้มีร่วมกันมาก่อนกับภรรยาจบลง เสิ่นหนิงหลงที่เฝ้าสังเกตพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของภรรยาคนงามก็ยิ่งเกิดความระแวงสงสัย เพราะเธอเปลี่ยนไปมากจริงๆ เปลี่ยนไปจนเขาคิดว่าคนตรงหน้าไม่ใช่ภรรยาของเขา เธอไม่ใช่เจิ้งซิงอีผู้หญิงเอาแต่ใจที่เขารู้จักถึงแม้ว่าท่าทางจะดูเหมือนปั้นปึ่ง ไม่ใส่ใจ นิ่งๆ เงียบๆ แต่เขาก็รู้ว่าเธอไม่ได้รู้สึกอย่างที่แสดงออกมา ดังคำกล่าวที่ว่า สายตาหลอกกันไม่ได้ตลอดมื้ออาหารสายตาของภรรยาที่มักจะเผลอไผลมองมานั้น มันทั้งรอคอยและเต็มไปด้วยความคาดหวังแม้ปากเล็กๆ นั้นจะปิดเงียบ แต่ดวงตาพราวระยับของเธอกลับกำลังส่งเสียงดังอร่อยใช่หรือไม่ ชมฉันสิ ชมฉันสิถึงแม้จะรู้สึกแบบนั้น แต่เขาก็ทำเพียงกินอาหารด้วยใบหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ ถึงมันจะอร่อยมากๆ ก็ตาม แต่เขาก็ไม่คิดจะเอ่ยปากชมให้เธอได้ใจหรอกเพราะรู้ดีว่าเธอมีจุดประสงค์แอบแฝง ภรรยามีบางอย่างในใจแน่ แต่เมื่อไม่อาจบังคับให้อีกฝ่ายพูดออกมาได้ในตอนนี้ว่าต้องการสิ่งใดจากเขา จึงได้แต่นิ่งเฉยเสีย ความอดทนของอีกฝ่ายใช่ว่าจะมีมากเสียเมื่อไหร่ ยิ่งการต้องมาทำดีกับเขา อีกฝ่ายไม่เคยที่จะฝืนใจทำได้นานเสียด้วยซ้ำ อีกไ
ริมฝีปากที่บดเบียดลงมาอย่างเร่าร้อน ปลายลิ้นชื้นที่สอดแทรกเข้ามาในโพรงปากอย่างกะทันหันทำให้เจิ้งซิงอีรู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่มันก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกวาบหวาม เธอปล่อยให้สามีตักตวงความหวานฉ่ำตามใจปรารถนาจูบนั้นยาวนานจนเจิ้งซิงอีแทบขาดใจเสิ่นหนิงหลงผละริมฝีปากออกจากเรียวปากนุ่มนิ่มอย่างเชื่องช้า หลังจากที่กวาดต้อนความหวานละมุนจนพอใจ สองมือใหญ่ยกขึ้นประคองใบหน้าเรียวเล็กแดงก่ำของคนที่กำลังหายใจหอบหนักเพราะถูกเขาช่วงชิงลมหายใจเอาไว้ มองสบนัยน์ตาหวานฉ่ำเยิ้มของภรรยา ลมหายใจร้อนระอุเป่ารดใบหน้างาม ปลายนิ้วโป้งใหญ่เกลี่ยริมฝีปากบวมเจ่อฉ่ำวาวด้วยหยาดน้ำใสแผ่วเบา "อีอี"เสียงทุ้มต่ำแหบพร่าเอ่ยเรียกคนเป็นภรรยาอย่างหลงใหลเขายอมรับจากใจเลยว่าทั้งรัก ทั้งหลง ทั้งคลั่งไคล้เธอ ลุ่มหลงจนโงหัวไม่ขึ้น"ขา สามี"นิ้วมือสากร้อนลากไล้ผิวแก้มของคนที่คลี่รอยยิ้มหวานส่งให้เขา ทั้งยังขานรับเสียงอ่อนหวาน กดปลายจมูกโด่งบนแก้มนุ่มกับความน่ารักน่าเอ็นดูนั้นไอร้อนผ่าวจากคนตัวสูงและแววตาลุ่มลึกของเขาทำให้เจิ้งซิงอีตัวสั่น สองแขนเรียวเกาะเกี่ยวไหล่กว้างของสามีเอาไว้แน่นเผยอปากรับ
"ขอบคุณนะคะ สามี"เจิ้งซิงอีอุบอิบบอกเจ้าของอ้อมแขนด้วยรอยยิ้มขัดเขินกับคำเรียกขานที่ตนใช้ ซุกใบหน้าที่แดงก่ำกับแผงอกกว้าง ถูไถปลายจมูกสูดดมกลิ่นกายที่เธอพึ่งจะค้นพบว่าเธอชอบมาก กระชับอ้อมแขนกอดอีกฝ่ายแน่นขึ้น ซึมซับความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยของอ้อมกอดของสามี"อืม"เสิ่นหนิงหลงหลับตาลงกดจมูกโด่งลงบนเส้นผมอ่อนนุ่มขานรับในลำคอ หัวใจของเขาเต้นระรัว อิ่มเอมไปด้วยความยินดี ริมฝีปากปรากฏรอยยิ้มอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ความสนใจทั้งหมดจดจ่ออยู่แต่กับคนในอ้อมแขนหญิงสาวผู้ที่อยู่ในใจของเขามาเนิ่นนาน ภรรยาของเขา"มันไม่ใช่ความฝันใช่ไหม"ชายหนุ่มกระซิบถามแผ่วเบาราวกับละเมอ แขนแข็งแรงกอดรัดร่างเล็กที่สูงแค่อกของเขาแน่นขึ้น ฝ่ามือใหญ่ลูบไล้แผ่วเบากับแผ่นหลังบอบบาง สัมผัสร่างนุ่มนิ่มหอมละมุนของภรรยาที่ขยับกายแนบชิดกับอกแกร่งของเขา สูดดมความหอมละมุนของเส้นผมดำขลับ และซึมซับถึงการเต้นของหัวใจที่ใกล้ชิดกัน เจิ้งซิงอีคลี่ยิ้มน้ำตาคลอเธอรู้ดีว่าสามีกำลังรู้สึกอย่างไร เธอไม่ได้ตอบเขาในทันทีหญิงสาวคลายอ้อมแขนออกจากเอวสอบของสามีแล้วเปลี่ยนเป็นยกขึ้นคล้องลำคอของเขาเอาไว้แทน แหงนเงยใบหน้าขึ้นมองปลายคางแกร่งด้วย
เสิ่นหนิงหลงมองใบหน้างามของภรรยาที่อยู่ห่างเพียงฝ่ามือกั้นอย่างเผลอไผล คล้ายดังภาพตรงหน้าเป็นความฝันอันเลือนราง เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าภรรยาจะอ่อนโยนต่อเขาถึงเพียงนี้ เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังล่องลอยอยู่เหนือเมฆหมอกนุ่มละมุน หัวใจของเขาเต้นระรัวกับความชิดใกล้และใส่ใจของภรรยาสายตาคู่งามของเธอกำลังกวาดมองไปทั่วใบหน้าของเขา ใช้ผ้าเช็ดหน้าที่มีกลิ่นหอมหวาน กลิ่นเฉพาะตัวของเธอที่เขาชื่นชอบ บรรจงเช็ดไปตามใบหน้าของเขาอย่างตั้งใจ สัมผัสนั้นอ่อนโยนราวกับสายลมอ่อนๆ ที่ไล้ไปบนผิวเนื้อ ให้ความรู้สึกเย็นสบายและผ่อนคลาย หากว่ากำลังฝัน นี่คงเป็นความฝันที่เขาไม่อยากตื่นเสิ่นหนิงหลงราวกับตกอยู่ในห้วงภวังค์ จ้องมองริมฝีปากอิ่มที่ขยับเอื้อนเอ่ยราวกับต้องมนต์สะกด"สะอาดแล้วค่ะ"เจิ้งซิงอีเอ่ยบอกคนที่เอาแต่จ้องมองเธอเสียงแผ่วเพราะความกระดากอายกับเรื่องน่าขายหน้าที่เกิดขึ้น เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงนิ่งเงียบ สายตาที่มองมาก็คล้ายจะอ่อนลง ภายในใจก็เกิดความคาดหวังขึ้นมา คิดใช้โอกาสนี้ปรับความเข้าใจกับผู้เป็นสามีเธอรวบรวมความกล้าใช้มือข้างหนึ่งที่สั่นน้อยๆ เพราะความตื่นเต้น คล้องลำคอแกร่งให้โน้มต่ำลงมา มืออีกข้
หลังจากมื้อเที่ยงที่ไม่เคยได้มีร่วมกันมาก่อนกับภรรยาจบลง เสิ่นหนิงหลงที่เฝ้าสังเกตพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของภรรยาคนงามก็ยิ่งเกิดความระแวงสงสัย เพราะเธอเปลี่ยนไปมากจริงๆ เปลี่ยนไปจนเขาคิดว่าคนตรงหน้าไม่ใช่ภรรยาของเขา เธอไม่ใช่เจิ้งซิงอีผู้หญิงเอาแต่ใจที่เขารู้จักถึงแม้ว่าท่าทางจะดูเหมือนปั้นปึ่ง ไม่ใส่ใจ นิ่งๆ เงียบๆ แต่เขาก็รู้ว่าเธอไม่ได้รู้สึกอย่างที่แสดงออกมา ดังคำกล่าวที่ว่า สายตาหลอกกันไม่ได้ตลอดมื้ออาหารสายตาของภรรยาที่มักจะเผลอไผลมองมานั้น มันทั้งรอคอยและเต็มไปด้วยความคาดหวังแม้ปากเล็กๆ นั้นจะปิดเงียบ แต่ดวงตาพราวระยับของเธอกลับกำลังส่งเสียงดังอร่อยใช่หรือไม่ ชมฉันสิ ชมฉันสิถึงแม้จะรู้สึกแบบนั้น แต่เขาก็ทำเพียงกินอาหารด้วยใบหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ ถึงมันจะอร่อยมากๆ ก็ตาม แต่เขาก็ไม่คิดจะเอ่ยปากชมให้เธอได้ใจหรอกเพราะรู้ดีว่าเธอมีจุดประสงค์แอบแฝง ภรรยามีบางอย่างในใจแน่ แต่เมื่อไม่อาจบังคับให้อีกฝ่ายพูดออกมาได้ในตอนนี้ว่าต้องการสิ่งใดจากเขา จึงได้แต่นิ่งเฉยเสีย ความอดทนของอีกฝ่ายใช่ว่าจะมีมากเสียเมื่อไหร่ ยิ่งการต้องมาทำดีกับเขา อีกฝ่ายไม่เคยที่จะฝืนใจทำได้นานเสียด้วยซ้ำ อีกไ
เจิ้งซิงอีอ้าปากค้าง มองค้อนอีกฝ่ายตาแทบพลิกก่อนจะคว้าตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารเหล่านั้นเข้าปาก"ทีนี้จะกินได้หรือยัง"เสิ่นหนิงหลงมองสตรีที่ขึงตามองเขา ใบหน้าสวยงอง้ำอย่างไม่พอใจ แต่ดวงตากลมโตกลับปรากฏประกายแง่งอนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แม้ปฏิกิริยาเหล่านั้นจะทำให้หัวใจคันยุบยิบ กระนั้นความคลางแคลงสงสัยก็ยังคงไม่จางหาย เพราะนี่ไม่ใช่วิสัยปกติของคนเป็นภรรยา หากในยามปกติคาดว่าถ้อยคำแสลงหูคงได้หลุดออกมาจากปากเล็กๆ นั่น และอาหารบนโต๊ะคงได้ถูกเก็บกลับไปตั้งแต่เขาเอ่ยจบประโยคแล้วแต่ถึงแม้จะไม่รู้ว่าภรรยามีจุดประสงค์ใดที่มาทำดีด้วย เขาก็ไม่อยากให้เธอต้องรู้สึกขุ่นเคืองและอารมณ์เสียไปมากกว่านี้อีก เพราะอาจจะเป็นเขาเองที่ไม่อาจทนรับได้ไหว วาจาเชือดเฉือนที่ทำให้ต้องระเห็จมาที่นี่ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางยังทำให้ใจเจ็บและจุกไม่หาย หากถูกภรรยาแสดงฤทธิ์เดชใส่อีกรอบเขาคงได้หลั่งน้ำตาเป็นแน่ จึงยอมเดินไปล้างมือแล้วกลับมานั่งลงฝั่งตรงข้ามภรรยาแต่โดยดี แต่ภาพอาหารหน้าตาน่ากินบนโต๊ะทำให้เขาต้องแปลกใจอีกครั้งเจิ้งซิงอีขยับตัวอย่างอึดอัดรู้สึกใจแป้วขึ้นมาเมื่อคนตรงหน้าเอาแต่จ้องมองอาหารนิ่งไม่ยอมขยับตะเกียบเสียท
"มาทำอะไรที่นี่"น้ำเสียงอันคุ้นเคยที่ดังขึ้นจากด้านหลังทำให้เจิ้งซิงอีสะดุ้ง รู้ดีว่าเจ้าของเสียงทุ้มนั้นคือผู้ใดโดยที่ไม่ต้องหันกลับไปมอง หัวใจของเธอพลันเต้นแรงขึ้นราวกับจะทะลุออกมานอกอก เมื่อถึงเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายจริงๆเจิ้งซิงอีกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ รู้สึกประหม่าขึ้นมาเสียอย่างนั้น จนอยากจะแทรกกายหายไปจากตรงนี้ อย่างน้อยๆ ก็ขอไปตั้งหลักก่อน แต่เมื่อไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อย่างใจคิด จึงตัดสินใจหันกลับไปเผชิญหน้ากับเจ้าของเรือนกายสูงใหญ่กำยำเฉกเช่นชายชาติทหารภาพที่ปรากฏสู่สายตาทันทีที่หันกลับไปมองคือแผ่นอกกว้างของอีกฝ่าย เสื้อเนื้อบางสีเทาหม่นที่ชื้นเหงื่อ เปียกจนแนบเนื้อ มองเห็นเป็นรูปเป็นร่างแผงอกกำยำและยอดอกเด่นชัด จนอดไม่ได้ที่จะหลุบสายตามองต่ำลงไปกว่านั้นมัดกล้ามเนื้ออันทรงพลังของบุรุษเพศที่เรียงตัวสวยทำลมหายใจคนมองสะดุด ลำคอถึงกับแห้งผาก จนต้องรีบดึงสายตากลับขึ้นมาด้านบน แต่นั่นกลับไม่ได้ช่วยอันใดมากนัก เมื่อไล่สายตาไปตามลำคอแกร่ง และสันกรามคมชัดที่สื่อถึงความมั่นคง ริมฝีปากบางได้รูปรับกับจมูกโด่งเป็นสัน จนกระทั่งสบเข้ากับดวงตาสีสนิมเข้มดั่งดวงดาวในยามราตรี แฝงไว้ด้ว
"พี่คะ ฉันเอาอาหารมาให้ค่ะ""พี่หนิงหลง อาหารสำหรับพี่ค่ะ""สามี ฉันเอาอาหารมาให้คุณค่ะ"แค๊ก! แค๊ก!เจิ้งซิงอีสำลักน้ำลายตัวเองจนหน้าแดง รีบยกฝ่ามืออ่อนนุ่มขึ้นลูบหน้าลูบอก ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นเพราะความกระดากอาย เมื่อลองเอ่ยคำพูดเหล่านั้นออกมาตลอดเส้นทางที่เดินมาบ้านเสิ่น เธอเรียบเรียงคำพูดที่จะเอ่ยกับสามีเอาไว้มากมาย แต่กลับไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นพูดคุยกับอีกฝ่ายอย่างไรดี ไม่คิดว่าการพูดประโยคง่ายๆ เพียงหนึ่งประโยคจะยากเย็นถึงเพียงนี้ด้วยทุกครั้งที่ผ่านมาเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสามี เธอไม่เคยที่จะเอ่ยกับเขาก่อนเลยด้วยซ้ำ และแน่นอนว่าย่อมไม่เคยที่จะเอ่ยถ้อยคำเหล่านี้ด้วยเช่นกัน หากจะพูดด้วยก็มีเพียงแค่คำด่าทอ พูดจาหาเรื่องชวนทะเลาะคำพูดของเธอนั้นจะมีเพียงคำถากถาง จิกกัดและคำต่อว่าเท่านั้น ไม่มีคำพูดดีๆ เลยสักครั้ง คิดๆ ดูแล้วเธอจะพูดดีๆ กับเขาก็ในตอนที่ต้องการบางอย่างจากเขาเท่านั้น แต่คำพูดพวกนั้นก็ล้วนแต่เสแสร้งหาความจริงใจไม่เจอและท่าทีของเธอที่มีต่อผู้เป็นสามีก็มักจะเป็นการแสดงออกว่ารังเกียจ เมินเฉย และมักจะหลีกเลี่ยงเขาเสียด้วยซ้ำ จู่ๆ มาเดินเข้าไปพูดจาอ่อนหวาน ทั้งยังทำอาหารไปให้ อี
หลังจากที่จัดการทุกอย่างจนเรียบร้อยดีแล้ว เจิ้งซิงอีจึงได้เดินออกมาจากห้อง หญิงสาวกวาดตามองและเดินสำรวจไปทั่วบริเวณบ้านด้วยความคิดถึง ในตอนนี้ไม่มีใครอยู่ในบ้านเพราะทุกคนต่างก็ออกไปทำงานกันหมด ภายในบ้านจึงค่อนข้างที่จะเงียบ เวลานี้ทั้งพ่อ แม่ พี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่คงจะกำลังตากแดดตากลมทำงานอยู่ในแปลงนา พี่รองและพี่สะใภ้รองคงวุ่นวายอยู่กับการเปิดร้านค้าจนหัวหมุน พี่สามก็คงประจำการอยู่ในค่ายทหารทำหน้าที่ที่เขารักและภาคภูมิใจ ส่วนหลานชายทั้งสองของเธอก็คงกำลังมีความสุขกับการได้ไปโรงเรียน เจิ้งซิงอียิ้มออกมาอย่างมีความสุขเมื่อคิดถึงทุกคนในครอบครัว ตอนนี้ทุกคนยังคงใช้ชีวิตอย่างดี แม้จะเหนื่อยแต่พวกเขาก็มีรอยยิ้มและมีความสุขกับชีวิตในตอนนี้ดีจริงๆ ที่เธอได้มีโอกาสได้ย้อนกลับมาในตอนที่ทุกอย่างยังไม่สายเกินไป และการได้กลับมาในครั้งนี้ เธอจะไม่ยอมให้ความสุขและรอยยิ้มของพวกเขาต้องหายไปอีกตอนนี้เป็นเวลาสายมากแล้วหญิงสาวจึงเดินเข้าไปในห้องครัว เพื่อเตรียมหุงหาอาหารให้กับทุกคน ทำในสิ่งที่ในชีวิตก่อนเธอไม่เคยคิดที่จะทำ หากเป็นเมื่อก่อน หน้าที่นี้คงจะเป็นของผู้เป็นแม่ พอใกล้จะเที่ยงแม่เจิ้งที่ทำ
เฮือก!!!เจิ้งซิงอีลืมตาขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก ภาพที่เสิ่นหนิงหลงถูกยิงตายไปต่อหน้าต่อตาทำให้เธอหวาดกลัวและรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากหญิงสาวรีบกวาดตามองหาร่างของชายหนุ่มที่เธอเห็นว่าเขานอนจมกองเลือดอยู่หน้าหลุมศพของเธออย่างร้อนรน แต่สิ่งที่เธอเห็นตอนนี้กลับทำให้เธอต้องนิ่งงันเมื่อพบว่าตอนนี้ตัวเธอกำลังอยู่บนเตียงเตาในห้องที่คุ้นเคย ห้องนี้เป็นห้องนอนของเธอในบ้านเจิ้ง หาใช่สุสานบนหุบเขาในหมู่บ้านไม่มีร่างไร้วิญญาณของเสิ่นหนิงหลง ไม่มีแม้แต่รอยเลือดสักหยด มีเพียงข้าวของที่กระจัดกระจายไร้ระเบียบ สภาพเตียงเตาที่เธอนั่งอยู่ดูยุ่งเหยิง ภายในห้องราวกับสมรภูมิรบแต่สิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจยิ่งกว่าคือเสียงเสียงหนึ่งที่เธอไม่ได้ยินมาเป็นเวลานาน ตอนนี้มันกลับกำลังดังขึ้นอีกครั้งตึกๆ ตึกๆ ตึกๆเธอได้ยินเสียงและรู้สึกถึงก้อนเนื้อที่กำลังเต้นอย่างบ้าคลั่งและรุนแรงอยู่ภายในอก นั่นทำให้เธอรู้สึกตื่นตะลึงจนต้องยกมือขึ้นทาบลงไปตรงตำแหน่งนั้น เธอมีหัวใจ และมันก็กลับมาเต้นอีกครั้งอย่างน่าอัศจรรย์"นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน"หญิงสาวกวาดตามองไปรอบๆ ตัวอีกครั้ง นี่คือห้องนอนของเธอไม่ผิดแน่ เมื่อลองหยิกเนื้อตั