กู้หยุนหลานรู้สึกว่าหลี่โม่กำลังใช้ทฤษฎีสมคบคิดมาประเมินครัฟต์ ไม่ว่าจะพูดยังไงครัฟต์ก็เป็นผู้บริหารของบริษัทที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ ไม่จำเป็นต้องบินมาเป็นพัน ๆ ไมล์เพื่อหลอกตระกูลกู้หรอก หลี่โม่ไม่ได้พูดอะไรมากอีก ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมจะบอกเรื่องทุกอย่างกับกู้หยุนหลาน ครัฟต์เป็นเพียงเบี้ยตัวเล็ก ๆ ที่ราชินีมังกรวางก่อนมาเยือนกรุงโซลเท่านั้น ถึงตอนที่ราชินีมังกรมาถึงแล้ว เรื่องราวจะเปลี่ยนไปอย่างไร หลี่โม่ไม่อาจคาดการณ์ได้เลย ความแตกต่างด้านพลังอำนาจกับราชินีมังกรนั้นมีมากเกินไป ถึงอย่างไรราชินีมังกรก็อยู่ที่แดนมังกรมาหลายสิบปี ในช่วงเวลาเหล่านั้นก็ได้บ่มเพาะกำลังของตนเอาไว้จำนวนมาก ส่วนหลี่โม่นั้นได้ออกจากแดนมังกรมานาน เขาจึงไม่มีอิทธิพลต่อแกนกลางของแดนมังกรเลยแม้แต่น้อย นอกจากคุณธรรมและชื่อเสียงที่มีแล้ว หลี่โม่ก็ไม่มีอะไรอยู่ที่แดนมังกรอีกแล้ว การขาดกำลังของตนเอง นั่นคือจุดบกพร่องที่ใหญ่ที่สุดของหลี่โม่ เมื่อครุ่นคิดถึงเรื่องของราชินีมังกร หลี่โม่ก็เหม่อค้างไปเล็กน้อย หลังจากนั้นพักใหญ่กู้หยุนหลานจึงเขย่าหลี่โม่เบา ๆ ทำให้หลี่โม่ได้สติกลับมา “คิดอะไรอยู่น่ะ
กู้ซิ่งเหว่ยพูดขึ้นอย่างค่อนข้างตื่นเต้น “เป็นความคิดที่ดี เดี๋ยวฉันจะติดต่อไปอีกที” กู้ชิงหลินโทรหาเพื่อนสนิทอีกครั้ง ก่อนจะส่ายหน้าอย่างผิดหวัง “เพื่อนสนิทฉันบอกว่าแบบนั้นมันน่าขายหน้าเกินไป เลยไม่ตกลงด้วย” “เฮ้อ อย่างนั้นก็รอฟังเรื่องราวเถอะ พรุ่งนี้ค่อยฟังให้เต็มที่ว่าพวกมันถูกฉีกหน้ายังไงก็แล้วกัน” ...... นอกรอยัลพาเลซเต็มไปด้วยรถหรู แผนกต้อนรับส่วนหน้าได้หยุดให้บริการตั้งแต่ช่วงบ่ายเพื่อเตรียมการสำหรับงานเลี้ยงอันยิ่งใหญ่ในค่ำคืนนี้ รถหรูจำนวนไม่น้อยต่างติดป้ายทะเบียนของเมืองหลวง เหล่าคนดังและเศรษฐีน้อยที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าหรูหราหลากหลายสไตล์ค่อย ๆ ทยอยกันเข้ามาในรอยัลพาเลซ กลุ่มเศรษฐีน้อยของเมืองหลวงรวมตัวกัน มองดูเหล่าลูกเศรษฐีจากกรุงโซลที่นำโดยหวงจื่อซวนด้วยสายตาเหยียดหยาม หวงจื่อซวนเชื่อมสัมพันธ์กับลูกเศรษฐีของเมืองหลวงอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน และพยายามแทรกตัวเข้าไปในแวดวงชั้นสูง ไม่นานเรื่องของคุณชายซูก็กลายเป็นประเด็นสนทนาของทุกคน สำหรับเรื่องเรือคว่ำในคูน้ำที่กรุงโซลของคุณชายซูนั้นทำให้เหล่าลูกเศรษฐีของเมืองหลวงไม่ค่อยพอใจนัก ในครั้งนี้เหล่าลูกเศรษฐีของเมือ
“หลี่โม่? ทำไมรู้สึกคุ้นขนาดนี้นะ?” หวงจื่อซวนนำกลุ่มลูกเศรษฐีเดินไปทางประตูของปราสาท เตรียมที่จะไปดักรอหลี่โม่ที่ทางเข้า เน็ตไอดอลสาวสวยที่อยู่ข้างกายหวงจื่อซวนพูดขึ้น “ที่รัก ลืมเรื่องที่ฉันบอกคุณเมื่อกี้นี้แล้วเหรอ เพื่อนสนิทของฉันกู้ชิงหลินก็ขอให้คุณจัดการเจ้าหลี่โม่กับกู้หยุนหลานด้วยไงคะ” “จริงสิ ถึงว่าทำไมถึงได้คุ้นขนาดนี้ งั้นก็รีบบอกรายละเอียดของหลี่โม่นั่นมาเร็ว ๆ สิ” “หลี่โม่เป็นลูกเขยของตระกูลกู้ เจ้านั่นเป็นแค่คนไร้ประโยชน์ ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ก็แค่เกาะผู้หญิงกินไปวัน ๆ ภรรยาของเขากู้หยุนหลานเองก็ไม่ใช่พวกจู้จี้จุกจิก หล่อนนอนกับคนอื่นเพื่อเซ็นสัญญา แล้วยังแสร้งทำตัวเหมือนใสซื่อบริสุทธิ์อย่างนั้น” เพื่อนสนิทของกู้ชิงหลินปั้นแต่งเรื่องของกู้หยุนหลานและหลี่โม่ขึ้นมา หวงจื่อซวนลูบคางฟังอย่างถี่ถ้วน สีหน้าก็พลันงุนงงสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย “แต่ไอ้ขยะพรรค์นั้นสามารถทำให้คุณชายซูตกม้าตายได้เชียวเหรอ? ทำไมฉันถึงรู้สึกว่ามันแปลก ๆ เป็นคนที่ชื่อนามสกุลเหมือนกันหรือเปล่า” หวงจื่อซวนเอ่ยอย่างเคลือบแคลงสงสัย “ที่รักคะ คุณจะคิดมากขนาดนั้นไปทำไมกัน อีกเดี๋ยวเราจับไอ้หมอนั่น
กู้หยุนหลานตั่วสั่นสะท้านด้วยความโกรธเกรี้ยว หลี่โม่หรี่ตาลงเล็กน้อย เขาก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่งแล้วเหวี่ยงฝ่ามือตบหน้าหวังชิงชิง เพียะ เพียะ เพียะ หลี่โม่ใช้ฝ่ามือสลับกับหลังมือตบหน้าหวังชิงชิงอย่างโหดเหี้ยม ใบหน้าเน็ตไอดอลที่ทำศัลยกรรมเติมแต่งด้วยฟิลเลอร์ของหวังชิงชิงพลันถูกตบจนราวกับประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ก็ไม่ปาน รุนแรงเสียจนทำให้ไม่กล้ามองตรง ๆ เลยทีเดียว “อ๊า! แกกล้าดียังไงมาตบหน้าฉัน ที่รัก เห็นไหมว่ามันตบฉัน คุณต้องช่วยฉันแก้แค้นมันนะ!” หวังชิงชิงดึงรั้งหวงจื่อซวนทั้งน้ำตานองหน้า หวงจื่อซวนเหลือบมองใบหน้าที่เละเทะเหมือนโดนรถชนมาของหวังชิงชิง ก็พลันรู้สึกสยดสยองขึ้นมา สะเทือนอารมณ์ยิ่งกว่าดูหนังสยองขวัญเสียอีก หวงจื่อซวนสะบัดมือของเธอออกอย่างแรง แล้วพูดอย่างหงุกหงิด “ปล่อยมือซะ ถ้าเธอดึงฉันไว้แล้วฉันจะแก้แค้นให้เธอได้ยังไงเล่า!” หวังชิงชิงปล่อยมือออก รู้สึกว่าใบหน้าปวดร้าวไปหมด เธอสัมผัสใบหน้าของตัวเองเบา ๆ รู้สึกเหมือนใบหน้ามีบางอย่างผิดปกติจึงรีบหยิบกระจกออกมาส่องดู เมื่อเห็นภาพในกระจก หวังชิงชิงก็โพล่งขึ้นมาอย่างตื่นตระหนก “กรี๊ด! นี่ นี่มันใครกันเนี่ย!”
“คุณชายหม่า? มันคือตัวอะไรล่ะ ฉันไม่เห็นเคยได้ยิน” หลี่โม่เอ่ยอย่างเรียบเฉย หวงจื่อซวนและคนอื่น ๆ ต่างตกตะลึงไปชั่วขณะ ไม่นึกว่าท่าทีของหลี่โม่จะแข็งกร้าวถึงขนาดเรียกคุณชายหม่าว่าตัวอะไรเช่นนี้ “ฮ่าฮ่า แกนี่มันปากดีนักนะ รอฉันเรียกคุณชายหม่ามาจัดการแกก่อนเถอะ” หวงจื่อซวนทิ้งคำพูดไว้แล้วหมุนตัวเดินไปทันทีโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง “พี่ซวน พวกเราจะไปแล้วเหรอ?” ลูกเศรษฐีคนหนึ่งถามขึ้นอย่างไม่พอใจ “ถ้านายไม่อยากไปจะกลับไปต่อยมันก็ได้นะ แต่นายจะทำร้ายมันได้เหรอ ไม่เห็นหรือยังไงว่ามันตบหวังชิงชิงไปขนาดไหน มันต้องเคยฝึกวิชามาแน่ นอกจากนี้คุณชายซูแห่งเมืองหลวงก็ยังเสียท่าให้มันมาแล้ว พวกเราควรจะระมัดระวังให้ดีถึงจะปลอดภัย ให้คุณชายหม่าออกหน้าต่อกรกับมันไปดีกว่า” หวงจื่อซวนค่อนข้างรู้สึกหวาดหวั่น เมื่อดูจากข่าวต่าง ๆ แล้ว หวงจื่อซวนรู้สึกว่าบางทีเรื่องนี้อาจไม่ธรรมดา บางครั้งต้องขี้ขลาดสักหน่อยถึงจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่น ไม่นานหวงจื่อซวนก็หาหม่าเจียเฉิงเจอ หม่าเจียเฉิงพร้อมด้วยเหล่าเศรษฐีน้อยของเมืองหลวงกำลังอยู่ด้วยกันกับเซเลบสาวสวยกลุ่มหนึ่ง “คุณชายหม่า เจ้าหลี่โม่นั่นมาแล
"พวกคุณคิดว่าคุณชายหม่ามาที่นี่เพื่อล้างแค้นให้คุณชายซูหรือเปล่า ฉันได้ยินมาว่าคุณชายซูเกิดเรื่องขึ้นที่โซล"ในขณะที่ทุกคนกำลังกระซิบกระซาบกัน คุณชายหม่าก็ก้าวไปข้างหน้าและเดินไปยังเบื้องหน้าของหลี่โม่ “ขยะอย่างแกวางแผนทำร้ายเสี่ยวซูของเราได้ยังไง เรื่องนี้แกต้องอธิบายมาให้ชัดเจนซะก่อน” คุณชายหม่าจ้องเขม็งที่หลี่โม่และพูดอย่างชั่วร้าย ตระกูลซูเก็บความจริงของเรื่องนี้เป็นความลับอย่างสมบูรณ์ แม้แต่หม่าเจียเฉิงเองก็ไม่รู้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นคุณชายหม่าจึงสงสัยอย่างมากว่าหลี่โม่ทำให้ตระกูลซูขวัญหนีดีฝ่อจนเนรเทศคุณชายซูออกไปได้อย่างไร เขารู้สึกว่ามันแปลกประหลาดมาก ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อวิเคราะห์จากข่าวที่หม่าเจียเฉิงได้รับมา มีผู้มีอำนาจจากชนชั้นสูงกำลังกำราบตระกูลซูอยู่ แต่ลูกเขยของตระกูลเล็ก ๆ ในกรุงโซลอย่างหลี่โม่ จะไปสามารถทำถึงขั้นนั้นได้อย่างไร หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง "นายก็อยากเป็นเหมือนเขาด้วยงั้นเหรอ? ลองสัมผัสด้วยตัวเองสักหน่อยเดี๋ยวก็รู้เอง" “ไอ้บัดซบ! หาเรื่องตายนะแก!” หม่าเจียเฉิงเงื้อมือขึ้นสูง เตรียมจะตบหน้าของหลี่โม่ แต่ก่อนที่มือของหม่าเจียเฉิงจะพุ่
หม่าเจียเฉิงถูกบอดี้การ์ดดึงขึ้นมาจากพื้น เขาจ้องมองหลี่โม่อย่างแค้นเคืองและค่อนข้างจนตรอก “แกอวดดีนักนะไอ้เวร! อย่านึกว่ามีพวกฝรั่งคอยคุ้มครอง แล้วแกจะมาเที่ยววางอำนาจได้นะโว้ย ที่นี่ไม่ใช่ถิ่นของพวกต่างชาติ!” ขณะบอดี้การ์ดกำลังจะคุมตัวหม่าเจียเฉิงออกไป หม่าเจียเฉิงก็มองไปทางพวกคุณชายเศรษฐีที่เป็นลูกสมุนเหล่านั้น “ไอ้พวกไร้ประโยชน์! รีบโทรเรียกคนมาสิวะ แค้นนี้ต้องได้ชำระกันวันนี้ แกปล่อยฉันนะโว้ย ไม่อย่างนั้นคนของฉันจะไม่เกรงใจแกแน่!” เหล่าคุณชายเศรษฐีของเมืองหลวงต่างได้สติขึ้นมา แล้วพากันเข้ามาล้อมบอดี้การ์ดที่คุมหม่าเจียเฉิงเอาไว้ ต้องการจะช่วยหม่าเจียเฉิงออกมา และยังมีสองสามคนที่เดินไปอีกด้านหนึ่งหยิบมือถือออกมาโทรศัพท์ไม่หยุด บอดี้การ์ดของครัฟต์เองก็ค่อนข้างหนักใจอยู่บ้าง สถานการณ์แบบนี้มันก็เกินขอบเขตความสามารถของเขา หากต้องรับมือกับคนคนเดียว บอดี้การ์ดก็ยังกล้าแสดงอำนาจบาตรใหญ่ได้อยู่ แต่หากต้องรับมือกับแขกผู้มีเกียรติที่ได้รับเชิญมาทั้งกลุ่ม บอดี้การ์ดก็ไม่มีความกล้าหาญมากขนาดนั้นจริง ๆ กู้หยุนหลานดึงแขนหลี่โม่แล้วเอ่ยเสียงเบา “พวกเรากลับกันก่อนดีกว่าไหมคะ เรื่องราวต้
"หยุด! นี่พวกคุณกำลังทำอะไร!" ครัฟต์ตวาดเสียงดัง หลังจากสิ้นเสียงของครัฟต์ บอดี้การ์ดกลุ่มหนึ่งก็พุ่งเข้าไปกวัดแกว่งกระบองไฟฟ้าใส่พวกของหม่าเจียเฉิงราวกับหมาล่าเนื้อ “พวกคุณอย่ามายุ่งไม่เข้าเรื่อง เรื่องระหว่างพวกเรา เราจัดการเองได้ พวกคุณไปนั่งดูอยู่เฉย ๆ ซะเถอะ” “อย่านึกพวกต่างชาติอย่างพวกแกจะเก่งนักนะ ถ้าพวกแกกล้าไม่เคารพพวกเราจริงๆ อีกเดี๋ยวจะพวกแกจะได้เห็นดีกันแน่!” พวกคุณชายเศรษฐีตะโกนใส่บอดี้การ์ดที่พุ่งเข้ามา เมื่อมีกลุ่มโจรเป็นไพ่ตาย พวกคุณชายเศรษฐีก็มีความมั่นใจขึ้นมาว่าตนแข็งแกร่งอยู่ไม่น้อย หม่าเจียเฉิงมองหลี่โม่ด้วยรอยยิ้มเย็นเยียบ "ไอ้ขยะ แกนี่ไม่เลวเลยนะ แกคิดว่าตัวเองได้คบค้ากับพวกต่างชาติแล้วจะอยู่เหนือกว่าคนอื่นงั้นสินะ? ฉันจะบอกให้ว่ามันไม่มีทาง วันนี้แกต้องคุกเข่าและเลียรองเท้าของฉันซะ” ไม่ทันที่หลี่โม่จะตอบกลับ หม่าเจียเฉิงก็พาพวกคุณชายเศรษฐีเดินไปหาครัฟต์ พวกบอดี้การ์ดของครัฟต์ตั้งแถวเป็นขบวนทัพ จ้องเขม็งไปที่พวกหม่าเจียเฉิงอย่างดุร้าย หวงจื่อซวนย่องพาพวกลูกเศรษฐีของกรุงโซลหลบไปอีกด้าน และปะปนกับพวกเซเลบสาว ด้วยสถานการณ์ที่ใหญ่โตขึ้นเรื่อย ๆ หว
คังหย่งอันกดหมายเลขของคังหย่งเฉียน แล้วพูดเสียงเข้ม "หย่งเฉียน ฉันได้ยินมาว่า แกกับเหวินซินมีปัญหากันเรื่องวิลล่าบนยอดเขาเหรอ?" “พี่ใหญ่ มีปัญหากันน่ะสิ ศิษย์พี่เกิ่งยังถูกทำร้ายจนเข่าหักแล้ว! ศิษย์พี่เกิ่งติดต่อกับอาจารย์โอวหยางไปแล้ว เรื่องนี้อภัยให้ไม่ได้แน่นอน!” คังหย่งเฉียนโกรธแค้นคังเหวินซิน ถ้าไม่ใช่เพราะคังเหวินซินพาหลี่โม่ไปที่นั่น เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว คังหย่งเฉียนเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทำได้เพียงเอาความโมโหไปลงที่คังเหวินซินเท่านั้น “หย่งเฉียน ไม่ว่ายังไงก็ตาม แกต้องรับรองความปลอดภัยของเหวินซิน ฉันไม่สนว่า อาจารย์โอวหยางพวกเขาจะทำอะไรกับเพื่อนของเหวินซิน แต่พวกเขาจะทำร้ายเหวินซินไม่ได้เด็ดขาด!” “พี่ใหญ่ ฉันไม่กล้ารับประกันหรอก รับประกันได้แค่ลูกชายของพี่จะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงตายเท่านั้น ถ้าอาจารย์โอวหยางต้องการลงโทษลูกชายของพี่จริง ๆ ฉันจะไปขวางได้ยังไง ฉันขวางไม่ได้หรอก ไม่กล้าขวางด้วย!" คังหย่งอันขมวดคิ้วแน่น หากคังหย่งเฉียนอยู่ต่อหน้าคังหย่งอันในตอนนี้ คังหย่งอันจะต้องตบเขาให้ตายคามือแน่นอน “หย่งเฉียน! แกเป็นอาข
“ไอ้บัดซบเอ๊ย! ใครกล้ามาต่อกรกับฉันโอวหยางจื้อ มันผู้นั้นจะต้องตาย!” โอวหยางจื้อพึมพำอย่างด้วยความอาฆาตแค้น แล้วสั่งให้ลูกศิษย์ไปจองตั๋วเครื่องบิน ...... คังเหวินซินมาส่งหลี่โม่และคนอื่น ๆ ที่บ้าน หลังจากมองดูทั้งสามเดินเข้าไปข้างในแล้ว จึงสตาร์ทรถและขับออกไปอย่างช้า ๆ “อาเล็กถูกจัดการจนหมดท่าแล้ว ต้องบอกพ่อสักคำไหมนะ อาเล็กจะได้ไปตีไข่ใส่สีอีก” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง คังเหวินซินก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดหมายเลขพ่อของเขาคังหย่งอัน “ฮัลโหล พ่อครับ ผมเพิ่งจะขายวิลล่าบนยอดเขาที่สวนหนานชุ่ยให้เพื่อผมไป ขายราคาต้นทุนน่ะครับ” คังหย่งอันขมวดคิ้ว "นั่นเป็นวิลล่าที่อาเล็กของแกจะเอาไม่ใช่เหรอ แกเอาไปให้เพื่อนได้ยังไง? ผู้จัดการฝ่ายขายว่ายังไงบ้าง?" คังเหวินซินอึ้งครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความผิดปกติในคำพูดของคังหย่งอัน "พ่อ พ่อรู้ได้ยังไงว่าอาเล็กอยากได้วิลล่านั่น?” “อาเล็กของแกเคยบอกพ่อว่า วิลล่าหลังนั้นเป็นของขวัญที่เขาจะเก็บไว้ให้กับปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ในต่างประเทศโอวหยางจื้อ แกคงเคยได้ยินเกี่ยวกับโอวหยางจื้อมาบ้างใช่ไหม? เขาเคยรับหน้าที่เป็นผู้กำกับฉากแอ็คชั่นให้กับภาพย
ในแผนกดูแลพิเศษของโรงพยาบาล คังหย่งเฉียนและคนอื่น ๆ นั่งล้อมรอบเตียง มองดูพี่เกิ่งค่อย ๆ ฟื้นคืนสติ เข่าที่หักของพี่เกิ่งได้รับการผ่าตัดแล้ว แต่หลังการผ่าตัด พี่เกิ่งจะได้แต่นั่งอยู่บนรถเข็นเท่านั้น “ซี๊ด ขากับเข่าฉันเป็นยังไงบ้าง?” พี่เกิ่งถามอย่างร้อนใจ “ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวล ผ่าตัดเสร็จแล้ว เพียงแต่ระดับการรักษาของที่นี่ยังต่ำไปหน่อย หลังจากฟื้นตัวแล้วพี่ต้องนั่งรถเข็น” คังหย่งเฉียนพูดเสียงเบาหวิว “ไอ้บัดซบ! ฉันไม่อยากนั่งรถเข็น! ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้!” พี่เกิ่งคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว รู้สึกเลวร้ายไปทั้งร่างกาย ชีวิตบนรถเข็น ไม่ใช่ชีวิตที่พี่เกิ่งต้องการเลย ถ้าต้องนั่งรถเข็นแล้ว ต่อไปจะฝึกศิลปะการต่อสู้ หรือออกไปรังแกคนอื่นอย่างไร แล้วจะไปจีบสาว ๆ ได้อย่างไร! “ฉันจะย้ายโรงพยาบาล ฉันจะไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุด!” “พี่เกิ่งอย่าเพิ่งตื่นตูม หมอบอกว่า รอพี่ฟื้นตัวดีแล้ว ก็สามารถทำการผ่าตัดครั้งที่สองในโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้เพื่อเปลี่ยนข้อต่อเทียมได้” คังหย่งเฉียนปลอบใจพี่เกิ่งไปพลางก็ขยิบตาให้กับพวกพี่น้องคนอื่น ๆ ส่งสัญญาณให้พวกเขารีบมาช่วยกันโน้มน้าว ศิษย์พี่ห
พี่เกิ่งร้องโหยหวนออกมา รู้สึกว่าขาซ้ายพลิกกลับไปด้านหลัง พลันสูญเสียการทรงตัวและล้มหงายไปข้างหลังทันที พลั่ก พี่เกิ่งล้มหงายลงกับพื้น ปากก็ร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา คังหย่งเฉียนถูกกระตุ้นด้วยเสียงร้องของพี่เกิ่งจนตัวสั่นไปทั้งตัว เสียงวิ้ง ๆ ที่ดังอยู่ในหัวยิ่งชัดเจนขึ้นมาทันใด คังหย่งเฉียนกุมใบหน้าที่บวมแดงไปครึ่งหนึ่งมองไปทางศิษย์พี่เกิ่ง ดวงตาของคังหย่งเฉียนก็แทบจะหลุดออกจากเบ้า ศิษย์พี่เกิ่งที่คังหย่งเฉียนเคยคิดว่า แข็งแกร่งไร้เทียมทานนั้น ตอนนี้กำลังร้องคร่ำครวญราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังจะตาย เมื่อมองขาขวาของพี่เกิ่งหักงอในองศาที่ผิดธรรมชาติ คังหย่งเฉียนก็รู้สึกว่า เลือดทั่วร่างกายเย็นเฉียบขึ้นมา นี่เป็นเรื่องที่มนุษย์สามารถทำได้อย่างนั้นเหรอ? นี่เป็นผลลัพธ์ที่สามารถใช้กำปั้นทำได้เหรอ? นี่มันซูเปอร์ไซย่าในตำนานหรืออย่างไรกัน?! พวกศิษย์น้องของพี่เกิ่งหลายคนต่างหวาดกลัวกับความเผด็จการของหลี่โม่ ทั้งกลุ่มพลันหมดความโอหังไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาลากพี่เกิ่งขึ้นมาจากพื้นแล้ววิ่งตะบึงออกไปข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่คำพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้คือศิษย์
คังเหวินซินรออยู่สามวินาที แต่ละวินาทีราวกับยาวนานเป็นปี รออยู่นานฝ่ามือของพี่เกิ่งก็ยังไม่ตบลงมาสักที คังเหวินซินจึงลืมตาขึ้น เมื่อเอียงหน้ามองเห็นฝ่ามือของพี่เกิ่งอยู่ห่างจากหน้าตนแค่เฉียดฉิว หัวใจของคังเหวินซินแทบจะกระโดดออกมาจากปาก หลังจากที่เห็นข้อมือของพี่เกิ่งถูกหลี่โม่คว้าไว้ คังเหวินซินถึงได้รู้สึกว่า หัวใจของตัวเองกลับเข้าที่ได้แล้ว คังเหวินซินที่สงบลงแล้ว รีบถอยไปหลบด้านหลังหลี่โม่ แล้วร้องตะโกนด้วยน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง "อาจารย์!" “นายอย่าร้องไห้น่าสมเพชนักสิ มันทำฉันขายหน้านะ” หลี่โม่พูดด้วยรอยยิ้ม คังเหวินซินตะลีตะลานเช็ดเบ้าตา ไม่ยอมให้ตัวเองร้องไห้ออกมา พี่เกิ่งจ้องมองหลี่โม่อย่างโมโห แอบพยายามดึงข้อมือของตัวเองกลับมาอย่างลับ ๆ แต่ไม่ว่าพี่เกิ่งจะพยายามออกแรงแค่ไหน มือของหลี่โม่ก็ราวกับคีมปากเสือหนีบข้อมือของพี่เกิ่งเอาไว้แน่น จนข้อมือของพี่เกิ่งไม่มีทางสลัดหลุดได้เลย “ปล่อยมือฉัน!” พี่เกิ่งตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว “แกบอกให้ปล่อยก็ต้องปล่อยเหรอ? แกน่าจะอธิบายเรื่องที่จะลงไม้ลงมือกับลูกศิษย์ฉันเมื่อกี้นี้มาสักหน่อยไหม?” หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา คังเหวินซินส
กู้หยุนหลานมองไปยังหลี่โม่อย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นหลี่โม่ขยิบตาให้ เธอจึงไม่พูดอะไรและเก็บความสงสัยไว้ในใจ ผู้จัดการหวังโบกมือให้พนักงานขายสาว พนักงานสาวที่ถือสัญญาอยู่แล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ผู้จัดการหวัง นี่เป็นสัญญาของวิลล่ายอดเขาค่ะ แต่ราคานี้มัน…” สีหน้าของพนักงานสาวดูบูดเบี้ยวเล็กน้อย ถ้าขายวิลล่านี้ออกไปในราคาต้นทุน เธอคงไม่ได้รับค่าคอมมิชชั่นเลยสักแดง! ที่ผ่านมาเศรษฐีในเมืองฮั่นจำนวนมากต่างก็ถูกใจวิลล่าแห่งนี้ แต่เพราะมีการปิดกั้นการซื้อขาย เลยไม่ได้ขายอย่างเป็นทางการ เดิมทีพวกพนักงานสาวนั้นเตรียมพร้อมที่จะทำกำไรมหาศาลด้วยการขายวิลล่าหลังนี้หลังจากที่เปิดการขายแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ความฝันของพวกเธอกำลังจะมลายหายไปซะแล้ว “พวกเธอมีสิทธิ์พูดงั้นเหรอ? นี่คือการตัดสินใจของคุณชายใหญ่!” ผู้จัดการหวังตำหนิพนักงานขายสาว พนักงานสาวหดคอและปิดปากเงียบไม่กล้าพูดอีก ผู้จัดการหวังเปิดสัญญาตรวจดู หลังจากยืนยันความถูกต้องแล้ว เขาก็ถือสัญญาเดินไปหาหลี่โม่ “อ่านสัญญาดูก่อนนะครับ หากไม่มีปัญหาอะไร เราจะไปเซ็นสัญญาที่สำนักงานของผมกัน ผมไม่สามารถนำตราประทับอะไรพวกนั้นพกติดต
“คุณชาย อย่ามาขู่ผมเลยครับ ผมไม่กลัวหรอกนะ สิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่ล้วนมีเหตุมีผล หากไม่เชื่อก็ถามซินแสที่มาดูฮวงจุ้ยให้ได้เลยครับ คำพูดพวกนี้เขาเป็นคนพูดเองกับปากทั้งนั้น” ผู้จัดการหวังแข็งขืน ไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เหวินซิน อย่าหุนหันพลันแล่น ผู้จัดการหวังพูดถูกแล้ว คนที่โชคชะตาบารมีไม่ถึง ไม่มีทางข่มพลังฮวงจุ้ยอันยอดเยี่ยมได้แน่นอน” คังเหวินซินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม "อาจารย์พูดถูกแล้วครับ แต่ด้วยบารมีของอาจารย์ จะต้องสามารถข่มมันได้อย่างแน่นอน พวกเรามาดูกันดีกว่า ที่นี่ล้วนได้รับการตกแต่งอย่างดี คุณหิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่ได้เลย เหลือแค่ดูว่าวิลล่าหลังนี้ถูกใจคุณหรือเปล่าก็พอครับ” เมื่อเห็นคังเหวินซินพยายามเอาอกเอาใจหลี่โม่ ผู้จัดการหวังก็เกิดความสงสัยเล็กน้อย หรือว่าตนจะมองผิดไป? ผู้ชายที่สวมเสื้อผ้าแผงลอยทั้งตัวคนนี้ เป็นคุณชายเศรษฐีที่มาลองสัมผัสประสบการณ์ชีวิตงั้นเหรอ? ไม่อย่างนั้นทำไมคุณชายของตนถึงได้ไปประจบเอาใจเขาขนาดนี้กัน? “คุณชาย ท่านนี้คืออาจารย์ของคุณเหรอครับ?” ผู้จัดการหวังถามอย่างสงสัย “นี่คืออาจารย์ของฉันหลี่โม่ นายสุภาพกับอาจารย์ของฉัน
“ไอ้สารเลวคนไหนไม่ดูตาม้าตาเรือ กล้ามาแย่งวิลล่าของอาจารย์ พวกแกยังมัวแต่กินอะไรกันอีก ไปดูด้วยกัน จัดการไอ้พวกสารเลวนั่นซะ” “ศิษย์พี่เกิ่งพูดถูก พวกเราทุกคนต้องไปดูด้วยกัน บ้านของอาจารย์ต้องดีที่สุดเท่านั้น จะผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว” ศิษย์พี่เกิ่งและคนอื่น ๆ พากันลุกขึ้นทีละคน เมื่อเห็นเช่นนี้คังหย่งเฉียนก็เรียกให้พนักงานคิดเงินทันที แล้วจึงพาพวกของศิษย์พี่เกิ่งมุ่งตรงไปยังสวนหนานชุ่ย ... รถเมอร์เซเดสเบนซ์ขับเข้าไปในสวนหนานชุ่ย และขับตรงไปตามทางขึ้นยอดเขา ใกล้กับยอดเขาของเขาหนานชุ่ยนั้นมีที่ราบอยู่บริเวณหนึ่ง ที่ราบนี้ถูกนำมาใช้สร้างวิลล่า พร้อมทั้งปลูกต้นไม้พืชพรรณเขียวชอุ่มรอบ ๆ วิลล่าอีกด้วย ด้านหน้าวิลล่ายังมีลำธารที่ไหลมาจากยอดเขา ทำให้ฮวงจุ้ยของวิลล่านี้ยอดเยี่ยมมากไร้ที่ติ หน้าน้ำหลังเขา ตำแหน่งปากมังกรจัดวางฮวงจุ้ยอย่างดี ทำให้วิลล่าบนยอดเขาหลังนี้เลิศล้ำไม่มีใครเทียม รถเมอร์เซเดสเบนซ์จอดสนิทหน้าประตูวิลล่ายอดเขา ผู้จัดการหวังและพนักงานขายสาวสองคนยืนรอที่ประตูวิลล่าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นรถเบนซ์จอดนิ่ง ผู้จัดการหวังก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปช่วยเปิดประตูรถ
ผู้จัดการหวังหยิบบุหรี่ออกมาคาบที่มุมปาก เตรียมจะสูบบุหรี่เพื่อสงบสติอารมณ์ คำขอของคังเหวินซินทำให้ผู้จัดการหวังตั้งตัวไม่ติด การจะดูบ้านมันไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าอีกฝ่ายถูกใจขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไรล่ะ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องราคาต้นทุนหรือเปล่า ถ้าคังหย่งเฉียนเข้ามาครอบครองวิลล่าหลังนี้ เขาก็คงไม่ได้เงินเลยสักแดงเดียว พอนึกถึงคังหย่งเฉียนขึ้นมาผู้จัดการหวังรู้สึกปวดจี๊ด ๆ ขึ้นมา เจ้านั่นเป็นปีศาจเจ้าสำราญแห่งตระกูลคัง วัน ๆ เอาแต่เกียจคร้าน กินดื่มเที่ยวเล่น ยิ่งกว่านั้นยังคบค้ากับพวกอันธพาล ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสตระกูลคังก็ยังถูกคังหย่งเฉียนยั่วโมโหจนเส้นเลือดในสมองตีบ แทบทุกคนในตระกูลคังล้วนทำเป็นไม่สนใจคังหย่งเฉียน ตราบใดที่คังหย่งเฉียนไม่ได้ก่อปัญหา ก็ไม่มีใครสนใจว่า คังหย่งเฉียนจะทำอะไร ถ้าหากยกวิลล่าให้เพื่อนของคังเหวินซินจริง ๆ คังหย่งเฉียนคงจะพาคนมาสับเขาเป็นชิ้น ๆ ถึงที่แน่ หลังจากสูบบุหรี่หมดมวน ผู้จัดการหวังก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ รู้สึกว่ายังไงก็ควรแจ้งให้คังหย่งเฉียนรู้สักหน่อย ส่วนคังหย่งเฉียนจะต่อสู้กับคังเหวินซินอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขา