กู้หยุนหลานรู้สึกว่าหลี่โม่กำลังใช้ทฤษฎีสมคบคิดมาประเมินครัฟต์ ไม่ว่าจะพูดยังไงครัฟต์ก็เป็นผู้บริหารของบริษัทที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ ไม่จำเป็นต้องบินมาเป็นพัน ๆ ไมล์เพื่อหลอกตระกูลกู้หรอก หลี่โม่ไม่ได้พูดอะไรมากอีก ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมจะบอกเรื่องทุกอย่างกับกู้หยุนหลาน ครัฟต์เป็นเพียงเบี้ยตัวเล็ก ๆ ที่ราชินีมังกรวางก่อนมาเยือนกรุงโซลเท่านั้น ถึงตอนที่ราชินีมังกรมาถึงแล้ว เรื่องราวจะเปลี่ยนไปอย่างไร หลี่โม่ไม่อาจคาดการณ์ได้เลย ความแตกต่างด้านพลังอำนาจกับราชินีมังกรนั้นมีมากเกินไป ถึงอย่างไรราชินีมังกรก็อยู่ที่แดนมังกรมาหลายสิบปี ในช่วงเวลาเหล่านั้นก็ได้บ่มเพาะกำลังของตนเอาไว้จำนวนมาก ส่วนหลี่โม่นั้นได้ออกจากแดนมังกรมานาน เขาจึงไม่มีอิทธิพลต่อแกนกลางของแดนมังกรเลยแม้แต่น้อย นอกจากคุณธรรมและชื่อเสียงที่มีแล้ว หลี่โม่ก็ไม่มีอะไรอยู่ที่แดนมังกรอีกแล้ว การขาดกำลังของตนเอง นั่นคือจุดบกพร่องที่ใหญ่ที่สุดของหลี่โม่ เมื่อครุ่นคิดถึงเรื่องของราชินีมังกร หลี่โม่ก็เหม่อค้างไปเล็กน้อย หลังจากนั้นพักใหญ่กู้หยุนหลานจึงเขย่าหลี่โม่เบา ๆ ทำให้หลี่โม่ได้สติกลับมา “คิดอะไรอยู่น่ะ
กู้ซิ่งเหว่ยพูดขึ้นอย่างค่อนข้างตื่นเต้น “เป็นความคิดที่ดี เดี๋ยวฉันจะติดต่อไปอีกที” กู้ชิงหลินโทรหาเพื่อนสนิทอีกครั้ง ก่อนจะส่ายหน้าอย่างผิดหวัง “เพื่อนสนิทฉันบอกว่าแบบนั้นมันน่าขายหน้าเกินไป เลยไม่ตกลงด้วย” “เฮ้อ อย่างนั้นก็รอฟังเรื่องราวเถอะ พรุ่งนี้ค่อยฟังให้เต็มที่ว่าพวกมันถูกฉีกหน้ายังไงก็แล้วกัน” ...... นอกรอยัลพาเลซเต็มไปด้วยรถหรู แผนกต้อนรับส่วนหน้าได้หยุดให้บริการตั้งแต่ช่วงบ่ายเพื่อเตรียมการสำหรับงานเลี้ยงอันยิ่งใหญ่ในค่ำคืนนี้ รถหรูจำนวนไม่น้อยต่างติดป้ายทะเบียนของเมืองหลวง เหล่าคนดังและเศรษฐีน้อยที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าหรูหราหลากหลายสไตล์ค่อย ๆ ทยอยกันเข้ามาในรอยัลพาเลซ กลุ่มเศรษฐีน้อยของเมืองหลวงรวมตัวกัน มองดูเหล่าลูกเศรษฐีจากกรุงโซลที่นำโดยหวงจื่อซวนด้วยสายตาเหยียดหยาม หวงจื่อซวนเชื่อมสัมพันธ์กับลูกเศรษฐีของเมืองหลวงอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน และพยายามแทรกตัวเข้าไปในแวดวงชั้นสูง ไม่นานเรื่องของคุณชายซูก็กลายเป็นประเด็นสนทนาของทุกคน สำหรับเรื่องเรือคว่ำในคูน้ำที่กรุงโซลของคุณชายซูนั้นทำให้เหล่าลูกเศรษฐีของเมืองหลวงไม่ค่อยพอใจนัก ในครั้งนี้เหล่าลูกเศรษฐีของเมือ
“หลี่โม่? ทำไมรู้สึกคุ้นขนาดนี้นะ?” หวงจื่อซวนนำกลุ่มลูกเศรษฐีเดินไปทางประตูของปราสาท เตรียมที่จะไปดักรอหลี่โม่ที่ทางเข้า เน็ตไอดอลสาวสวยที่อยู่ข้างกายหวงจื่อซวนพูดขึ้น “ที่รัก ลืมเรื่องที่ฉันบอกคุณเมื่อกี้นี้แล้วเหรอ เพื่อนสนิทของฉันกู้ชิงหลินก็ขอให้คุณจัดการเจ้าหลี่โม่กับกู้หยุนหลานด้วยไงคะ” “จริงสิ ถึงว่าทำไมถึงได้คุ้นขนาดนี้ งั้นก็รีบบอกรายละเอียดของหลี่โม่นั่นมาเร็ว ๆ สิ” “หลี่โม่เป็นลูกเขยของตระกูลกู้ เจ้านั่นเป็นแค่คนไร้ประโยชน์ ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ก็แค่เกาะผู้หญิงกินไปวัน ๆ ภรรยาของเขากู้หยุนหลานเองก็ไม่ใช่พวกจู้จี้จุกจิก หล่อนนอนกับคนอื่นเพื่อเซ็นสัญญา แล้วยังแสร้งทำตัวเหมือนใสซื่อบริสุทธิ์อย่างนั้น” เพื่อนสนิทของกู้ชิงหลินปั้นแต่งเรื่องของกู้หยุนหลานและหลี่โม่ขึ้นมา หวงจื่อซวนลูบคางฟังอย่างถี่ถ้วน สีหน้าก็พลันงุนงงสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย “แต่ไอ้ขยะพรรค์นั้นสามารถทำให้คุณชายซูตกม้าตายได้เชียวเหรอ? ทำไมฉันถึงรู้สึกว่ามันแปลก ๆ เป็นคนที่ชื่อนามสกุลเหมือนกันหรือเปล่า” หวงจื่อซวนเอ่ยอย่างเคลือบแคลงสงสัย “ที่รักคะ คุณจะคิดมากขนาดนั้นไปทำไมกัน อีกเดี๋ยวเราจับไอ้หมอนั่น
กู้หยุนหลานตั่วสั่นสะท้านด้วยความโกรธเกรี้ยว หลี่โม่หรี่ตาลงเล็กน้อย เขาก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่งแล้วเหวี่ยงฝ่ามือตบหน้าหวังชิงชิง เพียะ เพียะ เพียะ หลี่โม่ใช้ฝ่ามือสลับกับหลังมือตบหน้าหวังชิงชิงอย่างโหดเหี้ยม ใบหน้าเน็ตไอดอลที่ทำศัลยกรรมเติมแต่งด้วยฟิลเลอร์ของหวังชิงชิงพลันถูกตบจนราวกับประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ก็ไม่ปาน รุนแรงเสียจนทำให้ไม่กล้ามองตรง ๆ เลยทีเดียว “อ๊า! แกกล้าดียังไงมาตบหน้าฉัน ที่รัก เห็นไหมว่ามันตบฉัน คุณต้องช่วยฉันแก้แค้นมันนะ!” หวังชิงชิงดึงรั้งหวงจื่อซวนทั้งน้ำตานองหน้า หวงจื่อซวนเหลือบมองใบหน้าที่เละเทะเหมือนโดนรถชนมาของหวังชิงชิง ก็พลันรู้สึกสยดสยองขึ้นมา สะเทือนอารมณ์ยิ่งกว่าดูหนังสยองขวัญเสียอีก หวงจื่อซวนสะบัดมือของเธอออกอย่างแรง แล้วพูดอย่างหงุกหงิด “ปล่อยมือซะ ถ้าเธอดึงฉันไว้แล้วฉันจะแก้แค้นให้เธอได้ยังไงเล่า!” หวังชิงชิงปล่อยมือออก รู้สึกว่าใบหน้าปวดร้าวไปหมด เธอสัมผัสใบหน้าของตัวเองเบา ๆ รู้สึกเหมือนใบหน้ามีบางอย่างผิดปกติจึงรีบหยิบกระจกออกมาส่องดู เมื่อเห็นภาพในกระจก หวังชิงชิงก็โพล่งขึ้นมาอย่างตื่นตระหนก “กรี๊ด! นี่ นี่มันใครกันเนี่ย!”
“คุณชายหม่า? มันคือตัวอะไรล่ะ ฉันไม่เห็นเคยได้ยิน” หลี่โม่เอ่ยอย่างเรียบเฉย หวงจื่อซวนและคนอื่น ๆ ต่างตกตะลึงไปชั่วขณะ ไม่นึกว่าท่าทีของหลี่โม่จะแข็งกร้าวถึงขนาดเรียกคุณชายหม่าว่าตัวอะไรเช่นนี้ “ฮ่าฮ่า แกนี่มันปากดีนักนะ รอฉันเรียกคุณชายหม่ามาจัดการแกก่อนเถอะ” หวงจื่อซวนทิ้งคำพูดไว้แล้วหมุนตัวเดินไปทันทีโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง “พี่ซวน พวกเราจะไปแล้วเหรอ?” ลูกเศรษฐีคนหนึ่งถามขึ้นอย่างไม่พอใจ “ถ้านายไม่อยากไปจะกลับไปต่อยมันก็ได้นะ แต่นายจะทำร้ายมันได้เหรอ ไม่เห็นหรือยังไงว่ามันตบหวังชิงชิงไปขนาดไหน มันต้องเคยฝึกวิชามาแน่ นอกจากนี้คุณชายซูแห่งเมืองหลวงก็ยังเสียท่าให้มันมาแล้ว พวกเราควรจะระมัดระวังให้ดีถึงจะปลอดภัย ให้คุณชายหม่าออกหน้าต่อกรกับมันไปดีกว่า” หวงจื่อซวนค่อนข้างรู้สึกหวาดหวั่น เมื่อดูจากข่าวต่าง ๆ แล้ว หวงจื่อซวนรู้สึกว่าบางทีเรื่องนี้อาจไม่ธรรมดา บางครั้งต้องขี้ขลาดสักหน่อยถึงจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่น ไม่นานหวงจื่อซวนก็หาหม่าเจียเฉิงเจอ หม่าเจียเฉิงพร้อมด้วยเหล่าเศรษฐีน้อยของเมืองหลวงกำลังอยู่ด้วยกันกับเซเลบสาวสวยกลุ่มหนึ่ง “คุณชายหม่า เจ้าหลี่โม่นั่นมาแล
"พวกคุณคิดว่าคุณชายหม่ามาที่นี่เพื่อล้างแค้นให้คุณชายซูหรือเปล่า ฉันได้ยินมาว่าคุณชายซูเกิดเรื่องขึ้นที่โซล"ในขณะที่ทุกคนกำลังกระซิบกระซาบกัน คุณชายหม่าก็ก้าวไปข้างหน้าและเดินไปยังเบื้องหน้าของหลี่โม่ “ขยะอย่างแกวางแผนทำร้ายเสี่ยวซูของเราได้ยังไง เรื่องนี้แกต้องอธิบายมาให้ชัดเจนซะก่อน” คุณชายหม่าจ้องเขม็งที่หลี่โม่และพูดอย่างชั่วร้าย ตระกูลซูเก็บความจริงของเรื่องนี้เป็นความลับอย่างสมบูรณ์ แม้แต่หม่าเจียเฉิงเองก็ไม่รู้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นคุณชายหม่าจึงสงสัยอย่างมากว่าหลี่โม่ทำให้ตระกูลซูขวัญหนีดีฝ่อจนเนรเทศคุณชายซูออกไปได้อย่างไร เขารู้สึกว่ามันแปลกประหลาดมาก ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อวิเคราะห์จากข่าวที่หม่าเจียเฉิงได้รับมา มีผู้มีอำนาจจากชนชั้นสูงกำลังกำราบตระกูลซูอยู่ แต่ลูกเขยของตระกูลเล็ก ๆ ในกรุงโซลอย่างหลี่โม่ จะไปสามารถทำถึงขั้นนั้นได้อย่างไร หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง "นายก็อยากเป็นเหมือนเขาด้วยงั้นเหรอ? ลองสัมผัสด้วยตัวเองสักหน่อยเดี๋ยวก็รู้เอง" “ไอ้บัดซบ! หาเรื่องตายนะแก!” หม่าเจียเฉิงเงื้อมือขึ้นสูง เตรียมจะตบหน้าของหลี่โม่ แต่ก่อนที่มือของหม่าเจียเฉิงจะพุ่
หม่าเจียเฉิงถูกบอดี้การ์ดดึงขึ้นมาจากพื้น เขาจ้องมองหลี่โม่อย่างแค้นเคืองและค่อนข้างจนตรอก “แกอวดดีนักนะไอ้เวร! อย่านึกว่ามีพวกฝรั่งคอยคุ้มครอง แล้วแกจะมาเที่ยววางอำนาจได้นะโว้ย ที่นี่ไม่ใช่ถิ่นของพวกต่างชาติ!” ขณะบอดี้การ์ดกำลังจะคุมตัวหม่าเจียเฉิงออกไป หม่าเจียเฉิงก็มองไปทางพวกคุณชายเศรษฐีที่เป็นลูกสมุนเหล่านั้น “ไอ้พวกไร้ประโยชน์! รีบโทรเรียกคนมาสิวะ แค้นนี้ต้องได้ชำระกันวันนี้ แกปล่อยฉันนะโว้ย ไม่อย่างนั้นคนของฉันจะไม่เกรงใจแกแน่!” เหล่าคุณชายเศรษฐีของเมืองหลวงต่างได้สติขึ้นมา แล้วพากันเข้ามาล้อมบอดี้การ์ดที่คุมหม่าเจียเฉิงเอาไว้ ต้องการจะช่วยหม่าเจียเฉิงออกมา และยังมีสองสามคนที่เดินไปอีกด้านหนึ่งหยิบมือถือออกมาโทรศัพท์ไม่หยุด บอดี้การ์ดของครัฟต์เองก็ค่อนข้างหนักใจอยู่บ้าง สถานการณ์แบบนี้มันก็เกินขอบเขตความสามารถของเขา หากต้องรับมือกับคนคนเดียว บอดี้การ์ดก็ยังกล้าแสดงอำนาจบาตรใหญ่ได้อยู่ แต่หากต้องรับมือกับแขกผู้มีเกียรติที่ได้รับเชิญมาทั้งกลุ่ม บอดี้การ์ดก็ไม่มีความกล้าหาญมากขนาดนั้นจริง ๆ กู้หยุนหลานดึงแขนหลี่โม่แล้วเอ่ยเสียงเบา “พวกเรากลับกันก่อนดีกว่าไหมคะ เรื่องราวต้
"หยุด! นี่พวกคุณกำลังทำอะไร!" ครัฟต์ตวาดเสียงดัง หลังจากสิ้นเสียงของครัฟต์ บอดี้การ์ดกลุ่มหนึ่งก็พุ่งเข้าไปกวัดแกว่งกระบองไฟฟ้าใส่พวกของหม่าเจียเฉิงราวกับหมาล่าเนื้อ “พวกคุณอย่ามายุ่งไม่เข้าเรื่อง เรื่องระหว่างพวกเรา เราจัดการเองได้ พวกคุณไปนั่งดูอยู่เฉย ๆ ซะเถอะ” “อย่านึกพวกต่างชาติอย่างพวกแกจะเก่งนักนะ ถ้าพวกแกกล้าไม่เคารพพวกเราจริงๆ อีกเดี๋ยวจะพวกแกจะได้เห็นดีกันแน่!” พวกคุณชายเศรษฐีตะโกนใส่บอดี้การ์ดที่พุ่งเข้ามา เมื่อมีกลุ่มโจรเป็นไพ่ตาย พวกคุณชายเศรษฐีก็มีความมั่นใจขึ้นมาว่าตนแข็งแกร่งอยู่ไม่น้อย หม่าเจียเฉิงมองหลี่โม่ด้วยรอยยิ้มเย็นเยียบ "ไอ้ขยะ แกนี่ไม่เลวเลยนะ แกคิดว่าตัวเองได้คบค้ากับพวกต่างชาติแล้วจะอยู่เหนือกว่าคนอื่นงั้นสินะ? ฉันจะบอกให้ว่ามันไม่มีทาง วันนี้แกต้องคุกเข่าและเลียรองเท้าของฉันซะ” ไม่ทันที่หลี่โม่จะตอบกลับ หม่าเจียเฉิงก็พาพวกคุณชายเศรษฐีเดินไปหาครัฟต์ พวกบอดี้การ์ดของครัฟต์ตั้งแถวเป็นขบวนทัพ จ้องเขม็งไปที่พวกหม่าเจียเฉิงอย่างดุร้าย หวงจื่อซวนย่องพาพวกลูกเศรษฐีของกรุงโซลหลบไปอีกด้าน และปะปนกับพวกเซเลบสาว ด้วยสถานการณ์ที่ใหญ่โตขึ้นเรื่อย ๆ หว