หวังจงเหิงที่นั่งอยู่เบาะข้างคนขับจ้องเขม็งหลี่โม่ที่นั่งอยู่เบาะหลังอย่างดุร้าย ท่าทางเช่นนั้นราวกับจะกลืนหลี่โม่เข้าไปทั้งเป็นอย่างนั้น หลี่โม่ก้มหน้าก้มตาดูมือถือ ไม่ได้สนใจการมีอยู่ของหวังจงเหิงเลยแม้แต่น้อย หวังจงเฉิงตบไหล่หวังจงเหิง แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “พี่รอง พี่อย่ามองอย่างนั้นสิ เดี๋ยวพอพิสูจน์ว่าเจ้าขยะนี้จัดเตรียมการพบปะให้พวกเราไม่ได้แล้ว เราค่อยสั่งสอนเขาให้หนักก็ได้” “เฮอะ ยังต้องพิสูจน์อะไรอีก ไอ้ขยะนี่ต้องจัดเตรียมไม่ได้แน่นอน ถ้ามันจัดการให้พวกเราพบกับประธานของบริษัทหยุนจงหลานได้ อย่างนั้นหมูตัวเมียก็คงปีนต้นไม้ได้เหมือนกันล่ะวะ!” หวังจงฉวนถลึงตามองหวังจงเหิง เมื่อนั้นหวังจงเหิงจึงยอมหยุดลงได้ ทำให้ในรถกลับสู่ความเงียบอีกครั้ง หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมงกว่า รถก็จอดที่หน้าตึกของบริษัทหยุนจงหลาน หวังจงฉวนมองทางประตูใหญ่ของบริษัทหยุนจงหลาน ก็เห็นผู้จัดการหลายแผนกรายล้อมอยู่รอบตัวซุนฮุ่ยกังเข้าประตูไปพอดี “นั่นคือผู้จัดการซุน รีบลงรถแล้วตามฉันไปพบกับผู้จัดการซุนเร็วเข้า” หวังจงฉวนพูดขึ้นประโยคหนึ่ง มือก็ผลักประตูรถเปิดออกแล้ว ก่อนพุ่งออกไปราวกับเสือชีตาห์ล่าเหย
“คุณหลี่คุณอยากพบก็พบได้งั้นเหรอครับ?” ซุนฮุ่ยกังเอ่ยอย่างเหยียดหยาม อย่าว่าแต่หวังจงฉวนเลย แม้แต่ซุนฮุ่ยกังเองก็ยังยากจะได้พบกับเจ้านายใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังของหยุนจงหลาน หลังจากสติหลุดลอยไปชั่วขณะ ซุนฮุ่ยกังนึกขึ้นได้ว่า ดูเหมือนเขาจะไม่เห็นหลี่โม่มาพักใหญ่แล้ว และไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้านายใหญ่ท่านนั้นมีความคิดอะไรอยู่ เรื่องการลงทุนใหญ่โตขนาดนี้ แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย หรือเขาไม่กลัวว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นมาเลยหรือ ซุนฮุ่ยกังส่ายหน้าเล็กน้อย สลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไป การทำอาชีพผู้จัดการมานานทำให้เขาเข้าใจ ว่าห้ามสงสัยการกระทำและการตัดสินใจของเจ้านายเป็นอันขาด หวังจงฉวนเอ่ยอ้อนวอนอย่างขมขื่น “ถ้าไม่ได้พบกับคุณหลี่ บุคลากรและอุปกรณ์ที่ติดต่อเอาไว้ต้องยกเลิกทั้งหมดแน่ พวกเราเลี้ยงดูแลคนกับอุปกรณ์มากมายขนาดนั้นไม่ไหวหรอกครับ” “นั่นมันก็เรื่องของพวกคุณ ในสัญญาเขียนไว้อย่างชัดเจนแล้ว วันเวลาการเริ่มโครงการทางเราเป็นคนกำหนด ถ้าหากเราไม่ได้กำหนดวัน พวกคุณก็ไม่สามารถเข้าไปยังพื้นที่ก่อสร้างได้” ซุนฮุ่ยกังพูดอย่างขอไปที หวังจงฉวนแทบบ้าคลั่ง “ผู้จัดการซุน ยังไงก็ต้อ
“ว่าแล้วว่าไอ้ไร้ประโยชน์นั่นมันต้องโกหก เดี๋ยวต้องไปจัดการมันให้หนักสักครั้ง” หวังจงเหิงเอ่ยอย่างโหดเหี้ยม หวังจงฉวนทำอะไรไม่ถูกเลย ได้แต่กล่าวลาซุนฮุ่ยกัง แล้วออกจากห้องทำงานของซุนฮุ่ยกังไปอย่างหมดอาลัยตายอยาก “พี่ใหญ่ ทำยังไงดีล่ะ ตามที่ผู้จัดการซุนพูด หลี่โม่มันหลอกพวกเรา เขาไม่เคยรู้จักกับประธานของบริษัทหยุนจงหลานอยู่แล้ว น้าเล็กคงจะโกหกเพื่อรักษาหน้าแน่ ๆ สุดท้ายพอขึ้นหลังเสือแล้วก็เลยโยนลูกเขยไร้ค่าของเขาออกมารับกรรมแทน” หวังจงเหิงนินทายุแยงอยู่ข้าง ๆ หวังจงฉวนจึงเอาความไฟโทสะในใจทั้งหมดไปลงที่ตัวหลี่โม่ “ไอ้ขยะนั่นไม่ได้ตามเข้ามาเหรอ? ดูเหมือนว่ามันจะรู้ตัวเองดีอยู่แล้วนะ พวกเราไปถามมันให้ชัดเจนเดี๋ยวนี้เลย!” พวกหวังจงฉวนทั้งสามคนออกจากตึกสำนักงานด้วยความเดือดดาล แล้วเดินไปดึงประตูฝั่งที่นั่งของหลี่โม่เปิดออกมา “แกยังจะเล่นมือถืออยู่อีกงั้นเหรอ! แกบอกว่าสามารถจัดการให้พบกับประธานของบริษัทหยุนจงหลานไม่ใช่หรือไง แต่ผู้จัดการซุนบอกว่าหยุนจงหลานไม่เคยรู้จักไอ้ขยะอย่างแก!” “เพราะเชื่อคำพูดของแกแท้ ๆ ถ้ารู้แต่แรกเราคงไม่พาไอ้คนไร้ประโยชน์อย่างแกมาด้วย อับอายขายขี้หน้า
ไม่ว่าหวังจงเหิงจะโน้มน้าวอย่างไร หวังจงฉวนก็ยังเลือกที่จะไปรอที่หน้าห้องประธาน ไม่ใช่เพราะเชื่อใจหลี่โม่ แต่เป็นเพราะหวังจงฉวนไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว ถ้าไม่ได้เจอกับบอสที่อยู่เบื้องหลังของหยุนจงหลาน และเริ่มการก่อสร้างโดยเร็วที่สุด หวังจงฉวนก็คงยื้อต่อไปไม่ไหวแล้ว อุปกรณ์และพนักงานที่ติดต่อเอาไว้แล้วพวกนั้นล้วนตกลงวันเวลาไว้เรียบร้อยแล้ว ถ้าหากเลยวันเวลาไปแล้วยังไม่สามารถเริ่มงานได้ ตระกูลหวังต้องจ่ายเงินค่าชดใช้ให้จำนวนมาก หากถึงขั้นที่จ่ายเงินชดเชยให้แล้ว หวังจงฉวนก็นับว่าได้ทำพลาดไปแล้ว เขาไม่เพียงเสียความดีความชอบไปครึ่งหนึ่ง ยังต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง และอาจถึงขั้นกลายเป็นตัวตลกในวงการอีกด้วย “ไปเถอะ ไปรอที่หน้าห้องประธานกัน” หวังจงฉวนพาหวังจงเหิงและหวังจงเฉิงกลับเข้าไปในหยุนจงหลาน ขึ้นลิฟต์ไปชั้นบนสุดแล้วตรงไปยังห้องทำงานประธานบริษัท ประตูของห้องประธานปิดสนิท รอบ ๆ ไร้ผู้คน ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ใช้มานานมากแล้ว ก๊อก ก๊อก ก๊อก หวังจงฉวนเคาะประตูอย่างใจกล้า จากนั้นก็ตั้งใจฟังเสียงภายในห้องอย่างระมัดระวัง แต่ผลลัพธ์นั้นทำให้เขาสิ้นหวังอย่างยิ่ง เขาไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย
หวังจงฉวนพลันปรากฏรอยยิ้มขึ้นพลันใบหน้า แล้วเอ่ยอย่างระมัดระวัง “พวกเรากำลังรอคน รอพบท่านประธานของพวกคุณอยู่ครับ” หลี่โม่เดินออกมาจากด้านหลังของหวังต้าย่ง แล้วเอ่ยเสียงเบา “ให้พวกเขารออยู่ข้างนอกก็พอ ถ้าพวกเขากล้าเข้ามามั่วซั่วนายก็ไม่ต้องเกรงใจ” หวังต้าย่งเข้าใจเจตนาของหลี่โม่ในทันที แล้วเดินตามหลังหลี่โม่ไปยังห้องประธาน เมื่อพวกหวังจงฉวนทั้งสามคนเห็นรปภ.ของบริษัทหยุนจงหลานเดินตามหลี่โม่เข้ามาราวกับบอดี้การ์ด แต่ละคนก็ตะลึงตาค้าง นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมรปภ.ของบริษัทหยุนจงหลานถึงมีท่าทีเชื่อฟังกับหลี่โม่ขนาดนี้ สถานการณ์มันดูผิดปกติสุด ๆ เลย “ไอ้ขยะ! นี่แก......” หวังจงเหิงกำลังจะตะโกนโวยวาย กระบองยางในมือของหวังต้าย่งก็ยื่นออกมา ชี้ไปที่หวังจงเหิง หวังจงเหิงพลันหุบปากไม่กล้าพูดอะไร “ประตูห้องทำงานประธานบริษัท ไม่ใช่ที่ที่พวกคุณจะเอะอะเสียงดังได้ หุบปากให้หมด” หวังต้าย่งตวาดอย่างเข้มงวด หลี่โม่ยิ้มกว้างให้กับพวกหวังจงฉวนทั้งสามคน จากนั้นจึงเดินที่ประตูของห้องประธาน หวังต้าย่งก้าวไปข้างหน้าทันที และใช้บัตรผ่านเปิดประตูให้หลี่โม่เดินเข้าไปในห้องทำงาน หวังจงฉวนเบิ
หวังจงฉวนวางสายแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ รู้สึกเสียใจขึ้นมาเล็กน้อยที่ไปยั่วยุหลี่โม่ในตอนแรก หากไม่ได้ทำเช่นนั้น ตอนนี้เขาคงจะได้เข้าไปในห้องทำงานแล้ว “พี่ใหญ่ ไอ้ขยะนั่นมันว่ายังไงบ้าง?” หวังจงเหิงถามด้วยความโมโห เพียะ หวังจงฉวนตบหน้าหวังจงเหิงอย่างแรงทีหนึ่ง “พี่ พี่ตบผมทำไมเนี่ย!” หวังจงเหิงกุมใบหน้าเอาไว้ มองไปยังหวังจงฉวนด้วยสายตาเหลือเชื่อ “นี่แกโง่หรือเปล่า หลี่โม่เข้าไปข้างในแล้ว! แกยังจะเรียกเขาว่าขยะอยู่ได้ ฉันว่าแกต่างหากที่เป็นขยะ! ช่วยใช้สมองหน่อยได้ไหม ความหวังของพวกเราทั้งหมดอยู่ที่ตัวหลี่โม่แล้วนะ!” หวังจงฉวนตำหนิใส่หวังจงเหิง หวังจงเหิงก้มหน้าลงอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ หลังจากที่ลังเลเล็กน้อยเขาก็พูดขึ้น “เมื่อกี้นี้ไม่ใช่ว่าในห้องทำงานไม่มีคนอยู่หรอกเหรอ หลี่โม่อาจจะซื้อตัวรปภ.ของที่นี่มาหลอกพวกเราก็ได้” หวังจงฉวนชะงักไปเล็กน้อย ครุ่นคิดถึงคำพูดเมื่อกี้ของซุนฮุ่ยกังขึ้นมาอีกครั้ง ซุนฮุ่ยกังเพิ่งจะบอกอย่างชัดเจนแล้วว่าท่านประธานไม่อยู่ นอกจากนี้ตอนที่หวังจงฉวนเคาะประตูเมื่อครู่ ในห้องก็ไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมาเลย ซึ่งก็สามารถยืนยันได้แล้วว่าในห้องไม่มีใครอ
“งั้นรอสักครู่ เดี๋ยวผมจะลองโทรไปถามดู” ขณะที่ซุนฮุ่ยกังกำลังจะหยิบโทรศัพทขึ้นมา โทรศัพท์บนโต๊ะก็ดังขึ้น ซุนฮุ่ยกังจึงรับสาย"สวัสดีครับ ผมซุนฮุ่ยกังรับสาย"หลังจากที่ซุนฮุ่ยกังรายงานตัวของเขาแล้ว เขาก็ฟังเสียงจากต้นสาย ท่าทางของเขาดูจริงจังและแสดงถึงความเคารพ“ได้ครับ รับทราบแล้วครับ ผมจะรีบไปจัดการทันทีเลยครับ" ซุนฮุ่ยกังวางโทรศัพท์ หยิบแฟ้มเอกสารแล้วเดินออกไป "พวกคุณออกไปก่อน ผมต้องไปรายงานสถานการณ์ล่าสุดต่อท่านประธาน"“ท่านประธานของคุณอยู่ที่นี่เหรอ?”หวังจงฉวนชะงักไปครู่หนึ่ง และนึกถึงหลี่โม่โดยไม่ตั้งใจหลี่โม่มีจะอิทธิพลมากขนาดนั้น?แต่ทำไมไอ้ขยะนี้มันถึงได้รู้จักกับเจ้าของบริษัทหยุนจงหลาน?ขณะที่หวังจงฉวนอยู่ในอาการงุนงง ซุนฮุ่ยกังก็เดินออกไปแล้ว และมีเลขาคนหนึ่งเข้ามาพร้อมกับพูดอย่างสุภาพว่า "รบกวนออกจากห้องทำงานของคุณซุนด้วยค่ะ ดิฉันจะล็อกประตูให้คุณซุน"หวังจงฉวนกลับมามีสติ และตบหัวของตนเองอย่างแรง "ผมลืมถามคุณซุนไปเลย ช่วยพาผมไปด้วย ผมต้องไปพบเจ้าของบริษัทหยุนจงหลานในวันนี้ให้ได้"หวังจงฉวนได้กลับไปขอความช่วยเหลืออีกครั้ง ส่วนซุนฮุ่ยกังก็ได้เข้าไปในห้องทำงาน
หวังจงฉวนครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง และรู้สึกว่าคำแนะนำของหวังจงเหิงค่อนข้างน่าสนใจ แต่ถ้าจะให้เขาโทรหาหลี่โม่ หวังจงฉวนรู้สึกเขินอายเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะโทรหาหวังฟาง“เรื่องโทรหาหลี่โม่เอาไว้ก่อน ฉันจะลองโทรหาคุณน้า”หวังจงฉวนหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา และกดหมายเลขของหวังฟางหลังจากรับสายแล้ว หวังจงฉวนก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า "คุณน้าครับ""จงฉวนเป็นยังไงบ้าง ไอ้หลี่โม่ได้พาหลานไปพบเจ้าของบริษัทหยุนจงหลานไหม" หวังฟางถามด้วยความวิตกกังวล“เรื่องนี้ ยังไม่ได้พบเลยครับ”หวังฟางยืนขึ้นอย่างหงุดหงิด ความโกรธพุ่งตรงไปที่หัวของเธอ และเธอก็ด่าหลี่โม่อย่างเลือดเย็นในใจ "นี่ไอ้ขยะนี้มันกำลังทำอะไร เกิดอะไรขึ้นกับหลาน จงฉวน?""ไม่ต้องเป็นห่วงครับคุณน้า เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว เมื่อกี้เราก็มีเรื่องขัดแย้งเล็กน้อยกับไอ้หลี่โม่ ตอนนี้ไอ้หลี่โม่มันได้เข้าไปในห้องทำงานของเจ้าของบริษัทหยุนจงหลาน แต่ว่าพวกเราไม่ได้เข้าไปครับ"หวังฟางถอนหายใจเฮือกใหญ่ และอารมณ์กังวลของเธอก็สงบลง "อ๋อ เป็นแบบนี้นี่เอง ไอ้ขยะนี่มันทำอะไรของมัน ทำไมมันปล่อยให้พวกหลานรออยู่ข้างนอก นี่มันหมายความว่ายังไง"หวังจงฉวนชะงักไ