“เดิมทีนายก็ไม่ได้มีท่าทีเหมือนขอร้องให้ช่วยทำธุระให้อยู่แล้วนี่ ถ้านายทำท่าทีแบบนี้ล่ะก็ ฉันว่าอย่าพานายไปให้ขายหน้าดีกว่า” หลี่โม่เอ่ยอย่างเรียบเฉย เผชิญหน้ากับเจตนาร้ายอย่างเด่นชัดของคนตระกูลหวัง เดิมทีหลี่โม่ก็รู้สึกไม่พอใจอยู่แล้ว หากไม่ใช่เพราะคนพวกนี้เป็นญาติของกู้หยุนหลาน หลี่โม่คงคร้านจะสนใจพวกเขาอยู่แล้ว “นี่แกคิดว่าตัวเองวิเศษวิโสมากนักรึไง! แกนี่มันไร้ยางอายจริง ๆ” หวังจงเหิงเอ่ยด้วยความโมโห และพับแขนเสื้อขึ้นคิดจะลงมือ หวังจงฉวนโบกมือไปมา ขวางหวังจงเหิงเอาไว้ “ไม่จำเป็นต้องไปคิดเล็กคิดน้อยกับคนไร้ค่าคนหนึ่งหรอก ต่อยมันไปรังแต่จะสกปรกมือเปล่า ๆ ” “พี่ใหญ่ งั้นจะเอายังไงดี เรื่องแผนการพัฒนาของบริษัทหยุนจงหลานเป็นเรื่องสำคะญมากนะ ยังไงก็ต้องเจอกับคุณหลี่ผู้ลึกลับท่านนั้นให้ได้” หวังจงเหิงพูดจบก็เหลือบมองหลี่โม่เล็กน้อย “ที่ว่ามาน่ะ ไม่ใช่เจ้าปัญญาอ่อนนี่หรอกนะ” “เหอะ ๆ ” หลี่โม่หัวเราะอย่างเนือย ๆ เดิมทีเขาก็ไม่ได้สนใจหวังจงเหิงอยู่แล้ว “สัญญานี้ผู้จัดการซุนเป็นคนเซ็นสัญญากับฉัน ถึงตอนที่ไปเยี่ยมผู้จัดการซุนแล้วถามสักหน่อยแล้วกัน” การไปเยี่ยมผู้จัดการใหญ่ซ
หวังจงเหิงที่นั่งอยู่เบาะข้างคนขับจ้องเขม็งหลี่โม่ที่นั่งอยู่เบาะหลังอย่างดุร้าย ท่าทางเช่นนั้นราวกับจะกลืนหลี่โม่เข้าไปทั้งเป็นอย่างนั้น หลี่โม่ก้มหน้าก้มตาดูมือถือ ไม่ได้สนใจการมีอยู่ของหวังจงเหิงเลยแม้แต่น้อย หวังจงเฉิงตบไหล่หวังจงเหิง แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “พี่รอง พี่อย่ามองอย่างนั้นสิ เดี๋ยวพอพิสูจน์ว่าเจ้าขยะนี้จัดเตรียมการพบปะให้พวกเราไม่ได้แล้ว เราค่อยสั่งสอนเขาให้หนักก็ได้” “เฮอะ ยังต้องพิสูจน์อะไรอีก ไอ้ขยะนี่ต้องจัดเตรียมไม่ได้แน่นอน ถ้ามันจัดการให้พวกเราพบกับประธานของบริษัทหยุนจงหลานได้ อย่างนั้นหมูตัวเมียก็คงปีนต้นไม้ได้เหมือนกันล่ะวะ!” หวังจงฉวนถลึงตามองหวังจงเหิง เมื่อนั้นหวังจงเหิงจึงยอมหยุดลงได้ ทำให้ในรถกลับสู่ความเงียบอีกครั้ง หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมงกว่า รถก็จอดที่หน้าตึกของบริษัทหยุนจงหลาน หวังจงฉวนมองทางประตูใหญ่ของบริษัทหยุนจงหลาน ก็เห็นผู้จัดการหลายแผนกรายล้อมอยู่รอบตัวซุนฮุ่ยกังเข้าประตูไปพอดี “นั่นคือผู้จัดการซุน รีบลงรถแล้วตามฉันไปพบกับผู้จัดการซุนเร็วเข้า” หวังจงฉวนพูดขึ้นประโยคหนึ่ง มือก็ผลักประตูรถเปิดออกแล้ว ก่อนพุ่งออกไปราวกับเสือชีตาห์ล่าเหย
“คุณหลี่คุณอยากพบก็พบได้งั้นเหรอครับ?” ซุนฮุ่ยกังเอ่ยอย่างเหยียดหยาม อย่าว่าแต่หวังจงฉวนเลย แม้แต่ซุนฮุ่ยกังเองก็ยังยากจะได้พบกับเจ้านายใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังของหยุนจงหลาน หลังจากสติหลุดลอยไปชั่วขณะ ซุนฮุ่ยกังนึกขึ้นได้ว่า ดูเหมือนเขาจะไม่เห็นหลี่โม่มาพักใหญ่แล้ว และไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้านายใหญ่ท่านนั้นมีความคิดอะไรอยู่ เรื่องการลงทุนใหญ่โตขนาดนี้ แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย หรือเขาไม่กลัวว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นมาเลยหรือ ซุนฮุ่ยกังส่ายหน้าเล็กน้อย สลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไป การทำอาชีพผู้จัดการมานานทำให้เขาเข้าใจ ว่าห้ามสงสัยการกระทำและการตัดสินใจของเจ้านายเป็นอันขาด หวังจงฉวนเอ่ยอ้อนวอนอย่างขมขื่น “ถ้าไม่ได้พบกับคุณหลี่ บุคลากรและอุปกรณ์ที่ติดต่อเอาไว้ต้องยกเลิกทั้งหมดแน่ พวกเราเลี้ยงดูแลคนกับอุปกรณ์มากมายขนาดนั้นไม่ไหวหรอกครับ” “นั่นมันก็เรื่องของพวกคุณ ในสัญญาเขียนไว้อย่างชัดเจนแล้ว วันเวลาการเริ่มโครงการทางเราเป็นคนกำหนด ถ้าหากเราไม่ได้กำหนดวัน พวกคุณก็ไม่สามารถเข้าไปยังพื้นที่ก่อสร้างได้” ซุนฮุ่ยกังพูดอย่างขอไปที หวังจงฉวนแทบบ้าคลั่ง “ผู้จัดการซุน ยังไงก็ต้อ
“ว่าแล้วว่าไอ้ไร้ประโยชน์นั่นมันต้องโกหก เดี๋ยวต้องไปจัดการมันให้หนักสักครั้ง” หวังจงเหิงเอ่ยอย่างโหดเหี้ยม หวังจงฉวนทำอะไรไม่ถูกเลย ได้แต่กล่าวลาซุนฮุ่ยกัง แล้วออกจากห้องทำงานของซุนฮุ่ยกังไปอย่างหมดอาลัยตายอยาก “พี่ใหญ่ ทำยังไงดีล่ะ ตามที่ผู้จัดการซุนพูด หลี่โม่มันหลอกพวกเรา เขาไม่เคยรู้จักกับประธานของบริษัทหยุนจงหลานอยู่แล้ว น้าเล็กคงจะโกหกเพื่อรักษาหน้าแน่ ๆ สุดท้ายพอขึ้นหลังเสือแล้วก็เลยโยนลูกเขยไร้ค่าของเขาออกมารับกรรมแทน” หวังจงเหิงนินทายุแยงอยู่ข้าง ๆ หวังจงฉวนจึงเอาความไฟโทสะในใจทั้งหมดไปลงที่ตัวหลี่โม่ “ไอ้ขยะนั่นไม่ได้ตามเข้ามาเหรอ? ดูเหมือนว่ามันจะรู้ตัวเองดีอยู่แล้วนะ พวกเราไปถามมันให้ชัดเจนเดี๋ยวนี้เลย!” พวกหวังจงฉวนทั้งสามคนออกจากตึกสำนักงานด้วยความเดือดดาล แล้วเดินไปดึงประตูฝั่งที่นั่งของหลี่โม่เปิดออกมา “แกยังจะเล่นมือถืออยู่อีกงั้นเหรอ! แกบอกว่าสามารถจัดการให้พบกับประธานของบริษัทหยุนจงหลานไม่ใช่หรือไง แต่ผู้จัดการซุนบอกว่าหยุนจงหลานไม่เคยรู้จักไอ้ขยะอย่างแก!” “เพราะเชื่อคำพูดของแกแท้ ๆ ถ้ารู้แต่แรกเราคงไม่พาไอ้คนไร้ประโยชน์อย่างแกมาด้วย อับอายขายขี้หน้า
ไม่ว่าหวังจงเหิงจะโน้มน้าวอย่างไร หวังจงฉวนก็ยังเลือกที่จะไปรอที่หน้าห้องประธาน ไม่ใช่เพราะเชื่อใจหลี่โม่ แต่เป็นเพราะหวังจงฉวนไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว ถ้าไม่ได้เจอกับบอสที่อยู่เบื้องหลังของหยุนจงหลาน และเริ่มการก่อสร้างโดยเร็วที่สุด หวังจงฉวนก็คงยื้อต่อไปไม่ไหวแล้ว อุปกรณ์และพนักงานที่ติดต่อเอาไว้แล้วพวกนั้นล้วนตกลงวันเวลาไว้เรียบร้อยแล้ว ถ้าหากเลยวันเวลาไปแล้วยังไม่สามารถเริ่มงานได้ ตระกูลหวังต้องจ่ายเงินค่าชดใช้ให้จำนวนมาก หากถึงขั้นที่จ่ายเงินชดเชยให้แล้ว หวังจงฉวนก็นับว่าได้ทำพลาดไปแล้ว เขาไม่เพียงเสียความดีความชอบไปครึ่งหนึ่ง ยังต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง และอาจถึงขั้นกลายเป็นตัวตลกในวงการอีกด้วย “ไปเถอะ ไปรอที่หน้าห้องประธานกัน” หวังจงฉวนพาหวังจงเหิงและหวังจงเฉิงกลับเข้าไปในหยุนจงหลาน ขึ้นลิฟต์ไปชั้นบนสุดแล้วตรงไปยังห้องทำงานประธานบริษัท ประตูของห้องประธานปิดสนิท รอบ ๆ ไร้ผู้คน ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ใช้มานานมากแล้ว ก๊อก ก๊อก ก๊อก หวังจงฉวนเคาะประตูอย่างใจกล้า จากนั้นก็ตั้งใจฟังเสียงภายในห้องอย่างระมัดระวัง แต่ผลลัพธ์นั้นทำให้เขาสิ้นหวังอย่างยิ่ง เขาไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย
หวังจงฉวนพลันปรากฏรอยยิ้มขึ้นพลันใบหน้า แล้วเอ่ยอย่างระมัดระวัง “พวกเรากำลังรอคน รอพบท่านประธานของพวกคุณอยู่ครับ” หลี่โม่เดินออกมาจากด้านหลังของหวังต้าย่ง แล้วเอ่ยเสียงเบา “ให้พวกเขารออยู่ข้างนอกก็พอ ถ้าพวกเขากล้าเข้ามามั่วซั่วนายก็ไม่ต้องเกรงใจ” หวังต้าย่งเข้าใจเจตนาของหลี่โม่ในทันที แล้วเดินตามหลังหลี่โม่ไปยังห้องประธาน เมื่อพวกหวังจงฉวนทั้งสามคนเห็นรปภ.ของบริษัทหยุนจงหลานเดินตามหลี่โม่เข้ามาราวกับบอดี้การ์ด แต่ละคนก็ตะลึงตาค้าง นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมรปภ.ของบริษัทหยุนจงหลานถึงมีท่าทีเชื่อฟังกับหลี่โม่ขนาดนี้ สถานการณ์มันดูผิดปกติสุด ๆ เลย “ไอ้ขยะ! นี่แก......” หวังจงเหิงกำลังจะตะโกนโวยวาย กระบองยางในมือของหวังต้าย่งก็ยื่นออกมา ชี้ไปที่หวังจงเหิง หวังจงเหิงพลันหุบปากไม่กล้าพูดอะไร “ประตูห้องทำงานประธานบริษัท ไม่ใช่ที่ที่พวกคุณจะเอะอะเสียงดังได้ หุบปากให้หมด” หวังต้าย่งตวาดอย่างเข้มงวด หลี่โม่ยิ้มกว้างให้กับพวกหวังจงฉวนทั้งสามคน จากนั้นจึงเดินที่ประตูของห้องประธาน หวังต้าย่งก้าวไปข้างหน้าทันที และใช้บัตรผ่านเปิดประตูให้หลี่โม่เดินเข้าไปในห้องทำงาน หวังจงฉวนเบิ
หวังจงฉวนวางสายแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ รู้สึกเสียใจขึ้นมาเล็กน้อยที่ไปยั่วยุหลี่โม่ในตอนแรก หากไม่ได้ทำเช่นนั้น ตอนนี้เขาคงจะได้เข้าไปในห้องทำงานแล้ว “พี่ใหญ่ ไอ้ขยะนั่นมันว่ายังไงบ้าง?” หวังจงเหิงถามด้วยความโมโห เพียะ หวังจงฉวนตบหน้าหวังจงเหิงอย่างแรงทีหนึ่ง “พี่ พี่ตบผมทำไมเนี่ย!” หวังจงเหิงกุมใบหน้าเอาไว้ มองไปยังหวังจงฉวนด้วยสายตาเหลือเชื่อ “นี่แกโง่หรือเปล่า หลี่โม่เข้าไปข้างในแล้ว! แกยังจะเรียกเขาว่าขยะอยู่ได้ ฉันว่าแกต่างหากที่เป็นขยะ! ช่วยใช้สมองหน่อยได้ไหม ความหวังของพวกเราทั้งหมดอยู่ที่ตัวหลี่โม่แล้วนะ!” หวังจงฉวนตำหนิใส่หวังจงเหิง หวังจงเหิงก้มหน้าลงอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ หลังจากที่ลังเลเล็กน้อยเขาก็พูดขึ้น “เมื่อกี้นี้ไม่ใช่ว่าในห้องทำงานไม่มีคนอยู่หรอกเหรอ หลี่โม่อาจจะซื้อตัวรปภ.ของที่นี่มาหลอกพวกเราก็ได้” หวังจงฉวนชะงักไปเล็กน้อย ครุ่นคิดถึงคำพูดเมื่อกี้ของซุนฮุ่ยกังขึ้นมาอีกครั้ง ซุนฮุ่ยกังเพิ่งจะบอกอย่างชัดเจนแล้วว่าท่านประธานไม่อยู่ นอกจากนี้ตอนที่หวังจงฉวนเคาะประตูเมื่อครู่ ในห้องก็ไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมาเลย ซึ่งก็สามารถยืนยันได้แล้วว่าในห้องไม่มีใครอ
“งั้นรอสักครู่ เดี๋ยวผมจะลองโทรไปถามดู” ขณะที่ซุนฮุ่ยกังกำลังจะหยิบโทรศัพทขึ้นมา โทรศัพท์บนโต๊ะก็ดังขึ้น ซุนฮุ่ยกังจึงรับสาย"สวัสดีครับ ผมซุนฮุ่ยกังรับสาย"หลังจากที่ซุนฮุ่ยกังรายงานตัวของเขาแล้ว เขาก็ฟังเสียงจากต้นสาย ท่าทางของเขาดูจริงจังและแสดงถึงความเคารพ“ได้ครับ รับทราบแล้วครับ ผมจะรีบไปจัดการทันทีเลยครับ" ซุนฮุ่ยกังวางโทรศัพท์ หยิบแฟ้มเอกสารแล้วเดินออกไป "พวกคุณออกไปก่อน ผมต้องไปรายงานสถานการณ์ล่าสุดต่อท่านประธาน"“ท่านประธานของคุณอยู่ที่นี่เหรอ?”หวังจงฉวนชะงักไปครู่หนึ่ง และนึกถึงหลี่โม่โดยไม่ตั้งใจหลี่โม่มีจะอิทธิพลมากขนาดนั้น?แต่ทำไมไอ้ขยะนี้มันถึงได้รู้จักกับเจ้าของบริษัทหยุนจงหลาน?ขณะที่หวังจงฉวนอยู่ในอาการงุนงง ซุนฮุ่ยกังก็เดินออกไปแล้ว และมีเลขาคนหนึ่งเข้ามาพร้อมกับพูดอย่างสุภาพว่า "รบกวนออกจากห้องทำงานของคุณซุนด้วยค่ะ ดิฉันจะล็อกประตูให้คุณซุน"หวังจงฉวนกลับมามีสติ และตบหัวของตนเองอย่างแรง "ผมลืมถามคุณซุนไปเลย ช่วยพาผมไปด้วย ผมต้องไปพบเจ้าของบริษัทหยุนจงหลานในวันนี้ให้ได้"หวังจงฉวนได้กลับไปขอความช่วยเหลืออีกครั้ง ส่วนซุนฮุ่ยกังก็ได้เข้าไปในห้องทำงาน
คังหย่งอันกดหมายเลขของคังหย่งเฉียน แล้วพูดเสียงเข้ม "หย่งเฉียน ฉันได้ยินมาว่า แกกับเหวินซินมีปัญหากันเรื่องวิลล่าบนยอดเขาเหรอ?" “พี่ใหญ่ มีปัญหากันน่ะสิ ศิษย์พี่เกิ่งยังถูกทำร้ายจนเข่าหักแล้ว! ศิษย์พี่เกิ่งติดต่อกับอาจารย์โอวหยางไปแล้ว เรื่องนี้อภัยให้ไม่ได้แน่นอน!” คังหย่งเฉียนโกรธแค้นคังเหวินซิน ถ้าไม่ใช่เพราะคังเหวินซินพาหลี่โม่ไปที่นั่น เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว คังหย่งเฉียนเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทำได้เพียงเอาความโมโหไปลงที่คังเหวินซินเท่านั้น “หย่งเฉียน ไม่ว่ายังไงก็ตาม แกต้องรับรองความปลอดภัยของเหวินซิน ฉันไม่สนว่า อาจารย์โอวหยางพวกเขาจะทำอะไรกับเพื่อนของเหวินซิน แต่พวกเขาจะทำร้ายเหวินซินไม่ได้เด็ดขาด!” “พี่ใหญ่ ฉันไม่กล้ารับประกันหรอก รับประกันได้แค่ลูกชายของพี่จะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงตายเท่านั้น ถ้าอาจารย์โอวหยางต้องการลงโทษลูกชายของพี่จริง ๆ ฉันจะไปขวางได้ยังไง ฉันขวางไม่ได้หรอก ไม่กล้าขวางด้วย!" คังหย่งอันขมวดคิ้วแน่น หากคังหย่งเฉียนอยู่ต่อหน้าคังหย่งอันในตอนนี้ คังหย่งอันจะต้องตบเขาให้ตายคามือแน่นอน “หย่งเฉียน! แกเป็นอาข
“ไอ้บัดซบเอ๊ย! ใครกล้ามาต่อกรกับฉันโอวหยางจื้อ มันผู้นั้นจะต้องตาย!” โอวหยางจื้อพึมพำอย่างด้วยความอาฆาตแค้น แล้วสั่งให้ลูกศิษย์ไปจองตั๋วเครื่องบิน ...... คังเหวินซินมาส่งหลี่โม่และคนอื่น ๆ ที่บ้าน หลังจากมองดูทั้งสามเดินเข้าไปข้างในแล้ว จึงสตาร์ทรถและขับออกไปอย่างช้า ๆ “อาเล็กถูกจัดการจนหมดท่าแล้ว ต้องบอกพ่อสักคำไหมนะ อาเล็กจะได้ไปตีไข่ใส่สีอีก” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง คังเหวินซินก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดหมายเลขพ่อของเขาคังหย่งอัน “ฮัลโหล พ่อครับ ผมเพิ่งจะขายวิลล่าบนยอดเขาที่สวนหนานชุ่ยให้เพื่อผมไป ขายราคาต้นทุนน่ะครับ” คังหย่งอันขมวดคิ้ว "นั่นเป็นวิลล่าที่อาเล็กของแกจะเอาไม่ใช่เหรอ แกเอาไปให้เพื่อนได้ยังไง? ผู้จัดการฝ่ายขายว่ายังไงบ้าง?" คังเหวินซินอึ้งครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความผิดปกติในคำพูดของคังหย่งอัน "พ่อ พ่อรู้ได้ยังไงว่าอาเล็กอยากได้วิลล่านั่น?” “อาเล็กของแกเคยบอกพ่อว่า วิลล่าหลังนั้นเป็นของขวัญที่เขาจะเก็บไว้ให้กับปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ในต่างประเทศโอวหยางจื้อ แกคงเคยได้ยินเกี่ยวกับโอวหยางจื้อมาบ้างใช่ไหม? เขาเคยรับหน้าที่เป็นผู้กำกับฉากแอ็คชั่นให้กับภาพย
ในแผนกดูแลพิเศษของโรงพยาบาล คังหย่งเฉียนและคนอื่น ๆ นั่งล้อมรอบเตียง มองดูพี่เกิ่งค่อย ๆ ฟื้นคืนสติ เข่าที่หักของพี่เกิ่งได้รับการผ่าตัดแล้ว แต่หลังการผ่าตัด พี่เกิ่งจะได้แต่นั่งอยู่บนรถเข็นเท่านั้น “ซี๊ด ขากับเข่าฉันเป็นยังไงบ้าง?” พี่เกิ่งถามอย่างร้อนใจ “ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวล ผ่าตัดเสร็จแล้ว เพียงแต่ระดับการรักษาของที่นี่ยังต่ำไปหน่อย หลังจากฟื้นตัวแล้วพี่ต้องนั่งรถเข็น” คังหย่งเฉียนพูดเสียงเบาหวิว “ไอ้บัดซบ! ฉันไม่อยากนั่งรถเข็น! ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้!” พี่เกิ่งคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว รู้สึกเลวร้ายไปทั้งร่างกาย ชีวิตบนรถเข็น ไม่ใช่ชีวิตที่พี่เกิ่งต้องการเลย ถ้าต้องนั่งรถเข็นแล้ว ต่อไปจะฝึกศิลปะการต่อสู้ หรือออกไปรังแกคนอื่นอย่างไร แล้วจะไปจีบสาว ๆ ได้อย่างไร! “ฉันจะย้ายโรงพยาบาล ฉันจะไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุด!” “พี่เกิ่งอย่าเพิ่งตื่นตูม หมอบอกว่า รอพี่ฟื้นตัวดีแล้ว ก็สามารถทำการผ่าตัดครั้งที่สองในโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้เพื่อเปลี่ยนข้อต่อเทียมได้” คังหย่งเฉียนปลอบใจพี่เกิ่งไปพลางก็ขยิบตาให้กับพวกพี่น้องคนอื่น ๆ ส่งสัญญาณให้พวกเขารีบมาช่วยกันโน้มน้าว ศิษย์พี่ห
พี่เกิ่งร้องโหยหวนออกมา รู้สึกว่าขาซ้ายพลิกกลับไปด้านหลัง พลันสูญเสียการทรงตัวและล้มหงายไปข้างหลังทันที พลั่ก พี่เกิ่งล้มหงายลงกับพื้น ปากก็ร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา คังหย่งเฉียนถูกกระตุ้นด้วยเสียงร้องของพี่เกิ่งจนตัวสั่นไปทั้งตัว เสียงวิ้ง ๆ ที่ดังอยู่ในหัวยิ่งชัดเจนขึ้นมาทันใด คังหย่งเฉียนกุมใบหน้าที่บวมแดงไปครึ่งหนึ่งมองไปทางศิษย์พี่เกิ่ง ดวงตาของคังหย่งเฉียนก็แทบจะหลุดออกจากเบ้า ศิษย์พี่เกิ่งที่คังหย่งเฉียนเคยคิดว่า แข็งแกร่งไร้เทียมทานนั้น ตอนนี้กำลังร้องคร่ำครวญราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังจะตาย เมื่อมองขาขวาของพี่เกิ่งหักงอในองศาที่ผิดธรรมชาติ คังหย่งเฉียนก็รู้สึกว่า เลือดทั่วร่างกายเย็นเฉียบขึ้นมา นี่เป็นเรื่องที่มนุษย์สามารถทำได้อย่างนั้นเหรอ? นี่เป็นผลลัพธ์ที่สามารถใช้กำปั้นทำได้เหรอ? นี่มันซูเปอร์ไซย่าในตำนานหรืออย่างไรกัน?! พวกศิษย์น้องของพี่เกิ่งหลายคนต่างหวาดกลัวกับความเผด็จการของหลี่โม่ ทั้งกลุ่มพลันหมดความโอหังไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาลากพี่เกิ่งขึ้นมาจากพื้นแล้ววิ่งตะบึงออกไปข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่คำพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้คือศิษย์
คังเหวินซินรออยู่สามวินาที แต่ละวินาทีราวกับยาวนานเป็นปี รออยู่นานฝ่ามือของพี่เกิ่งก็ยังไม่ตบลงมาสักที คังเหวินซินจึงลืมตาขึ้น เมื่อเอียงหน้ามองเห็นฝ่ามือของพี่เกิ่งอยู่ห่างจากหน้าตนแค่เฉียดฉิว หัวใจของคังเหวินซินแทบจะกระโดดออกมาจากปาก หลังจากที่เห็นข้อมือของพี่เกิ่งถูกหลี่โม่คว้าไว้ คังเหวินซินถึงได้รู้สึกว่า หัวใจของตัวเองกลับเข้าที่ได้แล้ว คังเหวินซินที่สงบลงแล้ว รีบถอยไปหลบด้านหลังหลี่โม่ แล้วร้องตะโกนด้วยน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง "อาจารย์!" “นายอย่าร้องไห้น่าสมเพชนักสิ มันทำฉันขายหน้านะ” หลี่โม่พูดด้วยรอยยิ้ม คังเหวินซินตะลีตะลานเช็ดเบ้าตา ไม่ยอมให้ตัวเองร้องไห้ออกมา พี่เกิ่งจ้องมองหลี่โม่อย่างโมโห แอบพยายามดึงข้อมือของตัวเองกลับมาอย่างลับ ๆ แต่ไม่ว่าพี่เกิ่งจะพยายามออกแรงแค่ไหน มือของหลี่โม่ก็ราวกับคีมปากเสือหนีบข้อมือของพี่เกิ่งเอาไว้แน่น จนข้อมือของพี่เกิ่งไม่มีทางสลัดหลุดได้เลย “ปล่อยมือฉัน!” พี่เกิ่งตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว “แกบอกให้ปล่อยก็ต้องปล่อยเหรอ? แกน่าจะอธิบายเรื่องที่จะลงไม้ลงมือกับลูกศิษย์ฉันเมื่อกี้นี้มาสักหน่อยไหม?” หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา คังเหวินซินส
กู้หยุนหลานมองไปยังหลี่โม่อย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นหลี่โม่ขยิบตาให้ เธอจึงไม่พูดอะไรและเก็บความสงสัยไว้ในใจ ผู้จัดการหวังโบกมือให้พนักงานขายสาว พนักงานสาวที่ถือสัญญาอยู่แล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ผู้จัดการหวัง นี่เป็นสัญญาของวิลล่ายอดเขาค่ะ แต่ราคานี้มัน…” สีหน้าของพนักงานสาวดูบูดเบี้ยวเล็กน้อย ถ้าขายวิลล่านี้ออกไปในราคาต้นทุน เธอคงไม่ได้รับค่าคอมมิชชั่นเลยสักแดง! ที่ผ่านมาเศรษฐีในเมืองฮั่นจำนวนมากต่างก็ถูกใจวิลล่าแห่งนี้ แต่เพราะมีการปิดกั้นการซื้อขาย เลยไม่ได้ขายอย่างเป็นทางการ เดิมทีพวกพนักงานสาวนั้นเตรียมพร้อมที่จะทำกำไรมหาศาลด้วยการขายวิลล่าหลังนี้หลังจากที่เปิดการขายแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ความฝันของพวกเธอกำลังจะมลายหายไปซะแล้ว “พวกเธอมีสิทธิ์พูดงั้นเหรอ? นี่คือการตัดสินใจของคุณชายใหญ่!” ผู้จัดการหวังตำหนิพนักงานขายสาว พนักงานสาวหดคอและปิดปากเงียบไม่กล้าพูดอีก ผู้จัดการหวังเปิดสัญญาตรวจดู หลังจากยืนยันความถูกต้องแล้ว เขาก็ถือสัญญาเดินไปหาหลี่โม่ “อ่านสัญญาดูก่อนนะครับ หากไม่มีปัญหาอะไร เราจะไปเซ็นสัญญาที่สำนักงานของผมกัน ผมไม่สามารถนำตราประทับอะไรพวกนั้นพกติดต
“คุณชาย อย่ามาขู่ผมเลยครับ ผมไม่กลัวหรอกนะ สิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่ล้วนมีเหตุมีผล หากไม่เชื่อก็ถามซินแสที่มาดูฮวงจุ้ยให้ได้เลยครับ คำพูดพวกนี้เขาเป็นคนพูดเองกับปากทั้งนั้น” ผู้จัดการหวังแข็งขืน ไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เหวินซิน อย่าหุนหันพลันแล่น ผู้จัดการหวังพูดถูกแล้ว คนที่โชคชะตาบารมีไม่ถึง ไม่มีทางข่มพลังฮวงจุ้ยอันยอดเยี่ยมได้แน่นอน” คังเหวินซินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม "อาจารย์พูดถูกแล้วครับ แต่ด้วยบารมีของอาจารย์ จะต้องสามารถข่มมันได้อย่างแน่นอน พวกเรามาดูกันดีกว่า ที่นี่ล้วนได้รับการตกแต่งอย่างดี คุณหิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่ได้เลย เหลือแค่ดูว่าวิลล่าหลังนี้ถูกใจคุณหรือเปล่าก็พอครับ” เมื่อเห็นคังเหวินซินพยายามเอาอกเอาใจหลี่โม่ ผู้จัดการหวังก็เกิดความสงสัยเล็กน้อย หรือว่าตนจะมองผิดไป? ผู้ชายที่สวมเสื้อผ้าแผงลอยทั้งตัวคนนี้ เป็นคุณชายเศรษฐีที่มาลองสัมผัสประสบการณ์ชีวิตงั้นเหรอ? ไม่อย่างนั้นทำไมคุณชายของตนถึงได้ไปประจบเอาใจเขาขนาดนี้กัน? “คุณชาย ท่านนี้คืออาจารย์ของคุณเหรอครับ?” ผู้จัดการหวังถามอย่างสงสัย “นี่คืออาจารย์ของฉันหลี่โม่ นายสุภาพกับอาจารย์ของฉัน
“ไอ้สารเลวคนไหนไม่ดูตาม้าตาเรือ กล้ามาแย่งวิลล่าของอาจารย์ พวกแกยังมัวแต่กินอะไรกันอีก ไปดูด้วยกัน จัดการไอ้พวกสารเลวนั่นซะ” “ศิษย์พี่เกิ่งพูดถูก พวกเราทุกคนต้องไปดูด้วยกัน บ้านของอาจารย์ต้องดีที่สุดเท่านั้น จะผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว” ศิษย์พี่เกิ่งและคนอื่น ๆ พากันลุกขึ้นทีละคน เมื่อเห็นเช่นนี้คังหย่งเฉียนก็เรียกให้พนักงานคิดเงินทันที แล้วจึงพาพวกของศิษย์พี่เกิ่งมุ่งตรงไปยังสวนหนานชุ่ย ... รถเมอร์เซเดสเบนซ์ขับเข้าไปในสวนหนานชุ่ย และขับตรงไปตามทางขึ้นยอดเขา ใกล้กับยอดเขาของเขาหนานชุ่ยนั้นมีที่ราบอยู่บริเวณหนึ่ง ที่ราบนี้ถูกนำมาใช้สร้างวิลล่า พร้อมทั้งปลูกต้นไม้พืชพรรณเขียวชอุ่มรอบ ๆ วิลล่าอีกด้วย ด้านหน้าวิลล่ายังมีลำธารที่ไหลมาจากยอดเขา ทำให้ฮวงจุ้ยของวิลล่านี้ยอดเยี่ยมมากไร้ที่ติ หน้าน้ำหลังเขา ตำแหน่งปากมังกรจัดวางฮวงจุ้ยอย่างดี ทำให้วิลล่าบนยอดเขาหลังนี้เลิศล้ำไม่มีใครเทียม รถเมอร์เซเดสเบนซ์จอดสนิทหน้าประตูวิลล่ายอดเขา ผู้จัดการหวังและพนักงานขายสาวสองคนยืนรอที่ประตูวิลล่าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นรถเบนซ์จอดนิ่ง ผู้จัดการหวังก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปช่วยเปิดประตูรถ
ผู้จัดการหวังหยิบบุหรี่ออกมาคาบที่มุมปาก เตรียมจะสูบบุหรี่เพื่อสงบสติอารมณ์ คำขอของคังเหวินซินทำให้ผู้จัดการหวังตั้งตัวไม่ติด การจะดูบ้านมันไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าอีกฝ่ายถูกใจขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไรล่ะ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องราคาต้นทุนหรือเปล่า ถ้าคังหย่งเฉียนเข้ามาครอบครองวิลล่าหลังนี้ เขาก็คงไม่ได้เงินเลยสักแดงเดียว พอนึกถึงคังหย่งเฉียนขึ้นมาผู้จัดการหวังรู้สึกปวดจี๊ด ๆ ขึ้นมา เจ้านั่นเป็นปีศาจเจ้าสำราญแห่งตระกูลคัง วัน ๆ เอาแต่เกียจคร้าน กินดื่มเที่ยวเล่น ยิ่งกว่านั้นยังคบค้ากับพวกอันธพาล ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสตระกูลคังก็ยังถูกคังหย่งเฉียนยั่วโมโหจนเส้นเลือดในสมองตีบ แทบทุกคนในตระกูลคังล้วนทำเป็นไม่สนใจคังหย่งเฉียน ตราบใดที่คังหย่งเฉียนไม่ได้ก่อปัญหา ก็ไม่มีใครสนใจว่า คังหย่งเฉียนจะทำอะไร ถ้าหากยกวิลล่าให้เพื่อนของคังเหวินซินจริง ๆ คังหย่งเฉียนคงจะพาคนมาสับเขาเป็นชิ้น ๆ ถึงที่แน่ หลังจากสูบบุหรี่หมดมวน ผู้จัดการหวังก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ รู้สึกว่ายังไงก็ควรแจ้งให้คังหย่งเฉียนรู้สักหน่อย ส่วนคังหย่งเฉียนจะต่อสู้กับคังเหวินซินอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขา