ด้วยการเร่งเร้าของหวังฟาง หลี่โม่จึงล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วแสร้งทำเป็นคุยกับเฉียนฝูสองสามประโยค จากนั้นจึงเก็บมือถือแล้วเอ่ย “ไม่มีปัญหาครับ จัดการให้ได้ทุกเมื่อ” “จริงเหรอ?” หวังฟางยังตกอยู่ในความตะลึง หล่อนยังรู้สึกว่ามันค่อนข้างเหลือเชื่อที่หลี่โม่สามารถทำให้เฉียนมาช่วยได้ “จริงแท้แน่นอนครับ ทางเฉียนฝูก็มีการร่วมมือทางธุรกิจกับบริษัทหยุนจงหลานอยู่พอดี การจัดการให้พบปะกันสักครั้งจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไร” หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้มตาหยี แต่ในใจกลับรู้สึกแปลกประหลาดนิดหน่อยที่ตัวเองต้องลำบากลำบนขนาดนี้ ไม่นึกเลยว่าตนต้องมาจัดการพบปะให้ตัวเองด้วยหรือนี่ “อย่างนั้นก็ดีเลย เรื่องนี้แก้ไขได้เสียที งั้นให้หยุนหลานพาจงฉวนไปได้ไหม” หวังฟางเอ่ยอย่างได้คืบจะเอาศอก “หนูไปไม่ได้หรอก เดี๋ยวจะเกิดข่าวลืออะไรขึ้นมาอีก” กู้หยุนหลานปฏิเสธอย่างเด็ดขาด หวังฟางถอนหายใจ เธอเองก็กระดากใจที่จะไปบีบบังคับอะไร “งั้นหลี่โม่ แกก็พาจงฉวนไปหน่อยแล้วกัน ต้องแสดงท่าทีกับจงฉวนให้ดีสักหน่อยล่ะ” หลี่โม่พยักหน้า “ไม่มีปัญหาครับ แม่คิดว่าจะไปเมื่อไหร่ดีล่ะ?” หวังฟางครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วหยิบมือถือออก
…… เช้าตรู่ หวังจงเหิง หวังจงเฉิงและหวังจงฉวนกำลังนั่งอยู่ในห้องโถง “พี่ใหญ่ ขอให้วันนี้ประสบความสำเร็จด้วยดี สามารถชนะใจคุณหลี่เศรษฐีลึกลับคนนั้นได้นะพี่ แบบนั้นแล้วต่อไปตระกูลหวังของเราจะได้ผงาดขึ้นเสียที” หวังจงเหิงยกยอปอปั้นหวังจงฉวนอย่างแข็งขัน หวังจงเฉิงรู้สึกอึดอัดในใจเล็กน้อย หากบ้านหลักของตระกูลยิ่งแข็งแกร่ง อย่างนั้นสิ่งที่หวังจงเฉิงจะได้รับในอนาคตก็ยิ่งน้อยลง หวังจงเฉิงซ่อนความคิดเจ้าเล่ห์ไว้ในใจแล้วยกยิ้มเอ่ย “พี่ใหญ่ ครั้งนี้ต้องทำดีกับพี่หยุนหลานให้มาก ๆ นะ ถึงยังไงพี่หยุนหลานก็เป็นชู้รักกับเศรษฐีลึกลับคนนั้น”“ฮ่าฮ่า” หวังจงฉวนหัวเราะอย่างเหยียดหยาม “นั่นมันเรื่องน้าเล็กคุยโวโอ้อวดไปเท่านั้น รู้ไหมว่าเมื่อวานน้าเล็กโทรมาบอกกับฉันว่ายังไง?” “บอกว่ายังไงล่ะ? หรือจะบอกว่ากู้หยุนหลานกับเศรษฐีลึกลับนั่นไม่มีความสัมพันธ์อะไรกัน?” หวังจงเฉิงถาม “ก็ประมาณนั้น แล้วจากนั้นก็บอกให้ลูกเขยไร้ประโยชน์ของเขาไปกับฉัน ฉันคิดว่าเรื่องนี้ไม่น่าไว้ใจ คงจะเสียเวลาไปเปล่า ๆ วันหนึ่งแล้วล่ะ” หวังจงฉวนส่ายหน้าพลางพูด หวังจงเหิงตบโต๊ะอย่างแรง นึกถึงเรื่องที่เคยถูกหลี่โม่ตบหน
“เดิมทีนายก็ไม่ได้มีท่าทีเหมือนขอร้องให้ช่วยทำธุระให้อยู่แล้วนี่ ถ้านายทำท่าทีแบบนี้ล่ะก็ ฉันว่าอย่าพานายไปให้ขายหน้าดีกว่า” หลี่โม่เอ่ยอย่างเรียบเฉย เผชิญหน้ากับเจตนาร้ายอย่างเด่นชัดของคนตระกูลหวัง เดิมทีหลี่โม่ก็รู้สึกไม่พอใจอยู่แล้ว หากไม่ใช่เพราะคนพวกนี้เป็นญาติของกู้หยุนหลาน หลี่โม่คงคร้านจะสนใจพวกเขาอยู่แล้ว “นี่แกคิดว่าตัวเองวิเศษวิโสมากนักรึไง! แกนี่มันไร้ยางอายจริง ๆ” หวังจงเหิงเอ่ยด้วยความโมโห และพับแขนเสื้อขึ้นคิดจะลงมือ หวังจงฉวนโบกมือไปมา ขวางหวังจงเหิงเอาไว้ “ไม่จำเป็นต้องไปคิดเล็กคิดน้อยกับคนไร้ค่าคนหนึ่งหรอก ต่อยมันไปรังแต่จะสกปรกมือเปล่า ๆ ” “พี่ใหญ่ งั้นจะเอายังไงดี เรื่องแผนการพัฒนาของบริษัทหยุนจงหลานเป็นเรื่องสำคะญมากนะ ยังไงก็ต้องเจอกับคุณหลี่ผู้ลึกลับท่านนั้นให้ได้” หวังจงเหิงพูดจบก็เหลือบมองหลี่โม่เล็กน้อย “ที่ว่ามาน่ะ ไม่ใช่เจ้าปัญญาอ่อนนี่หรอกนะ” “เหอะ ๆ ” หลี่โม่หัวเราะอย่างเนือย ๆ เดิมทีเขาก็ไม่ได้สนใจหวังจงเหิงอยู่แล้ว “สัญญานี้ผู้จัดการซุนเป็นคนเซ็นสัญญากับฉัน ถึงตอนที่ไปเยี่ยมผู้จัดการซุนแล้วถามสักหน่อยแล้วกัน” การไปเยี่ยมผู้จัดการใหญ่ซ
หวังจงเหิงที่นั่งอยู่เบาะข้างคนขับจ้องเขม็งหลี่โม่ที่นั่งอยู่เบาะหลังอย่างดุร้าย ท่าทางเช่นนั้นราวกับจะกลืนหลี่โม่เข้าไปทั้งเป็นอย่างนั้น หลี่โม่ก้มหน้าก้มตาดูมือถือ ไม่ได้สนใจการมีอยู่ของหวังจงเหิงเลยแม้แต่น้อย หวังจงเฉิงตบไหล่หวังจงเหิง แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “พี่รอง พี่อย่ามองอย่างนั้นสิ เดี๋ยวพอพิสูจน์ว่าเจ้าขยะนี้จัดเตรียมการพบปะให้พวกเราไม่ได้แล้ว เราค่อยสั่งสอนเขาให้หนักก็ได้” “เฮอะ ยังต้องพิสูจน์อะไรอีก ไอ้ขยะนี่ต้องจัดเตรียมไม่ได้แน่นอน ถ้ามันจัดการให้พวกเราพบกับประธานของบริษัทหยุนจงหลานได้ อย่างนั้นหมูตัวเมียก็คงปีนต้นไม้ได้เหมือนกันล่ะวะ!” หวังจงฉวนถลึงตามองหวังจงเหิง เมื่อนั้นหวังจงเหิงจึงยอมหยุดลงได้ ทำให้ในรถกลับสู่ความเงียบอีกครั้ง หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมงกว่า รถก็จอดที่หน้าตึกของบริษัทหยุนจงหลาน หวังจงฉวนมองทางประตูใหญ่ของบริษัทหยุนจงหลาน ก็เห็นผู้จัดการหลายแผนกรายล้อมอยู่รอบตัวซุนฮุ่ยกังเข้าประตูไปพอดี “นั่นคือผู้จัดการซุน รีบลงรถแล้วตามฉันไปพบกับผู้จัดการซุนเร็วเข้า” หวังจงฉวนพูดขึ้นประโยคหนึ่ง มือก็ผลักประตูรถเปิดออกแล้ว ก่อนพุ่งออกไปราวกับเสือชีตาห์ล่าเหย
“คุณหลี่คุณอยากพบก็พบได้งั้นเหรอครับ?” ซุนฮุ่ยกังเอ่ยอย่างเหยียดหยาม อย่าว่าแต่หวังจงฉวนเลย แม้แต่ซุนฮุ่ยกังเองก็ยังยากจะได้พบกับเจ้านายใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังของหยุนจงหลาน หลังจากสติหลุดลอยไปชั่วขณะ ซุนฮุ่ยกังนึกขึ้นได้ว่า ดูเหมือนเขาจะไม่เห็นหลี่โม่มาพักใหญ่แล้ว และไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้านายใหญ่ท่านนั้นมีความคิดอะไรอยู่ เรื่องการลงทุนใหญ่โตขนาดนี้ แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย หรือเขาไม่กลัวว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นมาเลยหรือ ซุนฮุ่ยกังส่ายหน้าเล็กน้อย สลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไป การทำอาชีพผู้จัดการมานานทำให้เขาเข้าใจ ว่าห้ามสงสัยการกระทำและการตัดสินใจของเจ้านายเป็นอันขาด หวังจงฉวนเอ่ยอ้อนวอนอย่างขมขื่น “ถ้าไม่ได้พบกับคุณหลี่ บุคลากรและอุปกรณ์ที่ติดต่อเอาไว้ต้องยกเลิกทั้งหมดแน่ พวกเราเลี้ยงดูแลคนกับอุปกรณ์มากมายขนาดนั้นไม่ไหวหรอกครับ” “นั่นมันก็เรื่องของพวกคุณ ในสัญญาเขียนไว้อย่างชัดเจนแล้ว วันเวลาการเริ่มโครงการทางเราเป็นคนกำหนด ถ้าหากเราไม่ได้กำหนดวัน พวกคุณก็ไม่สามารถเข้าไปยังพื้นที่ก่อสร้างได้” ซุนฮุ่ยกังพูดอย่างขอไปที หวังจงฉวนแทบบ้าคลั่ง “ผู้จัดการซุน ยังไงก็ต้อ
“ว่าแล้วว่าไอ้ไร้ประโยชน์นั่นมันต้องโกหก เดี๋ยวต้องไปจัดการมันให้หนักสักครั้ง” หวังจงเหิงเอ่ยอย่างโหดเหี้ยม หวังจงฉวนทำอะไรไม่ถูกเลย ได้แต่กล่าวลาซุนฮุ่ยกัง แล้วออกจากห้องทำงานของซุนฮุ่ยกังไปอย่างหมดอาลัยตายอยาก “พี่ใหญ่ ทำยังไงดีล่ะ ตามที่ผู้จัดการซุนพูด หลี่โม่มันหลอกพวกเรา เขาไม่เคยรู้จักกับประธานของบริษัทหยุนจงหลานอยู่แล้ว น้าเล็กคงจะโกหกเพื่อรักษาหน้าแน่ ๆ สุดท้ายพอขึ้นหลังเสือแล้วก็เลยโยนลูกเขยไร้ค่าของเขาออกมารับกรรมแทน” หวังจงเหิงนินทายุแยงอยู่ข้าง ๆ หวังจงฉวนจึงเอาความไฟโทสะในใจทั้งหมดไปลงที่ตัวหลี่โม่ “ไอ้ขยะนั่นไม่ได้ตามเข้ามาเหรอ? ดูเหมือนว่ามันจะรู้ตัวเองดีอยู่แล้วนะ พวกเราไปถามมันให้ชัดเจนเดี๋ยวนี้เลย!” พวกหวังจงฉวนทั้งสามคนออกจากตึกสำนักงานด้วยความเดือดดาล แล้วเดินไปดึงประตูฝั่งที่นั่งของหลี่โม่เปิดออกมา “แกยังจะเล่นมือถืออยู่อีกงั้นเหรอ! แกบอกว่าสามารถจัดการให้พบกับประธานของบริษัทหยุนจงหลานไม่ใช่หรือไง แต่ผู้จัดการซุนบอกว่าหยุนจงหลานไม่เคยรู้จักไอ้ขยะอย่างแก!” “เพราะเชื่อคำพูดของแกแท้ ๆ ถ้ารู้แต่แรกเราคงไม่พาไอ้คนไร้ประโยชน์อย่างแกมาด้วย อับอายขายขี้หน้า
ไม่ว่าหวังจงเหิงจะโน้มน้าวอย่างไร หวังจงฉวนก็ยังเลือกที่จะไปรอที่หน้าห้องประธาน ไม่ใช่เพราะเชื่อใจหลี่โม่ แต่เป็นเพราะหวังจงฉวนไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว ถ้าไม่ได้เจอกับบอสที่อยู่เบื้องหลังของหยุนจงหลาน และเริ่มการก่อสร้างโดยเร็วที่สุด หวังจงฉวนก็คงยื้อต่อไปไม่ไหวแล้ว อุปกรณ์และพนักงานที่ติดต่อเอาไว้แล้วพวกนั้นล้วนตกลงวันเวลาไว้เรียบร้อยแล้ว ถ้าหากเลยวันเวลาไปแล้วยังไม่สามารถเริ่มงานได้ ตระกูลหวังต้องจ่ายเงินค่าชดใช้ให้จำนวนมาก หากถึงขั้นที่จ่ายเงินชดเชยให้แล้ว หวังจงฉวนก็นับว่าได้ทำพลาดไปแล้ว เขาไม่เพียงเสียความดีความชอบไปครึ่งหนึ่ง ยังต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง และอาจถึงขั้นกลายเป็นตัวตลกในวงการอีกด้วย “ไปเถอะ ไปรอที่หน้าห้องประธานกัน” หวังจงฉวนพาหวังจงเหิงและหวังจงเฉิงกลับเข้าไปในหยุนจงหลาน ขึ้นลิฟต์ไปชั้นบนสุดแล้วตรงไปยังห้องทำงานประธานบริษัท ประตูของห้องประธานปิดสนิท รอบ ๆ ไร้ผู้คน ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ใช้มานานมากแล้ว ก๊อก ก๊อก ก๊อก หวังจงฉวนเคาะประตูอย่างใจกล้า จากนั้นก็ตั้งใจฟังเสียงภายในห้องอย่างระมัดระวัง แต่ผลลัพธ์นั้นทำให้เขาสิ้นหวังอย่างยิ่ง เขาไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย
หวังจงฉวนพลันปรากฏรอยยิ้มขึ้นพลันใบหน้า แล้วเอ่ยอย่างระมัดระวัง “พวกเรากำลังรอคน รอพบท่านประธานของพวกคุณอยู่ครับ” หลี่โม่เดินออกมาจากด้านหลังของหวังต้าย่ง แล้วเอ่ยเสียงเบา “ให้พวกเขารออยู่ข้างนอกก็พอ ถ้าพวกเขากล้าเข้ามามั่วซั่วนายก็ไม่ต้องเกรงใจ” หวังต้าย่งเข้าใจเจตนาของหลี่โม่ในทันที แล้วเดินตามหลังหลี่โม่ไปยังห้องประธาน เมื่อพวกหวังจงฉวนทั้งสามคนเห็นรปภ.ของบริษัทหยุนจงหลานเดินตามหลี่โม่เข้ามาราวกับบอดี้การ์ด แต่ละคนก็ตะลึงตาค้าง นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมรปภ.ของบริษัทหยุนจงหลานถึงมีท่าทีเชื่อฟังกับหลี่โม่ขนาดนี้ สถานการณ์มันดูผิดปกติสุด ๆ เลย “ไอ้ขยะ! นี่แก......” หวังจงเหิงกำลังจะตะโกนโวยวาย กระบองยางในมือของหวังต้าย่งก็ยื่นออกมา ชี้ไปที่หวังจงเหิง หวังจงเหิงพลันหุบปากไม่กล้าพูดอะไร “ประตูห้องทำงานประธานบริษัท ไม่ใช่ที่ที่พวกคุณจะเอะอะเสียงดังได้ หุบปากให้หมด” หวังต้าย่งตวาดอย่างเข้มงวด หลี่โม่ยิ้มกว้างให้กับพวกหวังจงฉวนทั้งสามคน จากนั้นจึงเดินที่ประตูของห้องประธาน หวังต้าย่งก้าวไปข้างหน้าทันที และใช้บัตรผ่านเปิดประตูให้หลี่โม่เดินเข้าไปในห้องทำงาน หวังจงฉวนเบิ