“แม่ คนเฒ่าคนแก่อย่างแม่ก็อย่าก่อปัญหาเพิ่มอีกเลย แม่อยากให้พวกเราทั้งครอบครัวต้องตายกันหมดจริง ๆ เหรอ?” หลี่กังเอ่ยด้วยความเคร่งเครียด หญิงชราตะลึงไปชั่วขณะ เธอมองท่าทีตึงเครียดของหลี่กังก็พลันรู้สึกสะกิดใจขึ้นมาเล็กน้อย จึงดึงหลี่กังเข้ามาถามเสียงเบา “แก แกสู้พวกเขาไม่ได้งั้นเหรอ?” “สู้บ้าอะไรล่ะแม่! นั่นมันคุณชายหลงนะ แค่น้ำลายกระเซ็นออกมาสักนิด พวกเราก็ต้องสิ้นชีพกันทั้งบ้านแล้ว แม่ก่อปัญหาใหญ่ให้ผมแล้วเนี่ย” “แก ปกติแกบอกตัวแกเก่งกาจนักหนา ในกรุงโซลไม่กลัวใครหน้าไหนไม่ใช่เหรอ” หญิงชราเอ่ยอย่างคับข้องใจ ปกติหลี่กังมักจะคุยโวโอ้อวดอยู่ในบ้าน บวกกับที่พอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง จึงได้ใจจนลืมตัวขึ้นมา คนในบ้านทั้งแม่และลูกชายจึงเห็นเขานั้นไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ หลี่กังพลันนึกเสียใจอย่างไม่รู้จบ ถือว่าได้สัมผัสถึงความสำคัญของความอ่อนน้อมถ่อมตนอย่างถ่องแท้ ดูอย่างคุณหลี่เขาสิ ผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถทำให้คุณชายหลงเลียแข้งเลียขาได้ กลับถ่อมตนถึงขนาดนั้น ทำให้หลี่กังเหมือนหัวชนแผ่นเหล็กในทันใด ในใจหลี่กังนึกตำหนิหลี่โม่ว่าจะถ่อมตนขนาดนั้นไปทำไม ถึงจะคุยโววางก้ามใหญ่โตให้เต็มที่ก็ไม่มีใ
“คุณ คุณชายหลง เมื่อครู่ผมให้คนไปทุบรถของคุณหลี่ ผมสำนึกผิดแล้ว ผมจะชดใช้ให้กับคุณหลี่เอง ขอร้องคุณชายหลงได้โปรดช่วยพูดกับคุณหลี่ให้ด้วย วันนี้ผมยอมถูกตีถูกปรับครับ” “เฮอะ คิดว่าคุณหลี่จะอยากได้รถพัง ๆ ของนายเหรอ ทรัพย์สินทั้งหมดของนายฉันให้คนยึดไว้หมดแล้ว นับว่าเป็นการลงโทษเล็ก ๆ น้อย ๆ ของนาย คุณหลี่มีคุณธรรมเมตตา ถึงได้ไม่ต้องการเอาชีวิตสุนัขของนาย พาคนในครอบครัวของนายไสหัวออกจากกรุงโซลไปซะ” เฉียวเจิ้งหลงเอ่ยเสียงเย็น หลี่กังสติแตกในฉับพลัน รู้สึกว่าชีวิตต่อจากนี้ไปของตนไร้ซึ่งความหวังแล้ว “ผม ตอนนี้ผมจบสิ้นแล้ว ธุรกิจทรัพย์สินที่ทุ่มเทมาครึ่งชีวิตก็หมดสิ้นแล้ว คุณชายหลง คุณชายหลงช่วยพูดให้ผมหน่อยนะครับ ผมไปคุกเข่าขอความเมตตาจากคุณหลี่เลยก็ได้” หลี่กังพยายามอ้อนวอนสุดชีวิต เฉียวเจิ้งหลงแค่นเสียงอย่างเย็นชาคำหนึ่ง แล้วจึงพาลูกน้องวิ่งตามไปทิศทางที่หลี่โม่เดินออกไป ลูกน้องของหลี่กังพวกนั้นลุกยืนขึ้น แล้วไปรวมตัวกันเบื้องหน้าหลี่กัง “พวก พวกนาย พวกนายจะทำอะไร” หลี่กังเห็นสายตาไม่เป็นมิตรของพวกลูกน้องก็ตื่นตระหนกขึ้นมาทันใด “แม่งเอ๊ย คุณยังมีหน้ามาถามพวกเราอีกเหรอว่าจะทำอะ
หลังจากที่นั่งรถของเฉียวเจิ้งหลงไปส่งซีซีที่โรงพยาบาลแล้ว ลูกน้องของเฉียวเจิ้งหลงก็นำรถคันใหม่ที่เหมือนกันเป๊ะ ๆ มาให้ แล้วส่งมอบให้กู้หยุนหลานที่โรงพยาบาล เฉียวเจิ้งหลงรายงานกับหลี่โม่เล็กน้อยว่าได้จัดการกับหลี่กังอย่างไร หลี่โม่โบกมืออย่างไม่ใส่ใจนัก สื่อความหมายว่าจะจัดการหลี่กังอย่างไรก็แล้วแต่เขา เฉียวเจิ้งหลงพูดคุยกับหลี่โม่อีกสองสามประโยค เขาก็เห็นว่าหลี่โม่อารมณ์ไม่ดีนัก จึงกล่าวลาและปลีกตัวออกไปอย่างรู้จักวางตัว เมื่อหลี่โม่ส่งซีซีกลับห้องผู้ป่วย และเมื่อทั้งเขากับกู้หยุนหลานกล่อมซีซีให้นอนหลับได้แล้ว ทั้งสองคนก็ออกจากโรงพยาบาลกลับบ้านไปด้วยกัน หวังฟางและกู้เจี้ยนหมินที่อยู่ที่บ้านต่างนั่งอยู่ในห้องรับแขก เมื่อเห็นหลี่โม่และกู้หยุนหลานกลับมาด้วยกัน หวังฟางก็ตบที่โซฟาอย่างแรง “หยุนหลาน มานี่ซิ แม่มีเรื่องจะคุยกับแก” “แม่คะ มีเรื่องอะไรเหรอคะ?” กู้หยุนหลานนั่งลงข้าง ๆ หวังฟาง เอ่ยถามอย่างสงสัย หลี่โม่ช่วยรินน้ำชาแทนกู้หยุนหลาน จากนั้นจึงนั่งลงข้าง ๆ ด้วย “ญาติผู้พี่คนโตของลูกเซ็นสัญญาก่อสร้างและพัฒนากับบริษัทหยุนจงหลานแล้ว แต่ช่วงนี้บริษัทหยุนจงหลานไม่มีความเคลื่
ทุกคนในตระกูลหวังแม้ในใจจะไม่เชื่อ แต่เมื่อเห็นหวังฟางพูดอย่างเป็นตุเป็นตะแล้ว นอกจากนี้ชื่อของบริษัทหยุนจงหลานกับกู้หยุนหลานก็มีความเกี่ยวข้องกันอยู่บ้างจริง ๆ ดังนั้นสมาชิกตระกูลหวังจึงตั้งใจจะลองทดสอบดู โดยเสนอว่าให้กู้หยุนหลานพาหวังจงฉวนไปพบกับคุณหลี่ผู้ลึกลับคนนั้น กู้หยุนหลานกุมหน้าผาก รู้สึกไม่ค่อยดีไปทั้งตัว “แม่คะ แม่คงจะไม่ได้ให้หนูพาหวังจงฉวนไปพบกับคุณหลี่เศรษฐีลึกลับคนนั้นหรอกใช่ไหม?” “ใช่แล้ว แม่ก็หมายความว่าอย่างนั้นแหละ หยุนหลานครั้งนี้แกต้องพยายามเพื่อแม่สักครั้ง ให้แม่ของแกกลับไปที่บ้านเดิมแล้วเชิดหน้าชูตากับเขาได้บ้างสิ” “แต่หนูไม่รู้จักคุณหลี่เศรษฐีลึกลับอะไรนั่นจริง ๆ นะคะ แม่จะให้หนูพาไปพบกับคนอื่นเขายังไงกัน” กู้หยุนหลานพูดอย่างปวดหัว หวังฟางมองไปยังกู้หยุนหลานอย่างค่อนข้างประหลาดใจ เมื่อเห็นว่าสีหน้าของกู้หยุนหลานดูเหมือนจะไม่ได้เสแสร้ง ก็พลันทำอะไรไม่ถูกขึ้นมาในทันใด “นี่ นี่มันเป็นเรื่องแล้ว แม่ไปคุยโวเอาไว้แล้ว ถ้าทำไม่ได้ คงต้องถูกพวกลุง ๆ ของแกหัวเราะเยาะแน่ ทำไมชีวิตฉันถึงอาภัพแบบนี้นะ” หวังฟางเอ่ยด้วยเสียงสะอื้น กู้เจี้ยนหมินมองไปทางกู้หยุนหลาน
ด้วยการเร่งเร้าของหวังฟาง หลี่โม่จึงล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วแสร้งทำเป็นคุยกับเฉียนฝูสองสามประโยค จากนั้นจึงเก็บมือถือแล้วเอ่ย “ไม่มีปัญหาครับ จัดการให้ได้ทุกเมื่อ” “จริงเหรอ?” หวังฟางยังตกอยู่ในความตะลึง หล่อนยังรู้สึกว่ามันค่อนข้างเหลือเชื่อที่หลี่โม่สามารถทำให้เฉียนมาช่วยได้ “จริงแท้แน่นอนครับ ทางเฉียนฝูก็มีการร่วมมือทางธุรกิจกับบริษัทหยุนจงหลานอยู่พอดี การจัดการให้พบปะกันสักครั้งจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไร” หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้มตาหยี แต่ในใจกลับรู้สึกแปลกประหลาดนิดหน่อยที่ตัวเองต้องลำบากลำบนขนาดนี้ ไม่นึกเลยว่าตนต้องมาจัดการพบปะให้ตัวเองด้วยหรือนี่ “อย่างนั้นก็ดีเลย เรื่องนี้แก้ไขได้เสียที งั้นให้หยุนหลานพาจงฉวนไปได้ไหม” หวังฟางเอ่ยอย่างได้คืบจะเอาศอก “หนูไปไม่ได้หรอก เดี๋ยวจะเกิดข่าวลืออะไรขึ้นมาอีก” กู้หยุนหลานปฏิเสธอย่างเด็ดขาด หวังฟางถอนหายใจ เธอเองก็กระดากใจที่จะไปบีบบังคับอะไร “งั้นหลี่โม่ แกก็พาจงฉวนไปหน่อยแล้วกัน ต้องแสดงท่าทีกับจงฉวนให้ดีสักหน่อยล่ะ” หลี่โม่พยักหน้า “ไม่มีปัญหาครับ แม่คิดว่าจะไปเมื่อไหร่ดีล่ะ?” หวังฟางครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วหยิบมือถือออก
…… เช้าตรู่ หวังจงเหิง หวังจงเฉิงและหวังจงฉวนกำลังนั่งอยู่ในห้องโถง “พี่ใหญ่ ขอให้วันนี้ประสบความสำเร็จด้วยดี สามารถชนะใจคุณหลี่เศรษฐีลึกลับคนนั้นได้นะพี่ แบบนั้นแล้วต่อไปตระกูลหวังของเราจะได้ผงาดขึ้นเสียที” หวังจงเหิงยกยอปอปั้นหวังจงฉวนอย่างแข็งขัน หวังจงเฉิงรู้สึกอึดอัดในใจเล็กน้อย หากบ้านหลักของตระกูลยิ่งแข็งแกร่ง อย่างนั้นสิ่งที่หวังจงเฉิงจะได้รับในอนาคตก็ยิ่งน้อยลง หวังจงเฉิงซ่อนความคิดเจ้าเล่ห์ไว้ในใจแล้วยกยิ้มเอ่ย “พี่ใหญ่ ครั้งนี้ต้องทำดีกับพี่หยุนหลานให้มาก ๆ นะ ถึงยังไงพี่หยุนหลานก็เป็นชู้รักกับเศรษฐีลึกลับคนนั้น”“ฮ่าฮ่า” หวังจงฉวนหัวเราะอย่างเหยียดหยาม “นั่นมันเรื่องน้าเล็กคุยโวโอ้อวดไปเท่านั้น รู้ไหมว่าเมื่อวานน้าเล็กโทรมาบอกกับฉันว่ายังไง?” “บอกว่ายังไงล่ะ? หรือจะบอกว่ากู้หยุนหลานกับเศรษฐีลึกลับนั่นไม่มีความสัมพันธ์อะไรกัน?” หวังจงเฉิงถาม “ก็ประมาณนั้น แล้วจากนั้นก็บอกให้ลูกเขยไร้ประโยชน์ของเขาไปกับฉัน ฉันคิดว่าเรื่องนี้ไม่น่าไว้ใจ คงจะเสียเวลาไปเปล่า ๆ วันหนึ่งแล้วล่ะ” หวังจงฉวนส่ายหน้าพลางพูด หวังจงเหิงตบโต๊ะอย่างแรง นึกถึงเรื่องที่เคยถูกหลี่โม่ตบหน
“เดิมทีนายก็ไม่ได้มีท่าทีเหมือนขอร้องให้ช่วยทำธุระให้อยู่แล้วนี่ ถ้านายทำท่าทีแบบนี้ล่ะก็ ฉันว่าอย่าพานายไปให้ขายหน้าดีกว่า” หลี่โม่เอ่ยอย่างเรียบเฉย เผชิญหน้ากับเจตนาร้ายอย่างเด่นชัดของคนตระกูลหวัง เดิมทีหลี่โม่ก็รู้สึกไม่พอใจอยู่แล้ว หากไม่ใช่เพราะคนพวกนี้เป็นญาติของกู้หยุนหลาน หลี่โม่คงคร้านจะสนใจพวกเขาอยู่แล้ว “นี่แกคิดว่าตัวเองวิเศษวิโสมากนักรึไง! แกนี่มันไร้ยางอายจริง ๆ” หวังจงเหิงเอ่ยด้วยความโมโห และพับแขนเสื้อขึ้นคิดจะลงมือ หวังจงฉวนโบกมือไปมา ขวางหวังจงเหิงเอาไว้ “ไม่จำเป็นต้องไปคิดเล็กคิดน้อยกับคนไร้ค่าคนหนึ่งหรอก ต่อยมันไปรังแต่จะสกปรกมือเปล่า ๆ ” “พี่ใหญ่ งั้นจะเอายังไงดี เรื่องแผนการพัฒนาของบริษัทหยุนจงหลานเป็นเรื่องสำคะญมากนะ ยังไงก็ต้องเจอกับคุณหลี่ผู้ลึกลับท่านนั้นให้ได้” หวังจงเหิงพูดจบก็เหลือบมองหลี่โม่เล็กน้อย “ที่ว่ามาน่ะ ไม่ใช่เจ้าปัญญาอ่อนนี่หรอกนะ” “เหอะ ๆ ” หลี่โม่หัวเราะอย่างเนือย ๆ เดิมทีเขาก็ไม่ได้สนใจหวังจงเหิงอยู่แล้ว “สัญญานี้ผู้จัดการซุนเป็นคนเซ็นสัญญากับฉัน ถึงตอนที่ไปเยี่ยมผู้จัดการซุนแล้วถามสักหน่อยแล้วกัน” การไปเยี่ยมผู้จัดการใหญ่ซ
หวังจงเหิงที่นั่งอยู่เบาะข้างคนขับจ้องเขม็งหลี่โม่ที่นั่งอยู่เบาะหลังอย่างดุร้าย ท่าทางเช่นนั้นราวกับจะกลืนหลี่โม่เข้าไปทั้งเป็นอย่างนั้น หลี่โม่ก้มหน้าก้มตาดูมือถือ ไม่ได้สนใจการมีอยู่ของหวังจงเหิงเลยแม้แต่น้อย หวังจงเฉิงตบไหล่หวังจงเหิง แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “พี่รอง พี่อย่ามองอย่างนั้นสิ เดี๋ยวพอพิสูจน์ว่าเจ้าขยะนี้จัดเตรียมการพบปะให้พวกเราไม่ได้แล้ว เราค่อยสั่งสอนเขาให้หนักก็ได้” “เฮอะ ยังต้องพิสูจน์อะไรอีก ไอ้ขยะนี่ต้องจัดเตรียมไม่ได้แน่นอน ถ้ามันจัดการให้พวกเราพบกับประธานของบริษัทหยุนจงหลานได้ อย่างนั้นหมูตัวเมียก็คงปีนต้นไม้ได้เหมือนกันล่ะวะ!” หวังจงฉวนถลึงตามองหวังจงเหิง เมื่อนั้นหวังจงเหิงจึงยอมหยุดลงได้ ทำให้ในรถกลับสู่ความเงียบอีกครั้ง หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมงกว่า รถก็จอดที่หน้าตึกของบริษัทหยุนจงหลาน หวังจงฉวนมองทางประตูใหญ่ของบริษัทหยุนจงหลาน ก็เห็นผู้จัดการหลายแผนกรายล้อมอยู่รอบตัวซุนฮุ่ยกังเข้าประตูไปพอดี “นั่นคือผู้จัดการซุน รีบลงรถแล้วตามฉันไปพบกับผู้จัดการซุนเร็วเข้า” หวังจงฉวนพูดขึ้นประโยคหนึ่ง มือก็ผลักประตูรถเปิดออกแล้ว ก่อนพุ่งออกไปราวกับเสือชีตาห์ล่าเหย