หลี่โม่เปิดสปีกเกอร์โฟน เสียงของชูจงเทียนดังออกมาจากโทรศัพท์ “คุณหลี่ มีเรื่องอะไรจะสั่งหรือครับ” จางจงหยางขมวดคิ้วเล็กน้อย เขารู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่างจากน้ำเสียงเคารพนบนอบของชูจงเทียน ชูจงเทียนนอบน้อมกับหลี่โม่มากเกินไป ด้วยความเข้าใจของจางจงหยางที่มีต่อชูจงเทียน นั่นคือชูจจงเทียนไม่ใช่คนที่จะเคารพนับถือใครง่าย ๆ แต่เมื่อคิดว่าหลี่โม่อยู่ภายใต้การควบคุมของตนแล้ว จางจงหยางก็กดความเคลือบแคลงในใจลงไป หลังจากจับชูจงเทียน และรับช่วงอาณาเขตของกรุงโซลมาได้อย่างราบรื่นแล้ว ค่อยไปตรวจสอบความลับระหว่างหลี่โม่กับชูจงเทียนอีกที “เหล่าชู ผมกินข้าวอยู่ที่สวนฟาน คุณมาทานด้วยกันสิ” หลี่โม่เอ่ยอย่างสงบนิ่ง “ครับ ผมจะไปเดี๋ยวนี้” แววตาของจางจงหยางเต็มไปด้วยความยินดี เขาส่ายปากกระบอกปืนไปมาใส่หลี่โม่ หลี่โม่เข้าใจความหมายของจางจงหยาง จึงเอ่ยขึ้น “ผมอยู่กับเพื่อนเก่าคนหนึ่ง คุณไม่ต้องพาลูกน้องมา จะได้ไม่ทำให้เพื่อนเก่าของผมรู้สึกไม่สบายใจ” “เข้าใจแล้วครับ ผมจะขับรถไปเอง” ชูจงเทียนตอบกลับอย่างรวดเร็ว “โอเค รีบมาเร็ว ๆ นะ แค่นี้ล่ะ” หลี่โม่เก็บโทรศัพท์มือถือแล้วเผยรอยยิ้มให้กับ
“ไอ้คุณเทียนบัดซบ ตอนนี้แกเป็นเชลยของลูกพี่เราแล้ว ต่อไปต้องเรียกพี่หยางของพวกเราว่าคุณหยาง” “ถูกต้อง คุณหยางของเราจะรวมจินไห่และกรุงโซลเป็นหนึ่งเดียว ไม่นานก็สามารถบุกเข้าไปเมืองหลวงได้แล้ว ถึงตอนนั้นพวกเราเองก็รับผลพลอยได้ไปกับคุณหยางด้วย” “พี่ขยะเฒ่า แกรุ่งโรจน์มาหลายสิบปีก็คงเพียงพอแล้ว รีบ ๆ ไสหัวเข้าไปคุกเข่าเลียแข้งคุณหยางของเราซะเถอะ ไม่แน่ว่าถ้าคุณหยางของเราอารมณ์ดี อาจจะละเว้นชีวิตสุนัขของแกไว้ก็ได้” เหล่าชายฉกรรจ์เย้ยหยันชูจงเทียนเสร็จก็ชูจงเทียนให้เดินไปด้านหลัง และสุดท้ายก็ผลักชูจงเทียนเข้าไปในห้องส่วนตัว เมื่อจางจงหยางเห็นชูจงเทียนถูกคุมตัวเข้ามา ก็หัวเราะอย่างลำพองใจ “ฮ่าฮ่าฮ่า ลูกพี่ใหญ่ คุณเคยคิดไหมว่าจะมาถึงวันนี้ นี่คุณสมองเสื่อมไปแล้วงั้นเหรอ ไอ้ขยะนี่ให้คุณมาคนเดียว คุณก็มาคนเดียวจริง ๆ ด้วย” “เฮอะ! แกจะไปรู้อะไร!” ชูจงเทียนไม่ได้ไว้หน้าจางจงหยางเท่าไรนัก เขาหมุนตัวไปโค้งคำนับและพูดกับหลี่โม่ “คุณหลี่ ผมเหล่าชูมาแล้วครับ” “ทำได้ดีมาก” หลี่โม่เอ่ยอย่างราบเรียบ ใบหน้าของชูจงเทียนปรากฏรอยยิ้ม เพราะคำพูดคำเดียวของหลี่โม่ ทำให้เขารู้สึกมีความสุขขึ้นมาจาก
“บอกไปนายก็ไม่เข้าใจหรอก” ชูจงเทียนมองจางจงหยางอย่างเหยียดหยาม จางจงหยางหลับตาลงข่มไฟโทสะในใจ แล้วแสยะยิ้มเอ่ย “ตอนนี้แกจะพูดหรือไม่ก็ช่าง รอให้ฉันได้ครองอาณาเขตของแกแล้ว ก็มียังเวลาบีบเค้นแกได้อยู่ดี” “อาเหมิง บอกให้เหล่าพี่น้องทุกคนรู้ด้วย ว่าให้พวกเขาเตรียมตัวให้พร้อม บุกจู่โจมกรุงโซลในคืนนี้” จางจงหยางออกคำสั่งกับลูกน้อง “ครับ” อาเหมิงพูดจบก็ล้วงโทรศัพท์ออกมาแล้วเริ่มโทรออก หลังจากที่โทรติดต่อกันหลายสายก็ยังโทรไม่ติด หน้าผากของอาเหมิงก็ผุดเม็ดเหงื่อออกมา “พี่หยาง ทะ-โทรไม่ติดครับ ผมโทรหาเหล่าพี่น้องทั้งหมดแล้ว โทรศัพท์ของพวกเขาไม่มีใครรับเลยครับ” อาเหมิงเอ่ยอย่างตึงเครียดเล็กน้อย “เกิดอะไรขึ้น?” หนังตาของจางจงหยางกระตุกยิก จากนั้นจึงหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมา ขณะจางจงหยางเปิดมือถือและกำลังจะโทรออก มือถือของเขาก็ดังขึ้นมา เมื่อเห็นหมายเลขของเฝิงจื่อไฉแสดงบนหน้าจอ มือที่ถือโทรศัพท์มือถืออยู่ของจางจงหยางก็สั่นเล็กน้อย จางจงหยางลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะกัดฟันกดปุ่มรับสาย “ฮัลโหล ทางนั้นจินไห่เป็นยังไงบ้าง?” “พี่หยาง ที่จินไห่เกิดเรื่องแล้ว เมื่อครึ่งช
“จางจงหยาง แกพูดอย่างนั้นกับคุณหลี่ได้ยังไง คุณหลี่จำเป็นต้องเล่นลูกไม้กับหมาพันทางอย่างแกด้วยเหรอ” ชูจงเทียนมองจางจงหยางด้วยสายตาเหยียดหยาม ดูจากสีหน้าตื่นตระหนกในตอนนี้ของจางจงหยางก็มองออกแล้ว ว่าทางจินไห่คงจะเกิดเรื่องแน่ แล้วก็ยังไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ อีกด้วย จางจงหยางแสยะยิ้มพร้อมกับเล็งปืนไปทางชูจงเทียน “แกคุกเข่าให้ฉันซะ! จินไห่ของฉันไม่เหลือแล้ว ก็ต้องใช้กรุงโซลของแกมาชดเชย ชีวิตของพวกแกทุกคนอยู่ในกำมือของฉัน! ถ้าไม่อยากตายก็ว่าง่าย ๆ ซะ!” เหล่าลูกน้องข้างหลังจางจงหยางเองก็รู้สึกได้ถึงวิกฤต ทั้งหมดต่างกำอาวุธมีดในมือเอาไว้แน่น จ้องเขม็งไปยังหลี่โม่และคนอื่น ๆ อย่างดุร้าย ซีเหมินจือเผิงรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศ สองมือกุมหัวหดตัวติดอยู่กับมุมกำแพงแน่น “ลูกพี่ท่านนี้ ถ้าจะฆ่าพวกเขาก็ตามสบาย พวกเราไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าขยะหลี่โม่นั่นเลย ขอแค่คุณปล่อยพวกเราไป ต้องการเงินเท่าไรก็ว่ากันได้ทั้งนั้น” จางจงหยางเหลือบมองซีเหมินจือเผิงอย่างเหยียดหยาม ในสายตาของจางจงหยางนั้น คนที่ไร้ซึ่งจิตใจที่หยิ่งในศักดิ์ศรีนั้นก็ไม่ต่างจากอึหมา “ถ้าแกยังพูดไร้สาระอีกคำ ฉันจะฆ่าแกท
ซีเหมินจือเผิงกุมต้นขาที่ถูกยิงเอาไว้ และร้องเสียงโหยหวนเหมือนหมูถูกเชือด ในใจคร่ำครวญว่าชีวิตตนช่างอาภัพ แอบอยู่ในมุมกำแพงแล้วแท้ ๆ ทำไมถึงยังถูกปืนยิงได้อีก หลี่โม่หรี่ตา พลุ่งเข้าไปพร้อมกับกู้หยุนหลานในอ้อมแขน ขาข้างหนึ่งเตะปืนในมือของจางจงหยางออก ส่วนอีกข้างเหยียบที่คอของจางจงหยาง ในตอนที่จางจงหยางถูกหลี่โม่ควบคุมอยู่ พวกลูกน้องถึงเพิ่งจะได้สติกลับมา พลันพากันเงื้อมีดดาบในมือมุ่งไปยังหลี่โม่ “เอาเท้าของแกออกไปเดี๋ยวนี้ อย่าแตะต้องลูกพี่ของเรา!” “แกอยากตายนักใช่ไหม ถึงกล้าลงมือกับลูกพี่ของเรา ถ้าแกกล้าแตะต้องลูกพี่ของเราแม้แต่นิดเดียว พวกเราจะฆ่าเจ้าพวกนี้ซะ!” พวกลูกน้องของจางจงหยางต่างก็ตื่นตระหนกเล็กน้อย แม้ว่าปากจะส่งเสียงโวยวาย แต่ในใจนึกอยากจะถอยขึ้นมาแล้ว เขตอิทธิพลของจินไห่ก็ไม่มีแล้ว ตอนนี้ลูกพี่ใหญ่ก็ยังถูกเหยียบไว้อีก ไม่ว่าจะดูอข่งไรก็คงจะพินาศกันหมดแน่ กู้เจี้ยนหมินและหวังฟางมองท่าทางองอาจกล้าหาญของหลี่โม่ในยามนี้ ดวงตาเบิกโพลงจนแทบจะถลน ปากของทั้งสองส่งเสียงอ้ำอึ้ง อยากจะพูดแต่ก็ยังคงพูดไม่ออก กู้หยุนหลานถอนหายใจโล่งอก หลังจากที่ความกังวลหายไป เธอก็พลันค
จางจงหยางที่แต่เดิมร้องขอชีวิตกับหลี่โม่นั้น เมื่อได้ยินคำพูดของหัวหน้ามือปราบ ก็พลันตัวแข็งทื่อไปทั้งร่าง เขาคิดว่าหลี่โม่เป็นคนสร้างเรื่องบ้า ๆ ทั้งหมดนี่ ทำไมสุดท้ายถึงมีคุณซีเหมินนั่นโผล่ขึ้นมาได้ จางจงหยางสับสนงุนงงด้วยคำพูดเดียวของหัวหน้ามือปราบ หลี่โม่มองหัวหน้ามือปราบเล็กน้อยอย่างพึงพอใจ พวกเขาล้วนเป็นคนที่หลี่โม่ให้ผู้พิทักษ์แดนมังกรจัดเตรียมมาผ่านทางสัญญาณมือ ตั้งแต่การขุดรากถอนโคนอำนาจของจางจงหยางที่จินไห่ จนถึงช่วงเวลาในการปรากฏตัวของมือปราบกรุงโซล ทั้งหมดล้วนถูกผู้พิทักษ์แดนมังกรจัดวางไว้อย่างดี เมื่อเห็นหลี่โม่เผยสายตาพึงพอใจ เลือดอันเร่าร้อนในหัวใจของหัวหน้ามือปราบก็พลันสูบฉีด ดูเหมือนว่าการเลื่อนขั้นขึ้นเงินเดือนและขึ้นไปยังจุดสูงสุดของชีวิตอยู่ไม่ไกลแล้ว พวกของจางจงหยางถูกมือปราบนำตัวไป หลี่โม่ดึงกู้หยุนหลานไปดูสถานการณ์ของกู้เจี้ยนกั๋วและหวังฟาง ซีเหมินจือเผิงที่ตกอยู่ในความงุนงงได้สติกลับมาด้วยความเจ็บปวดจากแผลถูกยิง เขาเช็ดน้ำตาแล้วพูดกับหัวหน้ามือปราบ “ขอบคุณพวกคุณมากที่ช่วยชีวิตผม ช่วยพาผมกับแม่ไปส่งโรงพยาบาลก่อนได้ไหมครับ” หัวหน้ามือปราบเอ่ยด้วยรอยย
...... กู้เจี้ยนหมินและหวังฟางมาตรวจอาการที่โรงพยาบาล เพียงแค่ตื่นตระหนกมากไปหน่อยเท่านั้น ไม่ได้มีอาการอย่างอื่น หลังจากชูจงเทียนส่งหลี่โม่และครอบครัวกลับบ้านแล้วเขาก็จากไป กู้เจี้ยนหมินและหวังฟางนั่งลงบนโซฟาอย่างหมดแรง มองไปยังหลี่โม่ด้วยสายตาสับสน การแสดงออกของหลี่โม่เมื่อครู่ทำให้ทั้งสองคนรู้สึกประหลาดใจ ทว่าเพราะมือปราบบุกเข้ามาแล้วบอกว่ามาเพื่อช่วยซีเหมินจือเผิง จึงไม่ได้ให้ทั้งสองตกละลึงไปกว่านั้น “หลี่โม่ เรื่องวันนี้มันเกิดอะไรขึ้น แกไปยั่วโมโหจางจงหยางคนนั้นมางั้นเหรอ?” กู้เจี้ยนหมินถามด้วยเสียงแหบแห้ง “พ่อ ก็เป็นเรื่องที่จินไห่ครั้งนั้นนั่นแหละ จางจงหยางจะช่วยเฝิงจื่อไฉจับตัวหนู ชูจงเทียนช่วงหลี่โม่ขัดขวางพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงกลายเป็นศัตรูกัน” กู้หยุนหลานช่วยพูดแทนหลี่โม่ กู้เจี้ยนหมินขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาถอนหายใจแล้วเอ่ย “ช่างสร้างปัญหาเก่งจริง ๆ สรุปแล้วเรื่องที่จินไห่มันจบแล้วหรือยัง เจ้าขยะนี่ยังไปหาเรื่องใครมาอีกไหม?!” กู้หยุนหลานตะลึงไปเล็กน้อย เธอครุ่นคิดอยู่ในใจ คิดว่าทั้งพวกจางจงหยางและเฝิงจื่อไฉพ่ายแพ้ย่อยยับไปแล้ว เรื่องราวก็คงจะจบลงแล้วล่ะ แต
สองวันต่อมา ในห้องประชุม กู้ซิ่งเหว่ยมองเอกสารในมืออย่างภาคภูมิใจ นี่คือเอกสารความร่วมมือที่ซีเหมินจือเผิงให้คนมาส่งให้หลังจากที่ให้ลูกน้องมาติดต่อกับกู้ซิ่งเหว่ยแล้ว หลังจากที่ซีเหมินจือเผิงออกจากโรงพยาบาลก็ไตร่ตรองอยู่นาน รู้สึกว่าการที่จะกู้หน้ากลับมา เขาต้องลงมือจากภายในตระกูลกู้ ต้องให้คนตระกูลกู้ทั้งหมดมายืนอยู่ข้างตน ถึงตอนนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์คนใกล้ชิดตีตัวออกห่าง กู้หยุนหลานต้องเลือกที่จะทอดทิ้งหลี่โม่แน่ หากต้องการทำให้คนในตระกูลทั้งหมดมาอยู่ข้างเดียวกับตน การใช้ความร่วมมือทางผลประโยชน์ ย่อมรวดเร็วและสะดวกที่สุดอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้จึงเกิดฉากที่กู้ซิ่งเหว่ยกำลังภูมิอกภูมิใจเช่นในปัจจุบัน กู้เจี้ยนกั๋วกระแอมไอเล็กน้อย สายตากวาดมองตั้งแต่ใบหน้าของกู้เจี้ยนเจียง กู้หยุนหลานและกู้ชิงหลินแสดงถึงอำนาจและตำแหน่งสถานะของตนอย่างเด่นชัด “ความก้าวหน้าของบริษัทในช่วงนี้ค่อนข้างไม่เป็นที่น่าพอใจสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะในเรื่องสัญญาสั่งซื้อรอบใหม่ ไม่เพียงไม่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แต่ยังพบว่าลดลงด้วย หยุนหลาน นี่เธอจัดการยังไงของเธอ!” กู้เจี้ยนกั๋วพูดพร้อมกับตบโต