“สวนฟาน?”จางจงหยางอ่านคำบนแผ่นป้ายหน้าบ้านโบราณในรูปถ่าย คิดอยู่ครู่หนึ่งในใจและจำได้ว่าสวนฟานคืออะไรสวนฟานถูกสร้างสรรค์โดยหวู่เต้าเหวิน ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการจัดเลี้ยงในกรุงโซล โดยเน้นที่แนวคิดของงานเลี้ยงส่วนตัวระดับไฮเอนด์ โดยสร้างรูปแบบเชิงพาณิชย์ที่แตกต่างจากงานเลี้ยงเชิงพาณิชย์ของกวนเหรินถัง“เหอ ๆ ร้านอาหารของหวู่เต้าเหวินไม่มีอะไรมากไปกว่าแค่ร้านอาหาร แค่ทุบทิ้งก็จบ รอฉันเข้ายึดกรุงโซลได้ก่อน อุตสาหกรรมอาหารก็จะอยู่ในมือของฉันด้วย”จางจงหยางมีความทะเยอทะยานและเขาพร้อมที่จะนำอุตสาหกรรมมากมายในโซลมาอยู่ในอ้อมแขนของเขา เป้าหมายคือ เขาต้องกำจัดชูจงเทียนและควบคุมโลกใต้ดินของโซลให้สำเร็จ“พี่หยางผู้ยิ่งใหญ่ จากนี้ไปพี่หยางจะเป็นราชาในกรุงโซล”ลูกน้องของเขายกยอโดยไม่ให้เสียโอกาส"ฮ่าฮ่าฮ่า แกนี่มันเข้าใจพูด ถ้าฉันได้เป็นราชาแห่งกรุงโซล แกก็จะมีที่ยืนในกรุงโซลด้วย" จางจงหยางหัวเราะอย่างมีความสุข“ขอบคุณพี่หยางที่สั่งสอน ผมจะทำงานอย่างเต็มที่แน่นอน” ลูกน้องกล่าวอย่างตื่นเต้น"รีบไปสิ มุ่งหน้าไปยังสวนฟานให้เร็วที่สุด"ตามคำสั่งของจางจงหยางขบวนรถพุ่งตรงไปที่สวนฟานเหมือนลู
"นี่ ไอ้คนไม่เอาไหน ทำไมแกไม่ตอบ แกไม่ได้ยินที่จือเผิงถามแกหรือไงฮะ!" หวังฟางจ้องไปที่หลี่โม่และตะคอกใส่"เป๋าฮื้ออะเคยกิน ในงานเลี้ยงวันเกิดของพ่อตา" หลี่โม่พูดอย่างใจเย็นหวังฟางตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นจ้องไปที่หลี่โม่ "นี่ไอ้ขยะอย่าพูดไร้สาระนะ ไม่เคยกินแล้วบอกว่าเคยกิน แกยังมีความละอายใจอยู่ไหม""โอ้ ไอ้อ่อนนายเคยกินหอยเป๋าฮื้อชั้นนำแล้ว เกินความคาดหมายจริง ๆ เอาเนื้อวากิวชุดใหญ่หนึ่งที่ ฉันต้องการส่วนที่ดีที่สุดทำสเต็กโทมาฮอว์ก ไม่ทราบว่านายไอ้อ่อน นายเคยกินเนื้อวากิวไหม?”ซีเหมินจือเผิงมองไปที่หลี่โม่ด้วยสายตาที่ล้อเลียนหลี่โม่พูดอย่างเย็นชา "เนื้อวากิวส่วนใหญ่ที่ขายเป็นเนื้อสุนัข และเนื้อวากิวจริง ๆ จะไม่นำเข้า"ซีเหมินจือเผิงเหล่ตาของเขา เขาไม่คาดคิดว่ากับแผนที่จงใจตั้งไว้นั้นจะถูกเพิกเฉยจากคนไม่เอาไหนแบบนี้ไม่ว่าหลี่โม่จะบอกว่าเขากินหรือไม่กินก็ตาม ซีเหมินจือเผิงก็จะทำให้หลี่โม่เสียหน้าให้ได้ แต่หลี่โม่ก็ทำลายความจริงที่ว่า เนื้อวากิวไม่สามารถนำเข้าได้ ซึ่งทำให้แผนของซีเหมินจือเผิงผิดพลาดไป“คนไม่เอาไหนอย่างนายก็ถือว่าพอจะรู้เรื่องอยู่บ้างนะ งั้นเอาปลาแซลมอนทะเลน้ำ
ซีเหมินจือเผิงเงยหน้าขึ้น เหล่ตามองหลี่โม่ด้วยสายเหยียดหยาม แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ย “จะเห็นเขาเป็นอะไรไปได้ล่ะ ก็ต้องเป็นขยะอยู่แล้วสิ ถ้าเขาเต็มใจจะเป็นสุนัข ผมก็ไม่รังเกียจที่จะปฏิบัติกับเขาเหมือนสุนัขหรอกนะ” “สุนัขของบ้านผมมีค่าอาหารวันละเกือบพันหยวน ถ้าเขายอมเป็นสุนัขให้ผม ก็จะทำให้เขามีชีวิตที่สุขสบายเหลือแสนได้เลย ไม่แน่ว่าวันไหนผมนึกใจดีขึ้นมา ก็อาจจะหาผู้หญิงให้เขาอีกสักคนก็ได้นะ” ขณะที่กู้หยุนหลานกำลังโต้แย้ง หวังฟางก็กระแอมขึ้นมาอย่างหนัก รับคำพูดของซีเหมินจือเผิงไป “ชีวิตของสุนัขตระกูลซีเหมินยังดีขนาดนี้ หยุนหลาน ลูกก็อย่ามัวซื่อบื้ออยู่อีกเลย งานในตอนนี้ของหลี่โม่ เงินที่หาได้ในหนึ่งเดือนไม่พอจ่ายค่าอาหารหมาตัวหนึ่งของตระกูลซีเหมินด้วยซ้ำ เขาเอ้อระเหยจนเป็นคนด้อยกว่าสุนัข ลูกยังจะไปปกป้องเขาทำไมกัน” “ฮ่าฺฮ่าฮ่า คุณน้าพูดได้ถูกต้องครับ เจ้าขยะนี่เป็นคนด้อยกว่าสุนัขจริง ๆ แถมยังด้อยกว่าสุนัขหลายขุมเลยเชียวล่ะ” ซีเหมินจือเผิงหัวเราะขึ้นมาอย่างสะใจ ในตอนนั้นเอง ประตูห้องส่วนตัวก็ถูกเปิดออก หัวหน้าพนักงานพากลุ่มสาวงามในชุดกงจวงถืออาหารเลิศรสมากมายเดินเข้ามา “
“จือเผิง อย่าพูดมากนักสิลูก” เหอซูฟางห้ามปรามซีเหมินจือเผิง ก่อนจะยิ้มให้หวังฟางเล็กน้อยอย่างขอโทษ “น้องฟาง ลูกชายของฉันอารมณ์ไม่ดี ต้องกลับไปพักผ่อนสักหน่อยก่อนแล้วล่ะ พวกเราขอไปก่อนนะ” “พี่ซูฟาง อย่าเลย พวกเราสั่งสอนเจ้าขยะนี่ให้ดี ๆ ก็ได้ ยังไงก็กินข้าวให้เสร็จก่อนแล้วค่อยไปสิ” หวังฟางรีบเอ่ยขึ้น เหอซูฟางส่ายหน้า แล้วดึงซีเหมินจือเผิงที่ดวงตาแทบจะลุกเป็นไฟ พร้อมเอ่ยเสียงเบา “ไป ยังขายขี้หน้าไม่พออีกหรือไง” ซีเหมินจือเผิงมองไปยังหลี่โม่อย่างเหี้ยมเกรียมราวกับสัตว์ร้าย แล้วเดินออกจากห้องอาหารส่วนตัวไปพร้อมกับเหอซูฟาง เมื่อเห็นเหอซูฟางและซีเหมินจือเผิงออกไปแล้ว สีหน้าของหวังฟางก็บึ้งตึงลงทันที “หลี่โม่! ไอ้ขยะ นี่แกเก่งนักใช่ไหม?! ถึงได้กล้าตอกหน้าคนอื่นเขา! แกคงจะเตรียมตัวตอกหน้าฉันด้วยสินะ!” หวังฟางตบโต๊ะแล้วตะคอกอย่างรุนแรง “เปล่าครับ คุณเป็นแม่ของหยุนหลาน ในใจผมก็เห็นคุณเป็นเหมือนแม่แท้ ๆ ของผม ผมจะไปกล้าโต้แย้งคุณได้ยังไง” หลี่โม่หัวเราะอย่างไม่รู้หนาวรู้ร้อน “เหลวไหล! ถ้าแกเห็นฉันเป็นแม่แท้ ๆ แกก็หย่ากับหยุนหลานเสียเดี๋ยวนี้เลยสิ! เรื่องดี ๆ ในวันนี้แกก็ทำให
เหอซูฟางและซีเหมินจือเผิงทั้งสองคนปิดประตูห้องส่วนตัวอย่างแน่นหนา พวกเขาหอบหายใจอย่างหนัก บนใบหน้าเผยสีหน้าตื่นตระหนก เมื่อเห็นสภาพของเหอซูฟางและซีเหมินจือเผิงแล้ว คิ้วของหลี่โม่ก็ขมวดลงเล็กน้อย รู้สึกว่าต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่ ไม่อย่างนั้นทั้งสองคนคงไม่อยู่ในสภาพจนมุมเช่นนี้ หวังฟางและกู้เจี้ยนหมินเองก็มองออกว่ามีบางอย่างผิดปกติ หวังฟางเข้าไปพยุงเหอซูฟางเอาไว้ และลูบหลังเหอซูฟางเบา ๆ “พี่ซูฟาง รีบมานั่งก่อนสิ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?” “เกิดเรื่องแล้ว ข้างนอกมีคนมาเยอะมาก พวกเขาถือมีดเดินป่าพุ่งเข้ามา ไม่รู้ว่ามีใครหาเรื่องมาหรือเปล่า หวังว่าจะไม่มาทำร้ายพวกเรานะ” เหอซูฟางอธิบายพลางถูกพยุงให้นั่งลงบนเก้าอี้ สีหน้าของซีเหมินจือเผิงอึมครึมอย่างยิ่ง ย้อนนึกกลับไปถึงสถานการณ์ที่เห็นเมื่อครู่ ทั่วร่างก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง “ผมเห็นพวกบอดี้การ์ดถูกฟันบาดเจ็บไปหมดแล้ว พวกเขาคงจะไม่พุ่งมาหาผมใช่ไหม แต่ผมก็ไม่ได้มีศัตรูอยู่ในประเทศนะ หรือว่าจะเป็นนักฆ่าที่คู่แข่งระหว่างประเทศจ้างมาฆ่าผม?” ในหัวของซีเหมินจือเผิงจินตนาการถึงฉากที่คู่แข่งซื้อตัวนักฆ่า ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าน่าจะเป็นแบ
หลี่โม่ลดมือลงและลอบทำสัญญาณมืออย่างลับ ๆ ผู้พิทักษ์แดนมังกรเข้าใจความหมายของหลี่โม่จึงหายตัวไปอย่างรวดเร็ว มีผู้พิทักษ์แดนมังกรอยู่ หลี่โม่จึงไม่ได้เห็นอันธพาลเหล่านี้อยู่ในสายตาแม้แต่น้อย เขาเพียงแค่ต้องรอดูการแสดงด้วยความสบายใจก็พอ ไม่นาน จางจงหยางที่นั่งอยู่บนรถเข็นก็ถูกเข็นเข้ามา เมื่อเห็นจางจงหยาง กู้หยุนหลานก็เข้าใจได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น “ฮ่าฮ่า เจอกันอีกแล้วนะ ไม่นึกเลยว่าพวกเราจะได้เจอกันอีกครั้งในสถานการณ์แบบนี้ ไอ้ขยะหลี่!” จางจงหยางเอ่ยพลางแสยะยิ้ม ซีเหมินจือเผิงและคนอื่น ๆ ที่กำลังหวาดผวาอยู่แต่เดิมนั้น เมื่อได้ยินคำพูดของจางจงหยางก็ตกตะลึงชั่วครู่ และพากันมองไปยังหลี่โม่ด้วยสายตาแปลกประหลาด หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง “ทำไมล่ะ หลังจากคุกเข่าคำนับ แทงตัวเองสามมีดหกรูไปแล้ว นายยังไม่ได้รับบทเรียนอีกเหรอ?” “แกมันรนหาที่ตายนัก! ตอนนี้ทั้งสวนฟานถูกคนของฉันควบคุมไว้หมดแล้ว วันนี้แกเหลือแค่ทางตายเท่านั้น!” เมื่อเห็นท่าทางที่จางจงหยางจ้องมองหลี่โม่ด้วยความโกรธแค้น ซีเหมินจือเผิงก็ดีใจจนแทบจะกระโดดโลดเต้น ศัตรูของศัตรูก็คือมิตร ทว่าซีเหมินจือเผิงก็ไม่ได้ทำอะไรไม่ด
“ฉันรนหาที่ตาย? ฮ่าฮ่าฮ่า นี่เป็นเรื่องตลกที่น่าขำที่สุดที่ฉันเคยได้ยินเลย แกรู้สึกว่าฉันดูเหมือนจะรนหาที่ตายงั้นเหรอ? ไม่เห็นหรือไงว่าที่นี่ล้วนเป็นคนของฉันทั้งนั้น! ถ้าไอ้ขยะอย่างแกทำให้ฉันไม่พอใจล่ะก็ ฉันจะทำให้พวกแกทั้งหมดรู้สึกเลวร้ายยิ่งกว่า” จางจงหยางใช้อำนาจคุกคามแบบขวานผ่าซาก ที่นี่มีแต่คนของเขาทั้งนั้น คำพูดของเขาก็เป็นดั่งประกาศิต สั่งให้ใครตายคนผู้นั้นก็ต้องตาย สีหน้าของซีเหมินจือเผิงและคนอื่น ๆ พลันซีดขาว ถ้าหากต้องถูกดึงไปพัวพันด้วยเพราะคำพูดไร้สาระของหลี่โม่ คงต้องตายไปอย่างไม่เป็นธรรมมากแน่ “หลี่โม่! ไอ้ขยะนี่หยุดพูดซะ ที่นี่ไม่มีที่ให้แกพูด! กล้าต่อปากกับผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้ แกไปเอาความกล้ามาจากไหนนักหนา อยากให้ฉันถ่มน้ำลายใส่หน้าแกหรือไง! ถ้าอยากตายนักก็อย่ามาดึงพวกเราไปด้วยสิโว้ย!” ซีเหมินจือเผิงตะโกนขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก เหอซูฟางพยักหน้ารัว ๆ “ใช่ ๆ จือเผิงพูดถูกต้อง ไอ้ขยะ ถ้าแกอยากตายก็ไปตายเอง แต่อย่ามาลำบากถึงพวกเราให้ตายไปด้วยกันกับแก คนไร้ค่าอย่างแกก็สมควรจะไปคนเดียวอยู่แล้วนี่!” “ไอ้ขยะ! ไอ้ขอทาน! ไอ้เห่ย! ไอ้ไร้ประโยชน์! หยุนหลาน ฉันบอกแกกี่ครั้
หลี่โม่เปิดสปีกเกอร์โฟน เสียงของชูจงเทียนดังออกมาจากโทรศัพท์ “คุณหลี่ มีเรื่องอะไรจะสั่งหรือครับ” จางจงหยางขมวดคิ้วเล็กน้อย เขารู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่างจากน้ำเสียงเคารพนบนอบของชูจงเทียน ชูจงเทียนนอบน้อมกับหลี่โม่มากเกินไป ด้วยความเข้าใจของจางจงหยางที่มีต่อชูจงเทียน นั่นคือชูจจงเทียนไม่ใช่คนที่จะเคารพนับถือใครง่าย ๆ แต่เมื่อคิดว่าหลี่โม่อยู่ภายใต้การควบคุมของตนแล้ว จางจงหยางก็กดความเคลือบแคลงในใจลงไป หลังจากจับชูจงเทียน และรับช่วงอาณาเขตของกรุงโซลมาได้อย่างราบรื่นแล้ว ค่อยไปตรวจสอบความลับระหว่างหลี่โม่กับชูจงเทียนอีกที “เหล่าชู ผมกินข้าวอยู่ที่สวนฟาน คุณมาทานด้วยกันสิ” หลี่โม่เอ่ยอย่างสงบนิ่ง “ครับ ผมจะไปเดี๋ยวนี้” แววตาของจางจงหยางเต็มไปด้วยความยินดี เขาส่ายปากกระบอกปืนไปมาใส่หลี่โม่ หลี่โม่เข้าใจความหมายของจางจงหยาง จึงเอ่ยขึ้น “ผมอยู่กับเพื่อนเก่าคนหนึ่ง คุณไม่ต้องพาลูกน้องมา จะได้ไม่ทำให้เพื่อนเก่าของผมรู้สึกไม่สบายใจ” “เข้าใจแล้วครับ ผมจะขับรถไปเอง” ชูจงเทียนตอบกลับอย่างรวดเร็ว “โอเค รีบมาเร็ว ๆ นะ แค่นี้ล่ะ” หลี่โม่เก็บโทรศัพท์มือถือแล้วเผยรอยยิ้มให้กับ