เหอซูฟางและซีเหมินจือเผิงทั้งสองคนปิดประตูห้องส่วนตัวอย่างแน่นหนา พวกเขาหอบหายใจอย่างหนัก บนใบหน้าเผยสีหน้าตื่นตระหนก เมื่อเห็นสภาพของเหอซูฟางและซีเหมินจือเผิงแล้ว คิ้วของหลี่โม่ก็ขมวดลงเล็กน้อย รู้สึกว่าต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่ ไม่อย่างนั้นทั้งสองคนคงไม่อยู่ในสภาพจนมุมเช่นนี้ หวังฟางและกู้เจี้ยนหมินเองก็มองออกว่ามีบางอย่างผิดปกติ หวังฟางเข้าไปพยุงเหอซูฟางเอาไว้ และลูบหลังเหอซูฟางเบา ๆ “พี่ซูฟาง รีบมานั่งก่อนสิ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?” “เกิดเรื่องแล้ว ข้างนอกมีคนมาเยอะมาก พวกเขาถือมีดเดินป่าพุ่งเข้ามา ไม่รู้ว่ามีใครหาเรื่องมาหรือเปล่า หวังว่าจะไม่มาทำร้ายพวกเรานะ” เหอซูฟางอธิบายพลางถูกพยุงให้นั่งลงบนเก้าอี้ สีหน้าของซีเหมินจือเผิงอึมครึมอย่างยิ่ง ย้อนนึกกลับไปถึงสถานการณ์ที่เห็นเมื่อครู่ ทั่วร่างก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง “ผมเห็นพวกบอดี้การ์ดถูกฟันบาดเจ็บไปหมดแล้ว พวกเขาคงจะไม่พุ่งมาหาผมใช่ไหม แต่ผมก็ไม่ได้มีศัตรูอยู่ในประเทศนะ หรือว่าจะเป็นนักฆ่าที่คู่แข่งระหว่างประเทศจ้างมาฆ่าผม?” ในหัวของซีเหมินจือเผิงจินตนาการถึงฉากที่คู่แข่งซื้อตัวนักฆ่า ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าน่าจะเป็นแบ
หลี่โม่ลดมือลงและลอบทำสัญญาณมืออย่างลับ ๆ ผู้พิทักษ์แดนมังกรเข้าใจความหมายของหลี่โม่จึงหายตัวไปอย่างรวดเร็ว มีผู้พิทักษ์แดนมังกรอยู่ หลี่โม่จึงไม่ได้เห็นอันธพาลเหล่านี้อยู่ในสายตาแม้แต่น้อย เขาเพียงแค่ต้องรอดูการแสดงด้วยความสบายใจก็พอ ไม่นาน จางจงหยางที่นั่งอยู่บนรถเข็นก็ถูกเข็นเข้ามา เมื่อเห็นจางจงหยาง กู้หยุนหลานก็เข้าใจได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น “ฮ่าฮ่า เจอกันอีกแล้วนะ ไม่นึกเลยว่าพวกเราจะได้เจอกันอีกครั้งในสถานการณ์แบบนี้ ไอ้ขยะหลี่!” จางจงหยางเอ่ยพลางแสยะยิ้ม ซีเหมินจือเผิงและคนอื่น ๆ ที่กำลังหวาดผวาอยู่แต่เดิมนั้น เมื่อได้ยินคำพูดของจางจงหยางก็ตกตะลึงชั่วครู่ และพากันมองไปยังหลี่โม่ด้วยสายตาแปลกประหลาด หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง “ทำไมล่ะ หลังจากคุกเข่าคำนับ แทงตัวเองสามมีดหกรูไปแล้ว นายยังไม่ได้รับบทเรียนอีกเหรอ?” “แกมันรนหาที่ตายนัก! ตอนนี้ทั้งสวนฟานถูกคนของฉันควบคุมไว้หมดแล้ว วันนี้แกเหลือแค่ทางตายเท่านั้น!” เมื่อเห็นท่าทางที่จางจงหยางจ้องมองหลี่โม่ด้วยความโกรธแค้น ซีเหมินจือเผิงก็ดีใจจนแทบจะกระโดดโลดเต้น ศัตรูของศัตรูก็คือมิตร ทว่าซีเหมินจือเผิงก็ไม่ได้ทำอะไรไม่ด
“ฉันรนหาที่ตาย? ฮ่าฮ่าฮ่า นี่เป็นเรื่องตลกที่น่าขำที่สุดที่ฉันเคยได้ยินเลย แกรู้สึกว่าฉันดูเหมือนจะรนหาที่ตายงั้นเหรอ? ไม่เห็นหรือไงว่าที่นี่ล้วนเป็นคนของฉันทั้งนั้น! ถ้าไอ้ขยะอย่างแกทำให้ฉันไม่พอใจล่ะก็ ฉันจะทำให้พวกแกทั้งหมดรู้สึกเลวร้ายยิ่งกว่า” จางจงหยางใช้อำนาจคุกคามแบบขวานผ่าซาก ที่นี่มีแต่คนของเขาทั้งนั้น คำพูดของเขาก็เป็นดั่งประกาศิต สั่งให้ใครตายคนผู้นั้นก็ต้องตาย สีหน้าของซีเหมินจือเผิงและคนอื่น ๆ พลันซีดขาว ถ้าหากต้องถูกดึงไปพัวพันด้วยเพราะคำพูดไร้สาระของหลี่โม่ คงต้องตายไปอย่างไม่เป็นธรรมมากแน่ “หลี่โม่! ไอ้ขยะนี่หยุดพูดซะ ที่นี่ไม่มีที่ให้แกพูด! กล้าต่อปากกับผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้ แกไปเอาความกล้ามาจากไหนนักหนา อยากให้ฉันถ่มน้ำลายใส่หน้าแกหรือไง! ถ้าอยากตายนักก็อย่ามาดึงพวกเราไปด้วยสิโว้ย!” ซีเหมินจือเผิงตะโกนขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก เหอซูฟางพยักหน้ารัว ๆ “ใช่ ๆ จือเผิงพูดถูกต้อง ไอ้ขยะ ถ้าแกอยากตายก็ไปตายเอง แต่อย่ามาลำบากถึงพวกเราให้ตายไปด้วยกันกับแก คนไร้ค่าอย่างแกก็สมควรจะไปคนเดียวอยู่แล้วนี่!” “ไอ้ขยะ! ไอ้ขอทาน! ไอ้เห่ย! ไอ้ไร้ประโยชน์! หยุนหลาน ฉันบอกแกกี่ครั้
หลี่โม่เปิดสปีกเกอร์โฟน เสียงของชูจงเทียนดังออกมาจากโทรศัพท์ “คุณหลี่ มีเรื่องอะไรจะสั่งหรือครับ” จางจงหยางขมวดคิ้วเล็กน้อย เขารู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่างจากน้ำเสียงเคารพนบนอบของชูจงเทียน ชูจงเทียนนอบน้อมกับหลี่โม่มากเกินไป ด้วยความเข้าใจของจางจงหยางที่มีต่อชูจงเทียน นั่นคือชูจจงเทียนไม่ใช่คนที่จะเคารพนับถือใครง่าย ๆ แต่เมื่อคิดว่าหลี่โม่อยู่ภายใต้การควบคุมของตนแล้ว จางจงหยางก็กดความเคลือบแคลงในใจลงไป หลังจากจับชูจงเทียน และรับช่วงอาณาเขตของกรุงโซลมาได้อย่างราบรื่นแล้ว ค่อยไปตรวจสอบความลับระหว่างหลี่โม่กับชูจงเทียนอีกที “เหล่าชู ผมกินข้าวอยู่ที่สวนฟาน คุณมาทานด้วยกันสิ” หลี่โม่เอ่ยอย่างสงบนิ่ง “ครับ ผมจะไปเดี๋ยวนี้” แววตาของจางจงหยางเต็มไปด้วยความยินดี เขาส่ายปากกระบอกปืนไปมาใส่หลี่โม่ หลี่โม่เข้าใจความหมายของจางจงหยาง จึงเอ่ยขึ้น “ผมอยู่กับเพื่อนเก่าคนหนึ่ง คุณไม่ต้องพาลูกน้องมา จะได้ไม่ทำให้เพื่อนเก่าของผมรู้สึกไม่สบายใจ” “เข้าใจแล้วครับ ผมจะขับรถไปเอง” ชูจงเทียนตอบกลับอย่างรวดเร็ว “โอเค รีบมาเร็ว ๆ นะ แค่นี้ล่ะ” หลี่โม่เก็บโทรศัพท์มือถือแล้วเผยรอยยิ้มให้กับ
“ไอ้คุณเทียนบัดซบ ตอนนี้แกเป็นเชลยของลูกพี่เราแล้ว ต่อไปต้องเรียกพี่หยางของพวกเราว่าคุณหยาง” “ถูกต้อง คุณหยางของเราจะรวมจินไห่และกรุงโซลเป็นหนึ่งเดียว ไม่นานก็สามารถบุกเข้าไปเมืองหลวงได้แล้ว ถึงตอนนั้นพวกเราเองก็รับผลพลอยได้ไปกับคุณหยางด้วย” “พี่ขยะเฒ่า แกรุ่งโรจน์มาหลายสิบปีก็คงเพียงพอแล้ว รีบ ๆ ไสหัวเข้าไปคุกเข่าเลียแข้งคุณหยางของเราซะเถอะ ไม่แน่ว่าถ้าคุณหยางของเราอารมณ์ดี อาจจะละเว้นชีวิตสุนัขของแกไว้ก็ได้” เหล่าชายฉกรรจ์เย้ยหยันชูจงเทียนเสร็จก็ชูจงเทียนให้เดินไปด้านหลัง และสุดท้ายก็ผลักชูจงเทียนเข้าไปในห้องส่วนตัว เมื่อจางจงหยางเห็นชูจงเทียนถูกคุมตัวเข้ามา ก็หัวเราะอย่างลำพองใจ “ฮ่าฮ่าฮ่า ลูกพี่ใหญ่ คุณเคยคิดไหมว่าจะมาถึงวันนี้ นี่คุณสมองเสื่อมไปแล้วงั้นเหรอ ไอ้ขยะนี่ให้คุณมาคนเดียว คุณก็มาคนเดียวจริง ๆ ด้วย” “เฮอะ! แกจะไปรู้อะไร!” ชูจงเทียนไม่ได้ไว้หน้าจางจงหยางเท่าไรนัก เขาหมุนตัวไปโค้งคำนับและพูดกับหลี่โม่ “คุณหลี่ ผมเหล่าชูมาแล้วครับ” “ทำได้ดีมาก” หลี่โม่เอ่ยอย่างราบเรียบ ใบหน้าของชูจงเทียนปรากฏรอยยิ้ม เพราะคำพูดคำเดียวของหลี่โม่ ทำให้เขารู้สึกมีความสุขขึ้นมาจาก
“บอกไปนายก็ไม่เข้าใจหรอก” ชูจงเทียนมองจางจงหยางอย่างเหยียดหยาม จางจงหยางหลับตาลงข่มไฟโทสะในใจ แล้วแสยะยิ้มเอ่ย “ตอนนี้แกจะพูดหรือไม่ก็ช่าง รอให้ฉันได้ครองอาณาเขตของแกแล้ว ก็มียังเวลาบีบเค้นแกได้อยู่ดี” “อาเหมิง บอกให้เหล่าพี่น้องทุกคนรู้ด้วย ว่าให้พวกเขาเตรียมตัวให้พร้อม บุกจู่โจมกรุงโซลในคืนนี้” จางจงหยางออกคำสั่งกับลูกน้อง “ครับ” อาเหมิงพูดจบก็ล้วงโทรศัพท์ออกมาแล้วเริ่มโทรออก หลังจากที่โทรติดต่อกันหลายสายก็ยังโทรไม่ติด หน้าผากของอาเหมิงก็ผุดเม็ดเหงื่อออกมา “พี่หยาง ทะ-โทรไม่ติดครับ ผมโทรหาเหล่าพี่น้องทั้งหมดแล้ว โทรศัพท์ของพวกเขาไม่มีใครรับเลยครับ” อาเหมิงเอ่ยอย่างตึงเครียดเล็กน้อย “เกิดอะไรขึ้น?” หนังตาของจางจงหยางกระตุกยิก จากนั้นจึงหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมา ขณะจางจงหยางเปิดมือถือและกำลังจะโทรออก มือถือของเขาก็ดังขึ้นมา เมื่อเห็นหมายเลขของเฝิงจื่อไฉแสดงบนหน้าจอ มือที่ถือโทรศัพท์มือถืออยู่ของจางจงหยางก็สั่นเล็กน้อย จางจงหยางลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะกัดฟันกดปุ่มรับสาย “ฮัลโหล ทางนั้นจินไห่เป็นยังไงบ้าง?” “พี่หยาง ที่จินไห่เกิดเรื่องแล้ว เมื่อครึ่งช
“จางจงหยาง แกพูดอย่างนั้นกับคุณหลี่ได้ยังไง คุณหลี่จำเป็นต้องเล่นลูกไม้กับหมาพันทางอย่างแกด้วยเหรอ” ชูจงเทียนมองจางจงหยางด้วยสายตาเหยียดหยาม ดูจากสีหน้าตื่นตระหนกในตอนนี้ของจางจงหยางก็มองออกแล้ว ว่าทางจินไห่คงจะเกิดเรื่องแน่ แล้วก็ยังไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ อีกด้วย จางจงหยางแสยะยิ้มพร้อมกับเล็งปืนไปทางชูจงเทียน “แกคุกเข่าให้ฉันซะ! จินไห่ของฉันไม่เหลือแล้ว ก็ต้องใช้กรุงโซลของแกมาชดเชย ชีวิตของพวกแกทุกคนอยู่ในกำมือของฉัน! ถ้าไม่อยากตายก็ว่าง่าย ๆ ซะ!” เหล่าลูกน้องข้างหลังจางจงหยางเองก็รู้สึกได้ถึงวิกฤต ทั้งหมดต่างกำอาวุธมีดในมือเอาไว้แน่น จ้องเขม็งไปยังหลี่โม่และคนอื่น ๆ อย่างดุร้าย ซีเหมินจือเผิงรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศ สองมือกุมหัวหดตัวติดอยู่กับมุมกำแพงแน่น “ลูกพี่ท่านนี้ ถ้าจะฆ่าพวกเขาก็ตามสบาย พวกเราไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าขยะหลี่โม่นั่นเลย ขอแค่คุณปล่อยพวกเราไป ต้องการเงินเท่าไรก็ว่ากันได้ทั้งนั้น” จางจงหยางเหลือบมองซีเหมินจือเผิงอย่างเหยียดหยาม ในสายตาของจางจงหยางนั้น คนที่ไร้ซึ่งจิตใจที่หยิ่งในศักดิ์ศรีนั้นก็ไม่ต่างจากอึหมา “ถ้าแกยังพูดไร้สาระอีกคำ ฉันจะฆ่าแกท
ซีเหมินจือเผิงกุมต้นขาที่ถูกยิงเอาไว้ และร้องเสียงโหยหวนเหมือนหมูถูกเชือด ในใจคร่ำครวญว่าชีวิตตนช่างอาภัพ แอบอยู่ในมุมกำแพงแล้วแท้ ๆ ทำไมถึงยังถูกปืนยิงได้อีก หลี่โม่หรี่ตา พลุ่งเข้าไปพร้อมกับกู้หยุนหลานในอ้อมแขน ขาข้างหนึ่งเตะปืนในมือของจางจงหยางออก ส่วนอีกข้างเหยียบที่คอของจางจงหยาง ในตอนที่จางจงหยางถูกหลี่โม่ควบคุมอยู่ พวกลูกน้องถึงเพิ่งจะได้สติกลับมา พลันพากันเงื้อมีดดาบในมือมุ่งไปยังหลี่โม่ “เอาเท้าของแกออกไปเดี๋ยวนี้ อย่าแตะต้องลูกพี่ของเรา!” “แกอยากตายนักใช่ไหม ถึงกล้าลงมือกับลูกพี่ของเรา ถ้าแกกล้าแตะต้องลูกพี่ของเราแม้แต่นิดเดียว พวกเราจะฆ่าเจ้าพวกนี้ซะ!” พวกลูกน้องของจางจงหยางต่างก็ตื่นตระหนกเล็กน้อย แม้ว่าปากจะส่งเสียงโวยวาย แต่ในใจนึกอยากจะถอยขึ้นมาแล้ว เขตอิทธิพลของจินไห่ก็ไม่มีแล้ว ตอนนี้ลูกพี่ใหญ่ก็ยังถูกเหยียบไว้อีก ไม่ว่าจะดูอข่งไรก็คงจะพินาศกันหมดแน่ กู้เจี้ยนหมินและหวังฟางมองท่าทางองอาจกล้าหาญของหลี่โม่ในยามนี้ ดวงตาเบิกโพลงจนแทบจะถลน ปากของทั้งสองส่งเสียงอ้ำอึ้ง อยากจะพูดแต่ก็ยังคงพูดไม่ออก กู้หยุนหลานถอนหายใจโล่งอก หลังจากที่ความกังวลหายไป เธอก็พลันค
คังหย่งอันกดหมายเลขของคังหย่งเฉียน แล้วพูดเสียงเข้ม "หย่งเฉียน ฉันได้ยินมาว่า แกกับเหวินซินมีปัญหากันเรื่องวิลล่าบนยอดเขาเหรอ?" “พี่ใหญ่ มีปัญหากันน่ะสิ ศิษย์พี่เกิ่งยังถูกทำร้ายจนเข่าหักแล้ว! ศิษย์พี่เกิ่งติดต่อกับอาจารย์โอวหยางไปแล้ว เรื่องนี้อภัยให้ไม่ได้แน่นอน!” คังหย่งเฉียนโกรธแค้นคังเหวินซิน ถ้าไม่ใช่เพราะคังเหวินซินพาหลี่โม่ไปที่นั่น เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น แต่ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว คังหย่งเฉียนเองก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทำได้เพียงเอาความโมโหไปลงที่คังเหวินซินเท่านั้น “หย่งเฉียน ไม่ว่ายังไงก็ตาม แกต้องรับรองความปลอดภัยของเหวินซิน ฉันไม่สนว่า อาจารย์โอวหยางพวกเขาจะทำอะไรกับเพื่อนของเหวินซิน แต่พวกเขาจะทำร้ายเหวินซินไม่ได้เด็ดขาด!” “พี่ใหญ่ ฉันไม่กล้ารับประกันหรอก รับประกันได้แค่ลูกชายของพี่จะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงตายเท่านั้น ถ้าอาจารย์โอวหยางต้องการลงโทษลูกชายของพี่จริง ๆ ฉันจะไปขวางได้ยังไง ฉันขวางไม่ได้หรอก ไม่กล้าขวางด้วย!" คังหย่งอันขมวดคิ้วแน่น หากคังหย่งเฉียนอยู่ต่อหน้าคังหย่งอันในตอนนี้ คังหย่งอันจะต้องตบเขาให้ตายคามือแน่นอน “หย่งเฉียน! แกเป็นอาข
“ไอ้บัดซบเอ๊ย! ใครกล้ามาต่อกรกับฉันโอวหยางจื้อ มันผู้นั้นจะต้องตาย!” โอวหยางจื้อพึมพำอย่างด้วยความอาฆาตแค้น แล้วสั่งให้ลูกศิษย์ไปจองตั๋วเครื่องบิน ...... คังเหวินซินมาส่งหลี่โม่และคนอื่น ๆ ที่บ้าน หลังจากมองดูทั้งสามเดินเข้าไปข้างในแล้ว จึงสตาร์ทรถและขับออกไปอย่างช้า ๆ “อาเล็กถูกจัดการจนหมดท่าแล้ว ต้องบอกพ่อสักคำไหมนะ อาเล็กจะได้ไปตีไข่ใส่สีอีก” หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง คังเหวินซินก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดหมายเลขพ่อของเขาคังหย่งอัน “ฮัลโหล พ่อครับ ผมเพิ่งจะขายวิลล่าบนยอดเขาที่สวนหนานชุ่ยให้เพื่อผมไป ขายราคาต้นทุนน่ะครับ” คังหย่งอันขมวดคิ้ว "นั่นเป็นวิลล่าที่อาเล็กของแกจะเอาไม่ใช่เหรอ แกเอาไปให้เพื่อนได้ยังไง? ผู้จัดการฝ่ายขายว่ายังไงบ้าง?" คังเหวินซินอึ้งครู่หนึ่ง รู้สึกถึงความผิดปกติในคำพูดของคังหย่งอัน "พ่อ พ่อรู้ได้ยังไงว่าอาเล็กอยากได้วิลล่านั่น?” “อาเล็กของแกเคยบอกพ่อว่า วิลล่าหลังนั้นเป็นของขวัญที่เขาจะเก็บไว้ให้กับปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ในต่างประเทศโอวหยางจื้อ แกคงเคยได้ยินเกี่ยวกับโอวหยางจื้อมาบ้างใช่ไหม? เขาเคยรับหน้าที่เป็นผู้กำกับฉากแอ็คชั่นให้กับภาพย
ในแผนกดูแลพิเศษของโรงพยาบาล คังหย่งเฉียนและคนอื่น ๆ นั่งล้อมรอบเตียง มองดูพี่เกิ่งค่อย ๆ ฟื้นคืนสติ เข่าที่หักของพี่เกิ่งได้รับการผ่าตัดแล้ว แต่หลังการผ่าตัด พี่เกิ่งจะได้แต่นั่งอยู่บนรถเข็นเท่านั้น “ซี๊ด ขากับเข่าฉันเป็นยังไงบ้าง?” พี่เกิ่งถามอย่างร้อนใจ “ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวล ผ่าตัดเสร็จแล้ว เพียงแต่ระดับการรักษาของที่นี่ยังต่ำไปหน่อย หลังจากฟื้นตัวแล้วพี่ต้องนั่งรถเข็น” คังหย่งเฉียนพูดเสียงเบาหวิว “ไอ้บัดซบ! ฉันไม่อยากนั่งรถเข็น! ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้!” พี่เกิ่งคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว รู้สึกเลวร้ายไปทั้งร่างกาย ชีวิตบนรถเข็น ไม่ใช่ชีวิตที่พี่เกิ่งต้องการเลย ถ้าต้องนั่งรถเข็นแล้ว ต่อไปจะฝึกศิลปะการต่อสู้ หรือออกไปรังแกคนอื่นอย่างไร แล้วจะไปจีบสาว ๆ ได้อย่างไร! “ฉันจะย้ายโรงพยาบาล ฉันจะไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุด!” “พี่เกิ่งอย่าเพิ่งตื่นตูม หมอบอกว่า รอพี่ฟื้นตัวดีแล้ว ก็สามารถทำการผ่าตัดครั้งที่สองในโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้เพื่อเปลี่ยนข้อต่อเทียมได้” คังหย่งเฉียนปลอบใจพี่เกิ่งไปพลางก็ขยิบตาให้กับพวกพี่น้องคนอื่น ๆ ส่งสัญญาณให้พวกเขารีบมาช่วยกันโน้มน้าว ศิษย์พี่ห
พี่เกิ่งร้องโหยหวนออกมา รู้สึกว่าขาซ้ายพลิกกลับไปด้านหลัง พลันสูญเสียการทรงตัวและล้มหงายไปข้างหลังทันที พลั่ก พี่เกิ่งล้มหงายลงกับพื้น ปากก็ร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา คังหย่งเฉียนถูกกระตุ้นด้วยเสียงร้องของพี่เกิ่งจนตัวสั่นไปทั้งตัว เสียงวิ้ง ๆ ที่ดังอยู่ในหัวยิ่งชัดเจนขึ้นมาทันใด คังหย่งเฉียนกุมใบหน้าที่บวมแดงไปครึ่งหนึ่งมองไปทางศิษย์พี่เกิ่ง ดวงตาของคังหย่งเฉียนก็แทบจะหลุดออกจากเบ้า ศิษย์พี่เกิ่งที่คังหย่งเฉียนเคยคิดว่า แข็งแกร่งไร้เทียมทานนั้น ตอนนี้กำลังร้องคร่ำครวญราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังจะตาย เมื่อมองขาขวาของพี่เกิ่งหักงอในองศาที่ผิดธรรมชาติ คังหย่งเฉียนก็รู้สึกว่า เลือดทั่วร่างกายเย็นเฉียบขึ้นมา นี่เป็นเรื่องที่มนุษย์สามารถทำได้อย่างนั้นเหรอ? นี่เป็นผลลัพธ์ที่สามารถใช้กำปั้นทำได้เหรอ? นี่มันซูเปอร์ไซย่าในตำนานหรืออย่างไรกัน?! พวกศิษย์น้องของพี่เกิ่งหลายคนต่างหวาดกลัวกับความเผด็จการของหลี่โม่ ทั้งกลุ่มพลันหมดความโอหังไปโดยสิ้นเชิง พวกเขาลากพี่เกิ่งขึ้นมาจากพื้นแล้ววิ่งตะบึงออกไปข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่คำพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้คือศิษย์
คังเหวินซินรออยู่สามวินาที แต่ละวินาทีราวกับยาวนานเป็นปี รออยู่นานฝ่ามือของพี่เกิ่งก็ยังไม่ตบลงมาสักที คังเหวินซินจึงลืมตาขึ้น เมื่อเอียงหน้ามองเห็นฝ่ามือของพี่เกิ่งอยู่ห่างจากหน้าตนแค่เฉียดฉิว หัวใจของคังเหวินซินแทบจะกระโดดออกมาจากปาก หลังจากที่เห็นข้อมือของพี่เกิ่งถูกหลี่โม่คว้าไว้ คังเหวินซินถึงได้รู้สึกว่า หัวใจของตัวเองกลับเข้าที่ได้แล้ว คังเหวินซินที่สงบลงแล้ว รีบถอยไปหลบด้านหลังหลี่โม่ แล้วร้องตะโกนด้วยน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง "อาจารย์!" “นายอย่าร้องไห้น่าสมเพชนักสิ มันทำฉันขายหน้านะ” หลี่โม่พูดด้วยรอยยิ้ม คังเหวินซินตะลีตะลานเช็ดเบ้าตา ไม่ยอมให้ตัวเองร้องไห้ออกมา พี่เกิ่งจ้องมองหลี่โม่อย่างโมโห แอบพยายามดึงข้อมือของตัวเองกลับมาอย่างลับ ๆ แต่ไม่ว่าพี่เกิ่งจะพยายามออกแรงแค่ไหน มือของหลี่โม่ก็ราวกับคีมปากเสือหนีบข้อมือของพี่เกิ่งเอาไว้แน่น จนข้อมือของพี่เกิ่งไม่มีทางสลัดหลุดได้เลย “ปล่อยมือฉัน!” พี่เกิ่งตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว “แกบอกให้ปล่อยก็ต้องปล่อยเหรอ? แกน่าจะอธิบายเรื่องที่จะลงไม้ลงมือกับลูกศิษย์ฉันเมื่อกี้นี้มาสักหน่อยไหม?” หลี่โม่พูดอย่างเย็นชา คังเหวินซินส
กู้หยุนหลานมองไปยังหลี่โม่อย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นหลี่โม่ขยิบตาให้ เธอจึงไม่พูดอะไรและเก็บความสงสัยไว้ในใจ ผู้จัดการหวังโบกมือให้พนักงานขายสาว พนักงานสาวที่ถือสัญญาอยู่แล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ผู้จัดการหวัง นี่เป็นสัญญาของวิลล่ายอดเขาค่ะ แต่ราคานี้มัน…” สีหน้าของพนักงานสาวดูบูดเบี้ยวเล็กน้อย ถ้าขายวิลล่านี้ออกไปในราคาต้นทุน เธอคงไม่ได้รับค่าคอมมิชชั่นเลยสักแดง! ที่ผ่านมาเศรษฐีในเมืองฮั่นจำนวนมากต่างก็ถูกใจวิลล่าแห่งนี้ แต่เพราะมีการปิดกั้นการซื้อขาย เลยไม่ได้ขายอย่างเป็นทางการ เดิมทีพวกพนักงานสาวนั้นเตรียมพร้อมที่จะทำกำไรมหาศาลด้วยการขายวิลล่าหลังนี้หลังจากที่เปิดการขายแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ความฝันของพวกเธอกำลังจะมลายหายไปซะแล้ว “พวกเธอมีสิทธิ์พูดงั้นเหรอ? นี่คือการตัดสินใจของคุณชายใหญ่!” ผู้จัดการหวังตำหนิพนักงานขายสาว พนักงานสาวหดคอและปิดปากเงียบไม่กล้าพูดอีก ผู้จัดการหวังเปิดสัญญาตรวจดู หลังจากยืนยันความถูกต้องแล้ว เขาก็ถือสัญญาเดินไปหาหลี่โม่ “อ่านสัญญาดูก่อนนะครับ หากไม่มีปัญหาอะไร เราจะไปเซ็นสัญญาที่สำนักงานของผมกัน ผมไม่สามารถนำตราประทับอะไรพวกนั้นพกติดต
“คุณชาย อย่ามาขู่ผมเลยครับ ผมไม่กลัวหรอกนะ สิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่ล้วนมีเหตุมีผล หากไม่เชื่อก็ถามซินแสที่มาดูฮวงจุ้ยให้ได้เลยครับ คำพูดพวกนี้เขาเป็นคนพูดเองกับปากทั้งนั้น” ผู้จัดการหวังแข็งขืน ไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เหวินซิน อย่าหุนหันพลันแล่น ผู้จัดการหวังพูดถูกแล้ว คนที่โชคชะตาบารมีไม่ถึง ไม่มีทางข่มพลังฮวงจุ้ยอันยอดเยี่ยมได้แน่นอน” คังเหวินซินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม "อาจารย์พูดถูกแล้วครับ แต่ด้วยบารมีของอาจารย์ จะต้องสามารถข่มมันได้อย่างแน่นอน พวกเรามาดูกันดีกว่า ที่นี่ล้วนได้รับการตกแต่งอย่างดี คุณหิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่ได้เลย เหลือแค่ดูว่าวิลล่าหลังนี้ถูกใจคุณหรือเปล่าก็พอครับ” เมื่อเห็นคังเหวินซินพยายามเอาอกเอาใจหลี่โม่ ผู้จัดการหวังก็เกิดความสงสัยเล็กน้อย หรือว่าตนจะมองผิดไป? ผู้ชายที่สวมเสื้อผ้าแผงลอยทั้งตัวคนนี้ เป็นคุณชายเศรษฐีที่มาลองสัมผัสประสบการณ์ชีวิตงั้นเหรอ? ไม่อย่างนั้นทำไมคุณชายของตนถึงได้ไปประจบเอาใจเขาขนาดนี้กัน? “คุณชาย ท่านนี้คืออาจารย์ของคุณเหรอครับ?” ผู้จัดการหวังถามอย่างสงสัย “นี่คืออาจารย์ของฉันหลี่โม่ นายสุภาพกับอาจารย์ของฉัน
“ไอ้สารเลวคนไหนไม่ดูตาม้าตาเรือ กล้ามาแย่งวิลล่าของอาจารย์ พวกแกยังมัวแต่กินอะไรกันอีก ไปดูด้วยกัน จัดการไอ้พวกสารเลวนั่นซะ” “ศิษย์พี่เกิ่งพูดถูก พวกเราทุกคนต้องไปดูด้วยกัน บ้านของอาจารย์ต้องดีที่สุดเท่านั้น จะผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว” ศิษย์พี่เกิ่งและคนอื่น ๆ พากันลุกขึ้นทีละคน เมื่อเห็นเช่นนี้คังหย่งเฉียนก็เรียกให้พนักงานคิดเงินทันที แล้วจึงพาพวกของศิษย์พี่เกิ่งมุ่งตรงไปยังสวนหนานชุ่ย ... รถเมอร์เซเดสเบนซ์ขับเข้าไปในสวนหนานชุ่ย และขับตรงไปตามทางขึ้นยอดเขา ใกล้กับยอดเขาของเขาหนานชุ่ยนั้นมีที่ราบอยู่บริเวณหนึ่ง ที่ราบนี้ถูกนำมาใช้สร้างวิลล่า พร้อมทั้งปลูกต้นไม้พืชพรรณเขียวชอุ่มรอบ ๆ วิลล่าอีกด้วย ด้านหน้าวิลล่ายังมีลำธารที่ไหลมาจากยอดเขา ทำให้ฮวงจุ้ยของวิลล่านี้ยอดเยี่ยมมากไร้ที่ติ หน้าน้ำหลังเขา ตำแหน่งปากมังกรจัดวางฮวงจุ้ยอย่างดี ทำให้วิลล่าบนยอดเขาหลังนี้เลิศล้ำไม่มีใครเทียม รถเมอร์เซเดสเบนซ์จอดสนิทหน้าประตูวิลล่ายอดเขา ผู้จัดการหวังและพนักงานขายสาวสองคนยืนรอที่ประตูวิลล่าอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นรถเบนซ์จอดนิ่ง ผู้จัดการหวังก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปช่วยเปิดประตูรถ
ผู้จัดการหวังหยิบบุหรี่ออกมาคาบที่มุมปาก เตรียมจะสูบบุหรี่เพื่อสงบสติอารมณ์ คำขอของคังเหวินซินทำให้ผู้จัดการหวังตั้งตัวไม่ติด การจะดูบ้านมันไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าอีกฝ่ายถูกใจขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไรล่ะ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องราคาต้นทุนหรือเปล่า ถ้าคังหย่งเฉียนเข้ามาครอบครองวิลล่าหลังนี้ เขาก็คงไม่ได้เงินเลยสักแดงเดียว พอนึกถึงคังหย่งเฉียนขึ้นมาผู้จัดการหวังรู้สึกปวดจี๊ด ๆ ขึ้นมา เจ้านั่นเป็นปีศาจเจ้าสำราญแห่งตระกูลคัง วัน ๆ เอาแต่เกียจคร้าน กินดื่มเที่ยวเล่น ยิ่งกว่านั้นยังคบค้ากับพวกอันธพาล ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสตระกูลคังก็ยังถูกคังหย่งเฉียนยั่วโมโหจนเส้นเลือดในสมองตีบ แทบทุกคนในตระกูลคังล้วนทำเป็นไม่สนใจคังหย่งเฉียน ตราบใดที่คังหย่งเฉียนไม่ได้ก่อปัญหา ก็ไม่มีใครสนใจว่า คังหย่งเฉียนจะทำอะไร ถ้าหากยกวิลล่าให้เพื่อนของคังเหวินซินจริง ๆ คังหย่งเฉียนคงจะพาคนมาสับเขาเป็นชิ้น ๆ ถึงที่แน่ หลังจากสูบบุหรี่หมดมวน ผู้จัดการหวังก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ รู้สึกว่ายังไงก็ควรแจ้งให้คังหย่งเฉียนรู้สักหน่อย ส่วนคังหย่งเฉียนจะต่อสู้กับคังเหวินซินอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างพวกเขา