เหอซูฟางและซีเหมินจือเผิงทั้งสองคนปิดประตูห้องส่วนตัวอย่างแน่นหนา พวกเขาหอบหายใจอย่างหนัก บนใบหน้าเผยสีหน้าตื่นตระหนก เมื่อเห็นสภาพของเหอซูฟางและซีเหมินจือเผิงแล้ว คิ้วของหลี่โม่ก็ขมวดลงเล็กน้อย รู้สึกว่าต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่ ไม่อย่างนั้นทั้งสองคนคงไม่อยู่ในสภาพจนมุมเช่นนี้ หวังฟางและกู้เจี้ยนหมินเองก็มองออกว่ามีบางอย่างผิดปกติ หวังฟางเข้าไปพยุงเหอซูฟางเอาไว้ และลูบหลังเหอซูฟางเบา ๆ “พี่ซูฟาง รีบมานั่งก่อนสิ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?” “เกิดเรื่องแล้ว ข้างนอกมีคนมาเยอะมาก พวกเขาถือมีดเดินป่าพุ่งเข้ามา ไม่รู้ว่ามีใครหาเรื่องมาหรือเปล่า หวังว่าจะไม่มาทำร้ายพวกเรานะ” เหอซูฟางอธิบายพลางถูกพยุงให้นั่งลงบนเก้าอี้ สีหน้าของซีเหมินจือเผิงอึมครึมอย่างยิ่ง ย้อนนึกกลับไปถึงสถานการณ์ที่เห็นเมื่อครู่ ทั่วร่างก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง “ผมเห็นพวกบอดี้การ์ดถูกฟันบาดเจ็บไปหมดแล้ว พวกเขาคงจะไม่พุ่งมาหาผมใช่ไหม แต่ผมก็ไม่ได้มีศัตรูอยู่ในประเทศนะ หรือว่าจะเป็นนักฆ่าที่คู่แข่งระหว่างประเทศจ้างมาฆ่าผม?” ในหัวของซีเหมินจือเผิงจินตนาการถึงฉากที่คู่แข่งซื้อตัวนักฆ่า ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าน่าจะเป็นแบ
หลี่โม่ลดมือลงและลอบทำสัญญาณมืออย่างลับ ๆ ผู้พิทักษ์แดนมังกรเข้าใจความหมายของหลี่โม่จึงหายตัวไปอย่างรวดเร็ว มีผู้พิทักษ์แดนมังกรอยู่ หลี่โม่จึงไม่ได้เห็นอันธพาลเหล่านี้อยู่ในสายตาแม้แต่น้อย เขาเพียงแค่ต้องรอดูการแสดงด้วยความสบายใจก็พอ ไม่นาน จางจงหยางที่นั่งอยู่บนรถเข็นก็ถูกเข็นเข้ามา เมื่อเห็นจางจงหยาง กู้หยุนหลานก็เข้าใจได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น “ฮ่าฮ่า เจอกันอีกแล้วนะ ไม่นึกเลยว่าพวกเราจะได้เจอกันอีกครั้งในสถานการณ์แบบนี้ ไอ้ขยะหลี่!” จางจงหยางเอ่ยพลางแสยะยิ้ม ซีเหมินจือเผิงและคนอื่น ๆ ที่กำลังหวาดผวาอยู่แต่เดิมนั้น เมื่อได้ยินคำพูดของจางจงหยางก็ตกตะลึงชั่วครู่ และพากันมองไปยังหลี่โม่ด้วยสายตาแปลกประหลาด หลี่โม่เอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง “ทำไมล่ะ หลังจากคุกเข่าคำนับ แทงตัวเองสามมีดหกรูไปแล้ว นายยังไม่ได้รับบทเรียนอีกเหรอ?” “แกมันรนหาที่ตายนัก! ตอนนี้ทั้งสวนฟานถูกคนของฉันควบคุมไว้หมดแล้ว วันนี้แกเหลือแค่ทางตายเท่านั้น!” เมื่อเห็นท่าทางที่จางจงหยางจ้องมองหลี่โม่ด้วยความโกรธแค้น ซีเหมินจือเผิงก็ดีใจจนแทบจะกระโดดโลดเต้น ศัตรูของศัตรูก็คือมิตร ทว่าซีเหมินจือเผิงก็ไม่ได้ทำอะไรไม่ด
“ฉันรนหาที่ตาย? ฮ่าฮ่าฮ่า นี่เป็นเรื่องตลกที่น่าขำที่สุดที่ฉันเคยได้ยินเลย แกรู้สึกว่าฉันดูเหมือนจะรนหาที่ตายงั้นเหรอ? ไม่เห็นหรือไงว่าที่นี่ล้วนเป็นคนของฉันทั้งนั้น! ถ้าไอ้ขยะอย่างแกทำให้ฉันไม่พอใจล่ะก็ ฉันจะทำให้พวกแกทั้งหมดรู้สึกเลวร้ายยิ่งกว่า” จางจงหยางใช้อำนาจคุกคามแบบขวานผ่าซาก ที่นี่มีแต่คนของเขาทั้งนั้น คำพูดของเขาก็เป็นดั่งประกาศิต สั่งให้ใครตายคนผู้นั้นก็ต้องตาย สีหน้าของซีเหมินจือเผิงและคนอื่น ๆ พลันซีดขาว ถ้าหากต้องถูกดึงไปพัวพันด้วยเพราะคำพูดไร้สาระของหลี่โม่ คงต้องตายไปอย่างไม่เป็นธรรมมากแน่ “หลี่โม่! ไอ้ขยะนี่หยุดพูดซะ ที่นี่ไม่มีที่ให้แกพูด! กล้าต่อปากกับผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้ แกไปเอาความกล้ามาจากไหนนักหนา อยากให้ฉันถ่มน้ำลายใส่หน้าแกหรือไง! ถ้าอยากตายนักก็อย่ามาดึงพวกเราไปด้วยสิโว้ย!” ซีเหมินจือเผิงตะโกนขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก เหอซูฟางพยักหน้ารัว ๆ “ใช่ ๆ จือเผิงพูดถูกต้อง ไอ้ขยะ ถ้าแกอยากตายก็ไปตายเอง แต่อย่ามาลำบากถึงพวกเราให้ตายไปด้วยกันกับแก คนไร้ค่าอย่างแกก็สมควรจะไปคนเดียวอยู่แล้วนี่!” “ไอ้ขยะ! ไอ้ขอทาน! ไอ้เห่ย! ไอ้ไร้ประโยชน์! หยุนหลาน ฉันบอกแกกี่ครั้
หลี่โม่เปิดสปีกเกอร์โฟน เสียงของชูจงเทียนดังออกมาจากโทรศัพท์ “คุณหลี่ มีเรื่องอะไรจะสั่งหรือครับ” จางจงหยางขมวดคิ้วเล็กน้อย เขารู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่างจากน้ำเสียงเคารพนบนอบของชูจงเทียน ชูจงเทียนนอบน้อมกับหลี่โม่มากเกินไป ด้วยความเข้าใจของจางจงหยางที่มีต่อชูจงเทียน นั่นคือชูจจงเทียนไม่ใช่คนที่จะเคารพนับถือใครง่าย ๆ แต่เมื่อคิดว่าหลี่โม่อยู่ภายใต้การควบคุมของตนแล้ว จางจงหยางก็กดความเคลือบแคลงในใจลงไป หลังจากจับชูจงเทียน และรับช่วงอาณาเขตของกรุงโซลมาได้อย่างราบรื่นแล้ว ค่อยไปตรวจสอบความลับระหว่างหลี่โม่กับชูจงเทียนอีกที “เหล่าชู ผมกินข้าวอยู่ที่สวนฟาน คุณมาทานด้วยกันสิ” หลี่โม่เอ่ยอย่างสงบนิ่ง “ครับ ผมจะไปเดี๋ยวนี้” แววตาของจางจงหยางเต็มไปด้วยความยินดี เขาส่ายปากกระบอกปืนไปมาใส่หลี่โม่ หลี่โม่เข้าใจความหมายของจางจงหยาง จึงเอ่ยขึ้น “ผมอยู่กับเพื่อนเก่าคนหนึ่ง คุณไม่ต้องพาลูกน้องมา จะได้ไม่ทำให้เพื่อนเก่าของผมรู้สึกไม่สบายใจ” “เข้าใจแล้วครับ ผมจะขับรถไปเอง” ชูจงเทียนตอบกลับอย่างรวดเร็ว “โอเค รีบมาเร็ว ๆ นะ แค่นี้ล่ะ” หลี่โม่เก็บโทรศัพท์มือถือแล้วเผยรอยยิ้มให้กับ
“ไอ้คุณเทียนบัดซบ ตอนนี้แกเป็นเชลยของลูกพี่เราแล้ว ต่อไปต้องเรียกพี่หยางของพวกเราว่าคุณหยาง” “ถูกต้อง คุณหยางของเราจะรวมจินไห่และกรุงโซลเป็นหนึ่งเดียว ไม่นานก็สามารถบุกเข้าไปเมืองหลวงได้แล้ว ถึงตอนนั้นพวกเราเองก็รับผลพลอยได้ไปกับคุณหยางด้วย” “พี่ขยะเฒ่า แกรุ่งโรจน์มาหลายสิบปีก็คงเพียงพอแล้ว รีบ ๆ ไสหัวเข้าไปคุกเข่าเลียแข้งคุณหยางของเราซะเถอะ ไม่แน่ว่าถ้าคุณหยางของเราอารมณ์ดี อาจจะละเว้นชีวิตสุนัขของแกไว้ก็ได้” เหล่าชายฉกรรจ์เย้ยหยันชูจงเทียนเสร็จก็ชูจงเทียนให้เดินไปด้านหลัง และสุดท้ายก็ผลักชูจงเทียนเข้าไปในห้องส่วนตัว เมื่อจางจงหยางเห็นชูจงเทียนถูกคุมตัวเข้ามา ก็หัวเราะอย่างลำพองใจ “ฮ่าฮ่าฮ่า ลูกพี่ใหญ่ คุณเคยคิดไหมว่าจะมาถึงวันนี้ นี่คุณสมองเสื่อมไปแล้วงั้นเหรอ ไอ้ขยะนี่ให้คุณมาคนเดียว คุณก็มาคนเดียวจริง ๆ ด้วย” “เฮอะ! แกจะไปรู้อะไร!” ชูจงเทียนไม่ได้ไว้หน้าจางจงหยางเท่าไรนัก เขาหมุนตัวไปโค้งคำนับและพูดกับหลี่โม่ “คุณหลี่ ผมเหล่าชูมาแล้วครับ” “ทำได้ดีมาก” หลี่โม่เอ่ยอย่างราบเรียบ ใบหน้าของชูจงเทียนปรากฏรอยยิ้ม เพราะคำพูดคำเดียวของหลี่โม่ ทำให้เขารู้สึกมีความสุขขึ้นมาจาก
“บอกไปนายก็ไม่เข้าใจหรอก” ชูจงเทียนมองจางจงหยางอย่างเหยียดหยาม จางจงหยางหลับตาลงข่มไฟโทสะในใจ แล้วแสยะยิ้มเอ่ย “ตอนนี้แกจะพูดหรือไม่ก็ช่าง รอให้ฉันได้ครองอาณาเขตของแกแล้ว ก็มียังเวลาบีบเค้นแกได้อยู่ดี” “อาเหมิง บอกให้เหล่าพี่น้องทุกคนรู้ด้วย ว่าให้พวกเขาเตรียมตัวให้พร้อม บุกจู่โจมกรุงโซลในคืนนี้” จางจงหยางออกคำสั่งกับลูกน้อง “ครับ” อาเหมิงพูดจบก็ล้วงโทรศัพท์ออกมาแล้วเริ่มโทรออก หลังจากที่โทรติดต่อกันหลายสายก็ยังโทรไม่ติด หน้าผากของอาเหมิงก็ผุดเม็ดเหงื่อออกมา “พี่หยาง ทะ-โทรไม่ติดครับ ผมโทรหาเหล่าพี่น้องทั้งหมดแล้ว โทรศัพท์ของพวกเขาไม่มีใครรับเลยครับ” อาเหมิงเอ่ยอย่างตึงเครียดเล็กน้อย “เกิดอะไรขึ้น?” หนังตาของจางจงหยางกระตุกยิก จากนั้นจึงหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมา ขณะจางจงหยางเปิดมือถือและกำลังจะโทรออก มือถือของเขาก็ดังขึ้นมา เมื่อเห็นหมายเลขของเฝิงจื่อไฉแสดงบนหน้าจอ มือที่ถือโทรศัพท์มือถืออยู่ของจางจงหยางก็สั่นเล็กน้อย จางจงหยางลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะกัดฟันกดปุ่มรับสาย “ฮัลโหล ทางนั้นจินไห่เป็นยังไงบ้าง?” “พี่หยาง ที่จินไห่เกิดเรื่องแล้ว เมื่อครึ่งช
“จางจงหยาง แกพูดอย่างนั้นกับคุณหลี่ได้ยังไง คุณหลี่จำเป็นต้องเล่นลูกไม้กับหมาพันทางอย่างแกด้วยเหรอ” ชูจงเทียนมองจางจงหยางด้วยสายตาเหยียดหยาม ดูจากสีหน้าตื่นตระหนกในตอนนี้ของจางจงหยางก็มองออกแล้ว ว่าทางจินไห่คงจะเกิดเรื่องแน่ แล้วก็ยังไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ อีกด้วย จางจงหยางแสยะยิ้มพร้อมกับเล็งปืนไปทางชูจงเทียน “แกคุกเข่าให้ฉันซะ! จินไห่ของฉันไม่เหลือแล้ว ก็ต้องใช้กรุงโซลของแกมาชดเชย ชีวิตของพวกแกทุกคนอยู่ในกำมือของฉัน! ถ้าไม่อยากตายก็ว่าง่าย ๆ ซะ!” เหล่าลูกน้องข้างหลังจางจงหยางเองก็รู้สึกได้ถึงวิกฤต ทั้งหมดต่างกำอาวุธมีดในมือเอาไว้แน่น จ้องเขม็งไปยังหลี่โม่และคนอื่น ๆ อย่างดุร้าย ซีเหมินจือเผิงรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศ สองมือกุมหัวหดตัวติดอยู่กับมุมกำแพงแน่น “ลูกพี่ท่านนี้ ถ้าจะฆ่าพวกเขาก็ตามสบาย พวกเราไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าขยะหลี่โม่นั่นเลย ขอแค่คุณปล่อยพวกเราไป ต้องการเงินเท่าไรก็ว่ากันได้ทั้งนั้น” จางจงหยางเหลือบมองซีเหมินจือเผิงอย่างเหยียดหยาม ในสายตาของจางจงหยางนั้น คนที่ไร้ซึ่งจิตใจที่หยิ่งในศักดิ์ศรีนั้นก็ไม่ต่างจากอึหมา “ถ้าแกยังพูดไร้สาระอีกคำ ฉันจะฆ่าแกท
ซีเหมินจือเผิงกุมต้นขาที่ถูกยิงเอาไว้ และร้องเสียงโหยหวนเหมือนหมูถูกเชือด ในใจคร่ำครวญว่าชีวิตตนช่างอาภัพ แอบอยู่ในมุมกำแพงแล้วแท้ ๆ ทำไมถึงยังถูกปืนยิงได้อีก หลี่โม่หรี่ตา พลุ่งเข้าไปพร้อมกับกู้หยุนหลานในอ้อมแขน ขาข้างหนึ่งเตะปืนในมือของจางจงหยางออก ส่วนอีกข้างเหยียบที่คอของจางจงหยาง ในตอนที่จางจงหยางถูกหลี่โม่ควบคุมอยู่ พวกลูกน้องถึงเพิ่งจะได้สติกลับมา พลันพากันเงื้อมีดดาบในมือมุ่งไปยังหลี่โม่ “เอาเท้าของแกออกไปเดี๋ยวนี้ อย่าแตะต้องลูกพี่ของเรา!” “แกอยากตายนักใช่ไหม ถึงกล้าลงมือกับลูกพี่ของเรา ถ้าแกกล้าแตะต้องลูกพี่ของเราแม้แต่นิดเดียว พวกเราจะฆ่าเจ้าพวกนี้ซะ!” พวกลูกน้องของจางจงหยางต่างก็ตื่นตระหนกเล็กน้อย แม้ว่าปากจะส่งเสียงโวยวาย แต่ในใจนึกอยากจะถอยขึ้นมาแล้ว เขตอิทธิพลของจินไห่ก็ไม่มีแล้ว ตอนนี้ลูกพี่ใหญ่ก็ยังถูกเหยียบไว้อีก ไม่ว่าจะดูอข่งไรก็คงจะพินาศกันหมดแน่ กู้เจี้ยนหมินและหวังฟางมองท่าทางองอาจกล้าหาญของหลี่โม่ในยามนี้ ดวงตาเบิกโพลงจนแทบจะถลน ปากของทั้งสองส่งเสียงอ้ำอึ้ง อยากจะพูดแต่ก็ยังคงพูดไม่ออก กู้หยุนหลานถอนหายใจโล่งอก หลังจากที่ความกังวลหายไป เธอก็พลันค