ตอนนั้นที่เขาได้ยินเสียง ก็รู้สึกว่าเสียงคล้ายกับเสียงของเหนียนเหนียนแต่เจ้าเด็กน้อยหายไปเร็วเกิน ทำให้เขาคิดว่าอาจจะเป็นเสียงที่เขาจินตนาการขึ้นเองการได้เจอเด็กหญิงบนเครื่องบิน ทำให้ฉินเย่เข้าใจว่าเสียง “ขอบคุณครับคุณอา” ในห้องน้ำไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดไปเอง แต่เป็นเรื่องจริงเมื่อคิดได้แล้ว ฉินเย่ก็อยากจะเจอเด็กน้อยสองคนนี้พร้อมกันดูถ้าเด็กสองคนนี้ใส่เสื้อผ้าเหมือนกันและยืนอยู่ตรงหน้าเขา มันจะต้องดูเหมือนพวกเขาหลุดออกมาจากไลฟ์สดแน่ๆแต่ฉินเย่รออยู่นาน ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ จากด้านหน้าจนกระทั่งผู้ช่วยหลี่มู่ถิงมาหาเขา“ประธานฉิน? เราควรลงจากเครื่องบินแล้วครับ”ฉินเย่ "......คนข้างหลังลงไปหมดแล้วหรอ?""ใช่ครับ" หลี่มู่ถิงพยักหน้า พร้อมกับตอบไปว่า "ทุกคนลงไปหมดแล้วครับ คุณนั่งที่นี่นานมากเลย"หรือว่าเพราะเห็นที่นั่งชั้นประหยัดแล้วกลัว เลยอยากนั่งชั้นเฟิร์สคลาสนานขึ้นหน่อย?หลี่มู่ถิงไม่กล้าถามและไม่กล้าพูดเมื่อเห็นว่าฉินเย่ไม่มีการตอบสนอง หลี่มู่ถิงจึงถามอีกครั้ง "ประธานฉินครับ?"ฉินเย่ได้สติกลับมาและจ้องเขาอย่างเย็นชา"เอ่อ" หลี่มู่ถิงพูดด้วยความกลัว "เราต้องลงจากเคร
เมื่อเสิ่นหยินอู้ถูกปลุกขึ้นมา เครื่องบินทั้งลำเหลือแค่พวกเขาแค่กลุ่มเดียวหลังจากลงจากเครื่องบิน เธอรู้สึกกระอักกระอ่วนมาก นวดขมับของตัวเองแล้วพูดว่า "ทำไมพวกคุณไม่ปลุกฉันให้เร็วกว่านี้?"ตื่นขึ้นมาพบว่าเครื่องบินทั้งลำเหลือแค่ตัวเอง ทุกคนกำลังรอเธอตอนเดินออกไปยังเห็นกัปตันมองส่งเธอด้วย เสิ่นหยินอู้ไม่อยากสัมผัสความกระอักกระอ่วนแบบนี้เป็นครั้งที่สอง"ผมเห็นคุณเสิ่นไม่สบาย เลยคิดว่าจะให้คุณนอนพักอีกสักหน่อย ยังไงคนอื่นก็ต้องใช้เวลาลงจากเครื่องบินอยู่ดี""ใช่ค่ะหม่ามี้ หม่ามี๊ไม่สบาย" เสิ่นเหมิงเหมิงพูดเสริม แล้วเสิ่นซือเหนียนก็พยักหน้า เห็นได้ชัดว่าทุกคนเห็นด้วยกับผู้ช่วยเฉินไม่อย่างนั้นพวกเขาก็คงไม่ยอมรออยู่กับผู้ช่วยเฉินเห็นพวกเขาเป็นแบบนี้ เสิ่นหยินอู้จึงนวดขมับต่อและตัดสินใจไม่พูดเรื่องนี้ต่อถึงจะกระอักกระอ่วน แต่ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วและต้องยอมรับว่าการนอนหลับในเที่ยวบินนี้ทำให้เธอพึงพอใจมาก ตื่นมาก็รู้สึกสบายขึ้นไม่น้อยโทรศัพท์สั่นขึ้นมา เสิ่นหยินอู้หยิบโทรศัพท์ออกมาดูแล้วก็ยิ้มพร้อมกับรับสาย"ลี่ซือ""โอ้พระเจ้า ในที่สุดก็โทรติด ฉันเช็คดูแล้วว่าเที่ยวบินของเธ
หลี่มู่ถิง"……"ไม่ใช่ก็ไม่ใช่นี่ ทำไมต้องโจมตีกันส่วนตัวด้วยล่ะ?แต่ถึงจะรู้สึกน้อยใจ หลี่มู่ถิงก็ยังคงสงสัยมาก"ถ้าไม่มีเรื่องรักๆ ใคร่ๆ แล้ว ทำไมประธานฉินถึงไม่ยอมลงจากเครื่องบินล่ะครับ? แล้วยังรออยู่ที่ทางออกอีก?"แต่หลังจากพูดไปมากมาย ฉินเย่ก็ตอบเขามาแค่หนึ่งประโยค“ดูแลเรื่องตัวเองให้ดีก็พอ”ก็ได้ ดูท่าคงจะไม่ได้รู้อะไรหลี่มู่ถิงทำได้แค่นั่งรอกับเขาต่อไปไม่รู้ว่ารอเป็นเวลานานเท่าไหร่ คนของทางจุนถิงก็ได้รับโทรศัพท์ คงเป็นเพราะทางนี้ไม่มีความเคลื่อนไหวเลยโทรมาถามพนักงานรับสายเบาๆ หลังจากวางสายแล้ว ก็หันกลับมามองฉินเย่อย่างระมัดระวัง ริมฝีปากขยับเล็กน้อย แต่กลับลังเลไม่ยอมพูดออกมาสุดท้าย พวกเขาก็ไม่กล้าพูดอะไร หันกลับไปเหมือนเดิมหลังจากผ่านไปไม่กี่นาที ฉินเย่ก็หันหลังกลับมาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไปกันเถอะ”รอมานานขนาดนี้ ดูเหมือนว่าวันนี้จะไม่เจอแล้วโชคชะตา อาจจะทำให้เขาได้เจอเด็กสาวคนนั้นบนเครื่องบินแค่นั้น"ไปได้แล้วใช่ไหมครับ?" คนขับดูเหมือนจะประหลาดใจเล็กน้อย แต่ไม่กล้าพูดอะไรมาก จึงสตาร์ทรถทันทีแม้จะไปแล้ว แต่ทุกคนในรถก็รู้สึกได้ว่า อุณหภูมิในรถลดลงอย่า
“อะไรคือที่บอกว่านอกจากเจียงฉูฉู่แล้ว สายตาผมไม่สามารถมองใครอื่นได้อีก? คุณได้ยินคำนี้มาจากไหน?”ฟู่ถิงสือไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคำนี้ถึงทำให้ฉินเย่โกรธได้เขาไม่แน่ใจว่า ฉินเย่โกรธเพราะไม่เห็นด้วยกับคำพูดนี้ หรือเพราะคนอื่นพูดถึงเจียงฉูฉู่ของเขาหลังจากครุ่นคิดสักพัก เขาก็พูดขึ้นมาอย่างระมัดระวัง“เป็นแค่ข่าวลือเท่านั้น พวกเขาแค่พูดเล่น คุณอย่าใส่ใจมากนักเลยครับ”“ข่าวลือ?” ฉินเย่มองเขาอย่างเย็นชา: "ในเมื่อมันเป็นแค่ข่าวลือ ทำไมต้องเอามาพูดต่อหน้าผม? อะไรนะ ทายาทตระกูลฟู่ยังได้รับสืบทอดนิสัยชอบซุบซิบด้วยหรอ?"ทันทีที่ได้ยินคำนี้ ฟู่ถิงสือไม่กล้าพูดเรื่องอื่นอีก รีบคุกเข่าขอโทษทันที“ประธานฉิน ผมผิดไปแล้ว ผมไม่ควรซุบซิบเรื่องของคุณ โทษผมที่ปากมากไปหน่อย คุณจะให้ผมทำยังไงถึงจะหายโกรธ?”ฉินเย่ไม่ได้พูดอะไรอีก แต่ความโกรธที่เพิ่งแสดงออกมา บ่งบอกชัดเจนว่า ฟู่ถิงสือจะไม่สามารถพูดซุบซิบเกี่ยวกับเขาได้อีกต่อไปในอนาคตหลังจากส่งฉินเย่ไปที่ห้องพัก ฟู่ถิงสือก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก“คุณพักผ่อนที่นี่ก่อน ผมจะออกไปข้างนอกสักครู่ เดี๋ยวผมรีบกลับมา”ฉินเย่หลับตาลงพิงโซฟาโดยไม่ตอบสนองอะไรเนื
ได้ยินดังนั้น ฟู่ถิงสือพลันหรี่ตาลง“หมายความว่ายังไง นายจะให้ฉันไปอ่อยเธองั้นเหรอ?”“แหะๆ ยังไงตอนนี้คุณก็เป็นคนใหม่ หากคิดจะพัฒนาฝีมือของตน ก็ต้องให้ความสำคัญแก่ส่วนรวม”“ไปเลยไป อย่าคิดแผนบ้าๆ ออกมาได้ไหม?”“ผมพูดจริงนะประธานฟู่ ไม่ได้ล้อเล่น คุณหนูเสิ่นคนนั้นไม่เพียงแต่หน้าตาสวย แต่ยังมีความสามารถมากด้วย คนที่ตามจีบเธอมีมากกว่าคนที่ขุดเธออีก”ฟู่ถิงสือเคยได้ยินแต่ชื่อ ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนแต่เขารู้ว่าผู้ช่วยของเขาพูดจริงทว่าหากจะให้เขาเสียสละนั้นเป็นไปไม่ได้แน่นอนเขาฟู่ถิงสือไม่มีทางละทิ้งป่าเพื่อต้นไม้ต้นเดียวแน่นอนเรื่องผูกมัดกับผู้หญิง หรือชอบผู้หญิงแค่คนเดียวนั้น เขาไม่แม้แต่จะคิดเลยด้วยซ้ำ“นายไปคิดวิธีมาอีก เข้าทางเพื่อนของเธอ ทำให้ผลตอบแทนสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง”“ครับประธานฟู่”_ณ สวนภูมิทัศน์โบราณตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ดีที่สุดของเมืองเจียงเฉิง เป็นคฤหาสน์สไตล์ย้อนยุคที่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ที่สุดของเมืองซื้อไป แล้วสร้างเป็นสะพานเล็กๆ พร้อมสายน้ำไหลทั้งคฤหาสน์ไม่ว่าจะเป็นการก่อสร้างสายน้ำไหล หรือว่าดอกไม้ต้นไม้ต่างๆ ล้วนแต่สร้างขึ้นโดยอิงจากประวัติ
ตั้งแต่ที่เธอไปจากฉินเย่ เสิ่นหยินอู้พบว่าชีวิตของตนนั้นราบรื่นกว่าแต่ก่อนเยอะแต่ก่อนเพราะมีเรื่องแต่งงาน ก็เลยทำให้พวกเธอไม่ได้อยู่ด้วยกันแต่หลังจากที่เธอหย่าแล้ว เฉียวลี่ซือและโจวชวงชวงต่างก็มาหาเธอ ทั้งสามคนไม่คิดอะไรมากมายราวกับเป็นเด็กน้อยสามคนอย่างไรอย่างนั้น พูดคุยดูดาวไปพลาง พูดกระซิบบนเตียงไปพลางเธอมักจะได้ยินเฉียวลี่ซือและโจวชวงชวงเม้าเรื่องผู้ชายหล่อตลอดผู้ช่วยเฉินช่วยขนย้ายกระเป๋าเดินทางขึ้นไปบ้านนี้เป็นบ้านสองชั้น ชั้นบนยังมีระเบียงเอาไว้ชมพระอาทิตย์ด้วย แถมยังมีดอกไม้ต้นไม้ปลูกเต็มไปหมดเพราะว่ามีดอกไม้และต้นไม้เยอะ ดังนั้นข้างในห้องจึงตกแต่งด้วยหน้าต่าง บริเวณขอบหน้าต่างก็มียาฆ่าแมลงวางอยู่ไม่น้อยเสิ่นหยินอู้เข้าไปถึง ก็ชอบสภาพแวดล้อมของที่นี่มากเธอยังกังวลใจว่าหลังจากกลับมาถึงต้องเสียเวลาไปดูที่อยู่ แต่ไม่คิดเลยว่าเฉียวลี่ซือจะจัดการแทนเธอหมดแล้วถึงขนาดไม่ต้องกังวลเรื่องทำความสะอาดบ้านด้วย เพราะเฉียวลี่ซือให้แม่บ้านมาจัดการก่อนที่เธอจะกลับมาแล้วเธอจัดวางกลิ่นปรับอากาศ และต้นไม้ที่เธอชอบไว้ในห้องผู้ช่วยเฉินแอบมองสีหน้าของเสิ่นหยินอู้ จากนั้นค่อยไปหยิ
หลังจากที่ผู้ช่วยเฉินกลับไป เฉียวลี่ซือก็พาเสิ่นหยินอู้ไปที่ระเบียงชั้นสอง พร้อมกับชามะลิหอมๆ หนึ่งกาน้ำชากลิ่นหอมของชามะลิลอยแตะจมูก แฝงไออุ่นๆแต่ก่อนเฉียวลี่ซือเป็นราชินีแห่งการดื่มเบียร์ ไม่เหมือนตอนนี้ที่ดื่มชามะลิแทนเสิ่นหยินอู้อดเย้ยหยันเธอไม่ได้ “ฉันคิดว่าเธอจะดื่มสักขวดสองขวด บอกให้ฉันชนแก้วบนระเบียงนี้ซะอีก”ได้ยินดังนั้น เฉียวลี่ซือก็ชะงัก แล้วยิ้มตอบ “เบียร์น่ะเหรอ? ของนั่นเข้ากับบรรยากาศในตอนนี้หรือไง? ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นหรือรูปลักษณ์ภายนอกก็ดูทำลายบรรยากาศไปหมด อีกอย่างที่สำคัญคือ ฉันเลิกสุราแล้วจ่ะ ไม่ดื่มแล้ว”“อุ๊ย รักษาสุขภาพเหรอ? แต่ก่อนพี่ซือของเราดื่มเก่งมากเลยนะ”เมื่อเอ่ยถึง เฉียวลี่ซือก็ยิ้มขมขื่น “อย่าพูดถึงเลย ฉันเป็นโรคกระเพาะน่ะ หมอก็เลยสั่งห้ามให้ฉันแตะเหล้า ฉันกลัวตาย อีกอย่างจู่ๆ ฉันก็รู้สึกว่าชามะลิก็อร่อยดีเหมือนกัน”ได้ยินเพื่อนบอกว่าเป็นโรคกระเพาะ เสิ่นหยินอู้ก็เป็นห่วงขึ้นมา“เกิดอะไรขึ้น?”เฉียวลี่ซือเม้มปาก ทำท่าไม่อยากเล่าผ่านไปนาน เธอถึงจะกล่าวอย่างลังเลว่า “ความจริงฉันชอบผู้ชายคนหนึ่งน่ะ”เสิ่นหยินอู้ “?”“เจอกันที่ร้านเหล้า เป็นหนุ
กล่าวจบ เฉียวลี่ซือก็หยิบโทรศัพท์ออกมายิ้มแย้มเสิ่นหยินอู้เองก็เอาหน้าเข้าไปใกล้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเช่นกัน“ดี ฉันจะได้ช่วยเธอดูด้วยว่าผู้ชายคนนี้เหมาะสมกับเธอไหม”แต่สุดท้ายเฉียวลี่ซือหารูปอยู่นาน ก็ไม่เจอ“แปลก ฉันเพิ่งแอบถ่ายไปเมื่อคราวก่อนเองนี่ ถึงแม้จะอยู่ไกลเห็นไม่ค่อยชัด แต่ว่าออร่านั้นสุดจริง หยินอู้ ออร่าที่ออกมาจากตัวเขานะ ฉันรับรองได้เลยว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน”เสิ่นหยินอู้รออยู่นาน เฉียวลี่ซือก็ยังหารูปไม่เจอ“อ๊ากๆๆ รูปฉันล่ะ?? รูปเทพบุตรที่ฉันได้มาอย่างยากลำบาก หายไปไหนแล้วล่ะ?”เมื่อเห็นท่าทีจะเป็นบ้าของเธอแล้ว เสิ่นหยินอู้จึงจับมือเธอไว้ “ช่างมันเถอะ ไม่เจอก็ไม่เป็นไร รอให้เธอจีบเขาติดแล้ว ถึงตอนนั้นจะถ่ายแค่ไหนก็ถ่าย”ได้ยินดังนั้น เฉียวลี่ซือก็ทำหน้าเศร้าโศกเสียใจ“ไม่รู้ว่าจะจีบเขาติดเมื่อไหร่ รูปใบนั้นฉันแอบถ่ายจากที่มืดด้วยซ้ำไป เธออย่าคิดนะว่าถึงผู้ชายคนนั้นจะมานั่งดื่มเหล้า แต่เขาระมัดระวังตัวมาก ให้ตายเถอะ ต้องเป็นเพราะตอนที่ฉันถ่ายตอนนั้น แล้วเขาหันมาพอดี ฉันก็เลยลืมกดถ่ายแน่เลย”เมื่อนึกได้ว่าตนพลาดโอกาสสำคัญไป เฉียวลี่ซือก็รู้สึกเสียดายมาก“อีก
เธอสบตากับผู้ช่วยเฉิน และพอจะเข้าใจอะไรบางอย่าง ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่คฤหาสน์ เขามีท่าทีเย็นชาใส่เธอมาตลอด นั่นเป็นเพราะในคฤหาสน์มีกล้องวงจรปิดอยู่ทุกที่ เขาจึงไม่สามารถสื่อสารกับเธอได้ แม้กระทั่งการส่งสายตา แต่ตอนนี้มาถึงสนามบินแล้ว สนามบินอาจจะไม่ได้มีสายลับของโม่ไป๋อยู่ ถึงจะมีบ้าง แต่คงไม่เยอะเท่ากับในคฤหาสน์ สายลับในสนามบินน่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ที่เป็นมนุษย์ ซึ่งมักจะอู้บ้าง และไม่ได้มีอยู่ทุกหนทุกแห่งเหมือนกับกล้องวงจรปิด แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น ก็ยังมีการดักฟังตลอดเวลา เธอจึงไม่สามารถพูดคุยกับผู้ช่วยเฉินได้เลย ถ้าอยากจะพูดคุยกัน ต้องหาวิธีในภายหลังเสิ่นหยินอู้คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เมื่อกี้ฉันดื่มเบียร์เย็นเข้าไป ตอนนี้รู้สึกไม่สบายท้องเลย”เมื่อได้ยิน ผู้ช่วยเฉินชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “คุณเสิ่นให้ผมเตรียมยามาให้ไหมครับ?”เสิ่นหยินอู้ส่ายหน้า “ไม่เป็นไรค่ะ แต่ฉันขอกระดาษทิชชู่หน่อย คุณพอมีมั้ยคะ?” เธอพูดด้วยท่าทางปกติ น้ำเสียงก็เย็นชา จนผู้ช่วยเฉินไม่แน่ใจว่าเธอสังเกตเห็นสัญญาณทางสายตาที่เขาส่งให้หรือเปล่า“มีครับ” ผู้ช่วยเฉินหยิบกระดาษทิชชู่จากกระเป๋าแ
ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “เธอก็รู้นี่ ว่าผมไม่อยากเห็นเธอเจ็บปวด” “จริงเหรอ?” เสิ่นหยินอู้หัวเราะอย่างเย็นชาออกมา“อย่าดื่มเบียร์เลยนะ โอเคมั้ย?”ไม่ทันที่เขาจะพูดจบ เสิ่นหยินอู้ก็ตอบทันทีว่า “ได้สิ งั้นคืนนี้ฉันจะออกเดินทางเลย” เดิมทีเธอแค่ต้องการดื่มอะไรเย็น ๆ เพื่อคลายความหงุดหงิด แต่กลับกลายเป็นว่าเธอสามารถควบคุมโม่ไป๋ด้วยเรื่องนี้ได้ ดังนั้นอย่าโทษที่เธอจะใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์ ยังไงเธอก็ถูกเขาข่มขู่ให้มาที่นี่อยู่แล้ว อีกฝั่งเงียบไปนานก่อนจะพูดว่า “วันนี้ไม่ได้”“จริงเหรอ?” เสิ่นหยินอู้หัวเราะเย็นชา “ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่มีอะไรต้องคุยกันอีกแล้วใช่ไหม?” “หยินอู้ เธอต้องการจะขัดผมจริง ๆ เหรอ?”“ขัด?” เสิ่นหยินอู้สายตาหม่นหมองลง “ฉันคิดว่าเราน่าจะเป็นเพื่อนกัน ถ้าวันไหนที่ฉันต้องขัดนายจริง ๆ ก็คงเป็นเพราะนายบังคับเอง” พูดจบ เสิ่นหยินอู้ก็ไม่พูดอะไรต่อแล้วก็ตัดสายไปทันที หลังจากนั้นเธอก็ยกเบียร์ขึ้นมาดื่มจิบ ๆ ไปเรื่อย ๆ ผ่านไปซักพัก ประตูห้องก็ถูกเปิดออก ผู้ช่วยเฉินเดินเข้ามาทันทีและพยายามหยิบเบียร์จากมือเธอไป แต่เสิ่นหยินอู้เหมือนจะรู้ทัน และเลื่อนเบี
สุดท้ายเธอก็ลุกขึ้น เดินลงไปที่ครัวชั้นล่างและเปิดตู้เย็น ขณะที่เธอกำลังหาของ ผู้ช่วยเฉินก็ตามมาพร้อมพูดว่า “คุณเสิ่นต้องการอะไร บอกผมมาก็ได้ครับ” เสิ่นหยินอู้ไม่สนใจเขา ค้นหาของในตู้เย็นอยู่นาน และในที่สุดก็เจอเบียร์เย็นสองกระป๋อง เธอหยิบเบียร์และหันกลับไปเดินขึ้นชั้นบน ทันใดนั้น เสียงเย็นยะเยือกในหูฟังของผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “อย่าให้เธอดื่มเบียร์”ใช่ นี่คือเสียงของโม่ไป๋ ตั้งแต่เขาเจอกับคุณเสิ่น เขาก็เฝ้าฟังความเคลื่อนไหวตลอดเวลา ทำให้เขาต้องรักษาท่าทีเย็นชากับเสิ่นหยินอู้ เมื่อได้ยินคำสั่งของโม่ไป๋ ผู้ช่วยเฉินก็รีบตอบสนองทันที ก้าวเท้าเร็ว ๆ ตามเสิ่นหยินอู้ไป“คุณเสิ่นครับ” เสิ่นหยินอู้หยุดเดินและมองเขาอย่างไร้อารมณ์เช่นกัน“เบียร์นี้ ผมให้คุณไม่ได้ครับ” ผู้ช่วยเฉินยื่นมือไปหาเธอ “ส่งมาให้ผมเถอะ”เมื่อได้ยินแบบนั้น เสิ่นหยินอู้ก้มมองเบียร์สองกระป๋องในมือ แล้วพูดยิ้ม ๆ ว่า “อะไร แค่อิสระในการเลือกของ ฉันยังไม่มีเลยหรอคะ?”ผู้ช่วยเฉินไม่ได้ตอบอะไร เห็นได้ชัดว่าเขาเห็นด้วยอย่างเงียบ ๆเมื่อเห็นเขาทำสีหน้าท่าทางแบบนั้น เสิ่นหยินอู้หัวเราะเบา ๆ และไม่ได้ส่งเบียร์ให้เข
หลี่มู่ถิง: “ผมเข้าใจแล้วครับ ผมจะให้พวกเขาคอยสังเกต แล้วคุณเสิ่น...…” “ฉันจะอยู่ที่นี่ชั่วคราว สำหรับเรื่องหลังจากนี้......ฉันจะหาทางติดต่อพวกคุณไปค่ะ” เมื่อได้ยินแบบนี้ หลี่มู่ถิงก็เข้าใจได้ทันทีว่า เธอจะไม่กลับไปกับพวกเขา “คุณเสิ่น คุณถูกกักตัวไว้หรือเปล่าครับ?” ถูกกักไว้เหรอ? เสิ่นหยินอู้มองออกไปข้างนอก คิดถึงตอนที่ผู้ช่วยเฉินเดินออกไปโดยไม่สนใจว่าเธอจะหนีหรือเปล่า เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครคิดจะกักเธอไว้ สิ่งที่กักขังเธอไว้คือความห่วงใยที่มีให้ฉินเย่ ตั้งแต่เธอตัดสินใจซื้อตั๋วเครื่องบินมาที่นี่ ก็เหมือนเธอถูกกักไว้แล้ว“ไม่มีใครกักฉันไว้ค่ะ ฉันค่อนข้างอิสระที่นี่ แต่คุณน่าจะเข้าใจว่าพวกเรามาที่นี่เพื่ออะไร วันนี้คุณพาคนกลับไปได้เลยค่ะ กลับไปพักผ่อนและหาเบาะแสต่อเถอะ” อีกฝ่ายเงียบไปนานก่อนจะพยักหน้า“คุณเสิ่น ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะทำตามที่คุณบอก”ตู๊ด ตู๊ด—— หลังจากวางสาย เสิ่นหยินอู้วางโทรศัพท์ลงบนอ่างล้างหน้า ก้มลงล้างหน้าแล้วปิดก๊อกน้ำในห้องน้ำหลังจากนั้น เธอก็หมุนตัวออกจากห้องน้ำไปหาผู้ช่วยเฉิน เธอคิดว่าเขาจะอยู่ในห้องใดห้องหนึ่งของวิลล่า แต่เธอกลับเห็นเขา
ความจริงใจ...... คำนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้รู้สึกขยะแขยงขึ้นมา เขายังคิดว่าตัวเองมีความจริงใจอยู่อีกหรอ? เสิ่นหยินอู้พยายามระงับความรู้สึกที่จะด่าเขา เธอตัดสายโทรศัพท์ทันทีแล้วส่งโทรศัพท์คืนให้ผู้ช่วยเฉิน“ฉันจะดูรูปตอนนี้”ผู้ช่วยเฉินรับโทรศัพท์มาอย่างไร้ความรู้สึกแล้วเปิดรูปให้ดู พอเสิ่นหยินอู้เห็นรูป สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันทีในรูป ฉินเย่นอนอยู่บนเตียง ใบหน้าซีดเซียว มีผ้าก๊อซพันอยู่รอบหน้าผากและยังมีรอยเลือดอยู่บนผ้าก๊อซ“นี่มันเรื่องอะไร?” เสิ่นหยินอู้เดินเข้ามาจับแขนของผู้ช่วยเฉิน “ทำไมเขาถึงบาดเจ็บขนาดนี้? โม่ไป๋ทำเขาเจ็บแบบนี้หรอ? เขาเป็นอันตรายถึงชีวิตไหม?” ผู้ช่วยเฉินมองมือของเธอ จากนั้นสะบัดออกอย่างไร้ความรู้สึก แล้วถอยหลังเพื่อรักษาระยะห่าง“คุณเสิ่น เรื่องนี้ผมไม่ทราบ หากคุณอยากรู้ ก็ไปถามคุณโม่ด้วยตัวเองดีกว่าครับ” “ได้ ฉันจะถามเขาเอง” แต่ผู้ช่วยเฉินกลับดึงโทรศัพท์กลับไป ไม่ได้ให้เธออีกแล้ว“คุณบอกให้ฉันถามเองไม่ใช่เหรอ? ถ้าไม่ให้โทรศัพท์ ฉันจะโทรหาเขาได้ยังไง?” “คุณเสิ่น คุณโม่หมายความว่า รอให้เจอกันก่อนแล้วเขาจะบอกคุณ”เสิ่นหยินอู้"......" เมื่อพูดจบ ผู้
เธอมองคนที่มาอยู่นาน ก่อนจะค่อย ๆ รู้สึกตัว จากนั้นรีบก้าวเข้าไปอย่างดีใจ“ผู้ช่วยเฉิน ดีจังเลยที่คุณไม่เป็นอะไร ฉันนึกว่าคุณ...…” แต่พอเธอเดินเข้าไปใกล้ ผู้ช่วยเฉินกลับถอยหลังไปสองสามก้าว เพื่อรักษาระยะห่างจากเธอเสิ่นหยินอู้หยุดก้าวทันที มองเขาด้วยความสงสัย“เป็นอะไรไปคะ?” แต่สายตาของผู้ช่วยเฉินกลับเย็นชา มองเธอเหมือนคนแปลกหน้า ไม่มีท่าทีเหมือนก่อนหน้านี้ไม่สิ คนแปลกหน้าก็ยังไม่เย็นชาขนาดนี้ ราวกับว่าพวกเขามีความแค้นต่อกัน “คุณเสิ่นให้ผมรออยู่นานเลยนะครับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาเสิ่นหยินอู้ "......"รอยยิ้มที่มุมปากของเธอค่อย ๆ หายไป ก่อนจะพูดขึ้นหลังจากเงียบไปซักพัก “ผู้ช่วยเฉิน คุณเป็นอะไรไปคะ?” แต่ผู้ช่วยเฉินไม่ได้ตอบ กลับจ้องไปที่นอกประตูแทน“คุณเสิ่นมาคนเดียวใช่ไหมครับ? ได้ทำตามสัญญาหรือเปล่า?” เสิ่นหยินอู้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ทำได้แค่พยักหน้าตามคำพูดของเขา“พวกเขามาส่งฉันค่ะ แต่ยังอยู่ห่างจากที่นี่ ฉันไม่ได้ให้พวกเขาเข้ามา” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้หยุดไปซักพัก แล้วพูดต่อว่า “นี่ไม่นับเป็นการผิดสัญญาใช่ไหม?”ผู้ช่วยเฉินไม่ได้ตอบรับ เสิ่นหยินอ
อาจเป็นเพราะสองวันนี้ไม่ได้กินอะไรดี ๆ ลำไส้และกระเพาะอาหารเลยรู้สึกไม่ค่อยดี ประกอบกับเส้นทางที่ขรุขระแบบนี้ ความรู้สึกคลื่นไส้เริ่มผุดขึ้นมา แต่เธอก็ทำได้แค่พยายามอดทน ทันทีที่รถหยุด สิ่งแรกที่เสิ่นหยินอู้ทำคือลงจากรถแล้วพุ่งไปอาเจียนข้างทาง“คุณเสิ่นครับ!” หลี่มู่ถิงตกใจในปฏิกิริยาของเธอ จึงรีบเปิดประตูรถตามลงไปทันที“คุณเสิ่นเป็นอะไรมั้ยครับ?” เสิ่นหยินอู้นั่งยองข้างถนน เพราะลมพัดแรง หลี่มู่ถิงจึงรีบถอดเสื้อคลุมออกแล้วคลุมให้เธอ จากนั้นก็พยุงเสิ่นหยินอู้ที่ใบหน้าซีดเซียวให้ยืนขึ้น“ไม่เป็นไรค่ะ” หลี่มู่ถิงเพิ่งสังเกตเห็นว่าใบหน้าของเสิ่นหยินอู้ซีดราวกับกระดาษ ตอนที่อยู่ในรถเขามัวแต่คิดและสั่งการเลยไม่ได้สังเกตเห็น ตอนนี้เขาสังเกตดูอาการของเสิ่นหยินอู้ คงเป็นเพราะเส้นทางขรุขระเกินไปทำให้เธอเมารถ ขณะที่เขากำลังคาดเดาในใจ เสิ่นหยินอู้ก็พูดขึ้นว่า “แค่เมารถนิดหน่อย เดี๋ยวก็ดีขึ้นค่ะ”“ขอโทษครับคุณเสิ่น ถนนเส้นนี้ขรุขระเกินไป ผมน่าจะให้พวกเขาขับช้ากว่านี้” คุณเสิ่นอดทนมาก เมารถมาตลอดทางแต่ก็ไม่พูดอะไรเลย เสิ่นหยินอู้เพียงแค่ยิ้มให้เขา เป็นสัญญาณว่าเธอไม่เป็นอะไร
ได้ยินถึงตรงนี้ หลี่มู่ถิงก็เข้าใจความหมายในคำพูดของเธอแล้ว“คุณเสิ่นครับ ประเทศนี้ คุณมาเป็นครั้งแรกหรือเปล่าครับ?” เสิ่นหยินอู้คิดอยู่สักพัก ก่อนจะส่ายหน้า“ก็ไม่ถือว่าเป็นครั้งแรกหรอกค่ะ แต่ครั้งก่อนฉันมาคนเดียว และอยู่ที่นี่แค่สองวันเท่านั้น” ตอนนั้นเธอพักที่โรงแรม ไม่ได้มีสถานที่ที่เรียกว่าเป็นที่เก่ากับโม่ไป๋หรอก? ไม่ใช่แค่ครั้งก่อน ครั้งนี้ก็เหมือนกัน เธอไม่รู้สึกว่ามีที่เก่าที่ไหนเลย นอกจากวิลล่าหลังนั้นที่พวกเขาเคยไป เพราะนั่นเป็นสถานที่ที่เธออยู่นานที่สุด หลังจากฟังเธอพูด หลี่มู่ถิงก็ตกอยู่ในห้วงความคิดเช่นกัน“หรือว่า ที่เก่าที่เขาพูดถึง ไม่ได้หมายถึงเมืองนี้ หรือประเทศนี้?” ตอนแรกเสิ่นหยินอู้ก็คิดแบบเดียวกัน แต่จากนิสัยของโม่ไป๋แล้วไม่น่าจะเป็นแบบนั้น ถ้าเธอมาผิดที่จริง โม่ไป๋ก็น่าจะบอกเธอทางโทรศัพท์ เพราะท้ายที่สุดแล้วเขาก็ต้องการเจอเธอ แล้วเขาก็ยังรู้หมายเลขเที่ยวบินของเธอด้วย“ไม่น่าจะใช่ค่ะ ถ้าไม่มีที่อื่นแล้ว ก็คงต้องไปที่นั่นแล้วล่ะ” ที่นี่ก็ไม่มีที่อื่นอีกแล้ว ถ้าเธอจะไปหาเขา ก็มีแค่สถานที่นั้นเท่านั้น หลี่มู่ถิงรู้สึกจนปัญญาไปชั่วขณะ แต่ตอนนี้ก
"ไม่ต้องดูหรอกค่ะ หมายเลขนั้นคงโทรกลับไปไม่ได้หรอก เขาคงจัดการมันไปแล้ว" ความหมายของเขาชัดเจนมาก เขาต้องการให้เธอไปหาเขา และต้องไปคนเดียว ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ยอมที่เขากล้าทำแบบนี้ก็เพราะว่าเขามีสิ่งที่เป็นจุดอ่อนพวกเธออยู่ในมือรู้การเคลื่อนไหวของเธอทั้งหมด แต่กลับไม่ให้คนไปหาเธอ ต้องการให้เธอไปหาเขาแทนเสิ่นหยินอู้หลับตาลง เห็นได้ชัดว่าฉินเย่อยู่ในกำมือของเขาจริงๆเกิดอะไรขึ้นกันแน่?ทำไมฉินเย่ถึงแพ้เขาได้? เขาวางแผนลอบทำร้ายฉินเย่เหรอ?"คุณเสิ่น คุณไปคนเดียวไม่ได้หรอกครับ" หลี่มู่ถิงพูดอย่างโกรธเคือง “เขาตั้งใจจะควบคุมคุณ""ค่ะ ก็รู้แล้ว แต่จะทำยังไง? คุณมีวิธีที่จะหาฉินเย่เจอไหม?"หลี่มู่ถิง "......" หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง หลี่มู่ถิงก็พูดขึ้นว่า "คนของเราที่ส่งออกไปก็กำลังพยายามหาอย่างสุดความสามารถอยู่ครับ"เมื่อเห็นว่าเสิ่นหยินอู้ไม่ตอบ เขาพูดต่อว่า "ขอโทษครับคุณเสิ่น เป็นเพราะผมใช้ไม่ได้ ตอนนั้นผมน่าจะอยู่ช่วยเขา"ถึงตอนนี้แล้ว ใครจะใช้ได้หรือใช้ไม่ได้ก็ไม่มีความหมายอะไรแล้วเสิ่นหยินอู้ไม่อยากพูดอะไรต่อ แต่เธอก็ยังปลอบใจเขาว่า "อย่าคิดแบบนั้นเลยค่ะ เรื่องนี้จริ