“อะไรคือที่บอกว่านอกจากเจียงฉูฉู่แล้ว สายตาผมไม่สามารถมองใครอื่นได้อีก? คุณได้ยินคำนี้มาจากไหน?”ฟู่ถิงสือไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคำนี้ถึงทำให้ฉินเย่โกรธได้เขาไม่แน่ใจว่า ฉินเย่โกรธเพราะไม่เห็นด้วยกับคำพูดนี้ หรือเพราะคนอื่นพูดถึงเจียงฉูฉู่ของเขาหลังจากครุ่นคิดสักพัก เขาก็พูดขึ้นมาอย่างระมัดระวัง“เป็นแค่ข่าวลือเท่านั้น พวกเขาแค่พูดเล่น คุณอย่าใส่ใจมากนักเลยครับ”“ข่าวลือ?” ฉินเย่มองเขาอย่างเย็นชา: "ในเมื่อมันเป็นแค่ข่าวลือ ทำไมต้องเอามาพูดต่อหน้าผม? อะไรนะ ทายาทตระกูลฟู่ยังได้รับสืบทอดนิสัยชอบซุบซิบด้วยหรอ?"ทันทีที่ได้ยินคำนี้ ฟู่ถิงสือไม่กล้าพูดเรื่องอื่นอีก รีบคุกเข่าขอโทษทันที“ประธานฉิน ผมผิดไปแล้ว ผมไม่ควรซุบซิบเรื่องของคุณ โทษผมที่ปากมากไปหน่อย คุณจะให้ผมทำยังไงถึงจะหายโกรธ?”ฉินเย่ไม่ได้พูดอะไรอีก แต่ความโกรธที่เพิ่งแสดงออกมา บ่งบอกชัดเจนว่า ฟู่ถิงสือจะไม่สามารถพูดซุบซิบเกี่ยวกับเขาได้อีกต่อไปในอนาคตหลังจากส่งฉินเย่ไปที่ห้องพัก ฟู่ถิงสือก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก“คุณพักผ่อนที่นี่ก่อน ผมจะออกไปข้างนอกสักครู่ เดี๋ยวผมรีบกลับมา”ฉินเย่หลับตาลงพิงโซฟาโดยไม่ตอบสนองอะไรเนื
ได้ยินดังนั้น ฟู่ถิงสือพลันหรี่ตาลง“หมายความว่ายังไง นายจะให้ฉันไปอ่อยเธองั้นเหรอ?”“แหะๆ ยังไงตอนนี้คุณก็เป็นคนใหม่ หากคิดจะพัฒนาฝีมือของตน ก็ต้องให้ความสำคัญแก่ส่วนรวม”“ไปเลยไป อย่าคิดแผนบ้าๆ ออกมาได้ไหม?”“ผมพูดจริงนะประธานฟู่ ไม่ได้ล้อเล่น คุณหนูเสิ่นคนนั้นไม่เพียงแต่หน้าตาสวย แต่ยังมีความสามารถมากด้วย คนที่ตามจีบเธอมีมากกว่าคนที่ขุดเธออีก”ฟู่ถิงสือเคยได้ยินแต่ชื่อ ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนแต่เขารู้ว่าผู้ช่วยของเขาพูดจริงทว่าหากจะให้เขาเสียสละนั้นเป็นไปไม่ได้แน่นอนเขาฟู่ถิงสือไม่มีทางละทิ้งป่าเพื่อต้นไม้ต้นเดียวแน่นอนเรื่องผูกมัดกับผู้หญิง หรือชอบผู้หญิงแค่คนเดียวนั้น เขาไม่แม้แต่จะคิดเลยด้วยซ้ำ“นายไปคิดวิธีมาอีก เข้าทางเพื่อนของเธอ ทำให้ผลตอบแทนสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง”“ครับประธานฟู่”_ณ สวนภูมิทัศน์โบราณตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ดีที่สุดของเมืองเจียงเฉิง เป็นคฤหาสน์สไตล์ย้อนยุคที่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ที่สุดของเมืองซื้อไป แล้วสร้างเป็นสะพานเล็กๆ พร้อมสายน้ำไหลทั้งคฤหาสน์ไม่ว่าจะเป็นการก่อสร้างสายน้ำไหล หรือว่าดอกไม้ต้นไม้ต่างๆ ล้วนแต่สร้างขึ้นโดยอิงจากประวัติ
ตั้งแต่ที่เธอไปจากฉินเย่ เสิ่นหยินอู้พบว่าชีวิตของตนนั้นราบรื่นกว่าแต่ก่อนเยอะแต่ก่อนเพราะมีเรื่องแต่งงาน ก็เลยทำให้พวกเธอไม่ได้อยู่ด้วยกันแต่หลังจากที่เธอหย่าแล้ว เฉียวลี่ซือและโจวชวงชวงต่างก็มาหาเธอ ทั้งสามคนไม่คิดอะไรมากมายราวกับเป็นเด็กน้อยสามคนอย่างไรอย่างนั้น พูดคุยดูดาวไปพลาง พูดกระซิบบนเตียงไปพลางเธอมักจะได้ยินเฉียวลี่ซือและโจวชวงชวงเม้าเรื่องผู้ชายหล่อตลอดผู้ช่วยเฉินช่วยขนย้ายกระเป๋าเดินทางขึ้นไปบ้านนี้เป็นบ้านสองชั้น ชั้นบนยังมีระเบียงเอาไว้ชมพระอาทิตย์ด้วย แถมยังมีดอกไม้ต้นไม้ปลูกเต็มไปหมดเพราะว่ามีดอกไม้และต้นไม้เยอะ ดังนั้นข้างในห้องจึงตกแต่งด้วยหน้าต่าง บริเวณขอบหน้าต่างก็มียาฆ่าแมลงวางอยู่ไม่น้อยเสิ่นหยินอู้เข้าไปถึง ก็ชอบสภาพแวดล้อมของที่นี่มากเธอยังกังวลใจว่าหลังจากกลับมาถึงต้องเสียเวลาไปดูที่อยู่ แต่ไม่คิดเลยว่าเฉียวลี่ซือจะจัดการแทนเธอหมดแล้วถึงขนาดไม่ต้องกังวลเรื่องทำความสะอาดบ้านด้วย เพราะเฉียวลี่ซือให้แม่บ้านมาจัดการก่อนที่เธอจะกลับมาแล้วเธอจัดวางกลิ่นปรับอากาศ และต้นไม้ที่เธอชอบไว้ในห้องผู้ช่วยเฉินแอบมองสีหน้าของเสิ่นหยินอู้ จากนั้นค่อยไปหยิ
หลังจากที่ผู้ช่วยเฉินกลับไป เฉียวลี่ซือก็พาเสิ่นหยินอู้ไปที่ระเบียงชั้นสอง พร้อมกับชามะลิหอมๆ หนึ่งกาน้ำชากลิ่นหอมของชามะลิลอยแตะจมูก แฝงไออุ่นๆแต่ก่อนเฉียวลี่ซือเป็นราชินีแห่งการดื่มเบียร์ ไม่เหมือนตอนนี้ที่ดื่มชามะลิแทนเสิ่นหยินอู้อดเย้ยหยันเธอไม่ได้ “ฉันคิดว่าเธอจะดื่มสักขวดสองขวด บอกให้ฉันชนแก้วบนระเบียงนี้ซะอีก”ได้ยินดังนั้น เฉียวลี่ซือก็ชะงัก แล้วยิ้มตอบ “เบียร์น่ะเหรอ? ของนั่นเข้ากับบรรยากาศในตอนนี้หรือไง? ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นหรือรูปลักษณ์ภายนอกก็ดูทำลายบรรยากาศไปหมด อีกอย่างที่สำคัญคือ ฉันเลิกสุราแล้วจ่ะ ไม่ดื่มแล้ว”“อุ๊ย รักษาสุขภาพเหรอ? แต่ก่อนพี่ซือของเราดื่มเก่งมากเลยนะ”เมื่อเอ่ยถึง เฉียวลี่ซือก็ยิ้มขมขื่น “อย่าพูดถึงเลย ฉันเป็นโรคกระเพาะน่ะ หมอก็เลยสั่งห้ามให้ฉันแตะเหล้า ฉันกลัวตาย อีกอย่างจู่ๆ ฉันก็รู้สึกว่าชามะลิก็อร่อยดีเหมือนกัน”ได้ยินเพื่อนบอกว่าเป็นโรคกระเพาะ เสิ่นหยินอู้ก็เป็นห่วงขึ้นมา“เกิดอะไรขึ้น?”เฉียวลี่ซือเม้มปาก ทำท่าไม่อยากเล่าผ่านไปนาน เธอถึงจะกล่าวอย่างลังเลว่า “ความจริงฉันชอบผู้ชายคนหนึ่งน่ะ”เสิ่นหยินอู้ “?”“เจอกันที่ร้านเหล้า เป็นหนุ
กล่าวจบ เฉียวลี่ซือก็หยิบโทรศัพท์ออกมายิ้มแย้มเสิ่นหยินอู้เองก็เอาหน้าเข้าไปใกล้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเช่นกัน“ดี ฉันจะได้ช่วยเธอดูด้วยว่าผู้ชายคนนี้เหมาะสมกับเธอไหม”แต่สุดท้ายเฉียวลี่ซือหารูปอยู่นาน ก็ไม่เจอ“แปลก ฉันเพิ่งแอบถ่ายไปเมื่อคราวก่อนเองนี่ ถึงแม้จะอยู่ไกลเห็นไม่ค่อยชัด แต่ว่าออร่านั้นสุดจริง หยินอู้ ออร่าที่ออกมาจากตัวเขานะ ฉันรับรองได้เลยว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน”เสิ่นหยินอู้รออยู่นาน เฉียวลี่ซือก็ยังหารูปไม่เจอ“อ๊ากๆๆ รูปฉันล่ะ?? รูปเทพบุตรที่ฉันได้มาอย่างยากลำบาก หายไปไหนแล้วล่ะ?”เมื่อเห็นท่าทีจะเป็นบ้าของเธอแล้ว เสิ่นหยินอู้จึงจับมือเธอไว้ “ช่างมันเถอะ ไม่เจอก็ไม่เป็นไร รอให้เธอจีบเขาติดแล้ว ถึงตอนนั้นจะถ่ายแค่ไหนก็ถ่าย”ได้ยินดังนั้น เฉียวลี่ซือก็ทำหน้าเศร้าโศกเสียใจ“ไม่รู้ว่าจะจีบเขาติดเมื่อไหร่ รูปใบนั้นฉันแอบถ่ายจากที่มืดด้วยซ้ำไป เธออย่าคิดนะว่าถึงผู้ชายคนนั้นจะมานั่งดื่มเหล้า แต่เขาระมัดระวังตัวมาก ให้ตายเถอะ ต้องเป็นเพราะตอนที่ฉันถ่ายตอนนั้น แล้วเขาหันมาพอดี ฉันก็เลยลืมกดถ่ายแน่เลย”เมื่อนึกได้ว่าตนพลาดโอกาสสำคัญไป เฉียวลี่ซือก็รู้สึกเสียดายมาก“อีก
ได้ยินดังนั้น เสิ่นซือเหนียนก็เงยหน้าขึ้น“น้าเฉียว?”เฉียวลี่ซือที่เดิมยังคล้องแขนเสิ่นหยินอู้อยู่ปล่อยมือออก ถูกเสิ่นซือเหนียนเงยหน้ามองแบบนี้ ทำให้เธอใจละลายในบัดดล แล้วเปลี่ยนเป็นคุณน้าที่ไม่อาจต้านทานได้ทันที“แหะๆๆ มาให้น้าเฉียวจุ๊บหน่อยเร็ว”เสิ่นหยินอู้ “…”พลบค่ำ ตอนที่เสิ่นหยินอู้กำลังทำอาหารอยู่นั้น เฉียวลี่ซือก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเดินออกมา เดิมคิดจะเข้าไปช่วยเหลือเสิ่นหยินอู้แต่ตอนที่เดินผ่านห้องรับแขก เธอเหลือบมองเข้าไปข้างในเธอเหลือบไปมองเห็นเสิ่นซือเหนียนที่นั่งอยู่ตรงหน้ากาน้ำชาพลันชะงักงันไปชั่วขณะท้องฟ้าใกล้จะมืดสนิทแล้ว นอกหน้าต่างเป็นแสงตอนพระอาทิตย์สอดส่องเข้ามากระทบบนใบหน้าอันหล่อเหลาของเสิ่นซือเหนียนเด็กชายคนหนึ่งนั่งทบทวนบทเรียนอยู่ตรงนั้นอย่างตั้งใจ บนใบหน้าเด็กน้อยนั้นแฝงด้วยกลิ่นอายความเป็นผู้ใหญ่เฉียวลี่ซือยืนมองเสิ่นซือเหนียนอย่างไม่อยากเชื่ออยู่ตรงนั้น แล้วเผยสีหน้าไม่อยากเชื่อออกมาเป็นเพราะเธอไม่เจอผู้ชายที่ร้านเหล้าคนนั้นนานเกินไป ก็เลยตาฝาดงั้นเหรอ?เธอเห็นเหนียนเหนียนเป็นผู้ชายคนนั้นหลังจากนั้นไม่กี่วินาที เฉียวลี่ซือก็ใช้มือขยี้ตาตัวเอ
“ตายแล้ว”คำสองคำถูกตอบให้กับเฉียวลี่ซือโดยไม่ทันตั้งตัวเฉียวลี่ซือยังไม่ทันถามจบเลยด้วยซ้ำเธอยืนงงอยู่กับที่ แล้วมองเสิ่นหยินอู้อย่างตะลึงงัน“อะไรนะ?”เสิ่นหยินอู้เงยหน้ามองเธอด้วยแววตาเรียบเฉย แล้วพูดว่า “เป็นอะไร?”“ตะ…ตายแล้ว??”เฉียวลี่ซือไม่คิดเลยว่าจะเป็นคำตอบนี้ หลังจากที่ถามซ้ำไปอีกครั้งหนึ่งแล้ว เธอก็รู้สึกขายหน้าและรู้สึกผิดมากทำไมเธอถึงได้ยินว่าคนอื่นตายแล้วยังจะถามซ้ำอีกเนี่ย?แม่เจ้าเฉียวลี่ซือรู้สึกผิดมาก ตนถามเรื่องโม่ไป๋ยังดีกว่าอีกเธอก็ว่าแหละ ทำไมเสิ่นหยินอู้ถึงไม่พูดเรื่องที่ผ่านมาแล้วเลย และตอนที่เธอถามโจวชวงชวง โจวชวงชวงก็ทำหน้าพูดยากลำบากใจทุกครั้ง สุดท้ายก็ถอนหายใจพูดกับเธอว่า “เรื่องนี้มันทำให้เธอรู้สึกเจ็บใจ อย่าถามเลยดีกว่า”ในที่สุดตอนนี้เฉียวลี่ซือก็เข้าใจแล้วว่าทำไมโจวชวงชวงถึงบอกว่าเป็นเรื่องที่ทำให้เสิ่นหยินอู้เจ็บใจและเข้าใจแล้วว่า ทำไมเสิ่นหยินอู้ถึงได้ใช้ชีวิตอยู่กับลูกๆ ตามลำพัง“ขอ…ขอโทษนะ!!”หลังจากที่รู้สึกตัวแล้ว เฉียวลี่ซือก็รีบโค้งตัวขอโทษเสิ่นหยินอู้“หยินอู้ ขอโทษนะ…ฉันไม่รู้จริงๆ ถ้าฉันรู้แบบนั้น ฉันก็คงไม่ถามแล้ว”เฉ
_ในห้องสูทของโรงแรมผ้าม่านบังแสงถูกคนเปิดออก ทำให้ห้องสว่างในทันตาแสงที่แยงตาสอดส่องไปยังใบหน้าอันหล่อเหลาที่กำลังนอนอยู่บนเตียงเดิมคนที่นอนเป็นร่างศพ ในที่สุดก็มีปฏิกิริยาโต้ตอบสักที คนคนนั้นขมวดคิ้วแล้วลืมตาขึ้น“ตื่นแล้วเหรอ?”เสียงผู้ชายดังมาจากบนโซฟาฉินเย่ที่เพิ่งตื่นจากที่นอนใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีก็รู้แล้วว่าเป็นเสียงของใคร…จี้ชิงเป่ยด้วยแสงที่แยงตา ทำให้เขาหลับตาลงอีกครั้งเพราะแสบตา และนอนต่อไปไม่ขยับตัวแต่จี้ชิงเป่ยรู้แล้วว่าเขาตื่นแล้ว เมื่อเห็นเขาไม่ยอมสนใจตน จึงได้พูดขึ้นเองว่า “นายคิดจะใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไปอีกนานแค่ไหน?”คนที่นอนอยู่บนเตียงไม่สนใจเขาดูเหมือนจี้ชิงเป่ยจะรู้แล้วว่าเขาไม่มีทางตอบตนแน่นอน จึงพูดต่อจนจบ แล้วต่ออีกประโยค โดยไม่รอให้เขาตอบเลย“หมอบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าร่างกายของนายห้ามดื่มเหล้าแล้ว?”คนบนเตียงยังคงไม่ตอบนิสัยของจี้ชิงเป่ยเป็นคนใจเย็นมาโดยตลอด แต่ครั้งนี้เขาเองก็อดหัวเราะเยาะออกมาไม่ได้“หรือว่าคิดจะทำให้ตัวเองตาย แล้วปล่อยให้พ่อแม่นายส่งนายไปก่อนล่ะ?”หลังจากพูดจบ จี้ชิงเป่ยก็ไม่พูดอะไรใดๆ อีก เพียงแค่นั่งรออยู่ตรงนั้นผ่าน
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ