_ในห้องสูทของโรงแรมผ้าม่านบังแสงถูกคนเปิดออก ทำให้ห้องสว่างในทันตาแสงที่แยงตาสอดส่องไปยังใบหน้าอันหล่อเหลาที่กำลังนอนอยู่บนเตียงเดิมคนที่นอนเป็นร่างศพ ในที่สุดก็มีปฏิกิริยาโต้ตอบสักที คนคนนั้นขมวดคิ้วแล้วลืมตาขึ้น“ตื่นแล้วเหรอ?”เสียงผู้ชายดังมาจากบนโซฟาฉินเย่ที่เพิ่งตื่นจากที่นอนใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีก็รู้แล้วว่าเป็นเสียงของใคร…จี้ชิงเป่ยด้วยแสงที่แยงตา ทำให้เขาหลับตาลงอีกครั้งเพราะแสบตา และนอนต่อไปไม่ขยับตัวแต่จี้ชิงเป่ยรู้แล้วว่าเขาตื่นแล้ว เมื่อเห็นเขาไม่ยอมสนใจตน จึงได้พูดขึ้นเองว่า “นายคิดจะใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไปอีกนานแค่ไหน?”คนที่นอนอยู่บนเตียงไม่สนใจเขาดูเหมือนจี้ชิงเป่ยจะรู้แล้วว่าเขาไม่มีทางตอบตนแน่นอน จึงพูดต่อจนจบ แล้วต่ออีกประโยค โดยไม่รอให้เขาตอบเลย“หมอบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าร่างกายของนายห้ามดื่มเหล้าแล้ว?”คนบนเตียงยังคงไม่ตอบนิสัยของจี้ชิงเป่ยเป็นคนใจเย็นมาโดยตลอด แต่ครั้งนี้เขาเองก็อดหัวเราะเยาะออกมาไม่ได้“หรือว่าคิดจะทำให้ตัวเองตาย แล้วปล่อยให้พ่อแม่นายส่งนายไปก่อนล่ะ?”หลังจากพูดจบ จี้ชิงเป่ยก็ไม่พูดอะไรใดๆ อีก เพียงแค่นั่งรออยู่ตรงนั้นผ่าน
แต่ถึงเธอจะพูดแบบนั้น ฉินเย่ก็ไม่อธิบายอย่างอ่อนโยนให้กับเธอเหมือนแต่ก่อนอีก แต่เพียงแค่ยืนอยู่กับที่ แล้วมองเธอด้วยสายตานิ่งเงียบจนกระทั่งสายตานั้นจ้องเจียงฉูฉู่จนไม่เป็นตัวเองเจียงฉูฉู่ทำได้เพียงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา“ฉันล้อเล่นน่ะ คุณจะไม่อยากรับสายฉันได้ยังไง? จริงสิ ชิงเป่ยล่ะ? เมื่อคืนตอนฉันโทรหาคุณ เขาบอกว่าคุณดื่มหนัก คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม? ปวดหัวไหม?”จากนั้นเธอพูดไปมากมาย แต่ฉินเย่ก็ตอบแค่ว่า “ไม่เป็นไร”หลังจากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่อสวมเสื้อเจียงฉูฉู่ยืนอยู่กับที่ มองดูแผ่นหลังอันเย็นชาของเขา ก็รู้สึกเจ็บปวดใจถึงขีดสุดตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อน ฉินเย่กับเสิ่นหยินอู้หย่าร้างกันไป เสิ่นหยินอู้เองก็ออกจากประเทศไปทันที ทั้งโลกก็หายไปตั้งแต่นั้นมาเจียงฉูฉู่ตะลึงใจที่เธอจะทำตามสัญญา ในขณะเดียวกันก็คาดหวังให้ฉินเย่สู่ขอเธอให้เร็วหลังจากหย่าร้างแต่ไม่รอให้เธอได้ดีใจ ฉินเย่ก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคนเขาไปหาเธอ แล้วบอกเธอว่า “ขอโทษนะ ผมคงทำตามสัญญาไม่ได้แล้ว”จากนั้นเจียงฉูฉู่ก็ยืนงงอยู่กับที่ผ่านไปนานพอควร เธอถึงจะฝืนยิ้มออกมา“ทำไมล่ะ? เพราะเรื่องลักพาตัวเหรอ? จนถึงตอนน
ขอแค่เธอยอมรอต่อไป บวกกับเรื่องที่เธอเป็นผู้ช่วยชีวิตของเขา ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องซาบซึ้งในตัวเธอแน่นอนหลายปีมานี้ แม้แต่พ่อฉินแม่ฉินยังใจอ่อนกับเธอเลย ตอนแรกพวกท่านไม่ยอมและไม่อยากยอมรับเธอ แสดงต่อเธอด้วยท่าทีเพียงแค่เป็นผู้มีพระคุณเท่านั้น ชื่อเรียกสนิทสนมอย่างอื่น เธอไม่ได้รับมันเลยแต่พอเวลานานเข้า เธอไม่สามารถทำให้ฉินเย่ใจอ่อนได้ แต่กลับทำให้พ่อแม่ของฉินเย่ใจอ่อนได้เหมือนอย่างงานประมูลครั้งนี้ มีของที่แม่ฉินอยากได้อยู่ด้วย ดังนั้นเธอจึงหาบัตรเชิญมาได้สองใบ ให้พวกเขาสองคนไปด้วยกันเจียงฉูฉู่รู้ดีว่านี่เป็นโอกาสที่แม่ฉินสร้างให้กับเธอและฉินเย่เมื่อคิดถึงตรงนี้ เจียงฉูฉู่ก็เดินไปเคาะประตูห้องนอน แต่ไม่กล้าเดินเข้าไป เพียงแค่ยืนพูดอยู่หน้าประตูว่า “เย่คะ งานประมูลคืนนี้ คุณจะไปไหม?”ฉินเย่กำลังสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์อยู่ พอได้ยินดังนั้นก็ชะงักไปชั่วขณะเขาไม่อยากไปจริงๆ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่ามีของที่แม่ฉินอยากได้ แม้ฉินเย่จะไม่อยากไปแค่ไหน สุดท้ายก็ตัดสินใจขอทำตัวเป็นลูกที่ดีของแม่“รู้แล้ว”เขาตอบกลับมานิ่งๆเมื่อได้ยินว่าเขายอมไปด้วย เจียงฉูฉู่ที่ยืนอยู่หน้าป
เจียงฉูฉู่ไม่คิดว่าฉินเย่จะอยากส่งตนกลับไปสีเลือดบริเวณริมฝีปากของเธอจางหายไป แล้วส่ายหน้าโดยสัญชาตญาณ“ไม่ ฉันไม่กลับ นานๆ ทีฉันจะมีโอกาสมาออกงานกับคุณ เย่คะ…ฉันไม่ได้ออกงานกับคุณนานมากแล้วนะ คุณอย่าไล่ฉันเลยนะ?”เธอน้ำตาคลอเบ้าในทันใด แล้วมองฉินเย่ด้วยสีหน้าน่าสงสารฉินเย่มองเธอด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง“ฉันรู้ว่าเรื่องที่ฉันเคยช่วยชีวิตคุณไว้มันทำให้คุณรู้สึกกดดัน แต่ตอนนี้คุณช่วยลืมเรื่องนั้นไป แล้วคิดซะว่าฉันเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาๆ ที่กำลังตามจีบคุณอยู่ได้ไหม?”เธอได้ใช้วาทศิลป์ตอนพูดประโยคนี้ภายนอกเธอดูเหมือนบอกให้ฉินเย่ลืมเรื่องที่ตนเป็นผู้มีพระคุณ แต่ความจริงแล้วกลับกำลังย้ำเตือนเขาว่าตนเป็นผู้มีพระคุณของเขาเธอเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะใช้ไพ่ใบนี้เช่นกันแต่ตอนนี้ เธอไม่มีอะไรแล้ว เธอเหลือแค่ไพ่ใบนี้ใบเดียวเท่านั้นหากแม้แต่ไพ่ใบนี้ก็ไม่สามารถใช้ได้ล่ะก็ ถ้างั้นเธอก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงแล้วแต่ที่โชคดีคือ สำหรับเรื่องนี้แล้ว ฉินเย่ก็ยังคงรู้สึกซาบซึ้งและขอบคุณเธอมาก เขามองเธอด้วยสายตาเย็นชาอยู่ครู่หนึ่ง ถึงจะขยับแขน“ไม่มีครั้งหน้าอีก”ได้ยินดังนั้น เจียงฉูฉู่ก็คล้องแขนเขาเอาไ
“พกร่มมาไหม?” เสิ่นหยินอู้ที่นั่งอยู่กับเด็กทั้งสองคนอยู่แถวหลังถามขึ้นได้ยินดังนั้น ผู้ช่วยเฉินพลันส่ายหน้า“ไม่ได้พกมาครับ ไม่คิดว่าวันนี้ฝนจะตก”เสิ่นหยินอู้ดูไปที่รอบๆ แล้วตัดสินใจ“ข้างหน้าเหมือนจะมีร้านสะดวกซื้อ 24 ชั่วโมงนะ เดี๋ยวช่วยจอดริมถนนให้หน่อยได้ไหม?”ตอนแรกเป็นแค่ฝนปอยๆ แต่พอหลังๆ ก็เริ่มตกหนักขึ้นแทบจะมองไม่เห็นถนนเลย ดังนั้นตอนที่มาถึงสถานที่จัดงาน ก็สายซะแล้วคนในงานน้อยมากผู้ช่วยเฉินหยิบบัตรเชิญออกมา ท่าทีของคนที่อยู่หน้าประตูเปลี่ยนเป็นเคารพนอบน้อมทันที“ขอเชิญทั้งสองมาทางนี้ครับ”การที่เสิ่นหยินอู้มาร่วมงานประมูลเพื่อการกุศลครั้งนี้ ความจริงแล้วมาในนามของโม่ไป๋ ซึ่งแน่นอนว่าโม่ไป๋ต้องนั่งที่นั่งแขกระดับสูงอยู่แล้วดังนั้นพนักงานจึงพาเสิ่นหยินอู้และผู้ช่วยเฉินไปที่โซนแขกวีไอพีแต่เพราะพวกเขามาสาย งานประมูลจึงเริ่มขึ้นแล้ว ถ้าจะเข้าไปตอนนี้ ก็ต้องเดินตัดหน้าคนอื่น เสิ่นหยินอู้จึงคิดแล้วพูดกับพนักงานว่า “เดี๋ยวเรานั่งข้างหลังก็ได้ค่ะ”ได้ยินดังนั้น สีหน้าของพนักงานต้อนรับพลันเปลี่ยนไป“ได้ยังไงครับ? ทั้งสองเป็นถึง…”เสิ่นหยินอู้ยิ้มตอบ “ไม่เป็นไรค่ะ
เสิ่นหยินอู้ไม่ตอบเขาหลังจากผ่านไปสิบกว่าวินาที ผู้ช่วยเฉินก็ยกมือลูบจมูกของตนอย่างเก้อเขินอาจเป็นเพราะพูดคุยกันอย่างเป็นกันเองมากเกินไป ทำให้เขาพลั้งปากพูดแบบนั้นออกมาลำพังแค่คิดในสิ่งที่ตนพูดออกมาเมื่อกี้นี้ ผู้ช่วยเฉินก็รู้สึกเสียใจมากแล้วแต่โชคดีที่หลังจากผ่านไปไม่กี่นาที เสิ่นหยินอู้ก็ทำลายบรรยากาศนั่นด้วยตนเอง“ผู้ช่วยเฉิน ของประมูลชิ้นถัดไป คุณช่วยเสนอราคาให้ฉันที“ชิ้นถัดไป?” ผู้ช่วยเฉินรีบเปิดหนังสือประมูลดู พบว่าของประมูลชิ้นถัดไปเป็นกำไลน้ำงามชิ้นหนึ่ง“คุณหนูเสิ่นชอบอันนี้เหรอครับ?”ผู้ช่วยเฉินมึนงง เห็นได้ชัดว่าไม่ได้เตรียมตัวมาก่อนเพราะก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าเสิ่นหยินอู้จะชอบเครื่องหยกแต่โชคดีที่โม่ไป๋กำชับไว้ก่อนแล้วว่า หากระหว่างงานเสิ่นหยินอู้ชอบอะไร ก็ให้เขาเสนอราคาให้ ไม่ว่าเท่าไหร่ก็ต้องประมูลไว้ให้ได้ แล้วค่อยคิดบัญชีที่เขาเสิ่นหยินอู้ยิ้มแย้ม ไม่ตอบอะไร“โอเคครับ ผมเข้าใจแล้ว”เมื่อของประมูลชิ้นถัดไปออกมา ผู้ช่วยเฉินก็รีบนั่งตัวตรงทันทีดูเหมือนของที่ต้องประมูลต่อจากนี้ก็คือของชิ้นสุดท้ายที่ว่านั้นเสิ่นหยินอู้มองดูท่าทีจริงจังของ
เสิ่นหยินอู้กำลังจะบอกว่าคุณไม่จำเป็นต้องเอาคำพูดของเขามาเป็นคำสั่ง ก็เห็นผู้ช่วยเฉินยกป้ายขึ้นอีกครั้ง "ห้าสิบล้าน"ห้าสิบล้านจริงๆ แล้วไม่ใช่เงินก้อนใหญ่สำหรับตระกูลใหญ่ แต่เมื่อเป็นกำไลหยกนี้ เจียงฉูฉู่ ก็ไม่คิดว่าจะมีใครแข่งราคานี้กับเธอยิ่งกว่านั้นเนื่องจากวันนี้เธออยู่กับฉินเย่ ผู้คนในนี้อย่างน้อยก็คงไม่แข่งกับเธอเพราะเห็นแก่หน้าฉินเย่แต่ไม่คาดคิด...เธอยังถูกดูถูกอีกจนได้?เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เจียงฉูฉู่ก็กัดริมฝีปากล่าง “ห้าสิบห้าล้าน”ผู้ช่วยเฉินตามทันที"หกสิบล้าน"เสิ่นหยินอู้ "..."เธอผิดไปแล้ว เธอไม่ควรแสดงให้เห็นว่าเธอชอบของสิ่งนี้มีเสียงกระซิบกระซาบขึ้นในงานคงเป็นเพราะว่าพวกเขาไม่คาดคิดว่ากำไลหยกจะส่งผลให้เกิดการเสนอราคาดังกล่าวจากพวกเขาได้ประมูลกันถึงหกสิบล้านแล้ว เจียงฉูฉู่ได้แต่กัดริมฝีปากแล้วชูป้ายต่อไป"หกสิบห้าล้าน"เมื่อผู้ช่วยเฉินเห็นดังนั้นจึงยกป้ายขึ้นการกระทำนั้นถูกห้ามโดยเสิ่นหยินอู้ที่อยู่ข้างๆ“พอแล้ว ผู้ช่วยเฉิน”“แต่ว่าคุณหนูเสิ่น ประธานโม่สั่งไว้แล้วว่า...”เสิ่นหยินอู้มองเขาเงียบๆ “ตอนนี้ฉันไม่ชอบกำไลหยกนี้แล้ว แน่ใจเหรอว่าจะประ
เจียงฉูฉู่พลิกดูหนังสือรายการประมูลที่อยู่ในมือ แล้วเดินเข้าไปหาฉินเย่อย่างระมัดระวังและเตือนว่า "เย่ สิ่งที่คุณป้าฉินอยากได้จะเริ่มประมูลแล้วนะ""อืม"ฉินเย่ตอบอย่างเย็นชาสายตาของเขายังคงจับจ้องไปที่โทรศัพท์เจียงฉูฉู่เม้มริมฝีปาก เขามองโทรศัพท์ตั้งแต่วินาทีที่เขานั่งจนถึงตอนนี้ เนื่องจากเขามีเป้าหมายชัดเจน เขาจึงไม่สนใจสินค้าประมูลอื่นๆ ในงานจนกว่ารายการสุดท้ายออกมาแต่ถึงแม้เขาจะไม่สนใจ แต่ว่าแต่ก่อนเขาก็ไม่ใช่คนชอบเล่นโทรศัพท์มือถือนี่แล้วเขากำลังดูอะไรอยู่ล่ะ มีอะไรให้น่าดูขนาดนี้?เมื่อนึกถึงตรงนี้ เจียงฉูฉู่ก็มองไปทางหน้าจอโทรศัพท์มือถือของเขาเมื่อมองแวบแรก เจียงฉูฉู่ก็ตกตะลึงเล็กน้อยเด็กสองคน? ฉินเย่กำลังดูเด็กสองคน?เธอดูผิดไปหรือเปล่า?อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เจียงฉูฉู่จะมองอีกครั้ง หน้าจอโทรศัพท์ของฉินเย่ก็มืดไปแล้วและสิ่งที่ตามมาคือเธอต้องเผชิญกับสายตาเย็นชาของฉินเย่"ดูอะไร?"เจียงฉูฉู่กลับมามีสติอีกครั้งและส่ายหัวโดยไม่รู้ตัว “เปล่า ไม่มีอะไร ฉันแค่อยากจะเตือนคุณ”“รู้แล้ว” ฉินเย่วางโทรศัพท์ลงโดย จดจ่อ และมองตรงไปข้างหน้าเมื่อเห็นเช่นนี้ เจียงฉูฉู่ก็นั
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ
เขาพูดด้วยเสียงที่เบามากจนแทบไม่ได้ยิน ขณะที่เขาโน้มตัวเข้ามาเช็ดอีกด้าน เดิมทีเสิ่นหยินอู้จิตใจไม่สงบ พอได้ยินก็แค่กระพริบตาเบา ๆ ก่อนจะเงยหน้ามองผู้ช่วยเฉิน ผู้ช่วยเฉินเช็ดเหงื่อที่หน้าผากให้เธอเสร็จ ก็ถอนมือกลับไป หลังจากนั้นเขาก็กลับมาเป็นปกติ ตอนเช้าที่ผู้ช่วยเฉินบอกเธอว่าฉินเย่ปลอดภัย เธอก็ยังอดกังวลไม่ได้ ถึงแม้ตอนนี้เขาจะบอกสถานการณ์ให้เธอฟังอีกครั้ง เสิ่นหยินอู้ก็ยังอดรู้สึกไม่สบายใจไม่ได้อีก ท้ายที่สุด รูปถ่ายนั้นก็สร้างความหวาดกลัวให้เธอมากเกินไป อาจเป็นเพราะเพิ่งฝันร้าย ตอนนี้เธอยังคงรู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็วอยู่ ถึงแม้จะเป็นเพียงความฝัน แต่ถ้าเรื่องในฝันเกิดขึ้นจริงล่ะจะทำยังไง?เมื่อนึกถึงแบบนั้น เธอก็ถอนหายใจลึก ๆ อย่างอ่อนล้า จากนั้นทำทีเป็นถามอย่างไม่ใส่ใจว่า "ผู้ช่วยเฉิน คุณเคยฝันร้ายไหม?" ทันทีที่เธอพูดขึ้น คนรอบข้างก็หันมามองผู้ช่วยเฉินไม่คาดคิดว่าเธอจะคุยด้วย เขาจึงชะงักไปเล็กน้อยแล้วพยักหน้า “เคยครับ” หลังจากนั้นเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ผู้ช่วยเฉินมองเธอแวบหนึ่งและปลอบว่า “คุณเสิ่นความฝันก็คือความฝัน เพราะมันตรงข้ามกับความเป็นจริง สภาพของคุณต
เสิ่นหยินอู้พยายามจะอธิบายกับเขา แต่เขากลับดึงเข็มน้ำเกลือออกแล้วเดินออกจากห้องพักผู้ป่วยไป เสิ่นหยินอู้รีบออกไปตามหา แต่เมื่อออกมาจากห้องผู้ป่วยกลับไม่เห็นเขา เธอจึงวิ่งตามหาอย่างกระหืดกระหอบ แต่ก็ไม่พบตัวฉินเย่เลย เธอค้นหาเขาหลายสถานที่ จนในที่สุดก็เห็นแผ่นหลังที่เหมือนกับฉินเย่ทุกประการ แต่ไม่ว่าจะพยายามไล่ตามแค่ไหนก็ไม่ทัน เธอทำได้แค่เดินตามหลัง และเห็นเขาก้าวเข้าไปในพิธีแต่งงานพร้อมกับหญิงสาวอีกคนที่สวมชุดเจ้าสาวถึงขั้นที่สุดท้าย ผู้หญิงคนนั้นไล่เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนออกไป แล้วชี้มาทางเธอพร้อมกับพูดว่า “ผู้หญิงคนนี้มาจากไหนกัน พาลูกนอกสมรสสองคนมาคิดจะมาเป็นคุณนายฉินหรอ? เพ้อเจ้อจริง ๆ รีบไสหัวไปให้พ้นก่อนที่ฉันจะโมโห ไม่อย่างนั้นก็อย่าหาว่าฉันไม่ปรานี” เด็กทั้งสองคนกอดเธอและร้องไห้เสียงดัง ถามหา ‘ป่าป๊า’ เสิ่นหยินอู้รู้สึกกระวนกระวายใจมาก ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นและทำไมเรื่องราวถึงเปลี่ยนไปเป็นแบบนี้ เธอต้องการแก้ไขสถานการณ์ แต่เหมือนถูกพันธนาการจนขยับไม่ได้ ทำให้เธอกระวนกระวายใจอย่างคนที่ร้อนใจไม่เป็นสุข “คุณเสิ่น......คุณเสิ่นครับ” เสิ่นหยินอู้เหมือนจะได้ยินเสียงค
หลังจากขอบคุณนักศึกษาหญิงที่มีน้ำใจแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็ออกจากห้องน้ำและกลับไปหากลุ่มคนที่รอเธออยู่ เธอไม่ทันสังเกตว่านักศึกษาหญิงแอบเดินตามเธอออกจากห้องน้ำและมองดูเธอเดินไปหากลุ่มชายหนุ่มที่รุมล้อมเธอไว้จากระยะไกล “คุณเสิ่นครับ คุณกลับมาแล้ว งั้นตอนนี้เราออกเดินทางกันเถอะครับ” ด้วยความเป็นห่วงเพราะได้รับคำสั่ง พวกเขาก็ล้อมเสิ่นหยินอู้ไว้ขณะพาเธอไปยังจุดหมาย นักศึกษาหญิงมองพวกเขาจากข้างหลังด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด ระหว่างเดินออกไป เสิ่นหยินอู้ค่อย ๆ ชะลอฝีเท้า หาจังหวะเพื่อแอบเอากระดาษทิชชู่ใส่ในกระเป๋าของผู้ช่วยเฉิน ผู้ช่วยเฉินรู้สึกได้ถึงสิ่งที่เธอทำ ดวงตาฉายแววเล็กน้อย แต่ยังคงทำท่าทางเฉยเมยเดินหน้าต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนกระทั่งก่อนขึ้นเครื่อง เขาอ้างเหตุผลขอไปเข้าห้องน้ำและแอบเปิดกระดาษทิชชู่ที่เสิ่นหยินอู้เขียนมาให้ เสิ่นหยินอู้ไม่ได้เขียนอะไรมากนัก คำถามแรกคือ ตอนนี้ฉินเย่เป็นยังไงบ้าง? คำถามที่สองคือ แล้วเขาล่ะ? มีจุดอ่อนอะไรอยู่ในมือของโม่ไป๋หรือเปล่า? ความห่วงใยของเธอทำให้ผู้ช่วยเฉินรู้สึกอบอุ่นในใจ ดูเหมือนว่าเธอจะเข้าใจความลำบากของเขาและไม่ได้เข้าใจ
เธอสบตากับผู้ช่วยเฉิน และพอจะเข้าใจอะไรบางอย่าง ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่คฤหาสน์ เขามีท่าทีเย็นชาใส่เธอมาตลอด นั่นเป็นเพราะในคฤหาสน์มีกล้องวงจรปิดอยู่ทุกที่ เขาจึงไม่สามารถสื่อสารกับเธอได้ แม้กระทั่งการส่งสายตา แต่ตอนนี้มาถึงสนามบินแล้ว สนามบินอาจจะไม่ได้มีสายลับของโม่ไป๋อยู่ ถึงจะมีบ้าง แต่คงไม่เยอะเท่ากับในคฤหาสน์ สายลับในสนามบินน่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ที่เป็นมนุษย์ ซึ่งมักจะอู้บ้าง และไม่ได้มีอยู่ทุกหนทุกแห่งเหมือนกับกล้องวงจรปิด แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น ก็ยังมีการดักฟังตลอดเวลา เธอจึงไม่สามารถพูดคุยกับผู้ช่วยเฉินได้เลย ถ้าอยากจะพูดคุยกัน ต้องหาวิธีในภายหลังเสิ่นหยินอู้คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เมื่อกี้ฉันดื่มเบียร์เย็นเข้าไป ตอนนี้รู้สึกไม่สบายท้องเลย”เมื่อได้ยิน ผู้ช่วยเฉินชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “คุณเสิ่นให้ผมเตรียมยามาให้ไหมครับ?”เสิ่นหยินอู้ส่ายหน้า “ไม่เป็นไรค่ะ แต่ฉันขอกระดาษทิชชู่หน่อย คุณพอมีมั้ยคะ?” เธอพูดด้วยท่าทางปกติ น้ำเสียงก็เย็นชา จนผู้ช่วยเฉินไม่แน่ใจว่าเธอสังเกตเห็นสัญญาณทางสายตาที่เขาส่งให้หรือเปล่า“มีครับ” ผู้ช่วยเฉินหยิบกระดาษทิชชู่จากกระเป๋าแ
ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “เธอก็รู้นี่ ว่าผมไม่อยากเห็นเธอเจ็บปวด” “จริงเหรอ?” เสิ่นหยินอู้หัวเราะอย่างเย็นชาออกมา“อย่าดื่มเบียร์เลยนะ โอเคมั้ย?”ไม่ทันที่เขาจะพูดจบ เสิ่นหยินอู้ก็ตอบทันทีว่า “ได้สิ งั้นคืนนี้ฉันจะออกเดินทางเลย” เดิมทีเธอแค่ต้องการดื่มอะไรเย็น ๆ เพื่อคลายความหงุดหงิด แต่กลับกลายเป็นว่าเธอสามารถควบคุมโม่ไป๋ด้วยเรื่องนี้ได้ ดังนั้นอย่าโทษที่เธอจะใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์ ยังไงเธอก็ถูกเขาข่มขู่ให้มาที่นี่อยู่แล้ว อีกฝั่งเงียบไปนานก่อนจะพูดว่า “วันนี้ไม่ได้”“จริงเหรอ?” เสิ่นหยินอู้หัวเราะเย็นชา “ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่มีอะไรต้องคุยกันอีกแล้วใช่ไหม?” “หยินอู้ เธอต้องการจะขัดผมจริง ๆ เหรอ?”“ขัด?” เสิ่นหยินอู้สายตาหม่นหมองลง “ฉันคิดว่าเราน่าจะเป็นเพื่อนกัน ถ้าวันไหนที่ฉันต้องขัดนายจริง ๆ ก็คงเป็นเพราะนายบังคับเอง” พูดจบ เสิ่นหยินอู้ก็ไม่พูดอะไรต่อแล้วก็ตัดสายไปทันที หลังจากนั้นเธอก็ยกเบียร์ขึ้นมาดื่มจิบ ๆ ไปเรื่อย ๆ ผ่านไปซักพัก ประตูห้องก็ถูกเปิดออก ผู้ช่วยเฉินเดินเข้ามาทันทีและพยายามหยิบเบียร์จากมือเธอไป แต่เสิ่นหยินอู้เหมือนจะรู้ทัน และเลื่อนเบี
สุดท้ายเธอก็ลุกขึ้น เดินลงไปที่ครัวชั้นล่างและเปิดตู้เย็น ขณะที่เธอกำลังหาของ ผู้ช่วยเฉินก็ตามมาพร้อมพูดว่า “คุณเสิ่นต้องการอะไร บอกผมมาก็ได้ครับ” เสิ่นหยินอู้ไม่สนใจเขา ค้นหาของในตู้เย็นอยู่นาน และในที่สุดก็เจอเบียร์เย็นสองกระป๋อง เธอหยิบเบียร์และหันกลับไปเดินขึ้นชั้นบน ทันใดนั้น เสียงเย็นยะเยือกในหูฟังของผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “อย่าให้เธอดื่มเบียร์”ใช่ นี่คือเสียงของโม่ไป๋ ตั้งแต่เขาเจอกับคุณเสิ่น เขาก็เฝ้าฟังความเคลื่อนไหวตลอดเวลา ทำให้เขาต้องรักษาท่าทีเย็นชากับเสิ่นหยินอู้ เมื่อได้ยินคำสั่งของโม่ไป๋ ผู้ช่วยเฉินก็รีบตอบสนองทันที ก้าวเท้าเร็ว ๆ ตามเสิ่นหยินอู้ไป“คุณเสิ่นครับ” เสิ่นหยินอู้หยุดเดินและมองเขาอย่างไร้อารมณ์เช่นกัน“เบียร์นี้ ผมให้คุณไม่ได้ครับ” ผู้ช่วยเฉินยื่นมือไปหาเธอ “ส่งมาให้ผมเถอะ”เมื่อได้ยินแบบนั้น เสิ่นหยินอู้ก้มมองเบียร์สองกระป๋องในมือ แล้วพูดยิ้ม ๆ ว่า “อะไร แค่อิสระในการเลือกของ ฉันยังไม่มีเลยหรอคะ?”ผู้ช่วยเฉินไม่ได้ตอบอะไร เห็นได้ชัดว่าเขาเห็นด้วยอย่างเงียบ ๆเมื่อเห็นเขาทำสีหน้าท่าทางแบบนั้น เสิ่นหยินอู้หัวเราะเบา ๆ และไม่ได้ส่งเบียร์ให้เข