ได้ยินดังนั้น ฟู่ถิงสือพลันหรี่ตาลง“หมายความว่ายังไง นายจะให้ฉันไปอ่อยเธองั้นเหรอ?”“แหะๆ ยังไงตอนนี้คุณก็เป็นคนใหม่ หากคิดจะพัฒนาฝีมือของตน ก็ต้องให้ความสำคัญแก่ส่วนรวม”“ไปเลยไป อย่าคิดแผนบ้าๆ ออกมาได้ไหม?”“ผมพูดจริงนะประธานฟู่ ไม่ได้ล้อเล่น คุณหนูเสิ่นคนนั้นไม่เพียงแต่หน้าตาสวย แต่ยังมีความสามารถมากด้วย คนที่ตามจีบเธอมีมากกว่าคนที่ขุดเธออีก”ฟู่ถิงสือเคยได้ยินแต่ชื่อ ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนแต่เขารู้ว่าผู้ช่วยของเขาพูดจริงทว่าหากจะให้เขาเสียสละนั้นเป็นไปไม่ได้แน่นอนเขาฟู่ถิงสือไม่มีทางละทิ้งป่าเพื่อต้นไม้ต้นเดียวแน่นอนเรื่องผูกมัดกับผู้หญิง หรือชอบผู้หญิงแค่คนเดียวนั้น เขาไม่แม้แต่จะคิดเลยด้วยซ้ำ“นายไปคิดวิธีมาอีก เข้าทางเพื่อนของเธอ ทำให้ผลตอบแทนสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง”“ครับประธานฟู่”_ณ สวนภูมิทัศน์โบราณตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ดีที่สุดของเมืองเจียงเฉิง เป็นคฤหาสน์สไตล์ย้อนยุคที่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ที่สุดของเมืองซื้อไป แล้วสร้างเป็นสะพานเล็กๆ พร้อมสายน้ำไหลทั้งคฤหาสน์ไม่ว่าจะเป็นการก่อสร้างสายน้ำไหล หรือว่าดอกไม้ต้นไม้ต่างๆ ล้วนแต่สร้างขึ้นโดยอิงจากประวัติ
ตั้งแต่ที่เธอไปจากฉินเย่ เสิ่นหยินอู้พบว่าชีวิตของตนนั้นราบรื่นกว่าแต่ก่อนเยอะแต่ก่อนเพราะมีเรื่องแต่งงาน ก็เลยทำให้พวกเธอไม่ได้อยู่ด้วยกันแต่หลังจากที่เธอหย่าแล้ว เฉียวลี่ซือและโจวชวงชวงต่างก็มาหาเธอ ทั้งสามคนไม่คิดอะไรมากมายราวกับเป็นเด็กน้อยสามคนอย่างไรอย่างนั้น พูดคุยดูดาวไปพลาง พูดกระซิบบนเตียงไปพลางเธอมักจะได้ยินเฉียวลี่ซือและโจวชวงชวงเม้าเรื่องผู้ชายหล่อตลอดผู้ช่วยเฉินช่วยขนย้ายกระเป๋าเดินทางขึ้นไปบ้านนี้เป็นบ้านสองชั้น ชั้นบนยังมีระเบียงเอาไว้ชมพระอาทิตย์ด้วย แถมยังมีดอกไม้ต้นไม้ปลูกเต็มไปหมดเพราะว่ามีดอกไม้และต้นไม้เยอะ ดังนั้นข้างในห้องจึงตกแต่งด้วยหน้าต่าง บริเวณขอบหน้าต่างก็มียาฆ่าแมลงวางอยู่ไม่น้อยเสิ่นหยินอู้เข้าไปถึง ก็ชอบสภาพแวดล้อมของที่นี่มากเธอยังกังวลใจว่าหลังจากกลับมาถึงต้องเสียเวลาไปดูที่อยู่ แต่ไม่คิดเลยว่าเฉียวลี่ซือจะจัดการแทนเธอหมดแล้วถึงขนาดไม่ต้องกังวลเรื่องทำความสะอาดบ้านด้วย เพราะเฉียวลี่ซือให้แม่บ้านมาจัดการก่อนที่เธอจะกลับมาแล้วเธอจัดวางกลิ่นปรับอากาศ และต้นไม้ที่เธอชอบไว้ในห้องผู้ช่วยเฉินแอบมองสีหน้าของเสิ่นหยินอู้ จากนั้นค่อยไปหยิ
หลังจากที่ผู้ช่วยเฉินกลับไป เฉียวลี่ซือก็พาเสิ่นหยินอู้ไปที่ระเบียงชั้นสอง พร้อมกับชามะลิหอมๆ หนึ่งกาน้ำชากลิ่นหอมของชามะลิลอยแตะจมูก แฝงไออุ่นๆแต่ก่อนเฉียวลี่ซือเป็นราชินีแห่งการดื่มเบียร์ ไม่เหมือนตอนนี้ที่ดื่มชามะลิแทนเสิ่นหยินอู้อดเย้ยหยันเธอไม่ได้ “ฉันคิดว่าเธอจะดื่มสักขวดสองขวด บอกให้ฉันชนแก้วบนระเบียงนี้ซะอีก”ได้ยินดังนั้น เฉียวลี่ซือก็ชะงัก แล้วยิ้มตอบ “เบียร์น่ะเหรอ? ของนั่นเข้ากับบรรยากาศในตอนนี้หรือไง? ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นหรือรูปลักษณ์ภายนอกก็ดูทำลายบรรยากาศไปหมด อีกอย่างที่สำคัญคือ ฉันเลิกสุราแล้วจ่ะ ไม่ดื่มแล้ว”“อุ๊ย รักษาสุขภาพเหรอ? แต่ก่อนพี่ซือของเราดื่มเก่งมากเลยนะ”เมื่อเอ่ยถึง เฉียวลี่ซือก็ยิ้มขมขื่น “อย่าพูดถึงเลย ฉันเป็นโรคกระเพาะน่ะ หมอก็เลยสั่งห้ามให้ฉันแตะเหล้า ฉันกลัวตาย อีกอย่างจู่ๆ ฉันก็รู้สึกว่าชามะลิก็อร่อยดีเหมือนกัน”ได้ยินเพื่อนบอกว่าเป็นโรคกระเพาะ เสิ่นหยินอู้ก็เป็นห่วงขึ้นมา“เกิดอะไรขึ้น?”เฉียวลี่ซือเม้มปาก ทำท่าไม่อยากเล่าผ่านไปนาน เธอถึงจะกล่าวอย่างลังเลว่า “ความจริงฉันชอบผู้ชายคนหนึ่งน่ะ”เสิ่นหยินอู้ “?”“เจอกันที่ร้านเหล้า เป็นหนุ
กล่าวจบ เฉียวลี่ซือก็หยิบโทรศัพท์ออกมายิ้มแย้มเสิ่นหยินอู้เองก็เอาหน้าเข้าไปใกล้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเช่นกัน“ดี ฉันจะได้ช่วยเธอดูด้วยว่าผู้ชายคนนี้เหมาะสมกับเธอไหม”แต่สุดท้ายเฉียวลี่ซือหารูปอยู่นาน ก็ไม่เจอ“แปลก ฉันเพิ่งแอบถ่ายไปเมื่อคราวก่อนเองนี่ ถึงแม้จะอยู่ไกลเห็นไม่ค่อยชัด แต่ว่าออร่านั้นสุดจริง หยินอู้ ออร่าที่ออกมาจากตัวเขานะ ฉันรับรองได้เลยว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน”เสิ่นหยินอู้รออยู่นาน เฉียวลี่ซือก็ยังหารูปไม่เจอ“อ๊ากๆๆ รูปฉันล่ะ?? รูปเทพบุตรที่ฉันได้มาอย่างยากลำบาก หายไปไหนแล้วล่ะ?”เมื่อเห็นท่าทีจะเป็นบ้าของเธอแล้ว เสิ่นหยินอู้จึงจับมือเธอไว้ “ช่างมันเถอะ ไม่เจอก็ไม่เป็นไร รอให้เธอจีบเขาติดแล้ว ถึงตอนนั้นจะถ่ายแค่ไหนก็ถ่าย”ได้ยินดังนั้น เฉียวลี่ซือก็ทำหน้าเศร้าโศกเสียใจ“ไม่รู้ว่าจะจีบเขาติดเมื่อไหร่ รูปใบนั้นฉันแอบถ่ายจากที่มืดด้วยซ้ำไป เธออย่าคิดนะว่าถึงผู้ชายคนนั้นจะมานั่งดื่มเหล้า แต่เขาระมัดระวังตัวมาก ให้ตายเถอะ ต้องเป็นเพราะตอนที่ฉันถ่ายตอนนั้น แล้วเขาหันมาพอดี ฉันก็เลยลืมกดถ่ายแน่เลย”เมื่อนึกได้ว่าตนพลาดโอกาสสำคัญไป เฉียวลี่ซือก็รู้สึกเสียดายมาก“อีก
ได้ยินดังนั้น เสิ่นซือเหนียนก็เงยหน้าขึ้น“น้าเฉียว?”เฉียวลี่ซือที่เดิมยังคล้องแขนเสิ่นหยินอู้อยู่ปล่อยมือออก ถูกเสิ่นซือเหนียนเงยหน้ามองแบบนี้ ทำให้เธอใจละลายในบัดดล แล้วเปลี่ยนเป็นคุณน้าที่ไม่อาจต้านทานได้ทันที“แหะๆๆ มาให้น้าเฉียวจุ๊บหน่อยเร็ว”เสิ่นหยินอู้ “…”พลบค่ำ ตอนที่เสิ่นหยินอู้กำลังทำอาหารอยู่นั้น เฉียวลี่ซือก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเดินออกมา เดิมคิดจะเข้าไปช่วยเหลือเสิ่นหยินอู้แต่ตอนที่เดินผ่านห้องรับแขก เธอเหลือบมองเข้าไปข้างในเธอเหลือบไปมองเห็นเสิ่นซือเหนียนที่นั่งอยู่ตรงหน้ากาน้ำชาพลันชะงักงันไปชั่วขณะท้องฟ้าใกล้จะมืดสนิทแล้ว นอกหน้าต่างเป็นแสงตอนพระอาทิตย์สอดส่องเข้ามากระทบบนใบหน้าอันหล่อเหลาของเสิ่นซือเหนียนเด็กชายคนหนึ่งนั่งทบทวนบทเรียนอยู่ตรงนั้นอย่างตั้งใจ บนใบหน้าเด็กน้อยนั้นแฝงด้วยกลิ่นอายความเป็นผู้ใหญ่เฉียวลี่ซือยืนมองเสิ่นซือเหนียนอย่างไม่อยากเชื่ออยู่ตรงนั้น แล้วเผยสีหน้าไม่อยากเชื่อออกมาเป็นเพราะเธอไม่เจอผู้ชายที่ร้านเหล้าคนนั้นนานเกินไป ก็เลยตาฝาดงั้นเหรอ?เธอเห็นเหนียนเหนียนเป็นผู้ชายคนนั้นหลังจากนั้นไม่กี่วินาที เฉียวลี่ซือก็ใช้มือขยี้ตาตัวเอ
“ตายแล้ว”คำสองคำถูกตอบให้กับเฉียวลี่ซือโดยไม่ทันตั้งตัวเฉียวลี่ซือยังไม่ทันถามจบเลยด้วยซ้ำเธอยืนงงอยู่กับที่ แล้วมองเสิ่นหยินอู้อย่างตะลึงงัน“อะไรนะ?”เสิ่นหยินอู้เงยหน้ามองเธอด้วยแววตาเรียบเฉย แล้วพูดว่า “เป็นอะไร?”“ตะ…ตายแล้ว??”เฉียวลี่ซือไม่คิดเลยว่าจะเป็นคำตอบนี้ หลังจากที่ถามซ้ำไปอีกครั้งหนึ่งแล้ว เธอก็รู้สึกขายหน้าและรู้สึกผิดมากทำไมเธอถึงได้ยินว่าคนอื่นตายแล้วยังจะถามซ้ำอีกเนี่ย?แม่เจ้าเฉียวลี่ซือรู้สึกผิดมาก ตนถามเรื่องโม่ไป๋ยังดีกว่าอีกเธอก็ว่าแหละ ทำไมเสิ่นหยินอู้ถึงไม่พูดเรื่องที่ผ่านมาแล้วเลย และตอนที่เธอถามโจวชวงชวง โจวชวงชวงก็ทำหน้าพูดยากลำบากใจทุกครั้ง สุดท้ายก็ถอนหายใจพูดกับเธอว่า “เรื่องนี้มันทำให้เธอรู้สึกเจ็บใจ อย่าถามเลยดีกว่า”ในที่สุดตอนนี้เฉียวลี่ซือก็เข้าใจแล้วว่าทำไมโจวชวงชวงถึงบอกว่าเป็นเรื่องที่ทำให้เสิ่นหยินอู้เจ็บใจและเข้าใจแล้วว่า ทำไมเสิ่นหยินอู้ถึงได้ใช้ชีวิตอยู่กับลูกๆ ตามลำพัง“ขอ…ขอโทษนะ!!”หลังจากที่รู้สึกตัวแล้ว เฉียวลี่ซือก็รีบโค้งตัวขอโทษเสิ่นหยินอู้“หยินอู้ ขอโทษนะ…ฉันไม่รู้จริงๆ ถ้าฉันรู้แบบนั้น ฉันก็คงไม่ถามแล้ว”เฉ
_ในห้องสูทของโรงแรมผ้าม่านบังแสงถูกคนเปิดออก ทำให้ห้องสว่างในทันตาแสงที่แยงตาสอดส่องไปยังใบหน้าอันหล่อเหลาที่กำลังนอนอยู่บนเตียงเดิมคนที่นอนเป็นร่างศพ ในที่สุดก็มีปฏิกิริยาโต้ตอบสักที คนคนนั้นขมวดคิ้วแล้วลืมตาขึ้น“ตื่นแล้วเหรอ?”เสียงผู้ชายดังมาจากบนโซฟาฉินเย่ที่เพิ่งตื่นจากที่นอนใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีก็รู้แล้วว่าเป็นเสียงของใคร…จี้ชิงเป่ยด้วยแสงที่แยงตา ทำให้เขาหลับตาลงอีกครั้งเพราะแสบตา และนอนต่อไปไม่ขยับตัวแต่จี้ชิงเป่ยรู้แล้วว่าเขาตื่นแล้ว เมื่อเห็นเขาไม่ยอมสนใจตน จึงได้พูดขึ้นเองว่า “นายคิดจะใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไปอีกนานแค่ไหน?”คนที่นอนอยู่บนเตียงไม่สนใจเขาดูเหมือนจี้ชิงเป่ยจะรู้แล้วว่าเขาไม่มีทางตอบตนแน่นอน จึงพูดต่อจนจบ แล้วต่ออีกประโยค โดยไม่รอให้เขาตอบเลย“หมอบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าร่างกายของนายห้ามดื่มเหล้าแล้ว?”คนบนเตียงยังคงไม่ตอบนิสัยของจี้ชิงเป่ยเป็นคนใจเย็นมาโดยตลอด แต่ครั้งนี้เขาเองก็อดหัวเราะเยาะออกมาไม่ได้“หรือว่าคิดจะทำให้ตัวเองตาย แล้วปล่อยให้พ่อแม่นายส่งนายไปก่อนล่ะ?”หลังจากพูดจบ จี้ชิงเป่ยก็ไม่พูดอะไรใดๆ อีก เพียงแค่นั่งรออยู่ตรงนั้นผ่าน
แต่ถึงเธอจะพูดแบบนั้น ฉินเย่ก็ไม่อธิบายอย่างอ่อนโยนให้กับเธอเหมือนแต่ก่อนอีก แต่เพียงแค่ยืนอยู่กับที่ แล้วมองเธอด้วยสายตานิ่งเงียบจนกระทั่งสายตานั้นจ้องเจียงฉูฉู่จนไม่เป็นตัวเองเจียงฉูฉู่ทำได้เพียงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา“ฉันล้อเล่นน่ะ คุณจะไม่อยากรับสายฉันได้ยังไง? จริงสิ ชิงเป่ยล่ะ? เมื่อคืนตอนฉันโทรหาคุณ เขาบอกว่าคุณดื่มหนัก คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม? ปวดหัวไหม?”จากนั้นเธอพูดไปมากมาย แต่ฉินเย่ก็ตอบแค่ว่า “ไม่เป็นไร”หลังจากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่อสวมเสื้อเจียงฉูฉู่ยืนอยู่กับที่ มองดูแผ่นหลังอันเย็นชาของเขา ก็รู้สึกเจ็บปวดใจถึงขีดสุดตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อน ฉินเย่กับเสิ่นหยินอู้หย่าร้างกันไป เสิ่นหยินอู้เองก็ออกจากประเทศไปทันที ทั้งโลกก็หายไปตั้งแต่นั้นมาเจียงฉูฉู่ตะลึงใจที่เธอจะทำตามสัญญา ในขณะเดียวกันก็คาดหวังให้ฉินเย่สู่ขอเธอให้เร็วหลังจากหย่าร้างแต่ไม่รอให้เธอได้ดีใจ ฉินเย่ก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคนเขาไปหาเธอ แล้วบอกเธอว่า “ขอโทษนะ ผมคงทำตามสัญญาไม่ได้แล้ว”จากนั้นเจียงฉูฉู่ก็ยืนงงอยู่กับที่ผ่านไปนานพอควร เธอถึงจะฝืนยิ้มออกมา“ทำไมล่ะ? เพราะเรื่องลักพาตัวเหรอ? จนถึงตอนน