“ขอบคุณที่เลี้ยงพุดมานะคะ พ่อเลี้ยง พุดลาพ่อนะ...” ปรายรดาระบายลมหายใจสั่น ๆ หยดน้ำใสบดบังวิสัยทัศเบื้องหน้าให้พร่าเลือนลง ยามเชยหน้าขึ้นมองตู้ไม้สักที่เต็มไปด้วยของสะสมโบราณ
ข้างบนนั้นมีภาพถ่ายครอบครัว เด็กสาววัยห้าขวบดูสดใสร่าเริงยืนหัวเราะร่าเคียงข้างหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา นัยน์ตาสีฟ้าครามรับจมูกโด่งเป็นสันคม รูปร่างกำยำเป็นล่ำสัน เพราะรักการออกกำลังกายและเข้าฟิตเนสเป็นประจำ ต้นตระกูลของปรเมษฐ์ผสมปนเปไปหลายเชื้อชาติ ทั้งไทย อังกฤษ จีน แขกมอญ ผิวพรรณของหนุ่มวัยสี่สิบสองปีจึงออกไปทางสีน้ำผึ้ง สูงชะรูดหุ่นนายแบบกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตร ถึงเขาออกจะเป็นคนเงียบขรึมสักหน่อย ในหมู่เพื่อนฝูงก็ยังป็อบปูลาร์ เรียกได้ว่าพ่อเลี้ยงชี้สาวคนไหนในยามท่องราตรี ผู้หญิงมากหน้าหลายตาต่างยินยอมพร้อมใจที่จะกระโจนกายขึ้นเตียงของเขา... เมื่อนานมาแล้วในสมัยที่ยังเป็นเด็กสาววัยสิบกว่าขวบ เธอเคยเห็นเขาพาผู้หญิงมาบ่อย ๆ หายเข้าไปในห้องหลายนาน... ห้องที่เธอไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปแม้กระทั่งทำความสะอาด เสียงสุขสมของผู้หญิงเหล่านั้นที่ดังลอดผ่านประตูออกมาสร้างความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสให้เธอทุกครั้ง ขอบตาแดงช้ำบนใบหน้าซีดขาว ร่างกายที่ผ่ายผอมลงและอาการเจ็บป่วยเกิดขึ้นเมื่อความรักของเขาห่างไกลออกไปเรื่อย ๆ จนวันหนึ่งอาจไม่มีเหลือแม้เยื่อใย 58 วัน 5 ชั่วโมง... ไม่มีสักวันที่เธอจะนั่งกินข้าวบนโต๊ะในบ้านได้โดยไม่ร้องไห้ ไม่มีแม้สักครั้งที่เธอจะไม่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจ้องมันอย่างลังเล แล้วจบลงที่ดูรูปของเธอและเขา เพราะคิดถึง... ต่อแต่นี้ไปเธอจะทิ้งทุกอย่างไว้ที่นี่... ที่ ๆ เต็มไปด้วยความทรงจำมากมายเหลือเกิน เกินกว่าผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างเธอจะรับไหว วันนี้เธอลุกมาเก็บกระเป๋าแต่เช้าตรู่ ซักผ้า รีดผ้า เก็บกวาดบ้านให้เรียบร้อยดี ทำอาหารจานโปรดของพ่อวางไว้บนโต๊ะ พ่อเลี้ยงที่เป็นเหมือนพี่ชาย เป็นเพื่อน เป็นคุณอาที่น่ารัก เป็นโลกทั้งใบของเธอ แม้ว่าเขาจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับเธอเลยก็ตาม “พุดไปนะคะ พี่เปา” นัยน์ตาชอกช้ำเจิ่งนองหยดน้ำตาที่ไหลลงอาบแก้มไม่ขาดสาย กระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่ในมือถูกลากออกไปด้วยย่างก้าวที่มั่นคง เมื่อบีเอ็มดับบลิวสปอร์ตสีขาวมาจอดรถอยู่หน้าบ้าน นัชชารับรู้อาการอกหักช้ำรักของเพื่อนเป็นอย่างดี ยกมือขึ้นวางบนบ่าอย่างให้กำลังใจ “แกยังมีฉันนะ พุด... ต่อให้คนทั้งโลกทิ้งแก ฉันจะไม่ไปไหน” “ขอบใจมากนะ ปริม...” ตอบพลันปรี่เข้าไปกอดเอวของเพื่อนเอาไว้อย่างแสนรัก ใบหน้าระทมทุกข์จับจ้องไปที่ประตูรั้วสีดำสนิทอีกครั้ง ก่อนจะยกกระเป๋าขึ้นท้ายรถยนต์ โดยได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนที่ดีที่สุด “ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนแก ช่วยเก็บของทุกอย่างเลยไม่ต้องห่วง” “ช่วยเก็บหรือช่วยรื้อยะ” เธอบ่นแต่ก็ก้าวไปขึ้นรถยนต์ โดยไม่หันหลังกลับไปมองบ้านที่ห่างคล้อยออกไป เธอจะต้องเข้มแข็ง... รักตัวเองให้มาก ๆ ปรายลดาบอกกับตัวเองอีกครั้ง เมื่อการกระทำของเขาบอกชัดเจนว่าต้องการตัดเนื้อร้ายอย่างเธอออกไปมีชีวิตของตัวเอง “ฉันตื่นเต้นแทนเพื่อนอ่ะ บ้านหลังแรกตอนอายุยี่สิบเอ็ดปี เก่งเวอร์ ฉันยังแบมือขอเงินแม่อยู่เลย” คนพูดเหยียบคันเร่งเบา ๆ เพื่อที่จะสนทนาได้สะดวก วงหน้าหวานระรื่นมองคนข้าง ๆ สลับมองทาง ภาคภูมิใจในตัวเพื่อน ขณะที่อีกคนกลับคิดว่ามันไม่ใช่ความสำเร็จของเธอคนเดียว “ถ้าฉันไม่มีแก ฉันคงจะกู้คอนโดฯ ไม่ผ่าน ฉันเก่ง ยัยปริมก็เก่ง ไม่รู้จะขอบคุณแกกี่ร้อยล้านรอบดี” คอนโดฯ มีเนียมริมชานเมืองในราคาล้านต้น ๆ ถึงจะเป็นห้องสตูดิโอแค่ยี่สิบแปดตารางเมตร ปรายลดาก็หามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรง เก็บหอมรอมริบเงินทีละเล็กทีละน้อยมาด้วยความขยัน ทำงานหามรุ่งหามค่ำในเวลาเลิกเรียน ทีแรกนั้นแค่ตั้งใจว่าจะปล่อยเช่าหรือไว้เก็งกำไรเป็นทรัพย์สินส่วนตัว หากไม่ใช่เป็นเพราะว่าอยู่บ้านหลังนี้ต่อไปไม่ไหว “แกใช้วิชาการตลาดที่เรียนมาหาเงินได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องมาขอบคุณอะไรฉันหรอก” “ไม่ขอบคุณก็ไม่ขอบคุณ แต่ห้องนี้ของเราสองคนนะ กุญแจพวงนี้ของแก มาได้ตลอด” ปรายลดาล้วงหากุญแจน่ารักเล็ก ๆ ในกระเป๋าสะพายผ้า วางไว้ตรงกลาง คนขับรถส่วนตัวก็รีบหยิบมันไปเก็บเอาไว้ในทันที ในรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ฉันจะย่องไปดึก ๆ ระวังให้ดี” “กลัวที่ไหน... มาสิ จะใช้แกเฝ้าเพจตอบคำถามลูกค้า รับออเดอร์แทนแอดมินซะให้เข็ด” คนได้ยินมองขวับหน้าตื่นตะลึงเพราะเคยทำอยู่ มันเป็นงานที่แสนน่าเบื่อและนัชชาไม่ชอบมันเลยสักนิด “ไม่ไหว ฉันไม่ชอบคุยกับลูกค้า จุกจิกเรื่องมาก ยิ่งมนุษย์ป้าบางคนนะ ถามไซส์อยู่ได้ บอกแล้วบอกอีก ฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่องหรือยังไง บางคนยัดตัวเข้าไปไม่ลงชุด บอกไปก็ไม่ยอมฟัง สรุปต้องเปลี่ยนใหม่ เปลี่ยนไปเป็นมา เสียค่าส่งอีก” “มันก็เป็นงานป่ะ เงินดีด้วย เราสองคนซื้อบ้านได้หลังเลยนะ” เสียงหวานแย้ง เป็นเวลาสามปีกว่า ปรายลดาใช้วิชาที่เรียนมาเปิดตลาดด้านธุรกิจออนไลน์ ขายเสื้อผ้าแฟชั่น เครื่องประดับ นาฬิกา มีหน้าร้านในโลกโซเชียล จากหน้าร้านเล็ก ๆ กลายเป็นที่โด่งดังในหมู่สาว ๆ เพราะมีไฮโซตัวแม่ยอดฟอลโลวหลักหมื่น รวมกับตัวของเธอเองที่ใช้ความสวยในการขายของสวย ๆ งาม ๆ “ก็แน่ล่ะ แกขาดฉันไม่ได้หรอก หึหึ” หัวเราะในลำคอ นัชชานึกเรื่องบางอย่างขึ้นได้ “แล้วแกจะบอกพี่ธามไหม? เรื่องห้อง...” “ไม่มีใครรู้ว่าฉันอยู่ที่นี่ แกไม่ต้องบอกใครนะ” ในสีหน้านิ่งเรียบบอกในความหมายว่าเธออยากอยู่คนเดียวเงียบ ๆ “ไม่มีปัญหาจ้ะ” คนขับรถยนต์ยกยิ้มมีนัย ก่อนที่จะปรับเบาะเอนนอนให้เพื่อนเสร็จสรรพ “นอนซะหน่อยนะ หน้าตาดูไม่ได้ ตาเป็นหมีแพนด้าแบบนี้ เดี๋ยวจะได้เปลี่ยนไปขายครีมบำรุงหน้า” คำหยอกล้อของเพื่อนไม่ได้ทำให้เธอมีอารมณ์ขันเหมือนเคย กระบอกตาร้อนผ่าวค่อย ๆ ปิดลง พร้อมความเศร้าหมองที่เอ่อล้นอยู่ภายใน รถยนต์ที่มีเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำเคียงข้างเพื่อนรักทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาบ้าง นับว่าเป็นโชคดีที่ไม่ต้องตรอมใจตายคาบ้านหลังนี้ สองเดือนไม่ต่างจากสิบปี... พ่อเลี้ยงไม่รับสายของเธอ ไม่ส่งข้อความมาหา มีแค่เงินโอนเข้ามาในบัญชีซึ่งเธอได้ให้แม่อนงค์ไว้ เพราะหาเงินได้ด้วยตัวเองแล้ว “ถ้านอนไม่ได้ เรียกฉันนะ ฉันจะชวนคุย” น้ำเสียงแผ่วลง คนขับนั่งตัวเกร็งมือจับพวงมาลัยแน่นคอยลอบมองคนข้างกายอยู่เป็นระยะ ๆ ด้วยความสงสาร ปรายลดารักพ่อเลี้ยงมานานแล้ว... แต่ก่อนนั้นสมัยยังเรียนประถมศึกษามาด้วยกัน นัชชาเคยคิดว่ามันเป็นความรักในแบบของเด็ก ๆ พอโตมาถึงได้รู้ว่าเพื่อนไม่เคยเปลี่ยนใจ แม้จะมีหนุ่ม ๆ มาทอดสะพานให้อยู่มากมายเท่าไร สายตาของพ่อเลี้ยงที่มองปรายลดาก็ไม่ต่าง... หล่อนแน่ใจในเรื่องนั้นจึงได้สร้างเรื่องส่งข้อความไป ประกอบกับที่โมโหธามไท ดวงหน้าแดงก่ำของคนที่พริ้มตาหลับอยู่เงียบ ๆ ยังมีน้ำตารินไหลไม่ขาดสาย และสถานการณ์ก็ไม่เป็นใจ... ‘ขีดเส้นใต้เอาไว้... ว่าเธอไม่รัก ขีดลงบนกระดานดำ ตามด้วยกระทิงแดงหนึ่งขวด’ “ดีเจช่องนี้มันยิงมุกอะไรเนี่ย!” เสียงหวานกร้าวว่าพลางหลุบตามองคนที่ดูอาการไม่ค่อยดี รีบเปลี่ยนเพลงที่มาจากพื้นที่ส่วนตัวของเธอในไดร์ฟอันเล็ก ๆ ซึ่งมันคงมีแต่เพลงแด็นซ์กระจาย ทว่าคงไม่ทันการ... “ฮือ... ปริม..” เสียงคร่ำครวญดังระลอกใหญ่หลังจากที่เธอเก็บมันเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไป ถึงปรายลดาจะมีความเป็นผู้ใหญ่ในตัวเอง เป็นคนตลกโปกฮาประสาแม่ค้าออนไลน์ แต่หากว่าได้ร้องไห้แล้วล่ะก็! โรงละครโอเปร่ายังต้องกราบ... ไม่ต่างจากหมูในโรงฆ่าสัตว์ที่กำลังจะโดนเชือด... สองมือสั่นเทายกขึ้นปิดหน้าสะอึกสะอื้นไห้ จากนั้นเธอก็จัดฉากเปิดโรงมหรสพน้ำตาและน้ำเสียงชุดใหญ่ เมื่อไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าของชีวิตเธอโดยไม่มีเขาจะเป็นอย่างไรเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาคมคายในเสื้อเชิ้ตสีขาวหลุดลุ่ยจากกางเกงแสล็คดำ ผมเผ้ายุ่งเหยิงเพราะความรีบร้อน หยุดปลายเท้าลงในห้องโล่งเปล่าที่มีข้าวของหลายอย่างหายไปผ้าห่ม ผ้าปูที่นอน อุปกรณ์การเรียนและหนังสือ ชั้นวางของกระจุกกระจิกสะอาดเกลี้ยงเหมือนเป็นห้องที่ไม่มีใครอยู่ ร่างสูงก้าวไว ๆ ไปที่ตู้เสื้อผ้าลายการ์ตูนเพื่อเปิดมันออกดูให้แน่ใจซึ่งก็ไม่มีเสื้อผ้าสักตัวจากเปลวโทสะลูกใหญ่ที่ทำให้เก็บกระเป๋าเสื้อผ้าตีตั๋วกลับประเทศไทยในทันที กลายเป็นความรู้สึกอ้างว้างประหลาดจู่โจมเข้ามาในหัวใจ“แม่... พุทราไปไหน?” เสียงทุ้มสั่นเครือ นัยน์ตาคู่คมเข้มสีฟ้าครามประกายกร้าวอ่อนลงเหลือแค่ความสิ้นหวัง ไม่แม้แต่จะเหลียวมองแม่อนงค์ที่ยืนข้าง ๆ กัน“เขาก็ไปอยู่ของเขาสิ โตแล้วนี่... จะไปไหนก็ได้ ทีลูกยังหอบกระเป๋าไปฟิลิปปินส์ไม่บอกคนที่บ้านสักคำ ถ้าแม่ไม่โทรไปถามปิ่นก็คงไม่รู้”ปิ่นแก้วเป็นเพื่อนสาวคนสนิทในกลุ่ม จบสถาปนิกมาด้วยกัน อยู่ในสายงานเดียวกันคือสายวิชาการออกแบบอุตสาหกรรม หากไม่เดินสวนกันหรือปากต่อปากบอกต่อ เขาตั้งใจไปอยู่คนเดียวเงียบ ๆ โดยไม่บอกใครสักคนจริง ๆ“แล้วพี่ปองล่ะ?” ในสีหน้าคร่ำเครียดกว่าเดิม
ปรายลดาจำเป็นต้องเรียกแท็กซี่กลับบ้านก่อนเวลา ด้วยเหตุว่าเธอมีไข้ต่ำ ๆ จนเรียนวิชาต่อไปไม่ไหว ขณะที่เพื่อนรักอาสาอยู่จดบันทึกการสอนในห้องเรียนให้ แทนที่จะไปส่งซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องแปลกอยู่เธอเป็นคนไม่มีญาติที่ไหน... นอกจากพี่เปา แม่อนงค์ และยัยปริม ก็คงจะไม่มีใครจริง ๆ พ่อปองกานต์จริง ๆ แล้วก็ไม่ใช่พ่อของเธอ ไม่เคยมาแยแสกันด้วยซ้ำนานแล้วที่เธอเคยอ่านหัวข้อสนทนา ‘ในวันที่ไม่รู้ว่าเป็นลูกใคร’ ในโลกออนไลน์ พอได้เกิดเข้ากับตัวเองจริงดันขำไม่ออก เพราะนั่นหมายความว่าเธอจะต้องดิ้นรนและพยายามให้มากกว่าคนอื่นหลาย ๆ เท่าคอนโดมีเนียมของเธอที่ซื้อไว้นั้นอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัย โดยสารทางรถยนต์แค่สิบนาทีก็ถึง จะเรียกวินมอเตอร์ไซค์ให้ไปส่งไม่น่าจะถึงห้าสิบบาท ต่อให้เป็นช่วงการจราจรติดขัดทันทีที่มาถึงห้องสตูดิโอฯ สี่เหลี่ยมที่มีขนาดกำลังพอดีไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไป ตกแต่งด้วยดีไซส์ทันสมัยสมราคา เธอไม่ลืมส่งข้อความบอกเพื่อนว่าเดินทางมาถึงจุดหมายโดยสวัสดิภาพ ก่อนจะหยิบเม็ดยาออกมาจากกล่องยาในกระเป๋าสะพาย เดินตรงไปที่ตู้เย็น...ทันใดนั้นเอง ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างมองชายร่างสูงใหญ่ในชุดทำงานเรียบร้อยก้าวพ้
ร่างสูงในเสื้อผ้าหลุดลุ่ยชุดเดิมยังนั่งอยู่ข้างเตียง หลายชั่วโมงแล้วที่คนป่วยมีอาการระส่ำระส่ายเพราะพิษไข้ เสียงพร่ากระซิบเรียกหาเขาอยู่ซ้ำ ๆ ใบหน้าสดสวยริมฝีปากอิ่มงามที่เขาเคยหลงใหลบัดนี้ซีดขาวราวกระดาษ กระทั่งเรือนกายซูบผอมจนเห็นกระดูก ตอกย้ำความรู้สึกผิดให้มากขึ้นเป็นเท่าตัว มือของเธอร้อน ร้อนขึ้นเรื่อย ๆ เพราะยาคงไม่ได้ออกฤทธิ์นานนัก มันเป็นการรักษาที่ปลายเหตุระงับความเจ็บปวดได้ชั่วครั้งชั่วคราว ปรเมษฐ์จินตนาการไม่ออกจริง ๆ ว่าตลอดเวลาที่เขาจากไป เธอมีชีวิตอยู่ยังไง และการที่คนแข็งแรงไม่เคยป่วยอย่างปรายลดาถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อ น่าจะมีสาเหตุมาจากตัวเขาผู้ทำลายภูมิต้านทานของสาวน้อยไม่มีชิ้นดี ป่วยใจมักลามไปถึงกาย... เธอคงจะไม่ได้ดูแลสุขภาพของตัวเองเลย เพราะไม่มีคนชวนไปออกกำลังกาย เข้าฟิตเนส แม้แต่วิ่งในสวนสาธารณะในทุก ๆ เช้าเย็น อาหารการกินคงไม่มีอะไรลงท้องด้วยซ้ำ ถึงได้ผอมเอาๆ ชายหนุ่มคอยเฝ้าเช็ดทั้งใบหน้าและลำคอเปียกชุ่มเหงื่อโทรมกายด้วยผ้าสีขาวในขันน้ำเล็กข้าง ๆ ซึ่งคงจะทำได้เท่านั้น ในเมื่อมีครั้งที่หนึ่งก็ต้องมีครั้งสอง หากได้จับต้องหนึ่งครั้ง มันจะลุกลามไปอย่างรวดเร็วเ
ปรายลดาเป็นเด็กกตัญญูรู้คุณต่อผู้มีพระคุณเสมอ แม้ยังมีความรู้สึกขุ่นเคืองใจพ่อเลี้ยงอยู่ เธอเคยทำหน้าที่ดูแลเขาอย่างไร ยังทำเหมือนเดิมไม่มีขาดตกบกพร่องแต่เช้ามาไข้ที่ลดลงมากแล้วทำให้พอลุกไหว เธอจึงเข้าครัวไปทำอาหารง่าย ๆ เอาเสื้อผ้าออกจากกระเป๋าเดินทางของเขาใส่ไม้แขวนไว้อีกฝั่งถัดจากเสื้อผ้าของเธอ ของใช้ผู้ชายก็นำไปไว้ในห้องน้ำ วางข้าวต้มลงบนโต๊ะแล้วครอบฝาไว้การกระทำทุกย่างก้าวอยู่ในแววตาคู่คมเข้มประกายจรัสคู่หนึ่งของคนที่นอนเหยียดกายอยู่บนโซฟาในชุดทำงานชุดเดิมของเมื่อวานความร้อนรุ่มในเรือนกายชายแกร่งสะสมมาร่วมสองเดือน กับการที่เขาต้องไปอยู่คนเดียวลำพัง ไกลถึงเกาะสวรรค์อย่างปาลาวัน ประเทศฟิลิปปินส์ มันเหมือนน้ำเดือด ๆ ในกระติกน้ำร้อนที่ใส่น้ำเยอะเกินไปมันอาจจะระเบิด... หรือเครื่องพังตอนไหนก็ได้ปรเมษฐ์คิดว่าเธอน่าจะรู้...จากขอบตาแดงช้ำใต้ดวงตาคู่สวยที่ยังคงลอบมองโซฟาหน้าโทรทัศน์จอแอลซีดีอยู่บ่อย ๆ ไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวเสือโหย ดูท่าทางว่าจะอยากเป็นอาหารเสืออีกต่างหากร่างบางในชุดนักศึกษาค่อย ๆ นั่งลงบนโซฟาข้างคนที่นอนขี้เกียจอยู่กับผ้านวมหนา “พี่เปาจะกินข้าวเลยไหม? จะกินน้ำอะไร พุ
ในทุก ๆ วันศุกร์เป็นวันที่นักศึกษาการตลาดระดับชั้นปีที่สามเรียนเสร็จในช่วงบ่าย อาการร้อนรนก้นไหม้นั่งไม่ติดเก้าอี้ทำให้ปรเมษฐ์ต้องบึ่งรถยนต์คู่ใจจากคอนโดมีเนียม มาจอดรออยู่ข้างตึกคณะก่อนเวลาเลิกเรียน หลังจากที่เขาได้โทรไปถามนัชชาว่าเธอกำลังรับประทานยาอะไรกันแน่กว่าจะเค้นคอเอาความจริงมาได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ด้วยความที่นัชชาปกปิดความลับนี้ให้เพื่อนมานาน หล่อนระเบิดอารมณ์ใส่ตัวต้นเหตุอย่างเขา จึงค่อยยอมบอกว่าปรายลดาเป็นโรคเครียดสะสม ร้องไห้อยู่บ่อย ๆ จนต้องรับประทานยาระงับประสาท และยาต้านซึมเศร้า...ก็คงจะเป็นโชคดีที่แม่ม่ายผัวตายไม่ตัดสินใจคล้องคอบนขื่อบ้านอย่างที่แม่อนงค์บอก เขายังเผลอดีใจไปว่าเธอขาดเขาไม่ได้ กระทั่งพบว่าเหตุผลทั้งหมดมันหักลบกลบกันไม่มีเหลือท่าทางกระหนุงกระหนิง หัวเราะคิกคักของสองหนุ่มสาวที่เดินเคียงข้างกันมาถึงหน้ารั้วมหาวิทยาลัยพาเปลวโทสะในดวงตาคู่คมลุกโชน ปรเมษฐ์กระโจนกายออกจากรถยนต์ที่จอดรออยู่หลายนาน มือกระแทกประตูรถยนต์ให้ปิดลงจนเกิดเสียงดัง ไปหยุดยืนอยู่ข้างหน้าคนทั้งสอง“สวัสดีครับ คุณพ่อ” นักศึกษาหนุ่มสูงยาวเข่าดีหน้าตาหล่อเหลาเอาการยกมือไหว้เขาในทันที ขณะที
ข้าวปั้นปลาดิบและอาหารมากมายบนโต๊ะไม่มีอะไรพร่องไปจากจานเลยสักอย่าง ธามไทนั้นไม่พอใจเป็นอย่างมาก พยายามจะตามไปแต่ก็ไม่ทัน เขายังไม่รู้ว่าแฟนสาวของตัวเองพักอยู่ที่ไหน ขณะที่ปรเมษฐ์สั่งพนักงานให้ห่ออาหาร ออกจากร้านอาหารไปด้วยท่าทางสบายใจ จนกระทั่งมาถึงห้องแล้วพบว่านัชชาแวะมาปรกติสองคนนี้เจอกันแทบทุกวัน เรียนที่เดียวกัน ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด เขาถึงได้ตัดสินใจหนีปัญหาหัวใจ ไปทำงานไกลถึงต่างประเทศ เพราะคิดว่าหญิงสาวยังมีเพื่อนรักและแม่อนงค์ โดยไม่ได้รู้มาก่อนเลยว่า...ปรายลดากลัวการถูกทอดทิ้ง โดยเฉพาะจากพ่อเลี้ยงที่เธอรักมาตลอด เธอจึงเริ่มป่วย เหมือนคราวที่เขาจากไปคราวก่อนโรคซึมเศร้าเป็นปัญหาสภาวะสังคมในปัจจุบัน ผู้ป่วยจะเป็นโรคซึมเศร้าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมค่อนข้างมาก อารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด พฤติกรรม ร่างกายอ่อนแอลงในลำดับต่อมาสมัยมัธยมต้นครั้งหนึ่ง และมัธยมปลายอีกครั้ง ปรายลดามีผลการเรียนอยู่ในระดับตกต่ำจนเกือบต้องซ้ำชั้น หากไม่ได้เพื่อนรักอย่างนัชชาคอยช่วยเหลือ พาไปพบจิตแพทย์อย่างสม่ำเสมอ และรับประทานยา ยังช่วยสะสางงาน กระตุ้นให้ทำงานส่งอาจารย์ให้ครบ ปรายลดาจึงก้าวผ่าวช่วงเวลา
“พี่จะนอนกับพุดทุกวัน” ปลายเสียงแอบแฝงความเจ้าเล่ห์ ปลายเท้าหนาที่ยังสวมถุงเท้าอยู่ก้าวไป หยุดยืนมองมือเรียวซึ่งคว้ารองเท้าสกปรกของเขาได้คู่หนึ่ง ปรายลดาไม่ใช่เด็กสาววัยใสอีกต่อไป... เธอพอจะรู้ และก็ค้างคาใจ “คือ... พุดไม่อยากให้พี่ธามเสียใจ เขาดีกับพุด คอยให้กำลังใจพุดตลอด พุดไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่เปาจะทิ้งพุดไปอีกเมื่อไร” ‘เขาดีกับพุด’ แววตาคู่คมทอประกายวูบไหวดุจเปลวไฟ เขาโกรธพอ ๆ กับที่เจ็บปวด ทว่าสติที่อยู่ครบถ้วนดีบอกว่าเขาจะต้องทำอะไรสักอย่าง ขณะยืนดูหญิงสาวขัดรองเท้าสีดำเปรอะเปื้อนให้เงามัน... “เมื่อคืนนี้พี่นอนอยู่ที่โซฟา พี่รู้สึกเหมือนมีคนเดินผ่านไปผ่านมาในห้อง พุด... ไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ?” “รู้สึกอะไร? ไม่เห็นจะมีอะไรนี่” เอ่ยเนือย ๆ แล้วเธอก็จัดการรองเท้าหนังราคาแพงจนใหม่เอี่ยมสะอาดในระดับที่พึงพอใจ วางไว้ให้เรียบร้อยดี “พี่เคยได้ยินเรื่องคอนโดฯ มือสอง ฆ่ายกครัว ผูกคอตาย... ทาสีใหม่ ใส่เฟอร์สวย ๆ ขายราคาถูก แป้บเดียวมีคนมาซื้อละ ลูกค้าประจำของพี่ประมูลบ้าน ที่ดิน คอนโดฯ มือสองมาโมใหม่แล้วขายต่อ พุดรู้หรือเปล่า? ห้องสวย ๆ มันราคาถูกเพราะว่าเคยมีคนตาย” “พี่เปา... พูดอะไร
รายการสุดสยองในคืนวันศุกร์... สยองสมชื่อรายการ หลังจากที่ยื้อแย่งกันอยู่ว่าจะดูรายการตลกหรือรายการผี คนที่มีกำลังมากกว่าได้ครอบครองรีโมทก็ดื้อดึงกดเปลี่ยนมันกลับมาอย่างไม่น่ารักเอาเสียเลยปรเมษฐ์กำลังชั่งใจอยู่ว่าจะไปจับหนูในห้องน้ำให้ดี ๆ หรือปล่อยให้เธอกลัวอยู่เรื่อย ๆเมื่อเสียงโครมครามดังมาจากห้องน้ำอยู่หลายระลอก ตามด้วยแรงสะดุ้งที่ทำให้ตาคมต้องเหลือบมองเสื้อสีขาวสะอาดเปรอะเปื้อนน้ำส้มอยู่เป็นหยดหย่อม เรียวแขนทั้งสองกอดรัดลำแขนแกร่ง ถูไปถูมาแต่ละที! หนุ่มวัยสี่สิบสองปีผู้ถือศีลอดมานานได้แต่อดทน อดกลั้น...ยุบหนอ พองหนอ... มันก็ยุบยวบ พองขึ้นตามระดับสายตาที่แอบลอบมองอยู่เรื่อย ๆจินตนาการไปถึงไหนต่อไหนว่าข้างในเรือนกายนุ่มนิ่มกลิ่นหอมจะมีอะไรแอบซ่อนอยู่ ผิวขาวละเอียดนุ่มติดมือเหมือนก้นเด็กน้อยนั้นปั่นป่วนประสาทได้แค่ไหนไม่น่าไหว... และก็ไม่น่าจะดีแน่ ๆ“อืม... พี่ว่าพุดหายกลัว... ก็ไป... อาบน้ำได้แล้วนะ”“พี่เปาบอกจะไปจับหนูในห้องน้ำให้พุดไง... ไปจับเลยนะ ถ้ามันมีหนูพุดจะอาบน้ำได้ยังไง” บ่นอุบอิบ ใบหน้าร้อนผ่าวยิ่งซุกซบวงแขนเป็นล่ำสัน และเธอก็คงจะไม่เลิกราเพราะชอบมันเป็นที่สุด ถึง