“พ่อกินข้าวมารึยัง?” เสียงหวานถามอย่างดีอกดีใจ หลังพ่อปองกานต์ก้าวผ่านประตูบ้านมาได้ไม่กี่ก้าวเท่านั้นตาคมหลุบมองหน้าท้องเนินนูนของลูกสาวที่ดูมีน้ำมีนวลขึ้นกว่าเก่า ไม่อวบอ้วนจนเกินไป หน้าตาสดใสมีความสุขดี“ยังเลย มีอะไรให้พ่อกินบ้างล่ะ?”“กับข้าวเต็มโต๊ะเลยพ่อ พี่เปาซื้อมา พ่ออาบน้ำ โกนหนวดก่อนไหมคะ? หรือพ่อจะกินข้าวก่อน” ทั้งน้ำเสียงและแววตาแลดูเป็นห่วงเป็นใยพ่อเสียเหลือเกิน แม้แต่คนที่เดินข้างกันเข้าบ้านแล้วยังรู้สึกได้ตั้งแต่ปองกานต์ทิ้งบ้านไปตอนลูกสาวอายุได้ประมาณห้าขวบ จะกลับมาก็แค่ปีละหนสองหน ยังไม่ค่อยได้เจอหน้ากัน แม้ไม่ได้มีความผูกพันอะไรกันทางสายเลือดหรืออยู่ด้วยกันตลอด มีหลาย ๆ ครั้งที่ปรายลดาคิดถึงพ่อพอคนพ่อเดินตามไปถึงห้องรับประทานอาหาร ติดห้องรับแขกกว้างขวาง ลูกสาวตักข้าวร้อน ๆ ให้ใส่จาน“เป็นยังไงบ้างล่ะ? ปวดขา ปวดหลังไหม ลูกดิ้นหรือยัง?”“ดิ้นแล้ว... ชอบดิ้นตอนกลางคืน ปวดขา ปวดหลังค่ะ แต่ว่ามีคนนวดให้” วงหน้าหวานปรากฏรอยยิ้มบาง ๆ ก้มหน้าเอียงอายมองทัพพีในมือเหมือนข้าวในหม้อจะโรยน้ำตาล“ไม่ได้เรื่องหรอก พ่อนวดเก่งกว่าเยอะ เดี๋ยวพ่อกินข้าวเสร็จ พ่อนวดเท้าให้ลูกดีไหม?
ร่างอ้อนแอ้นอรชรในชุดนักศึกษากระโปรงพลีทจีบรอบความยาวคลุมข้อเท้า ปกปิดเรียวขาขาวไว้อย่างมิดชิดย่ำก้าวไปข้างหน้า นัยน์ตาคู่สวยเศร้าหมองมองพื้นหินอ่อนบนทางเดินที่เชื่อมต่อกันระหว่างตึกเรียงรายมือเย็นเฉียบทั้งสองของเธอกำลังกอดกุมอุปกรณ์การเรียนอิเล็กทรอนิกส์และกระเป๋าผ้าใบโปรดไว้แน่น ๆ เพื่อซึมซับความสดใสร่าเริงของสาววัยใสไว้ให้มากที่สุดในเวลาที่เธอยังอยู่ในสถานที่แห่งนี้มหาวิทยาลัย...เมื่อใดที่ก้าวขาออกไปแล้วคงไม่ได้มีชีวิตเหมือนเพื่อนคนอื่น ๆ ไม่ได้เที่ยวเล่น เดินห้างสรรพสินค้า หรือไปรวมกลุ่มกับใคร เพราะเธอดันมีธุระประปรังที่นับว่าเป็นเรื่องจุกจิกอยู่มากมาย...ใช่ว่าเธอไม่มีเวลาขนาดนั้นเมื่อธุรกิจกำลังไปได้สวย ปรายลดาแค่กำลังสนใจเรื่องหาเงินมากกว่าเรื่องเรียน จึงตั้งใจจะตรงกลับบ้านไปทำงานของตนต่อ ไม่ทันได้รู้ตัวว่ามีบางคนกำลังตามหาตัวเธออย่างบ้าคลั่ง“พุทรา! แกจะไปไหน?” เสียงแหลมปรี้ด รองเท้าผ้าใบสีขาวสะอาดจึงหยุดก้าวลงแล้วหันกลับไปหาเพื่อนที่ดึงรั้งต้นแขนของเธอไว้เบา ๆ ด้วยสีหน้าขุ่นเคืองใจ“งานของหญิงแย้ม แกทำเสร็จหรือยัง?”“เดี๋ยววันนี้ฉันทำให้นะปริม” ในน้ำเสียงแผ่วลงตอบหญิงสาว
น้ำทะเลสีเขียวมรกตใสสะอาดเสียจนสามารถมองเห็นปลาตัวเล็กตัวน้อยแข่งขันกันแหวกว่ายไปมา เรือแคนนูหลายลำแล่นลู่ลมฉลิวไปกับสายน้ำด้วยไม้พายที่ผู้คนช่วยหยิบจับกันคนละมือ จากบรรดานักท่องเที่ยวทั่วโลกหลั่งไหลมาท่องเที่ยวมหาสมุทรในหมู่เกาะทางใต้ที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดในประเทศฟิลิปปินส์การเช่าเรือขนาดเล็กและพายเรือไปรอบ ๆ จะได้ชื่นชมทัศนียภาพอันน่าทึ่ง และเก็บภาพถ่ายสวย ๆ ได้มากกว่า ขณะเดียวกัน นักท่องเที่ยวบางคนอาจมีทางเลือกแตกต่างไป คือเช็คอินพักโรงแรมกลางทะเลไปเสียเลยเรือสำราญขนาดกลางลอยคออยู่กลางมหาสมุทรซึ่งวังวนของระลอกคลื่นกลายเป็นสายน้ำที่นิ่งสงบ เหมาะสำหรับการอาบแดดร้อนจ้าท่ามกลางธรรมชาติรายล้อมรอบด้วยหุบเขา สลับไปกับต้นไม้สีเขียวขจีว่ากันง่าย ๆ คือมีเตียงนอนเคลื่อนที่เหนือน้ำทะเลดี ๆ อยากจะกระโดดน้ำตอนไหนก็ได้นัยน์ตาสีฟ้าครามประกายสดสวยทอดมองเส้นสีขาวของปุยเมฆที่กระจายตัวอยู่บนฟากฟ้า มือเท้าแขนแข็ง ๆ ของตน นอนเหยียดกายอย่างสงบ ด้วยท่าทีว่าเขาคงเลือกที่จะทำตามกระแสสังคม แม้จะสวนทางไปสักเล็กน้อยเขาไม่มีความคิดที่จะกระโดดน้ำ... ไม่ได้มาอาบแดดให้มีผิวสีแทนดึงดูดใจสาวฝรั่ง แต่มาเพื่อนอน.
ห่างกันสักพักคงดี...ชายหนุ่มคิดฟุ้งซ่านอยู่ตลอดวันหยุดงานที่เขาไม่คิดจะโทรหาปรายลดา ต่อให้โทรมาเขาก็คงไม่รับ และใช้ข้ออ้างเดิม ๆ ว่างานยุ่งทันใดนั้นเอง เสียงโทรศัพท์สั่นดังจากข้างหู ใบหน้าหล่อเหลาลงตัวหันมองตาม หยิบขึ้นมาดูอย่างพิจารณา แน่ว่าที่ไหนบนโลกแม้จะเป็นกลางทะเลเดี๋ยวนี้ก็มีสัญญาณปลายสายไม่น่าจะใช่คนขี้งกที่เจียดเงินทุกบาททุกสตางค์ไว้เล่าเรียน ไม่ว่าเขาจะหาเงินให้ใช้มากมายเท่าไรแต่เป็นนัชชา...‘พุทรามีแฟนแล้วนะคะ พ่อเลี้ยง... พี่รหัสชื่อธามไท กำลังจะย้ายไปอยู่ด้วยกัน’ข้อความสั้น ๆ ได้ใจความชัดเจน ร่างสูงลุกพรวดขึ้นกำโทรศัพท์แน่นยังกับว่าจะบีบมันให้แหลกคามือ ทะเลสีมรกตสดสวยละเลงด้วยเปลวเพลิงแห่งโทสะลึกลงไปในดวงตาของเขาเอง“จะมีผัวเป็นตัวเป็นตน ไม่คิดบอกพ่อเลี้ยงเลยสักคำงั้นหรือ? พุทรา...!” ปลายเสียงตวาดกร้าวอยู่ลำพังในเรือที่เหมาเอาไว้ทั้งลำระดับหุ้นส่วนใหญ่บริษัทรับเหมาก่อสร้างเอกชน เจ้าของรีสอร์ตหรูริมทะเลหลายแห่ง สถาปนิกคนดังที่ทั้งสร้างและถือหุ้นใหญ่ผูกขาดไว้กับตัวเอง ต่อให้เจียดให้ลูกเลี้ยงในนามกับแม่บ้าง เขาก็ยังเหลือกินเหลือใช้ มีเงินมากพอที่จะเหมาโรงแรมกลางทะเลนอน
“ขอบคุณที่เลี้ยงพุดมานะคะ พ่อเลี้ยง พุดลาพ่อนะ...” ปรายรดาระบายลมหายใจสั่น ๆ หยดน้ำใสบดบังวิสัยทัศเบื้องหน้าให้พร่าเลือนลง ยามเชยหน้าขึ้นมองตู้ไม้สักที่เต็มไปด้วยของสะสมโบราณข้างบนนั้นมีภาพถ่ายครอบครัว เด็กสาววัยห้าขวบดูสดใสร่าเริงยืนหัวเราะร่าเคียงข้างหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา นัยน์ตาสีฟ้าครามรับจมูกโด่งเป็นสันคม รูปร่างกำยำเป็นล่ำสัน เพราะรักการออกกำลังกายและเข้าฟิตเนสเป็นประจำต้นตระกูลของปรเมษฐ์ผสมปนเปไปหลายเชื้อชาติ ทั้งไทย อังกฤษ จีน แขกมอญ ผิวพรรณของหนุ่มวัยสี่สิบสองปีจึงออกไปทางสีน้ำผึ้ง สูงชะรูดหุ่นนายแบบกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตรถึงเขาออกจะเป็นคนเงียบขรึมสักหน่อย ในหมู่เพื่อนฝูงก็ยังป็อบปูลาร์ เรียกได้ว่าพ่อเลี้ยงชี้สาวคนไหนในยามท่องราตรี ผู้หญิงมากหน้าหลายตาต่างยินยอมพร้อมใจที่จะกระโจนกายขึ้นเตียงของเขา...เมื่อนานมาแล้วในสมัยที่ยังเป็นเด็กสาววัยสิบกว่าขวบ เธอเคยเห็นเขาพาผู้หญิงมาบ่อย ๆ หายเข้าไปในห้องหลายนาน...ห้องที่เธอไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปแม้กระทั่งทำความสะอาด เสียงสุขสมของผู้หญิงเหล่านั้นที่ดังลอดผ่านประตูออกมาสร้างความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสให้เธอทุกครั้งขอบตาแดงช้ำ
เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาคมคายในเสื้อเชิ้ตสีขาวหลุดลุ่ยจากกางเกงแสล็คดำ ผมเผ้ายุ่งเหยิงเพราะความรีบร้อน หยุดปลายเท้าลงในห้องโล่งเปล่าที่มีข้าวของหลายอย่างหายไปผ้าห่ม ผ้าปูที่นอน อุปกรณ์การเรียนและหนังสือ ชั้นวางของกระจุกกระจิกสะอาดเกลี้ยงเหมือนเป็นห้องที่ไม่มีใครอยู่ ร่างสูงก้าวไว ๆ ไปที่ตู้เสื้อผ้าลายการ์ตูนเพื่อเปิดมันออกดูให้แน่ใจซึ่งก็ไม่มีเสื้อผ้าสักตัวจากเปลวโทสะลูกใหญ่ที่ทำให้เก็บกระเป๋าเสื้อผ้าตีตั๋วกลับประเทศไทยในทันที กลายเป็นความรู้สึกอ้างว้างประหลาดจู่โจมเข้ามาในหัวใจ“แม่... พุทราไปไหน?” เสียงทุ้มสั่นเครือ นัยน์ตาคู่คมเข้มสีฟ้าครามประกายกร้าวอ่อนลงเหลือแค่ความสิ้นหวัง ไม่แม้แต่จะเหลียวมองแม่อนงค์ที่ยืนข้าง ๆ กัน“เขาก็ไปอยู่ของเขาสิ โตแล้วนี่... จะไปไหนก็ได้ ทีลูกยังหอบกระเป๋าไปฟิลิปปินส์ไม่บอกคนที่บ้านสักคำ ถ้าแม่ไม่โทรไปถามปิ่นก็คงไม่รู้”ปิ่นแก้วเป็นเพื่อนสาวคนสนิทในกลุ่ม จบสถาปนิกมาด้วยกัน อยู่ในสายงานเดียวกันคือสายวิชาการออกแบบอุตสาหกรรม หากไม่เดินสวนกันหรือปากต่อปากบอกต่อ เขาตั้งใจไปอยู่คนเดียวเงียบ ๆ โดยไม่บอกใครสักคนจริง ๆ“แล้วพี่ปองล่ะ?” ในสีหน้าคร่ำเครียดกว่าเดิม
ปรายลดาจำเป็นต้องเรียกแท็กซี่กลับบ้านก่อนเวลา ด้วยเหตุว่าเธอมีไข้ต่ำ ๆ จนเรียนวิชาต่อไปไม่ไหว ขณะที่เพื่อนรักอาสาอยู่จดบันทึกการสอนในห้องเรียนให้ แทนที่จะไปส่งซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องแปลกอยู่เธอเป็นคนไม่มีญาติที่ไหน... นอกจากพี่เปา แม่อนงค์ และยัยปริม ก็คงจะไม่มีใครจริง ๆ พ่อปองกานต์จริง ๆ แล้วก็ไม่ใช่พ่อของเธอ ไม่เคยมาแยแสกันด้วยซ้ำนานแล้วที่เธอเคยอ่านหัวข้อสนทนา ‘ในวันที่ไม่รู้ว่าเป็นลูกใคร’ ในโลกออนไลน์ พอได้เกิดเข้ากับตัวเองจริงดันขำไม่ออก เพราะนั่นหมายความว่าเธอจะต้องดิ้นรนและพยายามให้มากกว่าคนอื่นหลาย ๆ เท่าคอนโดมีเนียมของเธอที่ซื้อไว้นั้นอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัย โดยสารทางรถยนต์แค่สิบนาทีก็ถึง จะเรียกวินมอเตอร์ไซค์ให้ไปส่งไม่น่าจะถึงห้าสิบบาท ต่อให้เป็นช่วงการจราจรติดขัดทันทีที่มาถึงห้องสตูดิโอฯ สี่เหลี่ยมที่มีขนาดกำลังพอดีไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไป ตกแต่งด้วยดีไซส์ทันสมัยสมราคา เธอไม่ลืมส่งข้อความบอกเพื่อนว่าเดินทางมาถึงจุดหมายโดยสวัสดิภาพ ก่อนจะหยิบเม็ดยาออกมาจากกล่องยาในกระเป๋าสะพาย เดินตรงไปที่ตู้เย็น...ทันใดนั้นเอง ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างมองชายร่างสูงใหญ่ในชุดทำงานเรียบร้อยก้าวพ้
ร่างสูงในเสื้อผ้าหลุดลุ่ยชุดเดิมยังนั่งอยู่ข้างเตียง หลายชั่วโมงแล้วที่คนป่วยมีอาการระส่ำระส่ายเพราะพิษไข้ เสียงพร่ากระซิบเรียกหาเขาอยู่ซ้ำ ๆ ใบหน้าสดสวยริมฝีปากอิ่มงามที่เขาเคยหลงใหลบัดนี้ซีดขาวราวกระดาษ กระทั่งเรือนกายซูบผอมจนเห็นกระดูก ตอกย้ำความรู้สึกผิดให้มากขึ้นเป็นเท่าตัว มือของเธอร้อน ร้อนขึ้นเรื่อย ๆ เพราะยาคงไม่ได้ออกฤทธิ์นานนัก มันเป็นการรักษาที่ปลายเหตุระงับความเจ็บปวดได้ชั่วครั้งชั่วคราว ปรเมษฐ์จินตนาการไม่ออกจริง ๆ ว่าตลอดเวลาที่เขาจากไป เธอมีชีวิตอยู่ยังไง และการที่คนแข็งแรงไม่เคยป่วยอย่างปรายลดาถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อ น่าจะมีสาเหตุมาจากตัวเขาผู้ทำลายภูมิต้านทานของสาวน้อยไม่มีชิ้นดี ป่วยใจมักลามไปถึงกาย... เธอคงจะไม่ได้ดูแลสุขภาพของตัวเองเลย เพราะไม่มีคนชวนไปออกกำลังกาย เข้าฟิตเนส แม้แต่วิ่งในสวนสาธารณะในทุก ๆ เช้าเย็น อาหารการกินคงไม่มีอะไรลงท้องด้วยซ้ำ ถึงได้ผอมเอาๆ ชายหนุ่มคอยเฝ้าเช็ดทั้งใบหน้าและลำคอเปียกชุ่มเหงื่อโทรมกายด้วยผ้าสีขาวในขันน้ำเล็กข้าง ๆ ซึ่งคงจะทำได้เท่านั้น ในเมื่อมีครั้งที่หนึ่งก็ต้องมีครั้งสอง หากได้จับต้องหนึ่งครั้ง มันจะลุกลามไปอย่างรวดเร็วเ