ทำไมรัชทายาทไปนานเหลือเกิน มีเสียงต่อสู้กันอย่างหนักแล้วทำไมเงียบลงแบบนี้ ไวท์ไม่รู้ตัวเลยว่ารถม้ากำลังเคลื่อนตัวไปทางอื่นเนื่องจากโดยภาพมายาหลอกว่ายังอยู่ที่เดิม แผนการนี้ตอนแรกจงใจจะทำลายความน่าเชื่อถือของเชื้อพระวงศ์แต่ขุนนางอย่างเขาก็คิดได้ว่ายังมีมนุษย์ที่เป็นตัวแปรสำคัญในครั้งนี้อยู่
กลิ่นหวานชวนกลืนกินนั้นยังคงติดตราติดตรึงใจตั้งแต่ครั้งที่เจอในงานเลี้ยงเมื่อไม่กี่วันก่อน อยากลองเห็นหน้าชัดๆ สักครั้งว่ามีดีแค่ไหนกัน ทำไมใครต่อใครถึงได้ออกโรงปกป้องกันนัก ทั้งจักรพรรดิ จักรพรรดินี รัชทายาท องค์ชายแฝด แบบนี้มันไม่ธรรมดาแล้ว จะสืบออกนอกหน้าก็ไม่ได้ เส้นสายของจักรพรรดินีมีทั่วอาณาจักร
"คนที่คุณชายอยากพบ เดินทางมาถึงแล้วขอรับ" ชาร์ทีบอกพลางผายมือไปทางรถม้าที่กำลังเคลื่อนตัวเข้าคฤหาสน์ตระกูลสวิต ถือเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลที่เป็นเชื้อพระวงศ์ วิธีการที่ใช้เลือกผู้นำแต่ละสมัยจะไม่เหมือนกัน สมัยขององค์จักรพรรดิจะเลือกจากผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นผู้นำ โดยผ่านการต่อสู้มาอย่างหนักหลากหลายรูปแบบเพื่อช่วงชิงความเป็นหนึ่ง
ทุกหนึ่งร้อยปีจะมีการจัดการแข่งขันเพื่อช่วงชิงความเป็นหนึ่งของจักรวรรดิ แวมไพร์คนนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นขุนนาง เชื้อพระวงศ์ สามัญชน เจ้าชาย หรือแม้กระทั่งรัชทายาท ทุกคนจำเป็นจะต้องเข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมด
แบกรับความหวังของตระกูลตนเอง เดินหน้าเข้าสู่สนามเพื่อนองเลือดและบอกว่าใครกันแน่ที่แข็งแกร่งที่สุด กติกาคือแข่งกันสามวันสามคืนไม่มีหยุดพัก ใช้กีฬาทุกประเภทของมนุษย์เข้าวัดระดับใครยังคงสามารถกลับมายังจุดเริ่มต้นได้ถือว่าผ่านขั้นแรก
ขั้นต่อมาเป็นการแข่งทางปัญญา ข้อสอบทั้งแบบของมนุษย์และแวมไพร์จะถูกนำมารวมกันทุกวิชา มีเวลาสอบทั้งหมด7วัน จะต้องทำทุกอย่างที่จะหาคำตอบมาให้ได้ ผู้สอบไม่มีสิทธิกลับบ้านหรือทำอะไรทั้งนั้น หากจะเข้าห้องน้ำจะมีกรรมการคุมสอบที่เป็นเพศเดียวกันเฝ้าแบบระยะประชิดไม่ให้คลาดสายตา ป้องกันการโกงทุกชนิด
ขั้นสุดท้ายการแข่งขันทางเวทย์มนตร์ ระยะเวลาสอบ30วัน คู่แข่งจะเป็นแบบการพบกันทุกชนชั้นวรรณะ ไม่เกี่ยงระดับ โดยจะถูกเลือกให้แข่งดังนี้ สามัญชน ขุนนาง (บารอน ไวเคาน์ เอิรล์ มาร์ควิส ดยุค) เชื้อพระวงศ์ (เอิรล์ มาร์ควิส ดยุค) และกษัตริย์ ทำการต่อสู้กันจนกว่าอีกฝ่ายจะมีสภาพที่ไม่สามารถต่อสู้ได้อีก
ซึ่งแวมไพร์ที่มีความเสี่ยงที่จะตายสูงคือกษัตริย์ที่มีเหล่ารัชทายาทในปีนั้นๆ เข้าร่วมต่อสู้ เนื่องจากจะต้องต่อสู้ในวรรณะหนึ่งมากกว่าหนึ่งคน หมายความว่าวรรณะกษัตริย์จะต้องสู้ถึงสองคน ถือว่าเสียเปรียบเป็นอย่างมากแต่ถ้าหากเทียบถึงการศึกษาที่ได้รับมากกว่าคนอื่นนั้นสมควรยิ่งนักที่จะต้องสู้ครั้งละสองคนและรบถึงสองครั้ง
ผู้นำจำเป็นต้องมีความแข็งแกร่งมากกว่าแวมไพร์คนอื่นหลายเท่า และรัชทายาทบีเลอ คีย์ ก็พิสูจน์ให้เห็นด้วยตาของประชาชนทุกวรรณะแล้วว่าแข็งแกร่ง เพียบพร้อมไปทุกด้าน สามารถเอาชนะได้ทุกรายการโดยไม่มีการแพ้แม้แต่นัดเดียว ทั้งที่ความจริงแล้วทุกวรรณะสามารถแพ้ได้สามครั้งถึงจะถูกปรับออกจากการแข่งขัน นับว่าเป็นแวมไพร์ที่แข็งแกร่งที่สุดของยุคก็ว่าได้
แต่สิ่งที่สวิตไม่เข้าใจคือทำไมคนที่สมบูรณ์แบบนั้นต้องไปปกป้องมนุษย์เพียงคนเดียว ไม่สมเหตุสมผลกันเลยสักนิด ฐานะ ความเหมาะสม ไม่มีอะไรเทียบได้เลย เรื่องนี้เขาไม่มีทางยอมรับได้ ถึงคำทำนายจะออกมาแล้วว่าคู่ครองของรัชทายาทจะเป็นคนต่างเผ่าพันธ์ แต่มดมด หมาป่า หรืออะไรก็ได้ที่มีพลังกำลัง ความสามารถ ไม่ใช่มนุษย์ที่ไม่มีอะไรเลยแบบนี้
แกร๊ก!
"ยินดีต้อนรับสู่วังสวิตขอรับ คุณชายริค" ชาร์ทีเอ่ยทักทายด้วยคำสุภาพแต่เหมือนจะไม่มีอะไรตอบกลับมาเลยสักนิด มีเพียงสีหน้างงงวยของคนหน้าหวานเท่านั้น แต่กลิ่นเลือดหอมหวานชวนให้ลากมากินนั้นรุนแรงเสียจริง องค์รัชทายาทมีความอดทนสูงมาก ของหวานอยู่ตรงหน้าแต่กลับไม่ลิ้มลองสักหยด
"ที่นี่ที่ไหนเหรอ ข้าจำได้ว่าท่านพี่บอกห้ามเปิดประตูรถม้าให้ใคร" ในเมื่อไม่มีทางเลือกผมเองก็ต้องพูดภาษาของที่นี่เพื่อปรับตัวเหมือนกัน แปลว่ามีเบื้องหลังอะไรเกี่ยวกับการมาลอบทำร้ายรถม้าคนนี้แน่ พวกมันต้องการอะไร
"เจ้าคือคุณชายริค ไวท์ ลูกชายบุญธรรมของดยุคริค ชาร์คใช่หรือไม่" เทรเลอร์ตัดสินใจถามอย่างไม่เป็นมิตรออกไปเพื่อดูท่าทีของอีกฝ่ายว่าจะตอบกลับเช่นไร
"แล้วท่านล่ะเป็นใคร ดูจากการวางท่าแล้วคงจะเป็นแวมไพร์ที่มีอำนาจไม่ใช่น้อย" คิดผิดแล้วที่จะมาสังเกตคนอย่างผม ถึงที่นี่ผมจะไม่รู้จักอะไรมากมายแต่หลักจิตวิทยาแบบนี้ที่โลกมนุษย์มีสอนนะ ที่นี่สอนอะไรไม่สำคัญมันสำคัญที่ว่าจะเอาความรู้ที่มีในโลกมนุษย์มาใช้กับที่นี่ได้ยังไงต่างหากล่ะ
"หึ เข้ามาก่อนสิ" การตอบสนองคาดเดาได้ยากนัก ไม่รู้เลยว่าภักดีต่อรัชทายาทหรือหวังจะลอบทำร้าย แบบนี้ถึงกลายเป็นคนดังข้ามคืน ไม่สบอารมณ์เลยสักนิดเดียว ข้าไม่มีทางยอมก้มหัวให้กับว่าที่จักรพรรดินีคนใหม่ที่เป็นมนุษย์เด็ดขาด
"จะรับอะไรดีขอรับคุณชาย"
"ของข้าเหมือนเดิมนะ ชาร์ที"
"ไม่ขอรับ พอดีที่บ้านสอนว่าอย่าเสี่ยงกินของคนแปลกหน้า หน้าแปลก สิ่งมีชีวิตที่แปลกด้วย" ไหนเมื่อลองหยั่งเชิงกันแบบนี้ ก็เล่นสงครามไปบ้างก็คงไม่มีปัญหาอะไรหรอก ยิ่งดูเป็นพวกเลือดร้อนแบบนี้มีหวังขาดสติแน่นอน
การยั่วโมโหได้ผลดีเกินคาดไม่ถึงนาทีคอของร่างสูงโปร่งถูกบีบจากมือของคุณชายคนโตของตระกูลทันที กล้ามากที่ท้าทายกันซึ่งหน้าแบบนี้ ไม่เคยเจอใครลองดีแบบนี้มานานแล้ว อยากรู้เหมือนกันว่ามนุษย์ของจักรวรรดิกับมนุษย์ที่ไม่มีใครรู้จัก ฝั่งไหนจะมีความอดทนได้มากกว่ากัน คอขาวเริ่มมีรอยแดงจากการถูกบีบอย่างแรง จิตใจอำมหิต แววตาวาวโรจน์ที่เคยเห็นแต่ในละครกลับมาเห็นที่นี่ตอนนี้ ช่างน่าประทับใจเสียจริง ถ้าผมกลับโลกปัจจุบันได้อยากเป็นนักเขียน รับรองเลยว่าบรรยายได้ราวกับตาเห็นเพราะเห็นมากับตาตัวเอง
ท่าทีไม่เกรงกลัว แววตาเมินเฉยนี่มันอะไรกัน มนุษย์คนนี้ไปอยู่ที่ไหนมาถึงมีท่าทีแบบนี้ ไม่ใช่แบบที่ข้าคาดหวังเอาไว้ ปล่อยดีกว่าขืนทำแรงกว่านี้มีหวังตายคามือจริงๆ เขาจงใจเหวี่ยงร่างสูงโปร่งให้กระเด็นไปอีกทางแต่ดูเหมือนว่าจะสามารถหมุนตัวกลับมานั่งตามปกติได้ แปลว่ามีฝีมือไม่น้อยเลยช่างน่าประหลาดใจยิ่งนัก เรียกเสียงปรบมือจากเทรเลอร์ได้ทันที จากแววตาดูถูกกลายมาเป็นชื่นชม สมแล้วที่เป็นคนที่รัชทายาทหวงแหน
"เจ้านี่มันช่างน่าสนใจจริงๆ " เทรเลอร์บอกจากใจไม่มีอะไรเจือปนในคำพูด ทำให้อีกฝ่ายวางใจได้นิดหน่อย
"ถ้าท่านพูดแบบนั้นจริงๆ ก็ขอบคุณครับ ผมอยากกลับไปหารัชทายาท"
"ป่านนี้ตามหาข้าไปทั่วแล้ว" สภาพอากาศไม่เป็นใจแบบนี้เกรงว่าจะมาพลังของรัชทายาทมากกว่าการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล แต่เขาไม่มีข้อมูลอะไรมากมายขนาดนั้น การจะรู้อะไรมากกว่าต้องเข้าห้องสมุดให้ได้ก่อน ความรู้ประวัติศาสตร์ของที่นี่ไม่สามารถหามาทดแทนได้ในโลกมนุษย์
"ไม่ ข้าจะส่งจดหมายให้รัชทายาทมารับเจ้าแทน"
"ทำแบบนี้แปลว่าอยากเจอรัชทายาทเพราะว่าไม่ค่อยได้เจอกัน แวมไพร์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีอายุยืนยาวจึงไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเวลาเยี่ยงมนุษย์"
"เจ้ารู้มากเกินไปแล้วนะ เป็นเด็กที่ไหนเนี่ย"
"ตอบไปแล้วจะรู้จักหรือเปล่า ท่านเอาเวลาไปคิดทบทวนให้ดีเถอะ"
"พูดเหมือนรู้ดีไปทุกอย่าง อย่ามาอวดดีไปหน่อยเลย"
"สิ่งมีชีวิตที่มีช่วงเวลาแค่แก้เหงาให้กับเผ่าพันธ์ของข้า ไม่มีสิทธิมาสอนข้า"
"การพูดจาดูถูกก็ไม่ใช่สิ่งที่เผ่าพันธ์มีชีวิตยืนยาวควรทำเช่นกัน"
ตระกูลสวิตถือเป็นตระกูลที่มีความทะเยอทะยานสูงกว่าตระกูลอื่น แต่โชคดีที่ผู้นำคนปัจจุบันมีนิสัยเฉื่อยชาไม่ได้ต้องการสิ่งใด แถมยังจงรักภักดีต่อองค์จักรพรรดิมากที่สุด เรียกได้ว่ายอมถวายตัวรับใช้จนตัวตายโดยไม่หวั่นเกรง นับเป็นตระกูลที่ได้รับความไว้วางใจมากที่สุดในขณะนี้
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
"ชามาแล้วขอรับ"
"มาได้จังหวะนะ ชาร์ที"
"แน่นอนขอรับ"
"ว่าแต่ตำแหน่งคุณชายริคในตอนนี้ยังไม่เป็นทางการสินะขอรับ จะได้รับยศเมื่อไหร่หรือ" ชาร์ทีได้โอกาสลองภูมิคนตรงหน้าบ้าง
"ตามกำหนดที่ท่านจักรพรรดินี รัชทายาทเป็นคนกำหนดทั้งหมด ข้ายังไม่รู้เรื่องอันใดเลย" ภาษามันโอเคดีหรือยัง พยายามทำให้มันโบราณที่สุดแล้ว ถ้าจะโบราณมากกว่านี้สมองต้องเบลอแน่เลย
ทหารในคฤหาสน์ทั้งวังออกตามหาริคตั้งแต่เกิดเรื่องจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่พบร่องรอยว่าอยู่ที่ไหน เหตุการณ์เพิ่งเกิดได้ไม่นานแต่การค้นหาช่างยากเย็นนัก รถม้าทั้งคันคนทั้งคนมันจะหายไปได้ยังไง ถ้าไม่มีใครพาไป หรือว่า.....
"รัชทายาทพะยะค่ะ พวกหม่อมฉันยังค้นหาไม่พบเลย"
"จะทำยังไงกันต่อดี ให้แจ้งเรื่องไปทางวังหลวงไหมพะยะค่ะ"
"ข้าส่งจดหมายลับไปหาท่านแม่แล้ว ตอนนี้ข้าว่าพอจะรู้แล้วว่ากระรอกน้อยอยู่ที่ไหน"
"ที่ไหนพะยะค่ะ"
"วังที่ใกล้กับจุดเกิดเหตุที่สุดก็คือวังสวิต ไปวังสวิตกัน" จู่ๆ ก็มีนกบินเข้ามาในห้องทำงานเหมือนรู้งาน เนื้อความในจดหมายมีไม่มากนักแต่ได้ใจความ เขาคิดไม่ผิดจริงๆ จีนอยู่กับตระกูลสวิต ถือเป็นตระกูลที่น่าเชื่อถือที่สุดแล้ว ทำไมถึงมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น ถ้าเป็นดยุคไม่น่าเป็นไปได้นอกจากคุณชายคนโตเท่านั้น นิสัยดื้อรั้นไม่ฟังใคร ไม่เห็นหัวใครนี่ช่างเหมือนบรรพบุรุพที่ปัจจุบันเป็นผู้อาวุโสยิ่งนัก
"เตรียมตัวเดินทางไปคฤหาสน์ตระกูลสวิต"
"ขอรับ"
คิดถูกแล้วที่ตัดสินใจส่งจดหมายก่อนที่คุณชายริคจะเดินทางมาถึง เพราะว่าเวลาไม่นานร่างสูงปีกสีดำขนาดใหญ่ก็บินมาถึงบ้านของเขาเสียแล้ว แสดงว่าร้อนใจจะไม่สามารถนั่งรถม้าหรือรถค้างคาวมารับได้เลยสินะ เด็กคนนี้ต้องมีดีอะไรพอสมควรเลยปึง!"กระรอกน้อย! ไม่เป็นอะไรใช่ไหม! ใครทำอะไรหรือเปล่า! " คียร้อนใจจนไม่สามารถบังคับตนเองได้แล้ว หากมีอะไรเกิดขึ้นกับแก้วตาดวงใจแล้วล่ะก็...คฤหาสน์หลังนี้พังไม่เป็นท่าแน่ๆ"ทำไมต้องโวยวายเสียงดังด้วยพะยะค่ะ ใจเย็นลงก่อน" เทรเลอร์ตอบกลับอย่างใจเย็น ไม่บ่อยนักที่จะเห็นอาการแบบนี้ออกมา ปกติเป็นคนสุขุม รอบคอบ ใจเย็น ได้เห็นอะไรที่ไม่เคยซะแล้วสิ"จะให้เย็นได้ยังไง ความต่างของเผ่าพันธ์มันเยอะขนาดนี้""แถมกลิ่นเลือดยังหอมหวานชวนให้ดื่มตลอดเวลา ข้าไม่ไหวใจเจ้า! สวิต เทรเลอร์""รัชทายาท ใจเย็นลงก่อนพะยะค่ะ" เมล์ห้ามปรามเจ้านายของตนทันที ไม่มีความจำเป็นต้องไปเดินตามเกมส์ของคนตระกูลสวิต"ต่อให้ท่านจะฆ่าเขาเสียตรงนี้ ก็ไม่มีโอกาสได้รู้ว่าคุณชายริคอยู่ที่ไหน" ท่าทีของคีย์โอนอ่อนลงทันที คนรับใช้ตระกูลโฟลช์ถูกขัดเกลามาให้ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา ให้ความช่วยเหลือ และห้ามปรามกษัตริย
กระรอกน้อยของเขาจะเนื้อหอมมากเกินไปแล้วนะ ขนาดเป็นผู้ชายยังขนาดนี้แล้วถ้าเป็นผู้หญิงเขาไม่เป็นบ้าตายเหรอเทรเลอร์ไม่เคยเจอผู้ชายที่ไหนนอกจากจะหน้าหวานแล้วยังจะยิ้มหวานขนาดนี้ มีฝีมืองานบ้านงานเรือน กิริยาท่าทางไม่ยอมใคร พอเข้าใจแล้วว่าทำไมรัชทายาทถึงหวงนัก จากข่าวที่ได้ยินมามีคุณชายตระกูลขุนนางตกหลุมรักเหมือนกัน แบบจะลงสนามไปด้วยดีไหมนะ"คุณชายริค""ครับ" ซวยแล้วไง! เผลอขานรับแบบมนุษย์ไปแล้ว ดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยความตกใจที่ตนเองพูดผิดออกไป ซึ่งสำหรับจักรวรรดิแล้วคำพูดพวกนี้ถูกใช้กันในหมู่มนุษย์มากกว่าแวมไพร์ ขานรับผิดแบบนี้แปลว่าต้องเคยชินกับการคุยกับใครสักคนและคงหนีไม่พ้นรัชทายาทเป็นแน่"หึ! คำขานรับน่ารักดีนะ ข้าชักถูกใจเจ้าซะแล้วสิ" เทรเลอร์บอกด้วยสีหน้าพึงพอใจ ปกติเขาไม่สนใจมนุษย์นอกจากเวลาที่ได้ดื่มเลือดที่ได้มาจากการบริจาคของเหล่าบริวารในเขตปกครองของตนเอง นอกนั้นก็มีอายุสั้นไม่ได้น่าสนใจเท่าไหร่นัก แต่ไม่ใช่สำหรับเด็กคนนี้ถึงจะมีอายุที่สั้นแต่ก็อยากจะดูแลสักครั้ง ลองถนอมใครไว้สักคนก็น่าจะดีไม่น้อย"พูดแบบนี้เจ้าหมายความว่ายังไง เทรเลอร์" ถึงคีย์จะรู้คำตอบของความหมายนั่นอยู่แล้
การตามใจใครสักคนแล้วยอมลำบากขนาดนี้ หวังว่าจะมีอะไรตอบแทนไม่มากก็น้อยกับความอดทนของข้าในครั้งนี้ณ พระราชวังสวิต (ที่พักอาศัยของคุณชายคนโตของตระกูล)"ขอต้อนรับท่านจักรพรรดินี ไม่ทราบว่าเดินทางมาถึงที่นี่มีเรื่องอันใดกัน" ชาร์ทีออกมาต้อนรับทันทีที่เห็นขบวนเสด็จขององค์จักรพรรดินีเดินทางมาแบบไม่เป็นทางการเช่นนี้ จะต้องเกี่ยวข้องกับเด็กคนนั้นที่ถูกจับตัวมาเมื่อก่อนหน้านี้แน่นอน"ข้าว่าเชิญท่านจักรพรรดินีเข้าไปด้านใน แล้วค่อยหารือกันดีหรือไม่ ชาร์ที" นีน่าบอกเสียงเรียบแต่ท่าทางไม่ได้เรียบตามไปด้วย ลางสังหรณ์ของเขามันร้องเตือนว่าไม่ใช่เรื่องที่ดีที่มีการเดินทางนอกกำหนดการแบบนี้ตระกูลสวิตถือเป็นหนึ่งในเชื้อพระวงศ์ทั้งสี่ สัญลักษณ์ของตระกูลคือลักษณะแห่งไฟที่เผาผลาญทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อปกป้องตระกูลของกษัตริย์ให้มั่นคงสืบต่อไป การจะล้มล้างกษัตริยได้จำเป็นต้องเข้าถึงตัวเชื้อพระวงศ์ให้ได้เสียก่อน หากเจ้าแห่งการปกครองสูงสุดของวังหลังออกเดินทางนอกกำหนดการ หมายความมีการทำงานที่ไม่ปกติเกิดขึน อำนาจสูงสุดตกเป็นของจักรพรรดินีและจักรพรรดิไม่มีสิทธิในการตัดสินใจเรื่องนี้แม้แต่นิดเดียว"อรุณสวัสดิ์ยามดึกพ
"ฉะนั้นพวกเรามาหารือกันเรื่องนี้จนกว่าจะได้ข้อสรุปกัน ไม่ว่ายังไงข้าจะไม่ยอมให้ลูกชายของข้าต้องไม่มีเนื้อคู่เพราะเจ้าพวกนั้นเด็ดขาด""พะยะค่ะ"พระอาทิตย์สาดส่องเป็นสัญญาณของเช้าวันใหม่ของใครหลายคน แต่มันคือเวลานอนของเหล่าแวมไพร์ที่อาศัยอยู่ที่นี่ ถึงผมจะอยู่ที่นี่มาได้หลายวันแล้วแต่ก็ยังไม่ชินกับการที่ต้องนอนกลางวันตื่นกลางคืนอยู่ดี ถึงตอนนี้จะเริ่มนอนเกือบเช้าแต่ก็ยังหลับๆ ตื่นๆ เช่นวันนี้มาตื่นตอนเที่ยงแบบนี้แล้วจะทำยังไงดี ทุกคนพากันหลับหมดแบบนี้ ถึงจะมีเวรยามอยู่ตลอดยี่สิบชั่วโมงแต่มันก็ค่อนข้างว่างเสียเหลือเกินก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!"ใครครับ" เสียงหวานตะโกนถามออกไป"ข้าเอง กระรอกน้อย" เสียงทุ้มต่ำตะโกนกลับมา ช่วงขาที่เรียวยาวถึงได้เดินไปเปิดประตู หากเป็นคนรับใช้เกรงว่าเขายังไม่อยากจะพบใครตอนนี้ อยากใช้ความคิดของตนเองมากกว่า"เพิ่งทำงานเสร็จหรือพะยะค่ะ" ใบหน้าหวานเงยหน้าขึ้นมองถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง มือขาวเกลี่ยปอยผมที่ลงมาปรกใบหน้าอีกฝ่ายออกให้เห็นชัดเจนมากขึ้น เผลอให้เห็นรอยใต้ตาคล้ำจากการทำงานอย่างหนัก ท่าทีอ่อนล้าที่เผยให้เห็นนั้นช่างน่าเป็นห่วงยิ่งนัก"ใช่แล้ว ข้าง่วงมากเลย กระรอ
ดีกว่า มันถูกสร้างมานานมากจนน่าจะมีการดูแลรักษาเสียที ต่อให้มีพลังที่กล้าแกร่งแค่ไหนก็มีวันที่จะได้รับบาดเจ็บเหมือนกัน"อยากมาช่วยงานข้าไหม กระรอกน้อย" เขาหวังว่าจะได้รับคำตอบในทางที่ดี ไม่เช่นนั้นคงผิดหวังแย่"ข้าช่วยอะไรท่านพี่ด้วยหรือพะยะค่ะ""หรือเจ้าอยากเรียนหนังสือล่ะ""แต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้าสงสัยมาตลอด และต้องการรู้จากปากของเจ้า""อะไรหรือพะยะค่ะ""เจ้าอ่านภาษาของแวมไพร์ออกได้อย่างไร เจ้าไม่เคยได้เรียนภาษาของพวกข้า""ไม่รู้เหมือนครับ จู่ๆ ก็อ่านได้เอง""ไม่มีใครสอนแน่นะ""ครับ ไม่มี" หมายความว่ามันถูกถ่ายทอดผ่านสายเลือดงั้นรึ ของแบบนี้สามารถทำได้ด้วยเหรอ หรืออาจะเคยได้ยินผ่านๆ"งั้นสนใจมาช่วยงานของข้าไหม""ข้าทำได้หรือขอรับ" ใบหน้าหวานส่ายหัวไปมาด้วยความสงสัย"ในตอนนี้ข้าก็มีเพียงเมล์ที่เป็นผู้ช่วย หากได้เจ้ามาคอยช่วยงานอีกน่าจะเบามือได้ไม่น้อย""ได้ครับ ผมจะช่วย""ถ้างั้นกลับเข้าวังกันเถอะ"ตามปกติแล้วองค์รัชทายาทสามารถเลือกข้ารับใช้คนสนิทไว้ข้างกายได้มากมาย แต่คีย์เลือกเพียงเมล์เท่านั้นเลยทำให้เป็นภาระทางตนเองอย่างหนัก เขาไม่สามารถไว้ใจใครได้ทั้งนั้น การจะเลือกใครมาข้างกายต้องไ
เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมคนทำงานในโลกของเขาส่วนใหญ่ถึงชอบทำงานตอนกลางคืนมากกว่ากลางวัน เพราะมันทั้งเงียบสงบและทำให้คิดงานได้ง่ายกว่าหลายเท่า แถมประสิทธิภาพในการทำงานก็ดีกว่าช่วงกลางวันเป็นไหนๆ แต่วิถีชีวิตของเผ่าพันธ์ถ้าจะให้เปลี่ยนมาทำแบบแวมไพร์คงจะยาก อะไรหลายๆ อย่างก็ไม่ได้อำนวยเสียด้วยแต่ถ้าหากอยู่ร่วมกันไปแบบนี้เรื่อยๆ ริคเองก็น่าจะใช้ชีวิตแบบแวมไพร์ได้ไม่ยากเท่าไหร่นัก มาอยู่ได้ไม่กี่วันก็เริ่มนอนกลางวันแล้วมาทำงานตอนกลางคืนแทน อีกไม่นานคงจะเคยชินกับวิถีชีวิตแบบนี้แน่นอน เอกสารพวกนี้มากจนไม่คิดว่าคือจำนวนของคนที่ต้องทำมันช่างไม่บาลานกันเลยสักนิด ยิ่งอยู่สูงมากเท่าไหร่ยิ่งเหนื่อยมากเท่านั้นสินะ"กระรอกน้อยทำไหวไหม มีอะไรให้ข้าช่วยหรือเปล่า" เสียงทุ้มต่ำถามด้วยความเป็นห่วง"ก่อนที่รัชทายาทจะเป็นห่วงคนอื่น กรุณาห่วงตัวเองก่อนเถอะพะยะค่ะ งานเยอะขนาดนี้ยังทำไม่เสร็จอีก" เมล์ขัดจังหวะทันทีไม่ใช่ว่าไม่ห่วงคุรชายริคแต่อีกคนตั้งท่าจะหนีงานตนเองต่างหาก จึงต้องกันไว้ดีกว่าแก้"ผมยังไม่ง่วงเท่าไหร่ครับ คิด
"พอดีข้าได้ยินว่าเจ้าจะเข้าวังหลวงพรุ่งนี้ เลยอยากจะมาทักทายเสียหน่อย" คลาสเริ่มทำสงครามประสาททันที เนื่องจากเป็นความถนัดของแฝดผู้พี่ที่มักใจเย็นและสุขุมมากกว่าแฝดน้อง"แต่ข้าดันควบคุมพลังไม่ได้เพราะหวงพี่สะใภ้ก็เลยพลั้งมือทำกระจกบ้านเจ้าแตกจนหมด เดี๋ยวจะชดเชยค่าเสียหายให้หลังจากคุยเสร็จ" ครอสราดน้ำมันต่อจากแฝดผู้พี่ทันทีเพราะตนไม่ใช่คนใจเย็นจึงเปิดประเด็นไม่เก่งเท่าไหร่นัก เรียกว่าความแฝดนรกนี้น้อยคนที่จะแยกออกเพราะพวกเขาชอบแต่งตัวและทำท่าทางเหมือนกันตลอดเวลา ถึงจะทำงานกันคนละที่แต่การแต่งตัวยังไม่เปลี่ยนไปเลย"ล้อหม่อมฉันเล่นหรือเปล่าพะยะค่ะ มีหรือที่หนึ่งในอันดับราชวงศ์ที่มีความสามารถของพวกท่านจะพลั้งมือ หากบอกว่าเป็นความตั้งใจจะน่าเชื่อถือกว่าเลย""ใช่! ข้าจงใจทำเองเพราะหมั่นไส้ ไม่รู้จักหาของตัวเองหรือไงถึงได้มาแย่งของคนอื่น" ครอสเริ่มตีฝีปากทันทีเพราะยังไงก็ยอมรับไปแล้วว่าจงใจทำ ไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลอะไรทั้งนั้น ก็แค่อยากเห็นสีหน้าของราชวงศ์ที่กลัวจนตัวสั่นบ้างก็เท่านั้นเอง"ข้าจะชวนเจ้าไปวังหล
"จะไม่ให้ข้ามีปัญหาได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าเอาเด็กที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้ามาเป็นว่าที่จักรพรรดินีองค์ต่อไปได้อย่างไรกัน" หัวหน้าตระกูลริคไม่มีทีท่าว่าจะถอยให้กับผู้เป็นน้องสาวของเขาเลยแม้แต่ก้าวเดียว เรื่องราชวงศ์เป็นสิ่งสำคัญ ไหนจะเรื่องการมีทายาทอีก"หม่อมฉันรู้จักแม้กระทั่งตาของเด็กคนนี้ ท่านลุงยังมีปัญญาอะไรอีกหรือไม่ขอรับ" รัชทายาทเองก็ทนฟังไม่ไหวแล้วเหมือนกัน จะว่าใครก็ได้แต่ไม่ใช่กับกระรอกน้อยของเขา"หมายความว่ายังไงกันแน่"แกร๊ก!"หม่อมฉันขอเชิญดยุคริค ท่านจักรพรรดินี รัชทายาท คุณชายไวท์ ไปที่ห้องทำงานของท่านจักรพรรดิด้วย" มีเทนมาได้จังหวะสงบศึกสงครามน้ำลายของทั้งสามได้ทันเวลาพอดีจำเป็นที่จะต้องถกเถียงกันขนาดนี้ไหม บางทีถ้ายอมฟังกันก่อนเรื่องราวมันไม่น่าจะอลหม่านขนาดนี้นะ จักรพรรดินีหัวแข็งไม่ฟังใคร ดยุคริคก็ไม่ยอมอ่อนข้อ รัชทายาทก็ให้ท้ายจนไม่ลืมหูลืมตา จะบอกว่าเหมาะสมสำหรับการทะเลาะกันก็คงไม่แปลกเลยจริงๆ ถ้ามีเทนไม่มาห้ามไว้มีหวังได้มีสงครามมากกว่าน้ำลายแน่นอน แค่คิดก็ปวด
“ข้าไม่ใช่พี่ชายของท่าน ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรกัน” เสียงทุ้มนุ่มตอบพลางกางมือออกแล้วสับไม้ให้ขาดออกจากกันเป็นสองท่อน“ฝีมือของคุณชายริค สมบูรณ์แบบมากจริง ๆ ”“ขอบคุณสำหรับคำชม แต่ว่าอยากจะลองฝึกด้วยกันไหมล่ะขอรับ” เสียงทุ้มนุ่มถามหลังจากเห็นอีกคนมองด้วยความสนใจมานาน“น่าสนใจขอรับ ต้องเริ่มจากอะไรก่อน” เอิรล์ฟาร์ดอนไม่มีทางปฏิเสธคำชวนอยู่แล้ว เพราะหลังจากสังเกตดี ๆ ช่างเป็นอะไรที่ประหลาดและแตกต่างนักเอิรล์ฟาร์ดอนตั้งใจเรียนสิ่งที่อีกคนสอนอย่างตั้งใจ ถึงจะเข้าใจทั้งหมดแล้วลองทำตามแต่มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะต้องใช้พละกำลังที่มหาศาลและสมาธิสูงพอสมควร ดูด้วยตาเปล่ายังไม่สามารถทำตามได้ในทันที“จะทำยังไงต่อไปหรือพะยะค่ะ รัชทายาท” เมล์ถามทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้วว่าผู้เป็นนายกำลังหวงพระคู่หมั้นของตนเอง“หวังว่าจะผลัดกันแลกเปลี่ยนวิชาเฉย ๆ เพราะข้าผูกพันธะสัญญาเลือดกับไวท์แล้ว ถึงจะมาชอบยังไงคงจะไม่มีทางเป็นไปได้อีก เลิกหวังสิ่งที่ไม่มีทางเป็นไปได้เสียดีกว่า” เสียง
“อร่อยขอรับ รสชาติแตกต่างจากที่เคยกินมา” ใบหน้าของฟาร์ดอนบ่งบอกถึงความพอใจหลังชิมนมสดของคุณชายริค ไม่ได้โกหกเรื่องรสชาติ อร่อย กลมกล่อม ไม่เหมือนที่เคยกินมาเลย“ถ้างั้นจะลองช่วยกันทำขนมไหมครับ อยากได้คนช่วยนวดแป้ง”“ไม่มีปัญหาขอรับ งั้นให้ทำตรงไหนบ้าง”เสียงหัวเราะของทั้งสองคนระหว่างช่วยกันทำขนมดังพอสมควรจนกระทั่งเฟลิกซ์เดินผ่านมาเห็นพอดี เหมือนผู้เป็นนายของเขาจะมีเสน่ห์มากจนใครเห็นก็เอ็นดู แต่ว่าเอ็นดูอย่างเดียวก็พอ อย่ามีความรู้สึกอื่นเข้ามาด้วย“เจ้าไปตามไวท์มาดูเอกสารตรงนี้สิ คิดว่าน่าจะอยู่ห้องครัว”“พะยะค่ะ รัชทายาท”เมล์จะเดินมาเรียกคุณชายริคให้ไปหาแต่มาเห็นกำลังตั้งใจทำขนมเลยกลายเป็นไม่กล้าเรียกแล้วหยุดยืนรอจนกระทั่งเวลาผ่านไปสักพัก...“เมล์มีอะไรจะคุยกับผมหรือเปล่าครับ ยืนรอนานแล้วไม่ใช่เหรอ” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยทักโดยที่ยังคงพยายามผสมแป้งอยู่ด้านในครัว ทำให้ทุก
มือหนาเปิดซองจดหมายที่ข้ารับใช้คนสนิทของจักรพรรดินีส่งมาให้ ก็ได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วว่าสิ่งที่คู่หมั้นของตนเองต้องการคืออะไร เพราะว่าบางทีเขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ที่ผ่านมาการปกป้องอยู่ฝ่ายเดียวอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดี“เป็นยังไงบ้างพะยะค่ะ” เมล์ถามด้วยความเป็นห่วง“ข้ารู้แล้วว่าเรื่องอะไร เดี๋ยวจะไปขอโทษไวท์ในช่วงเช้าแล้วกัน”“ถ้างั้นพักผ่อนเถอะพะยะค่ะ ราตรีสวัสดิ์”แกร๊ก!แสงแดดส่องเข้าห้องนอนบ่งบอกถึงเวลาเย็นเพราะเป็นช่วงพระอาทิตย์ตกดิน เขาเริ่มจะชินกับการใช้ชีวิตแบบแวมไพร์ไปเสียแล้ว ถ้าจะตื่นแบบมนุษย์น่าจะใช้เวลาปรับตัวหลายวันอย่างแน่นอน“อรุณสวัสดิ์ขอรับ ท่านไวท์” เฟลิกซ์เอ่ยทักทายพลางเดินเข้ามาแล้วส่งผ้าขนหนูให้“นี่เป็นชาขาวขอรับ เชิญรับประทานก่อนจะไปอาบน้ำขอรับ” มือขาวรับชาจากถ้วยมาโดยไม่พูดอะไร“เดี๋ยวข้าจะไปเตรียมอาหารเช้าให้ขอรับ”
“เลือกของครบหรือยังกระรอกน้อย”“ครบแล้วครับ”“ถ้างั้นกลับกันเถอะ”“ไม่น่าเชื่อว่าจะได้เจอกันที่พะยะค่ะ รัชทายาท” สวิตเอ่ยทักทายพลางทำความเคารพ“ไม่ต้องมากพิธีลอร์ดสวิต ที่นี่ไม่ใช่ในวัง” เสียงทุ้มต่ำบอกก่อนที่จะมีคนสังเกตเห็น“ไม่ได้เห็นสิ่งนี้นานมากพะยะค่ะ เห็นทีหม่อมฉันจะต้องไปกระจายข่าวลือใหม่”“ข่าวลืออะไรครับ”“ก็ข่าวลือว่าเจ้ากับรัชทายาทมาเดินเที่ยวเล่นด้วยกันนอกวัง จะได้สยบข่าวลือว่าเจ้ากับรัชทายาทจะเลิกกันอย่างไรเล่าไวท์”“อะไรนะครับ” เสียงทุ้มนุ่มตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน มีข่าวแบบนี้ออกไปด้วยเหรอ“ไม่ต้องห่วงไปครับ ข้าจะไปทำให้มีข่าวลือใหม่เอง”“ไม่น่าจะต้องทำแบบนั้นหรอกครับ ดูวุ่นวายเปล่า ๆ ”“ไม่ได้หรอกครับคุณชาย
“ท่านพ่อกับท่านแม่คิดยังไงพะยะค่ะ” คลาสกลั้นใจถามออกมาหลังจากเล่าแผนการทั้งหมดให้ฟัง“สำหรับพ่อเห็นด้วยทุกอย่าง จัดการได้เลย” จักรพรรดิตอบพลางพยักหน้าเห็นด้วย เป็นวิธีที่ดีที่จะสยบข่าวทั้งหมดและทำให้หันความสนใจได้เป็นอย่างดี“แม่เองก็เห็นด้วย เรื่องนี้จะไม่เข้าไปยุ่งอย่างเด็ดขาดแล้วถึงเวลาจะมีการประกาศให้สามารถส่งคนที่จะเข้ามาเป็นคู่หมั้นให้กับลูกทั้งสองคนหลังจากจัดการเรื่องนั้นเรียบร้อย”“พะยะค่ะ ถ้าเช่นนั้นข้ากับน้องจะเริ่มแผนเลย”ฝาแฝดต่างคนต่างเดินทางไปยังเขตปกครองต่าง ๆ ที่มีแวมไพร์ส่งบุตรสาวและบุตรชายมาให้เลือกเป็นพระสนมรวมถึงคนที่หวังจะได้อำนาจที่ใหญ่โตขึ้น หลังจากเจอการต้อนรับขององค์ชายทั้งสองต่างพากันกรีดร้องโหยหวนแล้วรับปากว่าจะไม่ทำเรื่องแบบนี้อีกถึงจะมีการประกาศออกจากทางสำนักพระราชวังให้สามารถส่งคู่ครองมาให้เหล่าองค์ชายฝาแฝดเลือกได้แต่ก็ไม่มีใครส่งมาหาแม้แต่คนเดียว ทุกอย่างเป็นไปตามเกมของแฝดนรก เป็นปีกคู่ป้องกันการเข้าแ
“ถ้าลูกครึ่งเทพมังกรอย่างเจ้าลดยศข้าเช่นนี้ ไม่สู้ประหารข้าไปเลยดีกว่าเหรอ” ลอร์ดฟาร์ดอนตะโกนออกมาเหมือนคนตกใจจนทำตัวไม่ถูก ร่างสูงโปร่งค่อย ๆ เดินเข้ามาใกล้อีกฝ่ายแล้วกระซิบข้างหู“ให้มีชีวิตอยู่อย่างแวมไพร์ถูกลดขั้นเพราะลบหลู่ราชวงศ์มันน่าจะสะใจกว่าการให้หนีไปตายเสียอีก เจ้าถือยศเช่นนี้คงจะเจ็บปวดจนอยากจะตายให้ได้เลยใช่ไหมล่ะ”“แต่ว่า...อย่าเพิ่งรีบตาย ข้าเพิ่งจะเริ่มต้น”“อ๊าก!!!”หลังจากฟังคำพูดที่เหมือนเสียงกระซิบของปีศาจมากกว่าลูกครึ่งเทพมังกร ลอร์ดฟาร์ดอนก็ร้องขอความตายนับครั้งไม่ถ้วนเพราะไม่อยากถูกลงโทษเช่นนี้เหมือนกับคนอื่น ดยุคฟาร์ดอนเห็นสภาพของบุตรชายตนเอง เหล่าขุนนางและผู้สมรู้ร่วมคิดทั้งหมดแล้วก็ได้แต่เหงื่อตกลูกหลานของตาแก่น่ากลัวเหมือนตาแก่จริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินบทลงโทษ การพูดจา และการข่มขู่ให้กลัวแบบนั้น ไม่ผิดแน่นอน เด็กคนนี้คือลูกหลานของตาแก่“พอจะเข้าใจเหตุผลแล้วใช่ไหม ดยุคฟาร์ดอน&
“ท่านพ่อ ทำไมท่านถึงตบข้า”“เจ้าน่าจะถามตัวเองว่าทำไมถึงทำแบบนี้”แววตาของสองพ่อลูกจ้องกันเนิ่นนานเหมือนต่างคนต่างความคิดและไม่ลงรอยกัน คีย์ยืนดูเหตุการณ์อยู่เงียบ ๆ เพราะเขาก็อยากให้จัดการกันเองโดยที่ไม่ต้องเปลืองแรงเหมือนกัน“ทีนี้ องค์รัชทายาทจะตัดสินหม่อมฉันว่ายังไงพะยะค่ะ” ลอร์ดฟาร์ดอนถามพลางแสยะยิ้ม ถึงจะโทษประหารชีวิต เขาก็ไม่คิดที่จะสนใจอยู่แล้วเพราะว่าอย่างไรซะ ก็ไม่มีวันที่จะยอมรับลูกครึ่งเทพมังกรเป็นพระคู่หมั้นเคียงคู่เด็ดขาด“ข้าจะจับเจ้าเข้าคุกหลวงแล้วรอการตัดสินจากคู่หมั้นของข้า คนที่เจ้าเกลียดขี้หน้าจนไม่อยากจะยอมรับนั่นล่ะ”“จับตัวไป”“พะยะค่ะ” หลังสิ้นสุดคำตัดสินขององค์รัชทายาทเหล่าองค์รักษ์หน่วยพิเศษก็มาพากันจับตัวลูกชายคนโตของตระกูลออกไปรับโทษ“ทำแบบนี้ดีแล้วหรือพะยะค่ะ รัชทายาท” ดยุคฟาร์ดอนมองด้วยความสงสัย เพราะเหตุใดถึงให้พระคู่หมั้นตั
“จงเชื่อฟังข้า ช่วงนี้เข้าเรียนภายในวังของท่านพี่ อย่าดื้อ” คลาสบอกพลางจ้องใบหน้าหวานด้วยสีหน้าจริงจัง ถึงจะทำตัวเป็นลูกครึ่งเทพกับมังกรแต่ไม่ใช่ว่าที่จะมาเกรงกลัว“แต่ว่า...”“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น เจ้าจะต้องเชื่อฟังข้าเพราะท่านพี่ฝากฝังเจ้าไว้กับข้า”“ตอนไหน”“ตั้งแต่ตอนที่ท่านพี่ออกไปแล้ว นี่เจ้าไม่รู้ความหมายของท่านพี่งั้นรึ”ไวท์เถียงไม่ออกกับคำพูดของคลาส ถึงเขาจะอยู่ที่นี่มาเกินครึ่งปีแล้วแต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาไม่เข้าใจภาษาของที่นี่เลย บางอย่างก็ยังไม่สามารถปรับตัวได้อย่างที่อีกคนกล่าวมากจริง ๆคลาสเห็นไวท์เงียบผิดปกติเลยหันมามองหน้าใกล้มากกว่าเดิม คำพูดของเขาคงไปสะกิดใจเข้าแล้วหรือเปล่า แต่พูดเรื่องจริง ในอนาคตเด็กคนนี้คือจักรพรรดินี จำเป็นต้องเรียนรู้และเตรียมพร้อมสำหรับการขึ้นครองบัลลังค์ไปพร้อมกับพี่ชายของเขา เพราะพี่ชายเลือกที่จะไม่มีสนมก็ต้องช่วยกันทำงาน ลำพังฝั่งอาวุโสช่วยทำงานบริหารบ้านเม
“หมายถึงอะไร อย่าคุยอะไรที่พวกเจ้ารู้กันแค่สองคน” รัชทายาทบอกพลางส่ายหัวไปมา ทุกครั้งที่เห็นพฤติกรรมแบบนี้ของน้องชายฝาแฝด มันจะต้องมีอะไรแน่นอนเลย“ข้ากับครอสจะไปจัดการบุคคลที่ส่งรายชื่อมาหาท่านพี่ทั้งหมด แล้วไล่ตรวจสอบเรื่องที่มาของรายได้ทั้งหมด หากใครมีการทุจริตเกิดขึ้น จะไล่ส่งเรื่องเข้าทางสำนักพระราชวังให้สั่งขังให้หมดครับ”“ใช่แล้วท่านพี่คลาส เพราะว่าการทำแบบนี้เพราะหวังในอำนาจและจะต้องมีเบื้องหลังที่ไม่ดีอย่างแน่นอน ก็ไล่สั่งขังให้หมดที่มีความผิด ส่วนตระกูลไหนไม่มีความผิดก็จะเดินทางไปเยี่ยมให้ไม่มาวุ่นวายกับท่านพี่อีก”“เผด็จศึกทั้งทางที่ดีและไม่ดีสินะ หึ! เอาสิ ข้าอนุญาต”“ไม่ใช่นะครับท่านพี่ ข้าใจเย็นกว่าครอสแน่นอน แต่ก็ไม่คิดจะห้ามเช่นกัน”“ถ้างั้นเป็นอันตกลงแผนนี้ ระหว่างที่อยู่ที่นี่มาวางแผนกันเถอะ!”ทั้งสามคนเริ่มไล่รายชื่อตระกูลที่ส่งเอกสารบุตรสาวและบุตรชายมาให้เลือกเป็นพระสน