“น้องรู้เรื่องยาจีนพวกนี้ด้วยเหรอ”
“คือว่าตอนเรียนมหาลัยมีอาจารย์มาสอนก็ครูพักลักจำมานิดหน่อยค่ะ”
“คิดไม่ถึงว่าจะรู้มากถึงขนาดซื้อตำรับยาได้แต่ว่ายานั่นก็ทำให้อาเซียงลดอาการแพ้ท้องลงไปได้จริง ๆ นะครับคุณแม่ อาเซียงยังบอกว่าดื่มยาทุกคืนก่อนนอนแล้วเหมือนหลับสนิทไปเลยตื่นเช้ามาก็สดชื่นไม่น่าเชื่อว่าจะมาจากอาหลิน”
“ลองชิมขนมสิ น้องทำเองเลยนะเอาไว้รอต้อนรับลูกกลับบ้าน”
รุ่ยถิงนั่งนิ่งราวกับเป็นอากาศ หว่านเจินเองก็ไม่ต่างกันเมื่อทุกคนหันความสนใจไปที่ขนมและชารสเลิศที่ลู่เหม่ยหลินเป็นคนสรรหามาให้
“จริงสิ พี่ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้อาหลินจะชอบอะไร พี่ก็เลยซื้อสร้อยมุกมาให้”
“โอ้โหพี่รองได้สร้อยมุกเลยเหรอคะ”
รุ่งอิงเผลอตัวพูดออกไปด้วยความน้อยใจซึ่งสำหรับเธอแล้วสร้อยมุกนั่นมันสวยมากและน่าจะดีกว่าลูกคิดที่เธอได้รับ
“พี่รองคะ เมื่อกี้พี่บอกว่าลูกคิดของพี่เริ่มพังแล้ว ถ้าอย่างนั้นพี่เอาสร้อยมุกนั่นมาแลกกับลูกคิดอันนี้ของฉันดีไหมคะ”
เหม่ยหลินหันมาที่พี่ใหญ่ก่อนที่จะหันไปที่สายตาละโมบของรุ่ยถิงที่กำลังมองกล่องไข่มุกของเธอซึ่งเป็นของขวัญที่เย่าหยางตั้งใจซื้อมาให้ เหม่ยหลินปิดฝากล่องลงพร้อมกับความตกใจของรุ่ยถิง
“อาถิง พี่ใหญ่ซื้ออุปกรณ์การเรียนรู้ให้เหมาะสมกับสิ่งที่เธอจะได้รับแล้ว ทำไมถึงได้เสียมารยาทเอาของที่ผู้ใหญ่ให้มาขอแลกกับคนอื่นแบบนี้ ไม่มีมารยาทเลย”
รุ่ยถิงพึ่งคิดได้ว่าเธอพลาดอีกแล้ว พลาดแบบโง่ ๆ เพราะความละโมบตรงหน้าเมื่อเห็นสร้อยไข่มุกที่เย่าหยางให้กับเหม่ยหลิน เมื่อหันไปมองสายตาที่ผิดหวังของเย่าหยางเธอก็เริ่มรู้สึกผิดและร้องไห้ออกมา
“ฉันก็แค่... เห็นว่าสร้อยนั่นมันสวยและพี่รองเองก็มีสร้อยแบบนั้นตั้งเยอะ ก็เลย....”
“อาถิง…อย่าร้องนะลูก เหม่ยหลินไม่พูดแรงไปหน่อยเหรอน้องก็แค่อยากได้เพราะเริ่มโตเป็นสาวแล้วก็เลยชอบของสวยงามเท่านั้น แค่สร้อยเส้นเดียวก็ให้น้องไม่ได้ แล้งน้ำใจจริง ๆ”
“เป็นเพราะแม่เล็กสั่งสอนอาถิงแบบนี้ยังไงล่ะถึงได้อยากได้ในสิ่งที่ไม่ควรเป็นของตัวเอง อยากได้อะไรก็ต้องได้อย่างนั้นเหรอ ถึงจะเป็นลูกคนเล็กแต่จะเอาแต่ใจแบบนี้ไม่ได้นะนี่ก็เรียนมหาลัยแล้วควรจะโตได้แล้ว ไม่ใช่เห็นอะไรของใครก็อยากได้อยากมีไปหมด คนอื่นมาเห็นเข้าจะบอกว่าที่บ้านไม่สั่งสอน”
“นี่…”
“พอแล้ว อาหยางกลับมาเหนื่อย ๆ เอาของไปเก็บแล้วพักผ่อนสักหน่อยเถอะ อีกเจ็ดวันก็จะถึงงานหมั้นของอาหลินแล้วคงจะต้องขอแรงช่วยงานอีกเยอะเลย”
“ครับพ่อ จริงสิอาหลินขนมนี่อร่อยมาก ๆ เลยไม่หวานมากแล้วยังเข้ากับชามากด้วยพี่ชอบมาก ขอบใจนะ”
“ค่ะ พ่อคะบ่ายนี้พ่อจะไปที่ร้านใช่ไหมคะ”
“อ้อ ใช่ ๆ มีอะไร”
“คือว่า… เบิกลูกคิดอันใหม่มาให้หนูได้ไหมคะ”
“ฮือ…”
รุ่ยถิงลุกขึ้นร้องไห้และวิ่งออกไปจากห้องรับแขกท่ามกลางความตกใจของคนทั้งบ้าน แม่ใหญ่อย่างฟางหยงได้แต่ส่ายหน้า หว่านเจินวิ่งตามลูกสาวออกไป พ่อของเธอครั้งนี้ก็ไม่ได้เห็นด้วยกับสิ่งที่รุ่ยถิงทำหรือแม้แต่เย่าหยางก็ยังแปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
หากเป็นก่อนหน้านี้อาการแบบนี้ต้องเป็นเหม่ยหลินที่แสดงออกมาไม่ใช่รุ่ยถิง แต่เมื่อหันมามองเหม่ยหลินที่ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเพียงชั่วพริบตา ท่าทางและการพูดไม่ต่างกับผู้มีความรู้และผู้ดี เพราะเธอเพียงแค่ยกชาขึ้นมาจิบเงียบ ๆ เท่านั้น ซึ่งนี่มันแตกต่างจากที่เขาเคยพบ
“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย”
สามวันก่อนงานหมั้น
บ้านตระกูลลู่ตกแต่งอย่างสวยงามเพราะกำลังจะมีงานใหญ่เกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ทุกคนต่างก็เร่งจัดของให้เข้าที่เข้าทางส่วนว่าที่เจ้าสาวนั้นยังคงง่วนอยู่กับการตรวจบัญชีให้พ่อกับพี่ชายของเธอ ก่อนจะลงมาแช่น้ำอุ่นและขัดผิวตามคำสั่งของแม่ซึ่งพยายามลากเธอออกมาจากโต๊ะบัญชี ตั้งแต่เย่าหยางกลับมาสองพี่น้องก็เอาแต่หัวชนกันและยุ่งกับการตรวจสอบบัญชีในร้านให้คุณพ่อ
“ไปเถอะเดี๋ยวแม่ก็ได้เอ็ดอีกหรอก ยังเหลืออีกนิดเดียวเดี๋ยวพี่ทำเอง”
“วุ่นวายจริง ๆ กับอีแค่งานไม่กี่ชั่วโมง”
“อาหลิน ไม่ใช่ว่าน้องชอบหมอเฉินมากไม่ใช่เหรอ”
“ชอบแล้วมันเกี่ยวกับการหมั้นด้วยเหรอคะ ยังไม่ทันได้ทำอะไรเลยก็เอาปลอกคอมาสวม ไม่คุ้มเลย”
“อะไรนะ”
“ก็การหมั้นกับการแต่งงานนี่น่ะสิคะ มันต่างกับการเอาปลอกคอมาสวมที่ไหนกัน ไม่มีอิสระเลย”
“ทำไมคิดแบบนั้นล่ะ ถ้างั้นพี่ก็เหมือนลูกหมาที่ถูกอาเซียงเอาปลอกคอมาสวมให้งั้นเหรอ”
“ไม่ใช่แบบนั้นนะคะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะพูดถึงพี่กับพี่สะใภ้แบบนั้น”
“พี่รู้ แต่พี่แค่รู้สึกแปลกใจว่าทำไมจู่ ๆ น้องถึงไม่อยากหมั้นขึ้นมาล่ะเกิดอะไรขึ้นเหรอ”
“ก็แค่ค้นพบว่านอกจากคุณชายเฉินหน้าตายนั่นแล้วยังมีอย่างอื่นที่สนุกให้ทำมากกว่าน่ะสิคะเลยไม่อยากหมั้น แต่ว่าฉันก็บอกไปแล้วนะคะว่าถ้าไปกันไม่ได้ก็จะขอถอนหมั้น”
“อะไรนะ”
“อาหลิน!! แม่เรียกกี่รอบแล้วต้องให้มาลากตัวด้วยตัวเองเลยเหรอ ไปเลยเร็ว ๆ เข้าเหลือเวลาไม่นานแล้ว”
เหม่ยหลินกลอกตาไปมาให้กับพี่ชายก่อนจะยอมให้แม่ของเธอลากไปขัดตัว เย่าหยางถึงกับยิ้มออกมาเมื่อเห็นความเปลี่ยนไปของน้องสาวคนนี้เพราะเดิมทีเขาเองก็ไม่ชอบที่น้องสาวแสดงท่าทางชอบผู้ชายตระกูลเฉินจนออกนอกหน้าแบบนั้นเหมือนกัน
หนึ่งวันก่อนงานหมั้น
“ตายจริงขอบตาฉันคล้ำน่าดูเลย”
“ก็คุณหนูไม่ยอมพักผ่อน ดึก ๆ ดื่น ๆ ยังมานั่งคิดบัญชี เช้ามาก็เอาแต่ขลุกอยู่ในครัวนี่คะ”
“พูดมากจริง ๆ อาหงเดี๋ยวนี้ชักจะเหมือนคุณแม่เข้าไปทุกทีแล้ว เอาแต่บ่นเดี๋ยวก็แก่เร็วหรอก”
“แต่พรุ่งนี้งานหมั้นจะเริ่มแล้วนะคะ ชุดก็ส่งมาแล้ว”
“ช่างเถอะ ๆ อยากจะนอนพักสักหน่อยอย่าให้ใครมากวนนะ”
“ค่ะ”
อาหงเดินออกไปจากห้องแล้วเหม่ยหลินจึงเดินไปล็อกประตูก่อนจะเดินกลับมาที่ห้อง เหม่ยหลินที่อ่อนเพลียทิ้งตัวลงนอนไม่นานก็หลับไปเพราะเธอแช่น้ำอยู่นาน คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะมาอยู่ในร่างนี้ได้เกือบสามเดือนแล้วและพรุ่งนี้ก็เป็นวันสำคัญ หากเจ้าของร่างเดิมยังอยู่เธอคงจะดีใจมากแต่ไม่ใช่ลู่เหม่ยหลินคนนี้แน่
งานหมั้น
แขกของทั้งสองฝ่ายเริ่มทยอยเข้ามาในงานตั้งแต่เช้า ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นญาติของทั้งสองฝ่ายซึ่งเป็นเหล่าข้าราชการระดับสูงและกลุ่มพ่อค้ารายใหญ่ในเมือง ตอนนี้ลู่เหม่ยหลินเองก็กำลังแต่งตัวอยู่ในห้องเจ้าสาวส่วนพ่อกับแม่ของเธอช่วยกันรับแขกอยู่ข้างล่างเพื่อรอฝั่งเจ้าบ่าวมาที่งาน
“คุณคะ นี่มันกี่โมงแล้วทำไมต้าเว่ยยังมาไม่ถึงอีก”
แม่ของต้าเว่ยหันไปมองนายพลเฉินที่ยืนนิ่งและมองหรี่ตาไปที่ประตูของตระกูลลู่ เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าทำไมลูกชายถึงได้มาช้าทั้ง ๆ ที่บอกกำหนดการอย่างชัดเจนไปแล้ว ตอนนี้แขกในงานเริ่มหันไปมองหาเจ้าบ่าวและเจ้าสาวแล้ว
“คุณคะเอายังไงดีคะ” / แม่ลู่
“ไปพาอาหลินลงมาเถอะ” / พ่อลู่
คนที่แอบยืนหัวเราะอยู่ด้านหลังเป็นสองแม่ลูก หว่านเจินและรุ่ยถิงที่ดีใจเมื่อเห็นว่าคุณชายรองเฉินไม่สนใจงานหมั้นครั้งนี้
“เป็นไปตามอย่างที่แม่คิดจริง ๆ คุณชายรองคนนั้นคงไม่อยากหมั้นกับเหม่ยหลินเป็นแน่”
“แม่คะคุณชายรองเฉินคนนั้นหล่อมากเลยเหรอทำไมพี่รองถึงได้อยากแต่งงานกับเขาจนตัวสั่นขนาดนั้น นี่ถ้าเจ้าบ่าวไม่มาคงน่าเกลียดแย่เลยนะคะ”
เหม่ยหลินนั่งรออยู่นิ่ง ๆ ท่ามกลางเสียงซุบซิบของแขกในงาน พี่ชายของเธอเดินเข้ามาจับมือเธอเอาไว้เมื่อใกล้ถึงเวลาฤกษ์สวมแหวนแต่กลับไร้เงาเจ้าบ่าว
“อาหลิน”
“คะพี่ใหญ่ เขาไม่มาแล้วเหรอคะ”
“คือว่า…”
เหม่ยหลินคิดในใจว่าหากเขาไม่มาในวันนี้เธอก็จะได้เป็นอิสระทันทีโดยไม่ต้องมีคำว่าคู่หมั้นมาผูกมัด ผู้คนเริ่มคุยกันเสียงดังขึ้น พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายเริ่มอยู่ไม่เป็นสุข
“ได้เสียหน้ากันยกใหญ่แน่ละสิงานนี้” / หว่านเจิน
“คุณแม่คะหนูรู้สึกสะใจยังไงก็ไม่รู้คะ น่าสมเพชนะคะอยากแต่งกับเขาจนต้องยกเงื่อนไขช่วยกองทัพมาผูกมัดสุดท้ายเขาก็….”
“รถเจ้าบ่าวมาแล้ว!!”
เจ้าสาวในชุดกี่เพ้าเต็มรูปแบบพิธีการสีแดงค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับแขกในงานที่รีบหันไปดูก่อนที่เฉินหยวนลี่จะเดินมาเปิดประตูให้กับเจ้าบ่าวลงมาจากรถทันทีที่หมอเฉินในชุดสูทสีดำเนคไทแดงติดเข็มกลัดเจ้าบ่าวกางเกงสีดำเดินลงมาก็สะกดทุกสายตาให้หันไปมองโดยเฉพาะ “ลู่รุ่ยถิง” ที่ตกตะลึงกับความหล่อของว่าที่พี่เขยในทันที“แม่… นั่นคือ”“หมอเฉินยังไงล่ะ เฉินต้าเว่ยคุณชายรองตระกูลเฉิน”“เขาหล่อจังเลย ที่จริงแล้วหนูก็แต่งกับเขาได้ใช่ไหมคะถ้าพี่รองยอมเพราะตามธรรมเนียมแล้วผู้ชายมีเมียหลายคนได้ไม่ใช่เรื่องแปลก”“จะบ้าเหรอคิดอะไรแบบนั้น”“ก็…. หนูว่าเขาดูดีออกนี่คะอีกอย่างเขาเป็นถึงคุณหมอและตระกูลเฉินก็ยังเป็นตระกูลทหารที่เก่าแก่มีชื่อเสียง”“อยากเป็นเมียน้อยเหมือนแม่เหรอ แกเลิกคิดเรื่องบ้า ๆ นี้ไปได้เลยแม่ไม่มีทางยอมให้แกเป็นเบี้ยล่างนังลูกเมียใหญ่นั่นอีกหรอก”แต่ลู่รุ่ยถิงกลับไม่ได้คิดแบบนั้น เธอไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนที่น่ามองและมีเสน่ห์เท่ากับเฉินต้าเว่ยมาก่อนเลย เขาทั้งดูดี หล่อและดูเป็นผู้ใหญ่ เมื่อหยวนลี่ยื่นช่อดอกไม้ให้เฉินต้าเว่ยก็เดินเข้าไปข้างในตรงที่โต๊ะพิธีหมั้นที่มีเจ้าสาวของเขานั่งอยู่วัน
รุ่ยถิงหน้าชาเหมือนกับถูกลากมาตบจนไม่มีความรู้สึก เธอแทบจะควบคุมสติไม่อยู่เมื่อนายพลเฉินและภรรยาเดินไปขึ้นรถโดยมีเหม่ยหลินและพ่อกับแม่เดินไปส่ง พี่ใหญ่เย่าหยางหันมามองเธอด้วยสายตาที่เคยใช้กับเหม่ยหลินมาก่อน สายตาของความโมโหและสมเพช“พี่คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะทำตัวแบบนี้ในวันสำคัญ อาถิงเธอโตแล้วนะการที่จะพูดอะไรควรจะคิดให้มากกว่านี้ แม่เล็กครับถ้าครั้งหน้ายังมีเหตุการณ์แบบนี้อีกระวังนะครับว่าพวกคุณจะไม่ได้อะไรจากตระกูลลู่เลยแม้แต่อย่างเดียว”“พี่ใหญ่ลำเอียง พี่ใหญ่เข้าข้างแต่พี่รอง”เขาได้ยินคำแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว แต่ครั้งนี้แค่เปลี่ยนจากเหม่ยหลินกลายเป็นรุ่ยถิงแทน“อาถิงลองกลับเอาไปคิดดูว่าสิ่งที่คุณพ่อลงโทษไป สิ่งที่พี่พูดผิดหรือเปล่า อีกอย่างคุณนายเฉินก็เป็นคนพูดออกมาแล้วเรื่องนี้ยังขายหน้าไม่พออีกเหรอ แม่เล็กพาเธอกลับไปสงบสติอารมณ์เถอะครับ เรื่องการลงโทษคุณพ่อคงจะสั่งไปทีหลังช่วงนี้ก็งดมาที่ตึกใหญ่สักพักเถอะครับ”“อาหยาง คือว่าน้องยังเด็กอย่าถือสาแกเลย”“เธออายุยี่สิบสองแล้วนะครับ เรียนเกือบจะจบมหาลัยถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว ถ้าแม่เล็กยังเอาแต่เหตุผลนี้มาอ้างผมว่าคนที่จะเดือดร้อนใ
เฉินต้าเว่ยเดินมาพร้อมกับแฟ้มในมือและใบหน้าที่ค่อนข้างบูดบึ้งนิดหน่อยเมื่อเดินเข้ามาหาเธอและโจเซฟที่กำลังจะเดินไปที่โต๊ะของเจ้าหน้าที่“คุณหมอเฉิน เอ่อ…. พี่ต้าเว่ย”“ต้าเว่ย คุณคือคุณหมอเฉินต้าเว่ย ผมโจเซฟหมอคนใหม่ที่จะมารายงานตัว”ต้าเว่ยหันมามองที่ฝรั่งตัวโตข้าง ๆ เธอ ที่ยื่นมือมาจับมือกับเขาก่อนจะถามไถ่อีกฝ่ายด้วยความดีใจด้วยภาษาอังกฤษเช่นกัน“คุณโจเซฟ ยินดีมากครับผมคิดว่าคุณจะมาถึงอีกสองวันข้างหน้าเสียอีก ไม่คิดว่าจะมาถึงก่อนกำหนด”“โอ้ว ผมคิดพิเรนทร์นิดหน่อยน่ะสิก็เลยเดินเล่นมาเรื่อย ๆ จนหลงทาง โชคดีที่เจอไมลี่ย์ระหว่างทางเธอเลยอาสามาส่งเธอน่ารักมาก ๆ ว่าแต่พวกคุณรู้จักกันมาก่อนเหรอครับ”“คือว่าตอนนี้คุณก็ได้พบกับคุณหมอแล้ว ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวก่อนนะคะหมอโจว”“โอ้ ขอบใจมากไมลี่ย์”โจเซฟไม่รั้งรอเขายื่นมือออกไปให้เธอจับ เหม่ยหลินจับมือเขาก่อนที่จะหันไปมองต้าเว่ยที่มองเธอด้วยความตกใจเพราะเขาไม่คิดว่าเธอจะพูดภาษาอังกฤษได้คล่องถึงขนาดนี้“คือว่าออกมานานแล้ว ตอนนี้ทิ้งอาหงไว้ถ้าอย่างนั้น…”“คุณรอผมอยู่นี่เดี๋ยวผมมา นั่งรอตรงนั้นอย่าไปไหนเดี๋ยวผมจะเดินไปส่ง”“แต่ว่าฉันมากับอาหง”“ผมบอ
วันถัดมา “พอแล้วอาหง อันนี้ไม่เอาเยอะเกินไป อันนี้ก็ใหญ่ไป สวมสร้อยคอเล็ก ๆ ก็พอนี่มันงานเลี้ยงในบ้านนะ”“แต่ว่าคุณนายบอกว่าให้คุณหนูสวมเครื่องเพชรชุดนี้นะคะจะได้ไม่น้อยหน้าคนอื่น”“แค่ชุดขนเฟลอร์นี่ก็หนักจะตายอยู่แล้วอย่าเอาอะไรมาสวมให้มากเลย เอาต่างหูคู่เก่ามา”“แต่ชุดนี้เคยใส่ไปแล้วนะคะ”“ใส่แล้วก็ใส่ได้อีกทำไมล่ะ มันเบาที่สุดแล้ว”ไม่นานเสียงแตรรถยนต์ก็ดังขึ้นมาจากหน้าบ้าน รถของเฉินต้าเว่ยค่อย ๆ ขับเข้ามาในบ้านเพื่อมารับเธอตามเวลานัด ที่จริงต้องบอกว่าวันนี้เขามาถึงก่อนเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง“ตานี่ก็รีบเกินไปแล้วนี่มันยังไม่ถึงเวลาสักหน่อย เร็ว ๆ เข้าอาหงกระเป๋าฉันล่ะ กล่องนั่นด้วยอย่าลืมยกไป”“ได้ค่ะ ๆ”เหม่ยหลินส่องกระจกตรวจดูความเรียบร้อยก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป อาหงเดินไปเปิดประตูและเดินตามเธอลงไป หมอเฉินนั่งรออยู่ที่โซฟาชั้นล่างเมื่อเธอเดินลงมาเขาก็เหมือนตกอยู่ในภวังค์อีกครั้ง ดูเหมือนว่าคู่หมั้นของเขาจะสวยขึ้นในทุก ๆ ครั้งที่พบเธอ หรืออาจจะเป็นเพราะท่าทางที่นิ่งและดูสง่างามผิดกับเมื่อก่อนละมั้ง เธอเองก็มองมาที่เขาแล้วรู้สึกวูบวาบขึ้นมาที่หัวใจเหมือนกัน คุณหมอในชุดสูทสีดำเรี
เฉินต้าเว่ยหันมามองคุณย่าของเขา แม้ว่าจะเป็นหลานชายแต่เมื่อถูกเขามองเช่นนี้คุณย่าโจก็แอบหลบตาไปเหมือนกัน“จริงสิซีอิ๋งมาพอดีเลย ย่ากำลังจะดูของขวัญที่ตระกูลลู่นำมาให้หนูมานั่งใกล้ ๆ ย่าก่อนสิ ทักทายพี่เขาหน่อย”“หลิวซีอิ๋ง” หันมายิ้มให้กับเฉินต้าเว่ยและทักทายทันทีแม้ว่าเธอจะแอบเห็นว่าเขาจับมือกับลู่เหม่ยหลินอยู่ก็ตาม“สวัสดีค่ะพี่เว่ย ขอโทษทีนะคะที่ซีอิ๋งมาช้าพอดีว่าพึ่งจะกลับมาจากมหาลัยแต่คิดถึงคุณย่ามากไปหน่อยก็เลยเผลอเสียมารยาทไป สวัสดีค่ะคุณคือ….”“สวัสดีค่ะลู่เหม่ยหลินค่ะ”“สวัสดีค่ะคุณลู่ คุณย่าคะวันนี้ซีอิ๋งนำของขวัญมาให้คุณย่าด้วยเปิดได้เลยนะคะ”“โอ้ว แค่มาก็ดีแล้วยังจะลำบากหาของขวัญมาเอาใจคนแก่อีกเด็กคนนี้นี่ ไหน ๆ เอามา ๆ”“คุณย่าเปิดเลยนะคะ”“อะไรนะ จะดีเหรอให้เปิดเลยเหรอ”“เปิดเลยสิคะซีอิ๋งอยากให้คุณย่าดีใจค่ะ ซีอิ๋งตั้งใจเลือกมาด้วยตัวเองเลยนะคะ”“ได้สิ มา ๆ เปิดเลยก็แล้วกัน”ทุกคนต่างก็ลุ้นว่าสิ่งที่เธอนำมาเป็นของขวัญให้กับคุณย่าโจคืออะไรเมื่อเปิดออกมาก็พบว่ามันคือผ้าคลุมขนมิ้งค์ที่หายากและมีราคาค่อนข้างสูงแต่เรื่องความสวยงามแล้วไม่มีใครจะปฏิเสธได้จริง ๆ สิ่งนี้เรียกเสีย
คนในงานเริ่มหันมามองหน้าหลิวซีอิ๋งที่นั่งทำหน้าตกใจและนิ่งงันไปเพราะเธอไม่เคยคิดว่าคนอย่างต้าเว่ยจะกล้าดุเธอต่อหน้าแขกในงานเลี้ยงแบบนี้ และไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเมื่อเธอหันไปมองที่คุณย่าซึ่งตอนนี้เอาแต่สนใจเพียงกล่องของขวัญของเหม่ยหลินก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกเสียหน้ามากกว่าเดิม“พี่เว่ย… หมายความว่ายังไงคะที่ของขวัญของน้องที่มอบให้คุณย่าจะเป็นอันตราย”“คุณบอกว่าคุณเป็นห่วงคุณย่าแต่กลับมอบผ้าคลุมขนสัตว์มาให้ คุณไม่รู้เหรอว่าคุณย่าเป็นโรคภูมิแพ้ขนสัตว์ทุกประเภท แค่ได้กลิ่นหรือจับก็จะจามไม่หยุดจนอาจจะทำให้อาการกำเริบจนหัวใจวายได้”หลิวซีอิ๋งเบิกตากว้างเพราะตกใจเมื่อต้าเว่ยพูดจบ คนในงานเริ่มกระซิบกระซาบอีกครั้ง นายพลเฉินและแม่เฉินรีบเดินเข้ามาจับแขนลูกชายเอาไว้เพื่อให้เขาสงบอารมณ์ ส่วนย่าโจตอนนี้เอาแต่ดมยาดมที่เหม่ยหลินให้เพื่อบรรเทาอาการวิงเวียนเมื่อได้กลิ่นเสื้อคลุม แต่ที่ย่าโจไม่พูดออกมาเพราะไม่อยากให้ตระกูลหลิวและซีอิ๋งเสียหน้า“คือว่า… ซีอิ๋งคิดว่า…มันเหมาะกับคุณย่า”“ปากคุณบอกว่าเป็นห่วงคุณย่า คิดถึงจนทนไม่ไหวเดินพรวดพราดเข้ามาโดยไม่มีมารยาทและมอบสิ่งที่คุณย่าแพ้อย่างเสื้อขนสัตว์นี้มาให้
“พี่เว่ย…”ต้าเว่ยเดินเข้าไปข้างในแล้วโดยไม่ได้รอ เขารู้สึกหงุดหงิดกับซีอิ๋งมาสองสามครั้งแล้วในคืนนี้โดยเฉพาะตอนที่เธอพยายามหักหน้าคู่หมั้นเขาต่อหน้าคุณย่าและแขกในงานเลี้ยง“คุณย่าครับ”“อ้าวต้าเว่ยมาแล้วเหรอ แล้วซีอิ๋งล่ะ”“คุณย่ามีอะไรเหรอครับทำไมให้คนไปเรียกผมมา”“คือว่าย่าน่ะไม่อยากให้เราโกรธซีอิ๋งมาก เธอยังเด็กก็เลยไม่รู้ว่าชุดนั่นจะทำให้ย่าแพ้ อย่าไปถือสาน้องเลยนะ”“ที่คุณย่าเรียกผมมาเพราะเรื่องนี้เหรอครับ”“ก็ใช่ ย่ารู้ว่าหลานหมั้นหมายกับเหม่ยหลินไปแล้วแต่หลานก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าผู้ชายก็สามารถมีภรรยาหลายคน…”“คุณย่าครับ ตอนนี้ผมไม่อยากคุยเรื่องนี้”“ต้าเว่ย ย่าก็แค่อยากจะพูดแค่นี้ทำไมต้องโกรธด้วยล่ะ”“ถ้าวันนี้คนที่มอบชุดขนสัตว์ให้คุณย่าเป็นลู่เหม่ยหลิน คุณย่าจะรู้สึกยังไงครับ”“ย่า….”“คุณย่าคงโกรธจนอยากจะไล่เธอออกจากงานเลี้ยงเลยสินะครับ แต่เพราะวันนี้คนที่ให้เป็นหลิวซีอิ๋ง คุณย่าเลยไม่โกรธและพยายามกดอาการจามของตัวเองเอาไว้ สุดท้ายก็ได้ยาดมที่เหม่ยหลินเอามาให้ช่วยแก้สถานการณ์”“ต้าเว่ยคือว่าย่าไม่ได้...” “ถามว่าทำไมผมต้องโกรธนั่นเพาะผมเป็นหมอและรู้ดีว่าอาการของคุณย่าเป็นยังไง จ
ครั้งนี้กลายเป็นซีอิ๋งที่นั่งนิ่งและกำหมัดแน่นและมองไปที่เหม่ยหลินพร้อมกับยิ้มให้ ส่วนเหม่ยหลินก็หันมายิ้มเย็น ๆ ตอบกลับไปเช่นกัน เธอไม่ลาพ่อแม่ของตระกูลหลิวเพราะคิดว่าในเมื่อพวกเขาไม่ให้เกียรติเธอ ตัวเธอก็ไม่จำเป็นจะต้องให้เกียรติคนพวกนี้เช่นกัน เมื่อเดินออกมาข้างนอกต้าเว่ยจึงรีบดึงมือเธอเอาไว้“อาหลินเดี๋ยวก่อนสิ”แต่อารมณ์ของเธอตอนนี้ไม่อยากทำอะไรนอกจากกลับบ้านและไปพักผ่อน คืนนี้เธอเหนื่อยมากแล้วจริง ๆ ที่ต้องมาที่นี่และรับมือกับหลาย ๆ คน แม้ว่าจะมีเขาคอยช่วยแต่เธอไม่รู้ว่าตัวเองจะทนกับเรื่องจอมปลอมนี้ได้อีกนานแค่ไหน“มีอะไรคะคุณหมอ”“เมื่อกี้คุณยังเรียกว่าพี่ต้าเว่ยอยู่เลย ตอนนี้เรียกผมคุณหมออีกแล้วงั้นเหรอ”“แล้วตกลงมีอะไรคะ”“คือผมกับซีอิ๋งเราสองคนไม่ได้มีอะไรกันนะ ซีอิ๋งแค่สนิทกับคุณย่าและพ่อของเธอก็เป็น…”“ช่างเถอะค่ะ คุณก็ไม่ได้ทำอะไรที่ผิดต่อฉันสักหน่อย รีบพาฉันกลับบ้านเถอะค่ะคืนนี้ฉันเหนื่อยแล้วจริง ๆ”เธอเบือนหน้าหลบเขาอีกครั้ง ต้าเว่ยรู้ว่าเธอคงจะเหนื่อยมากจริง ๆ ที่ต้องมาพบกับหลาย ๆ คนที่นี่ในคืนนี้ ที่จริงแล้วเขาค่อนข้างชื่นชมที่เธอรับมือคุณย่าของเขาได้อย่างอยู่หมัดซึ่ง