ครั้งนี้กลายเป็นซีอิ๋งที่นั่งนิ่งและกำหมัดแน่นและมองไปที่เหม่ยหลินพร้อมกับยิ้มให้ ส่วนเหม่ยหลินก็หันมายิ้มเย็น ๆ ตอบกลับไปเช่นกัน เธอไม่ลาพ่อแม่ของตระกูลหลิวเพราะคิดว่าในเมื่อพวกเขาไม่ให้เกียรติเธอ ตัวเธอก็ไม่จำเป็นจะต้องให้เกียรติคนพวกนี้เช่นกัน เมื่อเดินออกมาข้างนอกต้าเว่ยจึงรีบดึงมือเธอเอาไว้“อาหลินเดี๋ยวก่อนสิ”แต่อารมณ์ของเธอตอนนี้ไม่อยากทำอะไรนอกจากกลับบ้านและไปพักผ่อน คืนนี้เธอเหนื่อยมากแล้วจริง ๆ ที่ต้องมาที่นี่และรับมือกับหลาย ๆ คน แม้ว่าจะมีเขาคอยช่วยแต่เธอไม่รู้ว่าตัวเองจะทนกับเรื่องจอมปลอมนี้ได้อีกนานแค่ไหน“มีอะไรคะคุณหมอ”“เมื่อกี้คุณยังเรียกว่าพี่ต้าเว่ยอยู่เลย ตอนนี้เรียกผมคุณหมออีกแล้วงั้นเหรอ”“แล้วตกลงมีอะไรคะ”“คือผมกับซีอิ๋งเราสองคนไม่ได้มีอะไรกันนะ ซีอิ๋งแค่สนิทกับคุณย่าและพ่อของเธอก็เป็น…”“ช่างเถอะค่ะ คุณก็ไม่ได้ทำอะไรที่ผิดต่อฉันสักหน่อย รีบพาฉันกลับบ้านเถอะค่ะคืนนี้ฉันเหนื่อยแล้วจริง ๆ”เธอเบือนหน้าหลบเขาอีกครั้ง ต้าเว่ยรู้ว่าเธอคงจะเหนื่อยมากจริง ๆ ที่ต้องมาพบกับหลาย ๆ คนที่นี่ในคืนนี้ ที่จริงแล้วเขาค่อนข้างชื่นชมที่เธอรับมือคุณย่าของเขาได้อย่างอยู่หมัดซึ่ง
“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แต่ว่ายังไงก็หมั้นหมายกันแล้วนะ เท่าที่พี่ดูอาการของเขาดูจะกังวลใจมากเลยยังไงก็ค่อย ๆ คุยกันนะดูแล้วหมอเฉินคงจะสนใจความรู้สึกเราไม่น้อยเลยล่ะ”“อะไรกันเรื่องแค่นี้ก็ต้องไปคุยกับพี่ใหญ่ด้วย”“พี่ไปแล้วนะขอบใจมากสำหรับชาและขนมที่ฝากไปให้อาเซียง”“เดินทางปลอดภัยนะคะ”เย่าหยางขึ้นเรือไปแล้วส่วนเหม่ยหลินก็นั่งรถกลับบ้านไปพร้อม ๆ กับพ่อแม่ของเธอ ตั้งแต่คืนที่ต้าเว่ยมาส่งเธอที่บ้านในวันนั้นเขาก็ไม่เคยมาหาเธออีกเลย แม้ว่าจะมีโทรมาบ้างแต่เธอก็ไม่ได้รับสายเขา“ลูกกับต้าเว่ยทะเลาะกันเหรอ”“เปล่านี่คะคุณแม่คิดมากไปแล้ว”“แล้วทำไมไม่ยอมรับสายพี่เขาล่ะ นี่ครั้งที่สองแล้วที่พี่เขาโทรมาหาแต่หนูเอาแต่หนี”“ไม่ได้หนีสักหน่อย บัญชีที่ร้านยังคิดไม่เสร็จแม่ก็รู้ว่าตั้งแต่พี่ใหญ่กลับไปก็ยุ่งมากขนาดไหน”“แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะหลบหน้า...”“กริ๊ง……”เสียงโทรศัพท์ในบ้านดังขึ้น เหม่ยหลินจึงรีบวิ่งออกจากบ้านทันที“แม่คะลืมไปเลยว่าหนูจะไปซื้อของกับอาหงไปก่อนนะคะ”“เดี๋ยวสิ ลูกคนนี้นี่”แต่เมื่อแม่ของเธอรับสายกลับเป็นเพื่อนของคุณแม่ที่ไม่ได้เจอกันนานแล้ว เหม่ยหลินเดินออกมาพร้อมกับชวนอาหงขี่จักรยานไ
“มันสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอคะ”เมื่อเขาเริ่มพูดแบบนี้ เธอก็หวนกลับไปนึกถึงเรื่องในวันก่อนขึ้นมาได้วันที่เขาจูบเธอในรถคืนนั้น ยิ่งคิดขึ้นมาตอนนี้หน้าเธอก็เริ่มร้อนผ่าวและใจก็เริ่มเต้นแรงเมื่อคุณหมอเริ่มก้มลงมาใกล้เรื่อย ๆ“คุณกำลังคิดอะไรอยู่”“เปล่าค่ะ ไม่ได้คิดอะไร”“งั้นก็เรียกเสียทีสิ เรียกให้คุ้นเคยเพราะจากนี้เราจะต้องออกงานด้วยกันบ่อย ๆ คุณจะเรียกผมว่าคุณหมอ หรือหมอเฉินตลอดเวลาแบบนี้คนอื่นคงฟังดูแปลก ๆ”“ก็ไม่เห็นจะต้องสนใจคนอื่นเลยนี่คะ”“แล้วคุณไม่สนใจพ่อแม่ของคุณเหรอ”การเอาพ่อแม่มาอ้างทำให้เหม่ยหลินรู้สึกเหมือนถูกชกใต้เข็มขัดเพราะคนในยุคนี้ยังเน้นเรื่องความกตัญญูและเคารพผู้ใหญ่ในบ้าน หากว่าเรื่องไหนทำแล้วจะเสียหน้าพ่อแม่คนที่เป็นลูกก็จะเลี่ยงที่จะไม่ทำ“อาหลิน”“ก็ได้ค่ะ ต่อไปฉันจะเรียกคุณว่า “พี่ต้าเว่ย” ก็ได้”“ทำไมไม่เรียกว่าพี่เว่ยเฉย ๆ ล่ะ”“ก็ฉันไม่อยากเรียกเหมือนกับที่ซีอิ๋งเรียกคุณ”เหม่ยหลินรีบหยุดทันที เธอเผลอพูดออกไปเองเสียแล้วว่าไม่ชอบที่ซีอิ๋งเรียกเขาแบบนั้นก็เลยไม่อยากเรียกเขาว่าพี่เว่ยตามที่เขาขอ คนที่ยืนอยู่แทบจะกลั้นยิ้มเพราะดีใจไม่ได้ เขาคิดว่าเธอจะไม่ได้คิดอะไ
เมื่อถึงห้องตรวจของเขาก็รีบวางเธอลงก่อนจะหันไปปิดประตูห้องด้วยเสียงที่ดังกว่าปกติ เหม่ยหลินยังไม่กล้ามองหน้าเขาจนถึงตอนนี้ เธอแค่แวะทักทายหมอโจวซึ่งเขาเองก็รู้จักแต่ก็เข้าใจที่เขาโมโหเพราะว่าเธอเป็นคู่หมั้นของต้าเว่ย“นี่ยาของคุณ กินตามเวลาที่ระบุเอาไว้”“แล้วของอาหงละคะ แล้วฉันต้องไปจ่ายค่ารักษาที่ไหน”“ผมจัดการให้เรียบร้อยแล้วเรื่องนั้นไม่ต้องถามมาก จากนี้ไปก็พักอยู่แต่ที่บ้านจนกว่าข้อเท้าจะหายดีแล้วอย่าออกมาเดินเพ่นพ่านข้างนอกหาเรื่องเจ็บตัวอีก”“เดินเพ่นพ่าน ฉันไม่ใช่ลูกแมวสักหน่อย เอาแต่พูดแบบนี้อยู่ได้”“ลู่เหม่ยหลิน! นี่ยังไม่สำนึกอีกงั้นเหรอ”เธอเองก็เริ่มโมโหขึ้นบ้างแล้วเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีทีท่าว่าจะดุลดลงเลยทั้ง ๆ ที่เธอยังไม่ทันได้ทำอะไรที่เสื่อมเสียหรือผิดกับเขาเลยด้วยซ้ำ“คุณหมอคะ ฉันว่าคุณระงับอารมณ์เอาไว้สักหน่อยเถอะค่ะ ฉันกับหมอโจวก็แค่ทักทายตามประสาคนรู้จักกันแค่นี้คงไม่ถึงกับทำให้สองตระกูลเสื่อมเสียหรอกมั้งคะ”“นี่คุณว่าอะไรนะ”เธอพูดผิดไปเสียแล้ว คิดว่าตอนนี้เขาจะต้องการความจริงงั้นเหรอ ต้าเว่ยกำลังโกรธที่เธอยืนคุยกับหมอโจวไม่ได้เกี่ยวว่าเธอจะทำเรื่องเสื่อมเสีย
“กินข้าวเหรอคะ”“ใช่ คุณพึ่งพูดอยู่ไม่ใช่เหรอว่ายานี้กินแล้วก็ต้องรีบกินข้าวไปเถอะผมจะไปเอารถเข็นมาให้”“ฉันเดินไปเอง…. ก็ได้ค่ะรอรถเข็นก็ได้รบกวนด้วยนะคะ”เมื่อหันไปเห็นสายตาดุของเขาเธอก็เลิกเถียงทันทีเพราะไม่อยากถูกเขารังแกอีก แม้ว่าจะเริ่มปรับตัวได้อยู่บ้างแล้วแต่ก็ยังไม่ชินกับการที่เขาทำแบบนี้อยู่ตลอดเวลา รถเข็นพร้อมกับเจ้าหน้าที่มาถึงแล้วแต่เมื่อเขาพยุงเธอนั่งก็หันกลับไปบอกเจ้าหน้าที่ที่เข็นรถมาให้เธอ“เดี๋ยวผมจัดการเองขอบคุณมาก”“ครับคุณหมอ”เขายกถุงยามาวางที่ตักของเธอก่อนจะค่อย ๆ เข็นรถของเหม่ยหลินไปที่ลานจอดรถด้านหลังซึ่งมีรถของเขาจอดอยู่ เมื่อเขาเปิดรถและค่อย ๆ พยุงเธอไปนั่งก็เข็นรถไปคืนที่ลานจอดด้านหน้าและกลับมาขับรถให้เธอเพื่อพาไปทานข้าวภัตตาคารหลัวหลิงเมื่อมาถึงที่ร้านอาหารหรูซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลของเขานัก คุณหมอเฉินค่อย ๆ พยุงเธอเดินเข้าไปในร้านซึ่งไม่ใหญ่มากแต่บรรยากาศดี“สองที่ครับ”“เชิญทางนี้เลยค่ะ”“คุณเดินไหวหรือเปล่า”“ไหวค่ะสบายมาก”เขาค่อย ๆ พยุงเธอไปนั่งโต๊ะที่ไม่ไกลจากทางเดินมากและเริ่มดึงโต๊ะให้เธอนั่ง เมื่อทั้งสองเริ่มสั่งอาหารเหม่ยหลินจึงเริ่มรู้สึกหิ
พ่อแม่ของเหม่ยหลินแอบยิ้มก่อนที่พ่อลู่จะเป็นคนบอกเขาเอง และเมื่อเห็นว่าต้าเว่ยที่อุ้มเหม่ยหลินขึ้นไปที่ห้องด้วยตัวเองก็ทำให้ทั้งคู่หันมามองด้วยความคิดเดียวกัน“ตอนที่ผมได้ยินคุณบอกทางโทรศัพท์ก็ไม่เชื่อจนได้มาเห็นกับตา”“นั่นสิคะ ตอนนี้ดูเหมือนว่าต้าเว่ยจะเป็นฝ่ายตามอาหลินเสียมากกว่าด้วยค่ะ ฉันรับสายของต้าเว่ยที่โทรมาจนไม่อยากรับแล้วเพราะลูกเอาแต่หลบเลี่ยงเขา จากนี้คงไม่ทำแบบนั้นแล้ว”“ก็ยังดีที่ไปได้ดีละนะ”“แล้วเรื่องยาที่จะส่งให้กองทัพละคะ”“เฮ้อ นี่แหละที่ยังน่าเป็นห่วง เรือสินค้าติดมรสุมมาตามกำหนดเดิมไม่ได้หากว่าพายุยังไม่สงบคงจะล่าช้าไปอีกนานเลยผมเลยต้องลงไปด้วยตัวเอง ยังไงก็ฝากคุณดูแลที่บ้านด้วยนะผมคงไปหลายวัน”“ได้ค่ะคุณไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ถึงยังไงเรื่องข้อตกลงกับกองทัพก็คงไม่น่าห่วงแล้ว ตอนนี้ค่อย ๆ คิดเถอะค่ะ”“อืม”ห้องของเหม่ยหลิน เมื่อเขาอุ้มเธอเข้ามาในห้องก็ค่อย ๆ วางเธอลงที่เตียงก่อนจะรับกระเป๋ายาจากสาวใช้ที่เดินตามมาส่งก่อนที่คุณแม่ของเธอจะแวะมาบอกลาเขา“ถ้าอย่างนั้นที่เหลือน้าก็ฝากด้วยนะต้าเว่ย”“ครับคุณน้าไปพักผ่อนเถอะครับ”ฟางหยงเดินออกจากห้องของเหม่ยหลินไป เมื่อประ
เมื่อเห็นเขายิ้มออกมาเธอก็พอใจเพราะระหว่างทางแม้จะชวนคุยหลายเรื่องแต่ต้าเว่ยก็เอาแต่ถามคำตอบคำจนเหม่ยหลินจับสังเกตได้ว่าเขายังไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก แต่เมื่อเห็นกล่องข้าวที่เธอยื่นให้สีหน้าของต้าเว่ยก็เริ่มดีขึ้น“พูดมากจริง ๆ เที่ยงตรงมาที่ห้องห้ามสายนะ”“ได้ค่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันไปนะคะแล้วเจอกันตอนเที่ยง”“อืม รีบไปเถอะ”เธอเดินไปที่ตึกข้าง ๆ ซึ่งมีไว้สำหรับสอนนักศึกษาแพทย์ฝึกหัด วันแรกในการทำงานหมอโจวที่ได้เหม่ยหลินมาช่วยสอนเรื่องเกี่ยวกับสมุนไพรเขาพบว่าเธอมีความสามารถสูงกว่าที่คิด นอกจากจะให้ความรู้นักศึกษาแพทย์ได้แล้วยังช่วยเขาในเรื่องการสื่อสารกับนักศึกษาด้วยเช่นกัน“ไมลี่ย์ คุณเป็นผู้หญิงที่มหัศจรรย์มาก ผมล่ะอิจฉาหมอเฉินจริง ๆ”“อย่าพูดให้เขาได้ยินเชียวนะคะ”“ทำไมล่ะ นี่ถ้าคุณไม่ใช่คู่หมั้นของหมอเฉินผมคงจะตามจีบคุณแล้ว”“ล้อเล่นแล้วค่ะหมอโจว ขอตัวก่อนนะคะจะเที่ยงแล้ว”“อ้าว คุณไม่ไปกินข้าวกับผมหรอกเหรอคิดว่าจะเลี้ยงข้าวคุณสักหน่อย”“คือว่าฉันนัดกับหมอเฉินเอาไว้น่ะค่ะ”“แบบนี้นี่เอง งั้นผมไม่รบกวนเวลาของพวกคุณแล้ว อ้อจริงสิไมลี่ย์ ผมว่าความสามารถของคุณมีมากกว่านี้ น่าเสียดายมากที่จ
“พูดอะไรคะเนี่ย ถ้ารู้สึกไม่ยุติธรรมก็หึงให้มันน้อย ๆ ลงหน่อยสิคะ”“ทำได้ที่ไหนกันล่ะ ยิ่งคุณอยู่ใกล้ ๆ แบบนี้ยิ่ง…”“พี่ต้าเว่ย หมอโจวเขาเป็นเพื่อนร่วมงานของคุณนะคะ”“แต่ผมไม่ชอบให้เขาอยู่ใกล้ ๆ คุณ ผมหวง”เธอยกมือที่ยังสวมแหวนหมั้นของเขาอยู่ในมือ เขามองก่อนจะดึงมาจูบเบา ๆ“แหวนนี่ยังทำให้คุณมั่นใจไม่พอเหรอคะ”“เฮ้อ… ไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องกลายมาเป็นคนแบบนี้”“พอแล้วค่ะ ฉันจะไปที่ตึกเรียนแล้ว”“เดี๋ยวสิยังไม่ถึงเวลาเลย ขออีกนิดนะ”ต้าเว่ยยังไม่ยอมปล่อยเธอ โดยปกติที่เธอเห็นเขาอยู่ที่โรงพยาบาล หมอเฉินคนนี้มักจะมีสีหน้าเคร่งขรึมและดูจริงจังในเวลาทำงาน แม้แต่ตอนที่คุยกับคนไข้หรือพยาบาลในโรงพยาบาลเขาก็ทำหน้านิ่ง ๆ แต่ทำไมเวลาอยู่กับเธอเขาดูไม่ต่างจากน้องชายคนเล็กที่เอาแต่ตามพี่สาว หรือมองดี ๆ ก็ไม่ต่างกับลูกสุนัขที่ติดเจ้าของ“พี่ต้าเว่ยคะ”“ก็ได้ ๆ คุณเลิกงานสี่โมงเย็นใช่ไหม เสร็จงานแล้วก็มานั่งรอผมในห้องนะเดี๋ยวจะพาไปส่งที่บ้าน”“รับทราบค่ะ ไปนะคะ”“ก็ได้”ดูท่าหมอเฉินจะกลายเป็นเด็กไปแล้วจริง ๆ เหม่ยหลินใช้วิธีสุดท้าย เธอยืดตัวขึ้นหอมแก้มเขาก่อนจะเดินออกประตูไป คนตัวโตตกใจจนลืมดึงเธอเอาไว
“เอาศักดิ์ศรีของพลโทอย่างผมเป็นประกันว่าชาตินี้ผมจะรักและดูแลคุณเพียงคนเดียวตลอดไป”จิ่งเหยาเดินไปพร้อมกับดึงเขาเข้ามาจูบท่ามกลางแสงดาวนอกระเบียง หยวนลี่ที่กำลังตกใจอยู่ถึงกับถลึงตาและเมื่อปรับตัวได้ก็ดึงเธอเข้ามาและจูบรับกลับไปด้วยความปรารถนาที่รุนแรงกว่าจนอีกฝ่ายเกือบหายใจไม่ออก“อื้อ พอก่อนค่ะฉันหายใจไม่ทัน”“แต่คุณเริ่มก่อนนะครับ”“รู้แล้วค่ะ ไม่คิดเลยว่าคนปากแข็งเก็บความรู้สึกอย่างคุณจะจูบเก่งไม่เบาเลย เคยจูบใครมาก่อนเหรอคะ”“ผม! เปล่านะ”“เงียบแล้วค่อย ๆ จูบฉันอีกทีเถอะค่ะ”ตอนนี้หยวนลี่ที่ดึงจิ่งเหยาเข้ามากอดเอาไว้ค่อย ๆ คลี่ยิ้มที่มีเสน่ห์ของเขาให้กับเธอก่อนที่จะค่อย ๆ ก้มลงจูบเธออีกครั้ง ระเบียงไร้ผู้คนในตอนนี้เป็นสถานที่ที่ดีสำหรับบอกรักของทั้งคู่ อีกทั้งเสียงเพลงด้านในก็เริ่มดังขึ้นอีกครั้ง“เมื่อกี้นี้คุณหนีออกมาก่อนดังนั้น เรามาเต้นรำกันให้จบเพลงดีหรือเปล่าครับ”“ด้วยความยินดีค่ะ”เสียงเพลงที่คลอมาจากห้องโถงงานเลี้ยงและฟลอร์โล่งริมระเบียงท่ามกลางแสงจันทร์ช่างเป็นบรรยากาศที่พิเศษและแสนโรแมนติกไม่ต่างไปกับคู่แต่งงานใหม่ที่กำลังถูกส่งขึ้นห้องส่งตัวในตอนนี้ห้องส่งตัว“เมื่อย
งานเลี้ยงช่วงค่ำ งานเลี้ยงฉลองสมรสของทั้งคู่ถูกจัดขึ้นอีกครั้งในช่วงตอนเย็น คู่บ่าวสาวเป็นคนเปิดฟลอร์เต้นรำซึ่งครั้งนี้ต้าเว่ยรู้สึกว่าเหม่ยหลินเต้นรำเก่งขึ้นและไม่เหยียบเท้าเขาจนนึกสงสัย“ทำไมคุณเต้นเก่งกว่าตอนที่ผมเจอครั้งแรกเสียอีก หรือว่าคุณแอบไปฝึกมาเหรอ”“ฉันโตขึ้นแล้วนี่คะ จะให้เต้นพลาดและเหยียบเท้าคู่เต้นตลอดแบบนั้นแล้วใครจะอยากมาขอเต้นรำล่ะคะ”ต้าเว่ยรู้สึกฉุนเล็กน้อยเมื่อเธอพูดออกมาเช่นนี้ เธอแต่งงานกับเขาแล้วยังกล้าที่จะให้คนอื่นขอเต้นรำอีกงั้นเหรอ“คุณนายเฉิน คุณแต่งงานกับผมแล้วจากนี้คู่เต้นรำของคุณมีแค่ผมคนเดียวไม่อนุญาตให้ตอบรับคนอื่นอีกเข้าใจไหม”“ขี้หึงจนถึงตอนนี้เลยนะคะ แล้วถ้าพี่หยวนลี่ พี่ใหญ่ คุณพ่อละคะ คุณก็หึงพวกเขาด้วยเหรอ”“คุณเล่นไม้นี้อีกแล้วนะ ทำไมถึงได้หาเหตุผลมาโต้แย้งจนผมเถียงไม่ได้เก่งจริง ๆ”“ฉันไม่ได้หาข้อโต้แย้งนะคะ แค่พูดไปตามความเป็นจริงเท่านั้น”ต้าเว่ยดึงเจ้าสาวเข้ามากอดจนแน่นพร้อมกับจังหวะเพลงที่เริ่มเปลี่ยนไป เหม่ยหลินรีบดันตัวเขาออกไปนิด ๆ ก่อนจะรีบพูดออกมา“อย่าทำอะไรประเจิดประเจ้อเหมือนตอนเช้าอีกนะคะฉันอายคนอื่น”“อายทำไมกัน วันนี้วันสำคัญขอ
“ต้าเว่ย… คนชอบทวงสัญญา”“อย่าเสียเวลาเลยน่า อีกสามวันก็จะเข้าพิธีแต่งงานแล้วครั้งนี้ผมจัดเตรียมแหวนแต่งงานให้คุณด้วยตัวเองรับรองว่าไม่พลาดเหมือนงานหมั้นแน่”“ก็ลองพลาดดูอีกสักครั้งสิคะ หากพลาดอีกฉันก็จะหนีงานแต่งเลย”“แน่ใจเหรอว่าจะหนีผมได้”“อ๊ะ คนบ้า…”เตียงอุ่น ๆ ที่รอทั้งคู่อยู่ในห้องเริ่มได้ใช้การอีกครั้งหลังจากที่ได้หยุดพักไปสองคืนช่วงที่เหม่ยหลินป่วยอยู่ สัมผัสรักของทั้งคู่อบอุ่นและเร่าร้อนขึ้นเรื่อย ๆ จนว่าที่เจ้าสาวอย่างเหม่ยหลินต้องเอ่ยเตือนเพื่อไม่ให้ว่าที่เจ้าบ่าวคลั่งรักอย่างต้าเว่ยเผลอทำรอย เพราะเธอไม่อยากขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าสาวที่มีรอยแดงตามตัวในวันแต่งงานวันถัดมา “คุณย่าครับผมกลับมาแล้ว”“อาลี่เจ้าตัวดี มานี่สิมาให้ย่าดูหน้าหน่อย”หยวนลี่วิ่งเข้ามากอดคุณย่าแน่นพร้อมกับออดอ้อนตามประสาหลานชายคนเล็ก“คิดถึงคุณย่ามาก ๆ เลยครับ”เหม่ยหลินที่เดินออกมารับซูจิ่งเหยา เมื่อเธอเห็นเหม่ยหลินก็รีบวิ่งเข้ามากอดเพราะที่นี่นอกจากเฉินหยวนลี่แล้วเธอก็ไม่รู้จักใครนอกจากเหม่ยหลินกับต้าเว่ย“จริงสิครับคุณย่าครั้งนี้ผมพาว่าที่คู่หมั้นของผมมาด้วย”“หา อะไรนะว่าที่… นี่หลาน…”เหม่ยหลินค่อย
“ทำไมคุณชอบกลายร่างอยู่เรื่อยเลยล่ะคะ แต่วันนี้ฉันคงช่วยคุณไม่ไหวจริง ๆ ค่ะฉันรู้สึกเพลียมาก ๆ เลย"“เป็นอะไรหรือเปล่า หรือว่าจะไม่ค่อยสบายไหนมาตรวจดูหน่อยสิ”ต้าเว่ยค่อย ๆ ใช้หน้าผากอังไปที่หน้าผากของเธอ เขารู้สึกว่าเหม่ยหลินตัวรุม ๆ อยู่นิดหน่อยจึงจัดยาแก้ไข้ให้เธอกินก่อนจะพาเธอไปนอนพัก“พักผ่อนเถอะวันนี้คุณคงเหนื่อยมากเพราะคุณแม่กับพี่ใหญ่พึ่งมา ผมไม่อยากให้คุณคิดมากเรื่องที่คุยกับพี่ใหญ่ลู่ในวันนี้ ผมเป็นสามีของคุณถึงยังไงก็ไม่อยากให้คุณต้องเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องนี้มาคิดจนป่วยไข้”“ค่ะ ฉันรู้ค่ะ แต่ว่า… คุณว่าฉันใจร้ายเกินไปไหมคะ”ที่แท้เธอก็เครียดเรื่องนี้ แม้ว่าเหม่ยหลินจะดูเป็นคนใจแข็งและใจร้ายแต่ในใจลึก ๆ เธอก็ยังนึกเป็นห่วง แต่นั่นก็อย่างที่เธอตัดสินใจบอกพี่ใหญ่ไปว่าหากช่วยครั้งที่หนึ่งก็จะมีครั้งอื่น ๆ ตามมาทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้สองคนนั้นกลัวที่จะต้องรับภาระหนี้สินของตระกูลลู่จนขอแยกทางออกไป“ไม่หรอก คุณทำถูกต้องที่สุดแล้ว สิ่งที่คุณพูดในวันนี้ไม่ผิดเลยสักอย่างเดียวตั้งแต่ต้นจนจบ ครั้งนั้นผมจำได้ว่าผมเป็นคนถามว่าทำไมคุณถึงยอมให้เงินพวกเธอ คุณบอกว่าถึงยังไงก็เป็นลูกพ่อเดียวกัน
“พี่ต้าเว่ย! ทำไมกล้าพูดแบบนี้ต่อหน้าพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้นะ ไม่รู้จักอาย”“อายครูไม่รู้วิชา อายภรรยาก็ไร้บุตรสืบสกุลคนโบราณว่าไว้จริงไหมครับพี่ใหญ่”“หึหึ คุณหมอผมไม่คิดว่าคุณเองก็จะรีบร้อน”“แหมผมจะสามสิบแล้วนะครับ แย่จริงชวนคุยนานเลยอาหลินพาพวกพี่ใหญ่กับคุณแม่ไปพักผ่อนก่อนดีไหม”“ไปกันก่อนเถอะ แม่จะอยู่คุยกับคุณย่าและแม่เฉินสักหน่อย”“งั้นพี่สะใภ้ใหญ่เราไปกันดีกว่าค่ะ ฉันมีเรื่องจะถามพวกพี่เยอะเลยพาอาอี้ไปนอนก่อน”“จ้ะ อาหยางคะ”“ครับ ๆ”เย่าหยางค่อย ๆ ยกของใช้ของทารกไปก่อนที่หลี่เซียงจะอุ้มเผิงอี้ไปที่ตึกหลัง เมื่อพี่เลี้ยงของเผิงอี้รับเอาเจ้าตัวเล็กไปนอนพวกเขาก็ออกมานั่งคุยกันที่ห้องรับแขกในตึกเล็กที่ตอนนี้เป็นที่พักของทั้งสี่คน“ตอนแรกที่อาหยางมาบอกว่าจะเปิดร้านยาฉันก็นึกกลัวค่ะ กลัวว่าจะทำเงินทุนก้อนใหญ่เสียเปล่าแต่คิดไม่ถึงว่าจะไปได้ดีเกินกว่าที่คาด ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณอาหลินจริง ๆ ตอนนี้ทางคุณพ่อแทบจะไม่ได้มาช่วยที่ร้านขายผ้าเลยค่ะ”“ดีแล้วค่ะ แล้วมากันหมดแบบนี้ใครอยู่เฝ้าร้านให้ล่ะคะ คุณพ่อหลี่เหรอคะ”“ใช่ค่ะ ตอนนี้คุณพ่อจ่ายยาและเรียนรู้จากคนของเถ้าแก่หม่าจนขายคล่องแล้วค่ะ ท่า
“มะ ไม่นะทำไมคุณใจร้ายแบบนี้ ฉันจะ อ๊าา…ฉัน…อ๊าา ตาเว่ย!!”เขาจับเธอพลิกไปมาจนพอใจ กว่าเธอจะได้พักก็พบว่าตะวันตกดินไปแล้ว ต้าเว่ยไม่เคยละเว้นการลงโทษเธอได้เลยยิ่งหมอกงยืนยันว่าทำเรื่องแบบนี้ได้เขายิ่งหาเรื่องทำโทษเธอไม่หยุด แม้ว่าจะอ่อนโยนลงแต่ก็ยังใช้เวลาเกือบเท่าเดิมและบางครั้งก็นานกว่าเดิมจนเธอหมดแรงทำอะไรต่อไม่ได้จริง ๆ“ฉันเกลียดคุณแล้ว ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณ”“กล้าเกลียดสามีตัวเองแบบนี้น่าจะโดนอีกสักรอบนะ”“ไปให้พ้นเลยคนบ้า โอ๊ย…เอวฉัน”แต่สุดท้ายก็เป็นต้าเว่ยที่ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่น ๆ มาประคบนวดให้เธอตามหลัง เหม่ยหลินปฏิเสธไม่ได้เลยว่าต้าเว่ยดูแลเธอดีมาก เขามักจะนวดฝ่าเท้าให้เธอเป็นประจำเพราะรู้ว่าเธอเริ่มลงน้ำหนักที่เท้าเยอะและเริ่มปวดเมื่อย ดังนั้นฝ่ามือที่น้ำหนักพอดีของเขาจึงทำให้เธอโกรธเขาไม่ลง“หิวไหมครับคุณภรรยา”“อือ หิวค่ะแต่ลุกไม่ไหวแล้ว”“ไม่เป็นไรเดี๋ยวผมยกขึ้นมาให้กินที่นี่”“ไม่ได้นะคะเสียมารยาท คนอื่นก็กินที่โต๊ะกันหมดเกรงใจคุณย่า”“ไม่เป็นไรหรอกคุณเก็บแรงเอาไว้ดีกว่าอีกสามวันคุณแม่กับพี่ใหญ่ลู่จะมาถึงแล้ว”“จริงด้วยฉันเกือบลืมเรื่องนี้ไปเลยค่ะ ฉันเตรียมของรับขวัญหลานเอ
ต้าเว่ยและเหม่ยหลินหันมามองคุณย่า เขาจึงพาเหม่ยหลินนั่งคุกเข่าตรงหน้าและคำนับให้คุณย่าเพื่อเป็นการขอบคุณ“ขอบคุณครับคุณย่า”“อืม ดีแล้ว ๆ อาหลิน เรื่องที่ย่าเลอะเลือนไปก่อนหน้านี้ ย่า…”“คุณย่าคะ ทุกการกระทำของคุณย่าล้วนเกิดจากความรักและห่วงใยต่อพี่ต้าเว่ย ฉันไม่นับว่านั่นเป็นสิ่งที่เลอะเลือนหรอกนะคะ คุณย่าอย่าคิดมากอีกเลยนะคะไม่อย่างนั้นจะอดกินชาอร่อย ๆ นะคะ”“ยัยเด็กคนนี้ จนถึงตอนนี้ก็ยังเอาแต่ขู่และมีข้อต่อรองกับฉัน”“ก็คุณย่ามาต่อรองเรื่องลูกกับหนูก่อนนี่คะ”“ดูสิ เรื่องแบบนี้ถ้าต้าเว่ยไม่ร่วมมือจะมีขึ้นมาได้เหรอ เจ้าหลานตัวแสบนี่ก็แรงไม่เบาเลยนะ เผลอแป๊บเดียวก็จะมีลูกแล้ว”“คุณย่าครับ ผมเป็นทั้งหมอและทหารนะครับก็ต้องแข็งแรงเป็นธรรมดาสิครับ”“หึ แข็งแรงงั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นให้ฉันหาเมียให้แกเพิ่มอีกสักคนดีไหมจะได้มาช่วยอาหลินเลี้ยงลูก”“คุณย่าครับ!! แค่หลิวซีอิ๋งยังปวดหัวไม่พอเหรอครับไม่เอาแล้วครับหากพูดอีกเมียผมคงให้ผมนอนนอกห้องแน่ ๆ คืนนี้ ผมรักอาหลินคนเดียวไม่คิดจะมีเมียหลายคนหรอกครับ”“หึหึ นับว่ายังมีความคิด เมียที่ดีอย่างอาหลินน่ะต่อให้หาอีกสามชาติก็คงไม่เจอคนที่ดีแบบนี้หรอก
เมื่อกระเป๋าหนังสีน้ำตาลเข้มถูกเปิดออกทุกคนก็หันไปมองทันที ในนั้นมีเอกสารและยาตัวอย่างที่เคยให้ไว้กับกองทัพอยู่ซึ่งเอกสารนี้นายพลเฉินเองก็ได้รับเช่นกัน“นี่คือเอกสารและรายละเอียดเกี่ยวกับยาที่ฉันและคุณหม่าเซินผู้ผลิตยาเป็นผู้ส่งให้กองทัพพิจารณา สารวัตรเชิญตรวจสอบดูได้เลยค่ะ นี่เป็นรายชื่อยาทั้งหมดและสรรพคุณที่แจ้งโดยละเอียดพร้อมวิธีการใช้งานที่ระบุชัดเจนว่าเป็นยากิน ดื่ม หรือใช้ทาภายนอก บอกวันที่ผลิตและวันหมดอายุก่อนส่งมอบให้กองทัพค่ะสารวัตรเส้าหยิบเอกสารปึกใหญ่ที่เหม่ยหลินยื่นให้ดู และรายละเอียดทั้งหมดก็ถูกแนบมาตามที่เธอบอกอย่างครบถ้วน ตัวอย่างยาแต่ละชนิดก็อยู่ในมือของเขา"เอกสารฉบับนี้เถ้าแก่หม่าส่งมอบให้นายพลเฉินอีกหนึ่งฉบับคุณสามารถเรียกดูจากกองทัพได้เลยเพราะกองทัพเซ็นรับและปั๊มตราประทับเรียบร้อยแล้ว ที่สำคัญก็คือสารวัตรสามารถดูจากสายตาตอนนี้ได้เลยว่ายาของฉันกับยาที่ตระกูลเหวินส่งไปที่กองทัพ เป็นคนละอย่าง คนละตัวยาคนละขนาดและคนละคุณภาพกันเลยค่ะ”คุณนายหลิวทำสีหน้าล่องลอยอย่างประหลาดเมื่อเหม่ยหลินพูดจนจบ เอกสารของเหม่ยหลินเป็นสิ่งที่ทำให้คุณนายหลิวเถียงไม่ออกเพราะมันละเอียดและยังม
“คุณพ่อ!!”นายพันหลิวเดินมาพร้อมกับนายพลเฉินที่พูดจบและเดินเข้ามาในบ้าน คุณนายหลิวเมื่อเห็นหน้าสามีก็ถึงกับตกใจเพราะไม่คิดว่าเรื่องนี้นายพันหลิวจะรู้เรื่องเพราะเธอไม่เคยบอกเขา“ทำไม ตกใจงั้นเหรอที่เห็นหน้าผม ก่อนหน้านี้คุณทำเรื่องอะไรไว้บ้างยังให้ผมต้องพูดอีกไหม มีอะไรอยากจะพูดอีก”“คุณคะ มันไม่ใช่...”“ไม่ใช่อะไร!! ถ้านายพลเฉินไม่มาบอกผมด้วยตัวเองผมก็คงไม่รู้ว่าคุณทำเรื่องสารเลวอะไรลับหลังผมไปบ้าง”“คุณคะ นี่มันก็แค่เด็ก ๆ ทะเลาะกัน”“สารวัตร ผมเอาตัวคนขับรถมาด้วย เซี่ยเหมินแกพูดไป”คนขับรถเดินออกมาจากด้านหลัง หลิวซีอิ๋งหมดหนทางแก้ตัวเมื่อคนขับที่เธอเป็นคนออกคำสั่งมาที่นี่ด้วย เมื่อเขาเดินออกมามองหน้าคุณนายหลิวก็เกิดกลัวจนตัวห่อ“พูดไปเถอะ ฉันรับรองได้ว่าหากแกสารภาพฉันจะไม่เอาผิดแกเพราะสิ่งที่แกทำเพราะได้รับคำสั่ง”“ครับท่านนายพัน คือวันนั้นผมไปรับคุณหนูกลับมาจากห้างสรรพสินค้า คุณหนูหันไปเห็นคุณหนูลู่กับสาวใช้ของเธอขี่จักรยานอยู่ริมทางเธอเลยสั่งให้ผมพุ่งเข้าไปเฉี่ยวชนพวกเธอ เดิมทีอยากให้พวกเธอ… ถูกชนและตกสระน้ำในสวนสาธารณะแต่ว่าผม… กลัวว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ก็เลยแกล้งเฉี่ยวโดนล้อของจักร