“พูดอะไรคะเนี่ย ถ้ารู้สึกไม่ยุติธรรมก็หึงให้มันน้อย ๆ ลงหน่อยสิคะ”“ทำได้ที่ไหนกันล่ะ ยิ่งคุณอยู่ใกล้ ๆ แบบนี้ยิ่ง…”“พี่ต้าเว่ย หมอโจวเขาเป็นเพื่อนร่วมงานของคุณนะคะ”“แต่ผมไม่ชอบให้เขาอยู่ใกล้ ๆ คุณ ผมหวง”เธอยกมือที่ยังสวมแหวนหมั้นของเขาอยู่ในมือ เขามองก่อนจะดึงมาจูบเบา ๆ“แหวนนี่ยังทำให้คุณมั่นใจไม่พอเหรอคะ”“เฮ้อ… ไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องกลายมาเป็นคนแบบนี้”“พอแล้วค่ะ ฉันจะไปที่ตึกเรียนแล้ว”“เดี๋ยวสิยังไม่ถึงเวลาเลย ขออีกนิดนะ”ต้าเว่ยยังไม่ยอมปล่อยเธอ โดยปกติที่เธอเห็นเขาอยู่ที่โรงพยาบาล หมอเฉินคนนี้มักจะมีสีหน้าเคร่งขรึมและดูจริงจังในเวลาทำงาน แม้แต่ตอนที่คุยกับคนไข้หรือพยาบาลในโรงพยาบาลเขาก็ทำหน้านิ่ง ๆ แต่ทำไมเวลาอยู่กับเธอเขาดูไม่ต่างจากน้องชายคนเล็กที่เอาแต่ตามพี่สาว หรือมองดี ๆ ก็ไม่ต่างกับลูกสุนัขที่ติดเจ้าของ“พี่ต้าเว่ยคะ”“ก็ได้ ๆ คุณเลิกงานสี่โมงเย็นใช่ไหม เสร็จงานแล้วก็มานั่งรอผมในห้องนะเดี๋ยวจะพาไปส่งที่บ้าน”“รับทราบค่ะ ไปนะคะ”“ก็ได้”ดูท่าหมอเฉินจะกลายเป็นเด็กไปแล้วจริง ๆ เหม่ยหลินใช้วิธีสุดท้าย เธอยืดตัวขึ้นหอมแก้มเขาก่อนจะเดินออกประตูไป คนตัวโตตกใจจนลืมดึงเธอเอาไว
สามวันหลังจากนั้นลู่เย่าหยางก็กลับมาพร้อมกับร่างที่ไร้วิญญาณของลู่ตานถง คุณนายลู่แทบจะทำอะไรไม่ได้เลยอีกทั้งสุขภาพของเธอก็เริ่มแย่ลงหลังจากที่เห็นร่างของสามีตระกูลลู่สูญเสียครั้งยิ่งใหญ่และปัญหาไม่ได้มีเพียงเท่านี้ คุณนายลู่ต้องถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลในทันที ระหว่างที่จัดงานศพ มีเพียงแค่เย่าหยางและเหม่ยหลินที่จัดงานศพอยู่ ส่วนหว่านเจินและรุ่ยถิงกลับมาจากที่งานศพผ่านไปแล้วสองวัน“อาหลินคุณเองก็ควรจะพักบ้างนะ”“ฉันไม่เป็นไรค่ะพี่ต้าเว่ย อาการของคุณแม่ตอนนี้เป็นยังไงบ้างคะ”“ตอนนี้ร่างกายคุณน้าค่อนข้างอ่อนแอ ไม่แน่ว่าวันฝังคุณอาลู่เธอจะมีแรงไปได้หรือเปล่า ผมไม่อยากให้คุณป่วยไปอีกคน”“ฉันคิดว่าคุณแม่คงอยากจะไปส่งคุณพ่อเป็นครั้งสุดท้ายค่ะ”“อืม เข้าใจแล้วผมจะพยายามให้เธอไปให้ได้”“ขอบคุณค่ะ”ต้าเว่ยดึงคู่หมั้นมากอดเอาไว้เพื่อเป็นกำลังใจให้เธอ เขารู้ว่าหลายวันมานี้เธอเหนื่อยกับการจัดการเรื่องงานศพของคุณพ่อและแบ่งเวลามาดูแลคุณแม่ที่นอนอยู่โรงพยาบาลซึ่งมีเขาเป็นเจ้าของไข้จนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน “คุณเองก็ควรจะพักผ่อนสักหน่อยนะ”“ค่ะ”ในห้องทำงานของต้าเว่ยแทบจะเป็นที่เดียวที่ให้เหม่ยหลินได้นอนหลับ
“หึหึ ที่แท้ก็เพราะเรื่องเงินสินะ หว่านเจินที่ตระกูลลู่เลี้ยงดูเธอส่งเสียลูกสาวเธอให้ร่ำเรียนที่ดี ๆ ซื้อบ้านหลังเล็ก ๆ ให้อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยที่พวกเธอร้องขอแต่เธอกลับบอกว่าคุณพี่ไม่ยุติธรรมงั้นเหรอ”“คุณพี่คะ ฉันไม่ได้ลำบากก็จริงแต่ก็ไม่ได้ใช้ชีวิตที่สุขสบายเหมือนพวกคุณ ฉันไม่มีหน้าแม้แต่จะออกงานสังคมกับคุณพี่เหมือนคุณ อีกอย่างรุ่ยถิงก็เป็นลูกของเหมือนกัน เรื่องนี้ปฏิเสธไม่ได้เพราะฉะนั้นทรัพย์สินในส่วนที่พวกฉันควรจะได้ก็ต้องได้”“เธอ!” / ฟางหยง“ต้องการเท่าไหร่คะ”เป็นลู่เหม่ยหลินที่ยืนขึ้นและมองหว่านเจิน สายตานี้เหว่านเจินไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย ปกติเหม่ยหลินเป็นแค่พวกขี้แพ้ขาวีนที่ไม่เอาไหนแต่ในวันนี้กลับกล้าที่จะยืนเผชิญหน้ากับเธอ“ก็.. เงินสำหรับตั้งตัวกับกิจการร้านขายผ้าเล็ก ๆ ในเมืองที่ฉันดูแลอยู่ตอนนี้”“เท่าไหร่”“ห้าพันหยวนสำหรับตั้งตัว”“ห้าพันหยวน! แม่เล็กนี่มันจะไม่มากเกินไปหน่อยเหรอครับสำหรับคนสองคน อีกอย่างครอบครัวเราก็ยังต้องจ่ายค่าเสียหาย…”“ได้ค่ะ” / เหม่ยหลิน“อาหลิน!!” / เย่าหยางเหม่ยหลินมองหน้าหว่านเจินและรุ่ยถิงที่นั่งยิ้มอยู่ข้างหลัง เย่าหยางแทบจะไม่เชื่อหูตัวเองเ
เย่าหยางนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ เขาคิดไม่ถึงเลยว่าความคิดของเธอจะนำเขาไปหนึ่งก้าวเสมอ ไม่ใช่สิบางทีอาจจะไปไกลกว่านั้นเพราะเขามัวแต่คิดถึงหน้าตาทางสังคมและบ้านที่เคยมีคุณพ่ออยู่ แต่ลืมคิดถึงมูลค่าของมันตามที่เหม่ยหลินพูดเขามัวแต่คิดเพียงจะขายร้านที่ทำรายได้ให้ครอบครัวซึ่งครั้งนี้เธอได้ให้สติและข้อคิดเขาและหากเป็นแบบนั้นเขาแทบจะไม่ต้องขายทรัพย์สินอื่นเพื่อจ่ายค่าเสียหายในครั้งนี้อีกเลย“อาหลินแต่การขายบ้านไม่ใช่เรื่องง่ายแม้ว่าตอนนี้จะมีเศรษฐีใหม่เกิดขึ้นมาเยอะก็ตาม”“เรื่องนี้ไม่ยากหรอกค่ะ พี่ใหญ่รู้จักคำว่านายหน้าซื้อขายที่ดินไหมคะ”“นายหน้าเหรอ”“ใช่ค่ะ เพียงแค่บอกราคาขายที่บวกค่าเหนื่อยให้เขาเราก็ไม่จำเป็นจะต้องเหนื่อยและเสียเวลาขายเอง อีกอย่างทรัพย์สินเครื่องประดับที่ไม่มีความจำเป็นฉันก็จะเอาออกมาขายด้วย”“อาหลิน แต่นั่นเป็นสิ่งที่ลูกหวงมากไม่ใช่เหรอ”“แม่คะ ของนอกกายพวกนี้มีเอาไว้แค่อวดสังคม แต่ตอนที่เราลำบากสังคมไม่ได้มาช่วยเรานะคะ หากจะใช้ก็แค่ใช้ของที่มีไปก่อนแต่ถ้ามันลำบากมากก็แค่ไม่ไปเท่านั้นเอง งานพวกนี้ไม่เห็นจะมีประโยชน์เท่าไหร่เลย ก็แค่สังคมลงเรือนินทาคนอื่นเท่านั้น”เย่าหยางค
เมื่อเขาพูดจบคุณย่าถึงกับอ้าปากค้างเพราะไม่คิดว่าต้าเว่ยจะกล้าเถียงเธอซึ่งเป็นผู้อาวุโสที่สุดในบ้านแต่ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องผิดเพราะสิ่งที่เขาพูดออกมาก็ถูกต้องทั้งหมด “ต้าเว่ยพ่อไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ที่จริงทางฝั่งสะใภ้ตระกูลหลิวเองก็ทำการค้า และแม้ว่าจะไม่ได้ร่ำรวยและกว้างขวางเท่ากับตระกูลลู่แต่ว่าก็พอที่จะช่วยเหลือได้”“นี่พวกเราจะไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยเหรอครับ ค่าเสียหายตระกูลลู่ก็ยินดีที่จะจ่ายให้กองทัพโดยไม่ได้เรียกร้องหรือต่อรองอะไรเลยสักนิดอีก ทั้งพวกเขายังสูญเสียหัวหน้าตระกูลไปกับเหตุการณ์ครั้งนี้ แต่กองทัพกลับตอบแทนโดยที่ทิ้งพวกเขาเพราะว่าตระกูลลู่ช่วยเหลือกองทัพไม่ได้แล้วงั้นเหรอครับ”“เฮ้อ… แต่ว่ายาที่ต้องใช้กองทัพก็จำเป็นเร่งด่วน”“แล้วยังไงครับ ครั้งก่อนคุณพ่อก็มาคุยกับผมแบบนี้ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าผมไม่ได้เต็มใจหมั้นแต่พ่อก็อ้างว่าเพื่อกองทัพและเพื่อประเทศชาติ มาตอนนี้ผมกับเหม่ยหลินหมั้นหมายกันแล้วคุณพ่อกลับจะให้ผมทิ้งเธอเพื่อไปขอความช่วยเหลืออีกตระกูลหนึ่งงั้นเหรอครับ ผมทำไม่ได้ครับและขอปฏิเสธ”“ต้าเว่ย แต่ว่าหากว่าทางตระกูลลู่ยินยอมล่ะ”“คุณย่าครับ!! ผมรู้ว่าคุณย่าชื่นชอบซ
“คุณ…”ต้าเว่ยก้มลงจูบคนข้าง ๆ ซึ่งเมื่อได้สัมผัสกลิ่นกายเธออีกครั้งก็พลันทำให้เขาใจเย็นลงได้อย่างน่าประหลาด ทั้งความโกรธที่เก็บมาจากที่บ้านและความหึงหวงเธอก็พลันลดลงไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ“รีบไปรีบมา ผมจะรออยู่ที่ห้องพัก”“จริงสิ นี่ค่ะเสี่ยวหลงเปาฉันทำเมื่อเช้านี้คิดว่าคุณคงยังไม่ได้กินข้าวเช้ามาก็เลยเอามาเผื่อค่ะ”“คิดว่าจะไม่ได้กินเสียแล้ว งั้นผมจะเอาไปกินที่ห้องรอคุณก็แล้วกันนะ”เหม่ยหลินยิ้มให้เขาก่อนจะเดินไปที่ตึกข้าง ๆ ตึกของเขา เมื่อเข้ามาที่ห้องพักก็เริ่มเปลี่ยนชุดและสวมเสื้อกาวน์ซึ่งวันนี้เขาเข้ามาเพียงแค่ตรวจคนไข้ที่ยังนอนพักอยู่เท่านั้นเพราะตอนเที่ยงเขาก็จะกลับออกไปกับเหม่ยหลินเพื่อไปพบนายหน้าที่เธอขอให้เขาช่วยเมื่อวันก่อน“คุณพอจะรู้จักคนที่ทำอาชีพนายหน้าไหมคะ”“นายหน้าเหรอ นายหน้าแบบไหนกันล่ะ เหมือนกับพนักงานขายแบบนี้หรือเปล่า”“ประมาณนั้นค่ะ แบบว่าคนที่รับหาคนซื้อของ หรือเป็นคนกลางที่เจรจาเกี่ยวกับการซื้อขาย คนกลางระหว่างคนขายกับคนซื้อ”“อืม ผมรู้จักคนที่คุณว่าอยู่คนหนึ่งเป็นเพื่อนผมเอง ที่บ้านเขาซื้อขายและทำบ้านเช่าคิดว่าน่าจะพอรู้เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้”“นั่นแหละค่ะที่
เมื่อทั้งหมดทานข้าวเสร็จแล้วเหม่ยหลินที่เริ่มตั้งสติได้ก็เข้าเรื่องที่จะคุยด้วยทันที“คุณเหม่ยหลินแน่ใจเหรอครับ บ้านหลังใหญ่ขนาดนั้นกลางเมืองหากจะขายจริง ๆ ผมว่าคงจะมีคนสนใจมากและอาจจะได้ราคาดีหากนำเข้าประมูล”“ประมูลเหรอคะ”“ใช่ครับ เป็นเรื่องใหม่สำหรับที่นี่แต่ที่ปักกิ่งหรือเซี่ยงไฮ้จะใช้วิธีเพื่อขายที่ดินและเพิ่มมูลค่า ยิ่งบ้านที่ตกแต่งแบบนี้พร้อมกับมีทุกอย่างครบพร้อมอีกทั้งอยู่ใจกลางเมืองมีแต่คนที่จะแย่งกันซื้อ ไม่ต้องห่วงนะครับผมไม่เอาเปรียบคุณแน่เพราะผมถือว่านาน ๆ ทีเหล่าเฉินจะออกปากขอให้ผมช่วยเขาสักที”เหม่ยหลินหันมามองต้าเว่ยที่ยิ้มให้เพื่อนของเขาอย่างซาบซึ้งใจและยกน้ำสีอำพันชนแก้วกับอี้เหิงก่อนจะหันมามองเหม่ยหลิน เมื่อเห็นว่าเธอกำลังคิดบางอย่างอยู่“เลิกห่วงเรื่องนั้นได้แล้ว เหล่าอี้รับปากเรื่องนี้แล้ว เอาเป็นว่าวันที่ประมูลเราก็แค่ไปดูเท่านั้นเองคุณตั้งราคาเอาไว้บ้างหรือเปล่าล่ะ"“พี่ใหญ่บอกว่ารวมพื้นที่ทั้งหมดและตัวบ้าน น่าจะขายได้ราว ๆ สองหมื่นหยวนค่ะ”“เหล่าอี้นายว่ายังไง เคยเห็นผ่าน ๆ บ้างไหมบ้านตระกูลลู่น่ะ”“เคยเห็น ที่อยู่ถนน…. นั่นใช่ไหม ฉันขับรถผ่านบ่อย ๆ แต่ไม่เคยเ
“ลู่เหม่ยหลิน” กับชีวิตพยาบาลสาวที่แสนวุ่นวายในโรงพยาบาลใหญ่ ปีนี้เธออายุยี่สิบหกปีแล้ว สี่ปีกับอาชีพพยาบาลที่เธอพยายามร่ำเรียนจนสำเร็จจากเด็กกำพร้าพ่อแม่ที่เติบโตมาจากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าเล็ก ๆ ในกวางโจว มาตอนนี้เธอสามารถทำงานและมีรายได้เพื่อไปช่วยเหลือน้อง ๆ ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าอี้หม่าเถินได้แล้ว“มาเด็ก ๆ มากินขนมเร็ว ๆ เข้าวันนี้พี่ได้ขนมมาเยอะแยะเลย ไม่ต้องแย่งกันได้ทุกคน”“พี่ใหญ่วันนี้มีคัพเค้กด้วยเหรอ”“ใช่แล้วเป็นของโรงแรมชื่อดังเลยนะ พี่แวะไปช่วยงานเพื่อเขาเลยให้มา กินเยอะ ๆนะ”“ลู่เหม่ยหลิน” ทำงานทุกอย่างที่จะสร้างรายได้ให้กับเธอได้ อีกทั้งเธอยังช่วยครูพี่เลี้ยงดูแลเด็กและช่วยทำบัญชีให้กับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามาตั้งแต่จบมัธยมปลายหลังจากเห็นน้องที่พึ่งเข้ามาใหม่ตายเพราะความหนาวเธอก็ปฏิญาณตนว่าจะเรียนพยาบาลเพื่อจะได้ดูแลทุกคนในสถานรับเลี้ยงเด็กนี้ได้เพื่อจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายลง “อาหลินกลับมาแล้วเหรอ”“ครูซ่ง กลับมาแล้วค่ะวันนี้แวะไปที่โรงแรมไปช่วยเชฟทำอาหารมาดูสิคะ เชฟให้ขนมเด็ก ๆ มาเพียบเลยค่ะ”“ดีจริง ๆ เก็บเอาไว้บ้างนะเธอผอมเกินไปแล้ว งานที่โรงพยาบาลก็ยุ่งมากอย