“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แต่ว่ายังไงก็หมั้นหมายกันแล้วนะ เท่าที่พี่ดูอาการของเขาดูจะกังวลใจมากเลยยังไงก็ค่อย ๆ คุยกันนะดูแล้วหมอเฉินคงจะสนใจความรู้สึกเราไม่น้อยเลยล่ะ”“อะไรกันเรื่องแค่นี้ก็ต้องไปคุยกับพี่ใหญ่ด้วย”“พี่ไปแล้วนะขอบใจมากสำหรับชาและขนมที่ฝากไปให้อาเซียง”“เดินทางปลอดภัยนะคะ”เย่าหยางขึ้นเรือไปแล้วส่วนเหม่ยหลินก็นั่งรถกลับบ้านไปพร้อม ๆ กับพ่อแม่ของเธอ ตั้งแต่คืนที่ต้าเว่ยมาส่งเธอที่บ้านในวันนั้นเขาก็ไม่เคยมาหาเธออีกเลย แม้ว่าจะมีโทรมาบ้างแต่เธอก็ไม่ได้รับสายเขา“ลูกกับต้าเว่ยทะเลาะกันเหรอ”“เปล่านี่คะคุณแม่คิดมากไปแล้ว”“แล้วทำไมไม่ยอมรับสายพี่เขาล่ะ นี่ครั้งที่สองแล้วที่พี่เขาโทรมาหาแต่หนูเอาแต่หนี”“ไม่ได้หนีสักหน่อย บัญชีที่ร้านยังคิดไม่เสร็จแม่ก็รู้ว่าตั้งแต่พี่ใหญ่กลับไปก็ยุ่งมากขนาดไหน”“แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะหลบหน้า...”“กริ๊ง……”เสียงโทรศัพท์ในบ้านดังขึ้น เหม่ยหลินจึงรีบวิ่งออกจากบ้านทันที“แม่คะลืมไปเลยว่าหนูจะไปซื้อของกับอาหงไปก่อนนะคะ”“เดี๋ยวสิ ลูกคนนี้นี่”แต่เมื่อแม่ของเธอรับสายกลับเป็นเพื่อนของคุณแม่ที่ไม่ได้เจอกันนานแล้ว เหม่ยหลินเดินออกมาพร้อมกับชวนอาหงขี่จักรยานไ
“มันสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอคะ”เมื่อเขาเริ่มพูดแบบนี้ เธอก็หวนกลับไปนึกถึงเรื่องในวันก่อนขึ้นมาได้วันที่เขาจูบเธอในรถคืนนั้น ยิ่งคิดขึ้นมาตอนนี้หน้าเธอก็เริ่มร้อนผ่าวและใจก็เริ่มเต้นแรงเมื่อคุณหมอเริ่มก้มลงมาใกล้เรื่อย ๆ“คุณกำลังคิดอะไรอยู่”“เปล่าค่ะ ไม่ได้คิดอะไร”“งั้นก็เรียกเสียทีสิ เรียกให้คุ้นเคยเพราะจากนี้เราจะต้องออกงานด้วยกันบ่อย ๆ คุณจะเรียกผมว่าคุณหมอ หรือหมอเฉินตลอดเวลาแบบนี้คนอื่นคงฟังดูแปลก ๆ”“ก็ไม่เห็นจะต้องสนใจคนอื่นเลยนี่คะ”“แล้วคุณไม่สนใจพ่อแม่ของคุณเหรอ”การเอาพ่อแม่มาอ้างทำให้เหม่ยหลินรู้สึกเหมือนถูกชกใต้เข็มขัดเพราะคนในยุคนี้ยังเน้นเรื่องความกตัญญูและเคารพผู้ใหญ่ในบ้าน หากว่าเรื่องไหนทำแล้วจะเสียหน้าพ่อแม่คนที่เป็นลูกก็จะเลี่ยงที่จะไม่ทำ“อาหลิน”“ก็ได้ค่ะ ต่อไปฉันจะเรียกคุณว่า “พี่ต้าเว่ย” ก็ได้”“ทำไมไม่เรียกว่าพี่เว่ยเฉย ๆ ล่ะ”“ก็ฉันไม่อยากเรียกเหมือนกับที่ซีอิ๋งเรียกคุณ”เหม่ยหลินรีบหยุดทันที เธอเผลอพูดออกไปเองเสียแล้วว่าไม่ชอบที่ซีอิ๋งเรียกเขาแบบนั้นก็เลยไม่อยากเรียกเขาว่าพี่เว่ยตามที่เขาขอ คนที่ยืนอยู่แทบจะกลั้นยิ้มเพราะดีใจไม่ได้ เขาคิดว่าเธอจะไม่ได้คิดอะไ
เมื่อถึงห้องตรวจของเขาก็รีบวางเธอลงก่อนจะหันไปปิดประตูห้องด้วยเสียงที่ดังกว่าปกติ เหม่ยหลินยังไม่กล้ามองหน้าเขาจนถึงตอนนี้ เธอแค่แวะทักทายหมอโจวซึ่งเขาเองก็รู้จักแต่ก็เข้าใจที่เขาโมโหเพราะว่าเธอเป็นคู่หมั้นของต้าเว่ย“นี่ยาของคุณ กินตามเวลาที่ระบุเอาไว้”“แล้วของอาหงละคะ แล้วฉันต้องไปจ่ายค่ารักษาที่ไหน”“ผมจัดการให้เรียบร้อยแล้วเรื่องนั้นไม่ต้องถามมาก จากนี้ไปก็พักอยู่แต่ที่บ้านจนกว่าข้อเท้าจะหายดีแล้วอย่าออกมาเดินเพ่นพ่านข้างนอกหาเรื่องเจ็บตัวอีก”“เดินเพ่นพ่าน ฉันไม่ใช่ลูกแมวสักหน่อย เอาแต่พูดแบบนี้อยู่ได้”“ลู่เหม่ยหลิน! นี่ยังไม่สำนึกอีกงั้นเหรอ”เธอเองก็เริ่มโมโหขึ้นบ้างแล้วเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีทีท่าว่าจะดุลดลงเลยทั้ง ๆ ที่เธอยังไม่ทันได้ทำอะไรที่เสื่อมเสียหรือผิดกับเขาเลยด้วยซ้ำ“คุณหมอคะ ฉันว่าคุณระงับอารมณ์เอาไว้สักหน่อยเถอะค่ะ ฉันกับหมอโจวก็แค่ทักทายตามประสาคนรู้จักกันแค่นี้คงไม่ถึงกับทำให้สองตระกูลเสื่อมเสียหรอกมั้งคะ”“นี่คุณว่าอะไรนะ”เธอพูดผิดไปเสียแล้ว คิดว่าตอนนี้เขาจะต้องการความจริงงั้นเหรอ ต้าเว่ยกำลังโกรธที่เธอยืนคุยกับหมอโจวไม่ได้เกี่ยวว่าเธอจะทำเรื่องเสื่อมเสีย
“กินข้าวเหรอคะ”“ใช่ คุณพึ่งพูดอยู่ไม่ใช่เหรอว่ายานี้กินแล้วก็ต้องรีบกินข้าวไปเถอะผมจะไปเอารถเข็นมาให้”“ฉันเดินไปเอง…. ก็ได้ค่ะรอรถเข็นก็ได้รบกวนด้วยนะคะ”เมื่อหันไปเห็นสายตาดุของเขาเธอก็เลิกเถียงทันทีเพราะไม่อยากถูกเขารังแกอีก แม้ว่าจะเริ่มปรับตัวได้อยู่บ้างแล้วแต่ก็ยังไม่ชินกับการที่เขาทำแบบนี้อยู่ตลอดเวลา รถเข็นพร้อมกับเจ้าหน้าที่มาถึงแล้วแต่เมื่อเขาพยุงเธอนั่งก็หันกลับไปบอกเจ้าหน้าที่ที่เข็นรถมาให้เธอ“เดี๋ยวผมจัดการเองขอบคุณมาก”“ครับคุณหมอ”เขายกถุงยามาวางที่ตักของเธอก่อนจะค่อย ๆ เข็นรถของเหม่ยหลินไปที่ลานจอดรถด้านหลังซึ่งมีรถของเขาจอดอยู่ เมื่อเขาเปิดรถและค่อย ๆ พยุงเธอไปนั่งก็เข็นรถไปคืนที่ลานจอดด้านหน้าและกลับมาขับรถให้เธอเพื่อพาไปทานข้าวภัตตาคารหลัวหลิงเมื่อมาถึงที่ร้านอาหารหรูซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลของเขานัก คุณหมอเฉินค่อย ๆ พยุงเธอเดินเข้าไปในร้านซึ่งไม่ใหญ่มากแต่บรรยากาศดี“สองที่ครับ”“เชิญทางนี้เลยค่ะ”“คุณเดินไหวหรือเปล่า”“ไหวค่ะสบายมาก”เขาค่อย ๆ พยุงเธอไปนั่งโต๊ะที่ไม่ไกลจากทางเดินมากและเริ่มดึงโต๊ะให้เธอนั่ง เมื่อทั้งสองเริ่มสั่งอาหารเหม่ยหลินจึงเริ่มรู้สึกหิ
พ่อแม่ของเหม่ยหลินแอบยิ้มก่อนที่พ่อลู่จะเป็นคนบอกเขาเอง และเมื่อเห็นว่าต้าเว่ยที่อุ้มเหม่ยหลินขึ้นไปที่ห้องด้วยตัวเองก็ทำให้ทั้งคู่หันมามองด้วยความคิดเดียวกัน“ตอนที่ผมได้ยินคุณบอกทางโทรศัพท์ก็ไม่เชื่อจนได้มาเห็นกับตา”“นั่นสิคะ ตอนนี้ดูเหมือนว่าต้าเว่ยจะเป็นฝ่ายตามอาหลินเสียมากกว่าด้วยค่ะ ฉันรับสายของต้าเว่ยที่โทรมาจนไม่อยากรับแล้วเพราะลูกเอาแต่หลบเลี่ยงเขา จากนี้คงไม่ทำแบบนั้นแล้ว”“ก็ยังดีที่ไปได้ดีละนะ”“แล้วเรื่องยาที่จะส่งให้กองทัพละคะ”“เฮ้อ นี่แหละที่ยังน่าเป็นห่วง เรือสินค้าติดมรสุมมาตามกำหนดเดิมไม่ได้หากว่าพายุยังไม่สงบคงจะล่าช้าไปอีกนานเลยผมเลยต้องลงไปด้วยตัวเอง ยังไงก็ฝากคุณดูแลที่บ้านด้วยนะผมคงไปหลายวัน”“ได้ค่ะคุณไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ถึงยังไงเรื่องข้อตกลงกับกองทัพก็คงไม่น่าห่วงแล้ว ตอนนี้ค่อย ๆ คิดเถอะค่ะ”“อืม”ห้องของเหม่ยหลิน เมื่อเขาอุ้มเธอเข้ามาในห้องก็ค่อย ๆ วางเธอลงที่เตียงก่อนจะรับกระเป๋ายาจากสาวใช้ที่เดินตามมาส่งก่อนที่คุณแม่ของเธอจะแวะมาบอกลาเขา“ถ้าอย่างนั้นที่เหลือน้าก็ฝากด้วยนะต้าเว่ย”“ครับคุณน้าไปพักผ่อนเถอะครับ”ฟางหยงเดินออกจากห้องของเหม่ยหลินไป เมื่อประ
เมื่อเห็นเขายิ้มออกมาเธอก็พอใจเพราะระหว่างทางแม้จะชวนคุยหลายเรื่องแต่ต้าเว่ยก็เอาแต่ถามคำตอบคำจนเหม่ยหลินจับสังเกตได้ว่าเขายังไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก แต่เมื่อเห็นกล่องข้าวที่เธอยื่นให้สีหน้าของต้าเว่ยก็เริ่มดีขึ้น“พูดมากจริง ๆ เที่ยงตรงมาที่ห้องห้ามสายนะ”“ได้ค่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันไปนะคะแล้วเจอกันตอนเที่ยง”“อืม รีบไปเถอะ”เธอเดินไปที่ตึกข้าง ๆ ซึ่งมีไว้สำหรับสอนนักศึกษาแพทย์ฝึกหัด วันแรกในการทำงานหมอโจวที่ได้เหม่ยหลินมาช่วยสอนเรื่องเกี่ยวกับสมุนไพรเขาพบว่าเธอมีความสามารถสูงกว่าที่คิด นอกจากจะให้ความรู้นักศึกษาแพทย์ได้แล้วยังช่วยเขาในเรื่องการสื่อสารกับนักศึกษาด้วยเช่นกัน“ไมลี่ย์ คุณเป็นผู้หญิงที่มหัศจรรย์มาก ผมล่ะอิจฉาหมอเฉินจริง ๆ”“อย่าพูดให้เขาได้ยินเชียวนะคะ”“ทำไมล่ะ นี่ถ้าคุณไม่ใช่คู่หมั้นของหมอเฉินผมคงจะตามจีบคุณแล้ว”“ล้อเล่นแล้วค่ะหมอโจว ขอตัวก่อนนะคะจะเที่ยงแล้ว”“อ้าว คุณไม่ไปกินข้าวกับผมหรอกเหรอคิดว่าจะเลี้ยงข้าวคุณสักหน่อย”“คือว่าฉันนัดกับหมอเฉินเอาไว้น่ะค่ะ”“แบบนี้นี่เอง งั้นผมไม่รบกวนเวลาของพวกคุณแล้ว อ้อจริงสิไมลี่ย์ ผมว่าความสามารถของคุณมีมากกว่านี้ น่าเสียดายมากที่จ
“พูดอะไรคะเนี่ย ถ้ารู้สึกไม่ยุติธรรมก็หึงให้มันน้อย ๆ ลงหน่อยสิคะ”“ทำได้ที่ไหนกันล่ะ ยิ่งคุณอยู่ใกล้ ๆ แบบนี้ยิ่ง…”“พี่ต้าเว่ย หมอโจวเขาเป็นเพื่อนร่วมงานของคุณนะคะ”“แต่ผมไม่ชอบให้เขาอยู่ใกล้ ๆ คุณ ผมหวง”เธอยกมือที่ยังสวมแหวนหมั้นของเขาอยู่ในมือ เขามองก่อนจะดึงมาจูบเบา ๆ“แหวนนี่ยังทำให้คุณมั่นใจไม่พอเหรอคะ”“เฮ้อ… ไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องกลายมาเป็นคนแบบนี้”“พอแล้วค่ะ ฉันจะไปที่ตึกเรียนแล้ว”“เดี๋ยวสิยังไม่ถึงเวลาเลย ขออีกนิดนะ”ต้าเว่ยยังไม่ยอมปล่อยเธอ โดยปกติที่เธอเห็นเขาอยู่ที่โรงพยาบาล หมอเฉินคนนี้มักจะมีสีหน้าเคร่งขรึมและดูจริงจังในเวลาทำงาน แม้แต่ตอนที่คุยกับคนไข้หรือพยาบาลในโรงพยาบาลเขาก็ทำหน้านิ่ง ๆ แต่ทำไมเวลาอยู่กับเธอเขาดูไม่ต่างจากน้องชายคนเล็กที่เอาแต่ตามพี่สาว หรือมองดี ๆ ก็ไม่ต่างกับลูกสุนัขที่ติดเจ้าของ“พี่ต้าเว่ยคะ”“ก็ได้ ๆ คุณเลิกงานสี่โมงเย็นใช่ไหม เสร็จงานแล้วก็มานั่งรอผมในห้องนะเดี๋ยวจะพาไปส่งที่บ้าน”“รับทราบค่ะ ไปนะคะ”“ก็ได้”ดูท่าหมอเฉินจะกลายเป็นเด็กไปแล้วจริง ๆ เหม่ยหลินใช้วิธีสุดท้าย เธอยืดตัวขึ้นหอมแก้มเขาก่อนจะเดินออกประตูไป คนตัวโตตกใจจนลืมดึงเธอเอาไว
สามวันหลังจากนั้นลู่เย่าหยางก็กลับมาพร้อมกับร่างที่ไร้วิญญาณของลู่ตานถง คุณนายลู่แทบจะทำอะไรไม่ได้เลยอีกทั้งสุขภาพของเธอก็เริ่มแย่ลงหลังจากที่เห็นร่างของสามีตระกูลลู่สูญเสียครั้งยิ่งใหญ่และปัญหาไม่ได้มีเพียงเท่านี้ คุณนายลู่ต้องถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลในทันที ระหว่างที่จัดงานศพ มีเพียงแค่เย่าหยางและเหม่ยหลินที่จัดงานศพอยู่ ส่วนหว่านเจินและรุ่ยถิงกลับมาจากที่งานศพผ่านไปแล้วสองวัน“อาหลินคุณเองก็ควรจะพักบ้างนะ”“ฉันไม่เป็นไรค่ะพี่ต้าเว่ย อาการของคุณแม่ตอนนี้เป็นยังไงบ้างคะ”“ตอนนี้ร่างกายคุณน้าค่อนข้างอ่อนแอ ไม่แน่ว่าวันฝังคุณอาลู่เธอจะมีแรงไปได้หรือเปล่า ผมไม่อยากให้คุณป่วยไปอีกคน”“ฉันคิดว่าคุณแม่คงอยากจะไปส่งคุณพ่อเป็นครั้งสุดท้ายค่ะ”“อืม เข้าใจแล้วผมจะพยายามให้เธอไปให้ได้”“ขอบคุณค่ะ”ต้าเว่ยดึงคู่หมั้นมากอดเอาไว้เพื่อเป็นกำลังใจให้เธอ เขารู้ว่าหลายวันมานี้เธอเหนื่อยกับการจัดการเรื่องงานศพของคุณพ่อและแบ่งเวลามาดูแลคุณแม่ที่นอนอยู่โรงพยาบาลซึ่งมีเขาเป็นเจ้าของไข้จนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน “คุณเองก็ควรจะพักผ่อนสักหน่อยนะ”“ค่ะ”ในห้องทำงานของต้าเว่ยแทบจะเป็นที่เดียวที่ให้เหม่ยหลินได้นอนหลับ