“กินข้าวเหรอคะ”“ใช่ คุณพึ่งพูดอยู่ไม่ใช่เหรอว่ายานี้กินแล้วก็ต้องรีบกินข้าวไปเถอะผมจะไปเอารถเข็นมาให้”“ฉันเดินไปเอง…. ก็ได้ค่ะรอรถเข็นก็ได้รบกวนด้วยนะคะ”เมื่อหันไปเห็นสายตาดุของเขาเธอก็เลิกเถียงทันทีเพราะไม่อยากถูกเขารังแกอีก แม้ว่าจะเริ่มปรับตัวได้อยู่บ้างแล้วแต่ก็ยังไม่ชินกับการที่เขาทำแบบนี้อยู่ตลอดเวลา รถเข็นพร้อมกับเจ้าหน้าที่มาถึงแล้วแต่เมื่อเขาพยุงเธอนั่งก็หันกลับไปบอกเจ้าหน้าที่ที่เข็นรถมาให้เธอ“เดี๋ยวผมจัดการเองขอบคุณมาก”“ครับคุณหมอ”เขายกถุงยามาวางที่ตักของเธอก่อนจะค่อย ๆ เข็นรถของเหม่ยหลินไปที่ลานจอดรถด้านหลังซึ่งมีรถของเขาจอดอยู่ เมื่อเขาเปิดรถและค่อย ๆ พยุงเธอไปนั่งก็เข็นรถไปคืนที่ลานจอดด้านหน้าและกลับมาขับรถให้เธอเพื่อพาไปทานข้าวภัตตาคารหลัวหลิงเมื่อมาถึงที่ร้านอาหารหรูซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลของเขานัก คุณหมอเฉินค่อย ๆ พยุงเธอเดินเข้าไปในร้านซึ่งไม่ใหญ่มากแต่บรรยากาศดี“สองที่ครับ”“เชิญทางนี้เลยค่ะ”“คุณเดินไหวหรือเปล่า”“ไหวค่ะสบายมาก”เขาค่อย ๆ พยุงเธอไปนั่งโต๊ะที่ไม่ไกลจากทางเดินมากและเริ่มดึงโต๊ะให้เธอนั่ง เมื่อทั้งสองเริ่มสั่งอาหารเหม่ยหลินจึงเริ่มรู้สึกหิ
พ่อแม่ของเหม่ยหลินแอบยิ้มก่อนที่พ่อลู่จะเป็นคนบอกเขาเอง และเมื่อเห็นว่าต้าเว่ยที่อุ้มเหม่ยหลินขึ้นไปที่ห้องด้วยตัวเองก็ทำให้ทั้งคู่หันมามองด้วยความคิดเดียวกัน“ตอนที่ผมได้ยินคุณบอกทางโทรศัพท์ก็ไม่เชื่อจนได้มาเห็นกับตา”“นั่นสิคะ ตอนนี้ดูเหมือนว่าต้าเว่ยจะเป็นฝ่ายตามอาหลินเสียมากกว่าด้วยค่ะ ฉันรับสายของต้าเว่ยที่โทรมาจนไม่อยากรับแล้วเพราะลูกเอาแต่หลบเลี่ยงเขา จากนี้คงไม่ทำแบบนั้นแล้ว”“ก็ยังดีที่ไปได้ดีละนะ”“แล้วเรื่องยาที่จะส่งให้กองทัพละคะ”“เฮ้อ นี่แหละที่ยังน่าเป็นห่วง เรือสินค้าติดมรสุมมาตามกำหนดเดิมไม่ได้หากว่าพายุยังไม่สงบคงจะล่าช้าไปอีกนานเลยผมเลยต้องลงไปด้วยตัวเอง ยังไงก็ฝากคุณดูแลที่บ้านด้วยนะผมคงไปหลายวัน”“ได้ค่ะคุณไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ถึงยังไงเรื่องข้อตกลงกับกองทัพก็คงไม่น่าห่วงแล้ว ตอนนี้ค่อย ๆ คิดเถอะค่ะ”“อืม”ห้องของเหม่ยหลิน เมื่อเขาอุ้มเธอเข้ามาในห้องก็ค่อย ๆ วางเธอลงที่เตียงก่อนจะรับกระเป๋ายาจากสาวใช้ที่เดินตามมาส่งก่อนที่คุณแม่ของเธอจะแวะมาบอกลาเขา“ถ้าอย่างนั้นที่เหลือน้าก็ฝากด้วยนะต้าเว่ย”“ครับคุณน้าไปพักผ่อนเถอะครับ”ฟางหยงเดินออกจากห้องของเหม่ยหลินไป เมื่อประ
เมื่อเห็นเขายิ้มออกมาเธอก็พอใจเพราะระหว่างทางแม้จะชวนคุยหลายเรื่องแต่ต้าเว่ยก็เอาแต่ถามคำตอบคำจนเหม่ยหลินจับสังเกตได้ว่าเขายังไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก แต่เมื่อเห็นกล่องข้าวที่เธอยื่นให้สีหน้าของต้าเว่ยก็เริ่มดีขึ้น“พูดมากจริง ๆ เที่ยงตรงมาที่ห้องห้ามสายนะ”“ได้ค่ะ ถ้าอย่างนั้นฉันไปนะคะแล้วเจอกันตอนเที่ยง”“อืม รีบไปเถอะ”เธอเดินไปที่ตึกข้าง ๆ ซึ่งมีไว้สำหรับสอนนักศึกษาแพทย์ฝึกหัด วันแรกในการทำงานหมอโจวที่ได้เหม่ยหลินมาช่วยสอนเรื่องเกี่ยวกับสมุนไพรเขาพบว่าเธอมีความสามารถสูงกว่าที่คิด นอกจากจะให้ความรู้นักศึกษาแพทย์ได้แล้วยังช่วยเขาในเรื่องการสื่อสารกับนักศึกษาด้วยเช่นกัน“ไมลี่ย์ คุณเป็นผู้หญิงที่มหัศจรรย์มาก ผมล่ะอิจฉาหมอเฉินจริง ๆ”“อย่าพูดให้เขาได้ยินเชียวนะคะ”“ทำไมล่ะ นี่ถ้าคุณไม่ใช่คู่หมั้นของหมอเฉินผมคงจะตามจีบคุณแล้ว”“ล้อเล่นแล้วค่ะหมอโจว ขอตัวก่อนนะคะจะเที่ยงแล้ว”“อ้าว คุณไม่ไปกินข้าวกับผมหรอกเหรอคิดว่าจะเลี้ยงข้าวคุณสักหน่อย”“คือว่าฉันนัดกับหมอเฉินเอาไว้น่ะค่ะ”“แบบนี้นี่เอง งั้นผมไม่รบกวนเวลาของพวกคุณแล้ว อ้อจริงสิไมลี่ย์ ผมว่าความสามารถของคุณมีมากกว่านี้ น่าเสียดายมากที่จ
“พูดอะไรคะเนี่ย ถ้ารู้สึกไม่ยุติธรรมก็หึงให้มันน้อย ๆ ลงหน่อยสิคะ”“ทำได้ที่ไหนกันล่ะ ยิ่งคุณอยู่ใกล้ ๆ แบบนี้ยิ่ง…”“พี่ต้าเว่ย หมอโจวเขาเป็นเพื่อนร่วมงานของคุณนะคะ”“แต่ผมไม่ชอบให้เขาอยู่ใกล้ ๆ คุณ ผมหวง”เธอยกมือที่ยังสวมแหวนหมั้นของเขาอยู่ในมือ เขามองก่อนจะดึงมาจูบเบา ๆ“แหวนนี่ยังทำให้คุณมั่นใจไม่พอเหรอคะ”“เฮ้อ… ไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องกลายมาเป็นคนแบบนี้”“พอแล้วค่ะ ฉันจะไปที่ตึกเรียนแล้ว”“เดี๋ยวสิยังไม่ถึงเวลาเลย ขออีกนิดนะ”ต้าเว่ยยังไม่ยอมปล่อยเธอ โดยปกติที่เธอเห็นเขาอยู่ที่โรงพยาบาล หมอเฉินคนนี้มักจะมีสีหน้าเคร่งขรึมและดูจริงจังในเวลาทำงาน แม้แต่ตอนที่คุยกับคนไข้หรือพยาบาลในโรงพยาบาลเขาก็ทำหน้านิ่ง ๆ แต่ทำไมเวลาอยู่กับเธอเขาดูไม่ต่างจากน้องชายคนเล็กที่เอาแต่ตามพี่สาว หรือมองดี ๆ ก็ไม่ต่างกับลูกสุนัขที่ติดเจ้าของ“พี่ต้าเว่ยคะ”“ก็ได้ ๆ คุณเลิกงานสี่โมงเย็นใช่ไหม เสร็จงานแล้วก็มานั่งรอผมในห้องนะเดี๋ยวจะพาไปส่งที่บ้าน”“รับทราบค่ะ ไปนะคะ”“ก็ได้”ดูท่าหมอเฉินจะกลายเป็นเด็กไปแล้วจริง ๆ เหม่ยหลินใช้วิธีสุดท้าย เธอยืดตัวขึ้นหอมแก้มเขาก่อนจะเดินออกประตูไป คนตัวโตตกใจจนลืมดึงเธอเอาไว
สามวันหลังจากนั้นลู่เย่าหยางก็กลับมาพร้อมกับร่างที่ไร้วิญญาณของลู่ตานถง คุณนายลู่แทบจะทำอะไรไม่ได้เลยอีกทั้งสุขภาพของเธอก็เริ่มแย่ลงหลังจากที่เห็นร่างของสามีตระกูลลู่สูญเสียครั้งยิ่งใหญ่และปัญหาไม่ได้มีเพียงเท่านี้ คุณนายลู่ต้องถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลในทันที ระหว่างที่จัดงานศพ มีเพียงแค่เย่าหยางและเหม่ยหลินที่จัดงานศพอยู่ ส่วนหว่านเจินและรุ่ยถิงกลับมาจากที่งานศพผ่านไปแล้วสองวัน“อาหลินคุณเองก็ควรจะพักบ้างนะ”“ฉันไม่เป็นไรค่ะพี่ต้าเว่ย อาการของคุณแม่ตอนนี้เป็นยังไงบ้างคะ”“ตอนนี้ร่างกายคุณน้าค่อนข้างอ่อนแอ ไม่แน่ว่าวันฝังคุณอาลู่เธอจะมีแรงไปได้หรือเปล่า ผมไม่อยากให้คุณป่วยไปอีกคน”“ฉันคิดว่าคุณแม่คงอยากจะไปส่งคุณพ่อเป็นครั้งสุดท้ายค่ะ”“อืม เข้าใจแล้วผมจะพยายามให้เธอไปให้ได้”“ขอบคุณค่ะ”ต้าเว่ยดึงคู่หมั้นมากอดเอาไว้เพื่อเป็นกำลังใจให้เธอ เขารู้ว่าหลายวันมานี้เธอเหนื่อยกับการจัดการเรื่องงานศพของคุณพ่อและแบ่งเวลามาดูแลคุณแม่ที่นอนอยู่โรงพยาบาลซึ่งมีเขาเป็นเจ้าของไข้จนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน “คุณเองก็ควรจะพักผ่อนสักหน่อยนะ”“ค่ะ”ในห้องทำงานของต้าเว่ยแทบจะเป็นที่เดียวที่ให้เหม่ยหลินได้นอนหลับ
“หึหึ ที่แท้ก็เพราะเรื่องเงินสินะ หว่านเจินที่ตระกูลลู่เลี้ยงดูเธอส่งเสียลูกสาวเธอให้ร่ำเรียนที่ดี ๆ ซื้อบ้านหลังเล็ก ๆ ให้อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยที่พวกเธอร้องขอแต่เธอกลับบอกว่าคุณพี่ไม่ยุติธรรมงั้นเหรอ”“คุณพี่คะ ฉันไม่ได้ลำบากก็จริงแต่ก็ไม่ได้ใช้ชีวิตที่สุขสบายเหมือนพวกคุณ ฉันไม่มีหน้าแม้แต่จะออกงานสังคมกับคุณพี่เหมือนคุณ อีกอย่างรุ่ยถิงก็เป็นลูกของเหมือนกัน เรื่องนี้ปฏิเสธไม่ได้เพราะฉะนั้นทรัพย์สินในส่วนที่พวกฉันควรจะได้ก็ต้องได้”“เธอ!” / ฟางหยง“ต้องการเท่าไหร่คะ”เป็นลู่เหม่ยหลินที่ยืนขึ้นและมองหว่านเจิน สายตานี้เหว่านเจินไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย ปกติเหม่ยหลินเป็นแค่พวกขี้แพ้ขาวีนที่ไม่เอาไหนแต่ในวันนี้กลับกล้าที่จะยืนเผชิญหน้ากับเธอ“ก็.. เงินสำหรับตั้งตัวกับกิจการร้านขายผ้าเล็ก ๆ ในเมืองที่ฉันดูแลอยู่ตอนนี้”“เท่าไหร่”“ห้าพันหยวนสำหรับตั้งตัว”“ห้าพันหยวน! แม่เล็กนี่มันจะไม่มากเกินไปหน่อยเหรอครับสำหรับคนสองคน อีกอย่างครอบครัวเราก็ยังต้องจ่ายค่าเสียหาย…”“ได้ค่ะ” / เหม่ยหลิน“อาหลิน!!” / เย่าหยางเหม่ยหลินมองหน้าหว่านเจินและรุ่ยถิงที่นั่งยิ้มอยู่ข้างหลัง เย่าหยางแทบจะไม่เชื่อหูตัวเองเ
เย่าหยางนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ เขาคิดไม่ถึงเลยว่าความคิดของเธอจะนำเขาไปหนึ่งก้าวเสมอ ไม่ใช่สิบางทีอาจจะไปไกลกว่านั้นเพราะเขามัวแต่คิดถึงหน้าตาทางสังคมและบ้านที่เคยมีคุณพ่ออยู่ แต่ลืมคิดถึงมูลค่าของมันตามที่เหม่ยหลินพูดเขามัวแต่คิดเพียงจะขายร้านที่ทำรายได้ให้ครอบครัวซึ่งครั้งนี้เธอได้ให้สติและข้อคิดเขาและหากเป็นแบบนั้นเขาแทบจะไม่ต้องขายทรัพย์สินอื่นเพื่อจ่ายค่าเสียหายในครั้งนี้อีกเลย“อาหลินแต่การขายบ้านไม่ใช่เรื่องง่ายแม้ว่าตอนนี้จะมีเศรษฐีใหม่เกิดขึ้นมาเยอะก็ตาม”“เรื่องนี้ไม่ยากหรอกค่ะ พี่ใหญ่รู้จักคำว่านายหน้าซื้อขายที่ดินไหมคะ”“นายหน้าเหรอ”“ใช่ค่ะ เพียงแค่บอกราคาขายที่บวกค่าเหนื่อยให้เขาเราก็ไม่จำเป็นจะต้องเหนื่อยและเสียเวลาขายเอง อีกอย่างทรัพย์สินเครื่องประดับที่ไม่มีความจำเป็นฉันก็จะเอาออกมาขายด้วย”“อาหลิน แต่นั่นเป็นสิ่งที่ลูกหวงมากไม่ใช่เหรอ”“แม่คะ ของนอกกายพวกนี้มีเอาไว้แค่อวดสังคม แต่ตอนที่เราลำบากสังคมไม่ได้มาช่วยเรานะคะ หากจะใช้ก็แค่ใช้ของที่มีไปก่อนแต่ถ้ามันลำบากมากก็แค่ไม่ไปเท่านั้นเอง งานพวกนี้ไม่เห็นจะมีประโยชน์เท่าไหร่เลย ก็แค่สังคมลงเรือนินทาคนอื่นเท่านั้น”เย่าหยางค
เมื่อเขาพูดจบคุณย่าถึงกับอ้าปากค้างเพราะไม่คิดว่าต้าเว่ยจะกล้าเถียงเธอซึ่งเป็นผู้อาวุโสที่สุดในบ้านแต่ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องผิดเพราะสิ่งที่เขาพูดออกมาก็ถูกต้องทั้งหมด “ต้าเว่ยพ่อไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ที่จริงทางฝั่งสะใภ้ตระกูลหลิวเองก็ทำการค้า และแม้ว่าจะไม่ได้ร่ำรวยและกว้างขวางเท่ากับตระกูลลู่แต่ว่าก็พอที่จะช่วยเหลือได้”“นี่พวกเราจะไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยเหรอครับ ค่าเสียหายตระกูลลู่ก็ยินดีที่จะจ่ายให้กองทัพโดยไม่ได้เรียกร้องหรือต่อรองอะไรเลยสักนิดอีก ทั้งพวกเขายังสูญเสียหัวหน้าตระกูลไปกับเหตุการณ์ครั้งนี้ แต่กองทัพกลับตอบแทนโดยที่ทิ้งพวกเขาเพราะว่าตระกูลลู่ช่วยเหลือกองทัพไม่ได้แล้วงั้นเหรอครับ”“เฮ้อ… แต่ว่ายาที่ต้องใช้กองทัพก็จำเป็นเร่งด่วน”“แล้วยังไงครับ ครั้งก่อนคุณพ่อก็มาคุยกับผมแบบนี้ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าผมไม่ได้เต็มใจหมั้นแต่พ่อก็อ้างว่าเพื่อกองทัพและเพื่อประเทศชาติ มาตอนนี้ผมกับเหม่ยหลินหมั้นหมายกันแล้วคุณพ่อกลับจะให้ผมทิ้งเธอเพื่อไปขอความช่วยเหลืออีกตระกูลหนึ่งงั้นเหรอครับ ผมทำไม่ได้ครับและขอปฏิเสธ”“ต้าเว่ย แต่ว่าหากว่าทางตระกูลลู่ยินยอมล่ะ”“คุณย่าครับ!! ผมรู้ว่าคุณย่าชื่นชอบซ