เจ้าสาวในชุดกี่เพ้าเต็มรูปแบบพิธีการสีแดงค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับแขกในงานที่รีบหันไปดูก่อนที่เฉินหยวนลี่จะเดินมาเปิดประตูให้กับเจ้าบ่าวลงมาจากรถ
ทันทีที่หมอเฉินในชุดสูทสีดำเนคไทแดงติดเข็มกลัดเจ้าบ่าวกางเกงสีดำเดินลงมาก็สะกดทุกสายตาให้หันไปมองโดยเฉพาะ “ลู่รุ่ยถิง” ที่ตกตะลึงกับความหล่อของว่าที่พี่เขยในทันที
“แม่… นั่นคือ”
“หมอเฉินยังไงล่ะ เฉินต้าเว่ยคุณชายรองตระกูลเฉิน”
“เขาหล่อจังเลย ที่จริงแล้วหนูก็แต่งกับเขาได้ใช่ไหมคะถ้าพี่รองยอมเพราะตามธรรมเนียมแล้วผู้ชายมีเมียหลายคนได้ไม่ใช่เรื่องแปลก”
“จะบ้าเหรอคิดอะไรแบบนั้น”
“ก็…. หนูว่าเขาดูดีออกนี่คะอีกอย่างเขาเป็นถึงคุณหมอและตระกูลเฉินก็ยังเป็นตระกูลทหารที่เก่าแก่มีชื่อเสียง”
“อยากเป็นเมียน้อยเหมือนแม่เหรอ แกเลิกคิดเรื่องบ้า ๆ นี้ไปได้เลยแม่ไม่มีทางยอมให้แกเป็นเบี้ยล่างนังลูกเมียใหญ่นั่นอีกหรอก”
แต่ลู่รุ่ยถิงกลับไม่ได้คิดแบบนั้น เธอไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนที่น่ามองและมีเสน่ห์เท่ากับเฉินต้าเว่ยมาก่อนเลย เขาทั้งดูดี หล่อและดูเป็นผู้ใหญ่ เมื่อหยวนลี่ยื่นช่อดอกไม้ให้เฉินต้าเว่ยก็เดินเข้าไปข้างในตรงที่โต๊ะพิธีหมั้นที่มีเจ้าสาวของเขานั่งอยู่
วันนี้เธอก็ยังคงนิ่งจนเขานึกแปลกใจที่เธอไม่ลุกขึ้นมาโวยวาย แต่กลับเป็นเขาเองที่หัวใจเต้นแรงเมื่อเห็นคู่หมั้นของเขาในชุดกี่เพ้าสีแดงและแต่งหน้าเข้ากับชุดพร้อมกับเก็บผมรวบขึ้นเผยให้เห็นใบหน้าที่ดูสวยเกินกว่าจะบรรยายออกมาได้
“ผมขอโทษที่มาช้า”
เขากระซิบบอกเธอที่หันมามองเขาด้วยใบหน้าที่นิ่งพอ ๆ กันกับเขาซึ่งแม้แต่หยวนลี่ก็แปลกใจกับท่าทีนี้ของคุณหนูรองตระกูลลู่อยู่ไม่น้อยเพราะเธอไม่เพียงแต่ไม่ว่าเขา แต่กลับตอบพี่รองของเขาเพียงไม่กี่คำ
“ไม่เป็นไรค่ะ รีบทำให้จบพิธีเถอะฉันนั่งจนเหน็บจะกินอยู่แล้ว”
เมื่อพิธีเริ่มเฉินต้าเว่ยจึงได้ค่อย ๆ บรรจงสวมแหวนให้คู่หมั้นตรงหน้า ส่วนเธอเองก็จับแหวนมาสวมให้เขาด้วยเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าแหวนที่เธอสวมให้เขาพอดีกับนิ้ว แต่แหวนที่เขาสวมให้เธอกลับใหญ่กว่านิ้วไปเล็กน้อยทำให้เขารู้สึกผิดมากขึ้นไปกว่าเดิม
“ขอโทษนะคือผมคิดว่าวัดมาพอดีแล้ว คุณผอมลงเหรอ”
“ไม่เป็นไรค่ะฉันไม่ถือ”
ท่าทีวางเฉยของคู่หมั้นสาวทำให้เขาเกรงใจและรู้สึกผิดมากจนจุกขึ้นมาถึงคอ เขาไม่ได้ลืมเวลาแต่ภารกิจที่โรงพยาบาลยุ่งมากจนแทบจะเตรียมตัวไม่ทัน โชคดีที่งานหมั้นจัดแบบเรียบง่ายและเชิญเพียงแค่ญาติสนิท เมื่อพิธีหมั้นจบลงอย่างเรียบร้อย คู่บ่าวสาวส่งแขกจนเสร็จแล้วเฉินต้าเว่ยก็จะขอตัวกลับทันทีเธอจึงเดินมาส่งเขาที่รถ
“ขอบคุณนะคะที่มา กลับดี ๆ นะคะ”
“คือว่า…”
“พี่รองคะ ไม่คิดจะแนะนำให้หนูรู้จัก…พี่ชายบ้างเหรอคะ”
ลู่เหม่ยหลินหันไปมองหน้ารุ่ยถิงและหันมามองคู่หมั้นของตัวเองที่ยืนข้าง ๆ เธอและเข้าใจได้ทันที รุ่ยถิงคงจะถูกใจคู่หมั้นของเธอเข้าเสียแล้วสินะ
“หมอเฉินคะ…”
“ผมกับคุณเป็นคู่หมั้นกันแล้ว คุณควรเรียกผมว่าพี่ต้าเว่ยได้แล้ว ว่าแต่อาหลิน…เธอคนนี้เป็นใครเหรอ”
เพียงแค่เขาเรียกเธอว่าอาหลินเธอก็เริ่มหัวใจเต้นแรงจนแทบจะทำอะไรไม่ได้เมื่อเขาหันมามองเธออีกครั้ง
“เอ่อ นี่ลู่รุ่ยถิงลูกสาวแม่เล็กของฉันค่ะ”
“สวัสดีค่ะพี่ต้าเว่ยฉันเป็นน้องพี่เหม่ยหลินค่ะ เรียกว่าอาถิงก็ได้ค่ะ”
“สวัสดีครับคุณหนูเล็กลู่ คุณเรียกผมว่าหมอเฉินน่าจะเหมาะสมกว่านะครับเพราะเราไม่ได้คุ้นเคยกันขนาดนั้นผมไม่ค่อยสะดวกให้ใครเรียกด้วยชื่อ อาหลินวันนี้ผมต้องรีบกลับไปที่โรงพยาบาล ถ้ายังไงอีกสามวันจะมีงานเลี้ยงวันเกิดคุณย่าที่บ้านอยู่แล้ว เอาไว้ผมจะมารับคุณ”
รุ่ยถิงถึงกับหน้าถอดสีเพราะไม่คิดว่าต้าเว่ยจะหักหน้าเธอแบบนี้ คิดไม่ถึงเลยว่าจะยอมเรียกเหม่ยหลินว่าอาหลินแต่เขากลับไม่ยอมเรียกเธอว่าอาถิงและไม่ให้เธอเรียกเขาว่าพี่ต้าเว่ยอีกด้วย
“ค่ะ คุณป้าบอกฉันแล้วค่ะ”
“คุณควรเรียกท่านว่าคุณแม่ได้แล้วนะ”
“เอ่อ คือว่าฉันยังไม่ค่อยชินค่ะ”
“ก็เริ่มชินได้แล้ว เอาล่ะผมกลับก่อนนะเอาไว้จะโทรมาบอกเวลานัด”
“ค่ะ แล้วชุดของคุณ"
“เดี๋ยวกลับไปเปลี่ยนที่โรงพยาบาล”
“ถ้าอย่างนั้นก็ขับรถดี ๆ นะคะ”
“จริงสิอาหลิน"
เธอหันมามองเขาอีกครั้งด้วยความแปลกใจ
“คะ คุณยังมีอะไรอีกเหรอคะ”
“แหวนนั่นเอาไว้ผมจะเปลี่ยนให้ใหม่นะ ผมขอโทษด้วยที่ไม่ได้ไปเลือกกับคุณก่อนที่จะถึงวันหมั้น ผมไปก่อนนะ”
“ไปก่อนนะครับพี่สะใภ้รอง”
“ขับรถดี ๆ นะคะพี่หยวนลี่”
“ครับผม”
ประตูปิดลงโดยที่ไม่มีใครสนใจรุ่ยถิงที่ยืนอยู่ข้างหลังเหม่ยหลินเลยสักคน ครั้งนี้รุ่ยถิงนับว่าเสียหน้าอีกครั้งเมื่อรถของเจ้าบ่าวค่อย ๆ เคลื่อนออกไปจากบ้านตระกูลลู่
“พี่รองคะ”
เหม่ยหลินหันมามองน้องสาวต่างแม่ที่ยืนรออยู่
“มีอะไรเหรอ”
“พี่คิดว่าผู้ชายมีเมียได้กี่คน แล้วถ้าหากว่าผู้ชายหนึ่งคนแต่งกับผู้หญิงที่เป็นพี่น้องเข้าบ้านไปพร้อมกันพี่ว่าจะผิดไหมคะ”
เหม่ยหลินยืนยิ้มอยู่กับคำถามที่รุ่ยถิงถามออกมา นี่เธอไม่คิดจะปิดบังความคิดแบบนี้เลยเหรอ แม้ว่าสมัยนี้การที่ผู้ชายแต่งภรรยาหลายคนจะยังเป็นที่ยอมรับอยู่แต่หากเป็นเธอที่จะต้องใช้สามีร่วมกับคนอื่นโดยเฉพาะกับคนที่พึ่งถามนี่แล้วล่ะก็คงเลือกอยู่เป็นโสดเสียดีกว่า
“ผิดก็คงไม่ผิดหรอกมันขึ้นอยู่กับว่า…”
“อะไรเหรอ ขึ้นอยู่กับว่า…อะไรรีบพูดสิ”
“ขึ้นอยู่กับว่าผู้ชายเขาจะยอมรับไหม พูดง่าย ๆ ก็คือถ้าผู้ชายเขาไม่เอาต่อให้พยายามยังไงเขาก็ไม่สนยังไงล่ะ”
รุ่ยถิงหมดความอดทนกับคำถากถางนี้แล้วก่อนที่จะเริ่มแผดเสียงออกไป
“ก็ไม่ใช่เพราะความพยายามนี่เหรอเขาถึงได้ยอมมาหมั้นด้วย นี่ก็ไม่ต่างกับบังคับแค่ไม่กล้ายอมรับเท่านั้น”
“อาถิง!! กล้าดียังไงพูดออกมาแบบนี้”
“ทำไมละคะหนูพูดเรื่องจริง ถ้าพี่รองไม่บังคับมีเหรอคุณหมอเฉินจะยอมหมั้น ถ้าพ่อไม่ยื่นเงื่อนไขช่วยเหลือชาตินี้อย่าหวังว่าจะมีใครมาสู่ขอคนอย่างพี่ไปทำเมียเลย”
“อาถิง!!” / หว่านเจิน
“เพี๊ยะ!!”
หว่านเจินและคนที่เหลือในงานตกใจเมื่อฝ่ามือของลู่ตานถงฟาดไปที่หน้าของลูกสาวคนเล็กที่ก่อเรื่องอยู่ตรงหน้างาน แม้ว่าจะเหลือแค่พ่อกับแม่ของฝ่ายชายแต่สิ่งที่ไม่ควรได้ยินกลับออกมาจากปากของลูกสาวคนเล็กที่ไม่ได้เรื่องคนนี้
“พ่อ! นี่พ่อตบหนูเหรอคะ”
“แกมันไม่รู้จักอาย รู้หรือเปล่าว่าที่พูดออกมานั่นมันคืออะไร”
“หนูพูดความจริง ถ้าไม่ใช่เพราะข้อแลกเปลี่ยนเธอจะมีคนมาสู่ขอเหรอพ่อเองก็ยอมรับเถอะค่ะ พี่รองเอาแต่วิ่งตามคุรหมอเฉินมาตลอดมีใครในกวางโจวจะไม่รู้บ้าง”
“นี่แกยังกล้าพูดอีกงั้นเหรอ”
“คนที่เอาแต่แต่งตัวไปวัน ๆ แม้แต่ใบจบการศึกษาก็ซื้อมามีค่าอะไรให้คนมาสู่ขอ”
“มีสิจ้ะ”
รุ่ยถิงต้องตกใจเพราะเธอลืมไปแล้วว่าพ่อแม่ของเฉินต้าเว่ยยังอยู่ข้างใน นายพลเฉินในชุดเครื่องแบบเดินออกมาพร้อมกับภรรยา เขาไม่ชอบว่าที่ลูกสะใภ้คนนี้ก็จริงแต่เมื่อเทียบกับลูกคนเล็กตระกูลลู่นี่แล้ว เขารู้สึกว่าลูกชายเลือกแต่งถูกคนแล้ว
“คือว่า… คือ…”
“คุณป้าคะ ขอโทษด้วยนะคะที่ต้องมาได้ยินเรื่องแบบนี้”
“อาหลินจากนี้เราก็เป็นครอบครัวเดียวกันครึ่งหนึ่งแล้ว หนูเลิกเรียกว่าป้าเถอะ ต้องเรียกคุณพ่อคุณแม่แล้วนะ”
รุ่ยถิงมองด้วยสายตาริษยา แม้แต่หว่านเจินเองก็เริ่มกันคำพูดของลูกตัวเองไม่อยู่ ด้วยนิสัยลูกคนเล็กและมีเรื่องกับเหม่ยหลินมาตั้งแต่เล็ก เธอเองก็ไม่ได้ต่างกับลู่เหม่ยหลินก่อนหน้านี้เช่นกัน เย่าหยางรีบบอกให้แม่เล็กพาเธอออกไปแต่กลายเป็นคุณนายเฉินที่หันไปมองสองแม่ลูกและยิ้มแบบผู้ดีส่งไปให้
“หนูจ้ะป้าจะบอกด้วยตัวเองอีกครั้ง เรื่องการหมั้นหมายครั้งนี้ ป้าเป็นคนทาบทามสู่ขอหนูเหม่ยหลินให้ต้าเว่ยด้วยตัวเอง ส่วนลูกชายป้าก็เป็นคนเลือกเองว่าจะแต่งกับเหม่ยหลิน ไม่ได้มีเงื่อนไขหรือการบังคับอื่น ๆ อย่างที่หนูพูด เข้าใจเสียใหม่ด้วยนะจ๊ะ”
รุ่ยถิงหน้าชาเหมือนกับถูกลากมาตบจนไม่มีความรู้สึก เธอแทบจะควบคุมสติไม่อยู่เมื่อนายพลเฉินและภรรยาเดินไปขึ้นรถโดยมีเหม่ยหลินและพ่อกับแม่เดินไปส่ง พี่ใหญ่เย่าหยางหันมามองเธอด้วยสายตาที่เคยใช้กับเหม่ยหลินมาก่อน สายตาของความโมโหและสมเพช“พี่คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะทำตัวแบบนี้ในวันสำคัญ อาถิงเธอโตแล้วนะการที่จะพูดอะไรควรจะคิดให้มากกว่านี้ แม่เล็กครับถ้าครั้งหน้ายังมีเหตุการณ์แบบนี้อีกระวังนะครับว่าพวกคุณจะไม่ได้อะไรจากตระกูลลู่เลยแม้แต่อย่างเดียว”“พี่ใหญ่ลำเอียง พี่ใหญ่เข้าข้างแต่พี่รอง”เขาได้ยินคำแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว แต่ครั้งนี้แค่เปลี่ยนจากเหม่ยหลินกลายเป็นรุ่ยถิงแทน“อาถิงลองกลับเอาไปคิดดูว่าสิ่งที่คุณพ่อลงโทษไป สิ่งที่พี่พูดผิดหรือเปล่า อีกอย่างคุณนายเฉินก็เป็นคนพูดออกมาแล้วเรื่องนี้ยังขายหน้าไม่พออีกเหรอ แม่เล็กพาเธอกลับไปสงบสติอารมณ์เถอะครับ เรื่องการลงโทษคุณพ่อคงจะสั่งไปทีหลังช่วงนี้ก็งดมาที่ตึกใหญ่สักพักเถอะครับ”“อาหยาง คือว่าน้องยังเด็กอย่าถือสาแกเลย”“เธออายุยี่สิบสองแล้วนะครับ เรียนเกือบจะจบมหาลัยถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว ถ้าแม่เล็กยังเอาแต่เหตุผลนี้มาอ้างผมว่าคนที่จะเดือดร้อนใ
เฉินต้าเว่ยเดินมาพร้อมกับแฟ้มในมือและใบหน้าที่ค่อนข้างบูดบึ้งนิดหน่อยเมื่อเดินเข้ามาหาเธอและโจเซฟที่กำลังจะเดินไปที่โต๊ะของเจ้าหน้าที่“คุณหมอเฉิน เอ่อ…. พี่ต้าเว่ย”“ต้าเว่ย คุณคือคุณหมอเฉินต้าเว่ย ผมโจเซฟหมอคนใหม่ที่จะมารายงานตัว”ต้าเว่ยหันมามองที่ฝรั่งตัวโตข้าง ๆ เธอ ที่ยื่นมือมาจับมือกับเขาก่อนจะถามไถ่อีกฝ่ายด้วยความดีใจด้วยภาษาอังกฤษเช่นกัน“คุณโจเซฟ ยินดีมากครับผมคิดว่าคุณจะมาถึงอีกสองวันข้างหน้าเสียอีก ไม่คิดว่าจะมาถึงก่อนกำหนด”“โอ้ว ผมคิดพิเรนทร์นิดหน่อยน่ะสิก็เลยเดินเล่นมาเรื่อย ๆ จนหลงทาง โชคดีที่เจอไมลี่ย์ระหว่างทางเธอเลยอาสามาส่งเธอน่ารักมาก ๆ ว่าแต่พวกคุณรู้จักกันมาก่อนเหรอครับ”“คือว่าตอนนี้คุณก็ได้พบกับคุณหมอแล้ว ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวก่อนนะคะหมอโจว”“โอ้ ขอบใจมากไมลี่ย์”โจเซฟไม่รั้งรอเขายื่นมือออกไปให้เธอจับ เหม่ยหลินจับมือเขาก่อนที่จะหันไปมองต้าเว่ยที่มองเธอด้วยความตกใจเพราะเขาไม่คิดว่าเธอจะพูดภาษาอังกฤษได้คล่องถึงขนาดนี้“คือว่าออกมานานแล้ว ตอนนี้ทิ้งอาหงไว้ถ้าอย่างนั้น…”“คุณรอผมอยู่นี่เดี๋ยวผมมา นั่งรอตรงนั้นอย่าไปไหนเดี๋ยวผมจะเดินไปส่ง”“แต่ว่าฉันมากับอาหง”“ผมบอ
วันถัดมา “พอแล้วอาหง อันนี้ไม่เอาเยอะเกินไป อันนี้ก็ใหญ่ไป สวมสร้อยคอเล็ก ๆ ก็พอนี่มันงานเลี้ยงในบ้านนะ”“แต่ว่าคุณนายบอกว่าให้คุณหนูสวมเครื่องเพชรชุดนี้นะคะจะได้ไม่น้อยหน้าคนอื่น”“แค่ชุดขนเฟลอร์นี่ก็หนักจะตายอยู่แล้วอย่าเอาอะไรมาสวมให้มากเลย เอาต่างหูคู่เก่ามา”“แต่ชุดนี้เคยใส่ไปแล้วนะคะ”“ใส่แล้วก็ใส่ได้อีกทำไมล่ะ มันเบาที่สุดแล้ว”ไม่นานเสียงแตรรถยนต์ก็ดังขึ้นมาจากหน้าบ้าน รถของเฉินต้าเว่ยค่อย ๆ ขับเข้ามาในบ้านเพื่อมารับเธอตามเวลานัด ที่จริงต้องบอกว่าวันนี้เขามาถึงก่อนเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง“ตานี่ก็รีบเกินไปแล้วนี่มันยังไม่ถึงเวลาสักหน่อย เร็ว ๆ เข้าอาหงกระเป๋าฉันล่ะ กล่องนั่นด้วยอย่าลืมยกไป”“ได้ค่ะ ๆ”เหม่ยหลินส่องกระจกตรวจดูความเรียบร้อยก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป อาหงเดินไปเปิดประตูและเดินตามเธอลงไป หมอเฉินนั่งรออยู่ที่โซฟาชั้นล่างเมื่อเธอเดินลงมาเขาก็เหมือนตกอยู่ในภวังค์อีกครั้ง ดูเหมือนว่าคู่หมั้นของเขาจะสวยขึ้นในทุก ๆ ครั้งที่พบเธอ หรืออาจจะเป็นเพราะท่าทางที่นิ่งและดูสง่างามผิดกับเมื่อก่อนละมั้ง เธอเองก็มองมาที่เขาแล้วรู้สึกวูบวาบขึ้นมาที่หัวใจเหมือนกัน คุณหมอในชุดสูทสีดำเรี
เฉินต้าเว่ยหันมามองคุณย่าของเขา แม้ว่าจะเป็นหลานชายแต่เมื่อถูกเขามองเช่นนี้คุณย่าโจก็แอบหลบตาไปเหมือนกัน“จริงสิซีอิ๋งมาพอดีเลย ย่ากำลังจะดูของขวัญที่ตระกูลลู่นำมาให้หนูมานั่งใกล้ ๆ ย่าก่อนสิ ทักทายพี่เขาหน่อย”“หลิวซีอิ๋ง” หันมายิ้มให้กับเฉินต้าเว่ยและทักทายทันทีแม้ว่าเธอจะแอบเห็นว่าเขาจับมือกับลู่เหม่ยหลินอยู่ก็ตาม“สวัสดีค่ะพี่เว่ย ขอโทษทีนะคะที่ซีอิ๋งมาช้าพอดีว่าพึ่งจะกลับมาจากมหาลัยแต่คิดถึงคุณย่ามากไปหน่อยก็เลยเผลอเสียมารยาทไป สวัสดีค่ะคุณคือ….”“สวัสดีค่ะลู่เหม่ยหลินค่ะ”“สวัสดีค่ะคุณลู่ คุณย่าคะวันนี้ซีอิ๋งนำของขวัญมาให้คุณย่าด้วยเปิดได้เลยนะคะ”“โอ้ว แค่มาก็ดีแล้วยังจะลำบากหาของขวัญมาเอาใจคนแก่อีกเด็กคนนี้นี่ ไหน ๆ เอามา ๆ”“คุณย่าเปิดเลยนะคะ”“อะไรนะ จะดีเหรอให้เปิดเลยเหรอ”“เปิดเลยสิคะซีอิ๋งอยากให้คุณย่าดีใจค่ะ ซีอิ๋งตั้งใจเลือกมาด้วยตัวเองเลยนะคะ”“ได้สิ มา ๆ เปิดเลยก็แล้วกัน”ทุกคนต่างก็ลุ้นว่าสิ่งที่เธอนำมาเป็นของขวัญให้กับคุณย่าโจคืออะไรเมื่อเปิดออกมาก็พบว่ามันคือผ้าคลุมขนมิ้งค์ที่หายากและมีราคาค่อนข้างสูงแต่เรื่องความสวยงามแล้วไม่มีใครจะปฏิเสธได้จริง ๆ สิ่งนี้เรียกเสีย
คนในงานเริ่มหันมามองหน้าหลิวซีอิ๋งที่นั่งทำหน้าตกใจและนิ่งงันไปเพราะเธอไม่เคยคิดว่าคนอย่างต้าเว่ยจะกล้าดุเธอต่อหน้าแขกในงานเลี้ยงแบบนี้ และไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเมื่อเธอหันไปมองที่คุณย่าซึ่งตอนนี้เอาแต่สนใจเพียงกล่องของขวัญของเหม่ยหลินก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกเสียหน้ามากกว่าเดิม“พี่เว่ย… หมายความว่ายังไงคะที่ของขวัญของน้องที่มอบให้คุณย่าจะเป็นอันตราย”“คุณบอกว่าคุณเป็นห่วงคุณย่าแต่กลับมอบผ้าคลุมขนสัตว์มาให้ คุณไม่รู้เหรอว่าคุณย่าเป็นโรคภูมิแพ้ขนสัตว์ทุกประเภท แค่ได้กลิ่นหรือจับก็จะจามไม่หยุดจนอาจจะทำให้อาการกำเริบจนหัวใจวายได้”หลิวซีอิ๋งเบิกตากว้างเพราะตกใจเมื่อต้าเว่ยพูดจบ คนในงานเริ่มกระซิบกระซาบอีกครั้ง นายพลเฉินและแม่เฉินรีบเดินเข้ามาจับแขนลูกชายเอาไว้เพื่อให้เขาสงบอารมณ์ ส่วนย่าโจตอนนี้เอาแต่ดมยาดมที่เหม่ยหลินให้เพื่อบรรเทาอาการวิงเวียนเมื่อได้กลิ่นเสื้อคลุม แต่ที่ย่าโจไม่พูดออกมาเพราะไม่อยากให้ตระกูลหลิวและซีอิ๋งเสียหน้า“คือว่า… ซีอิ๋งคิดว่า…มันเหมาะกับคุณย่า”“ปากคุณบอกว่าเป็นห่วงคุณย่า คิดถึงจนทนไม่ไหวเดินพรวดพราดเข้ามาโดยไม่มีมารยาทและมอบสิ่งที่คุณย่าแพ้อย่างเสื้อขนสัตว์นี้มาให้
“พี่เว่ย…”ต้าเว่ยเดินเข้าไปข้างในแล้วโดยไม่ได้รอ เขารู้สึกหงุดหงิดกับซีอิ๋งมาสองสามครั้งแล้วในคืนนี้โดยเฉพาะตอนที่เธอพยายามหักหน้าคู่หมั้นเขาต่อหน้าคุณย่าและแขกในงานเลี้ยง“คุณย่าครับ”“อ้าวต้าเว่ยมาแล้วเหรอ แล้วซีอิ๋งล่ะ”“คุณย่ามีอะไรเหรอครับทำไมให้คนไปเรียกผมมา”“คือว่าย่าน่ะไม่อยากให้เราโกรธซีอิ๋งมาก เธอยังเด็กก็เลยไม่รู้ว่าชุดนั่นจะทำให้ย่าแพ้ อย่าไปถือสาน้องเลยนะ”“ที่คุณย่าเรียกผมมาเพราะเรื่องนี้เหรอครับ”“ก็ใช่ ย่ารู้ว่าหลานหมั้นหมายกับเหม่ยหลินไปแล้วแต่หลานก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าผู้ชายก็สามารถมีภรรยาหลายคน…”“คุณย่าครับ ตอนนี้ผมไม่อยากคุยเรื่องนี้”“ต้าเว่ย ย่าก็แค่อยากจะพูดแค่นี้ทำไมต้องโกรธด้วยล่ะ”“ถ้าวันนี้คนที่มอบชุดขนสัตว์ให้คุณย่าเป็นลู่เหม่ยหลิน คุณย่าจะรู้สึกยังไงครับ”“ย่า….”“คุณย่าคงโกรธจนอยากจะไล่เธอออกจากงานเลี้ยงเลยสินะครับ แต่เพราะวันนี้คนที่ให้เป็นหลิวซีอิ๋ง คุณย่าเลยไม่โกรธและพยายามกดอาการจามของตัวเองเอาไว้ สุดท้ายก็ได้ยาดมที่เหม่ยหลินเอามาให้ช่วยแก้สถานการณ์”“ต้าเว่ยคือว่าย่าไม่ได้...” “ถามว่าทำไมผมต้องโกรธนั่นเพาะผมเป็นหมอและรู้ดีว่าอาการของคุณย่าเป็นยังไง จ
ครั้งนี้กลายเป็นซีอิ๋งที่นั่งนิ่งและกำหมัดแน่นและมองไปที่เหม่ยหลินพร้อมกับยิ้มให้ ส่วนเหม่ยหลินก็หันมายิ้มเย็น ๆ ตอบกลับไปเช่นกัน เธอไม่ลาพ่อแม่ของตระกูลหลิวเพราะคิดว่าในเมื่อพวกเขาไม่ให้เกียรติเธอ ตัวเธอก็ไม่จำเป็นจะต้องให้เกียรติคนพวกนี้เช่นกัน เมื่อเดินออกมาข้างนอกต้าเว่ยจึงรีบดึงมือเธอเอาไว้“อาหลินเดี๋ยวก่อนสิ”แต่อารมณ์ของเธอตอนนี้ไม่อยากทำอะไรนอกจากกลับบ้านและไปพักผ่อน คืนนี้เธอเหนื่อยมากแล้วจริง ๆ ที่ต้องมาที่นี่และรับมือกับหลาย ๆ คน แม้ว่าจะมีเขาคอยช่วยแต่เธอไม่รู้ว่าตัวเองจะทนกับเรื่องจอมปลอมนี้ได้อีกนานแค่ไหน“มีอะไรคะคุณหมอ”“เมื่อกี้คุณยังเรียกว่าพี่ต้าเว่ยอยู่เลย ตอนนี้เรียกผมคุณหมออีกแล้วงั้นเหรอ”“แล้วตกลงมีอะไรคะ”“คือผมกับซีอิ๋งเราสองคนไม่ได้มีอะไรกันนะ ซีอิ๋งแค่สนิทกับคุณย่าและพ่อของเธอก็เป็น…”“ช่างเถอะค่ะ คุณก็ไม่ได้ทำอะไรที่ผิดต่อฉันสักหน่อย รีบพาฉันกลับบ้านเถอะค่ะคืนนี้ฉันเหนื่อยแล้วจริง ๆ”เธอเบือนหน้าหลบเขาอีกครั้ง ต้าเว่ยรู้ว่าเธอคงจะเหนื่อยมากจริง ๆ ที่ต้องมาพบกับหลาย ๆ คนที่นี่ในคืนนี้ ที่จริงแล้วเขาค่อนข้างชื่นชมที่เธอรับมือคุณย่าของเขาได้อย่างอยู่หมัดซึ่ง
“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แต่ว่ายังไงก็หมั้นหมายกันแล้วนะ เท่าที่พี่ดูอาการของเขาดูจะกังวลใจมากเลยยังไงก็ค่อย ๆ คุยกันนะดูแล้วหมอเฉินคงจะสนใจความรู้สึกเราไม่น้อยเลยล่ะ”“อะไรกันเรื่องแค่นี้ก็ต้องไปคุยกับพี่ใหญ่ด้วย”“พี่ไปแล้วนะขอบใจมากสำหรับชาและขนมที่ฝากไปให้อาเซียง”“เดินทางปลอดภัยนะคะ”เย่าหยางขึ้นเรือไปแล้วส่วนเหม่ยหลินก็นั่งรถกลับบ้านไปพร้อม ๆ กับพ่อแม่ของเธอ ตั้งแต่คืนที่ต้าเว่ยมาส่งเธอที่บ้านในวันนั้นเขาก็ไม่เคยมาหาเธออีกเลย แม้ว่าจะมีโทรมาบ้างแต่เธอก็ไม่ได้รับสายเขา“ลูกกับต้าเว่ยทะเลาะกันเหรอ”“เปล่านี่คะคุณแม่คิดมากไปแล้ว”“แล้วทำไมไม่ยอมรับสายพี่เขาล่ะ นี่ครั้งที่สองแล้วที่พี่เขาโทรมาหาแต่หนูเอาแต่หนี”“ไม่ได้หนีสักหน่อย บัญชีที่ร้านยังคิดไม่เสร็จแม่ก็รู้ว่าตั้งแต่พี่ใหญ่กลับไปก็ยุ่งมากขนาดไหน”“แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะหลบหน้า...”“กริ๊ง……”เสียงโทรศัพท์ในบ้านดังขึ้น เหม่ยหลินจึงรีบวิ่งออกจากบ้านทันที“แม่คะลืมไปเลยว่าหนูจะไปซื้อของกับอาหงไปก่อนนะคะ”“เดี๋ยวสิ ลูกคนนี้นี่”แต่เมื่อแม่ของเธอรับสายกลับเป็นเพื่อนของคุณแม่ที่ไม่ได้เจอกันนานแล้ว เหม่ยหลินเดินออกมาพร้อมกับชวนอาหงขี่จักรยานไ