รุ่ยถิงหน้าชาเหมือนกับถูกลากมาตบจนไม่มีความรู้สึก เธอแทบจะควบคุมสติไม่อยู่เมื่อนายพลเฉินและภรรยาเดินไปขึ้นรถโดยมีเหม่ยหลินและพ่อกับแม่เดินไปส่ง พี่ใหญ่เย่าหยางหันมามองเธอด้วยสายตาที่เคยใช้กับเหม่ยหลินมาก่อน สายตาของความโมโหและสมเพช
“พี่คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะทำตัวแบบนี้ในวันสำคัญ อาถิงเธอโตแล้วนะการที่จะพูดอะไรควรจะคิดให้มากกว่านี้ แม่เล็กครับถ้าครั้งหน้ายังมีเหตุการณ์แบบนี้อีกระวังนะครับว่าพวกคุณจะไม่ได้อะไรจากตระกูลลู่เลยแม้แต่อย่างเดียว”
“พี่ใหญ่ลำเอียง พี่ใหญ่เข้าข้างแต่พี่รอง”
เขาได้ยินคำแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว แต่ครั้งนี้แค่เปลี่ยนจากเหม่ยหลินกลายเป็นรุ่ยถิงแทน
“อาถิงลองกลับเอาไปคิดดูว่าสิ่งที่คุณพ่อลงโทษไป สิ่งที่พี่พูดผิดหรือเปล่า อีกอย่างคุณนายเฉินก็เป็นคนพูดออกมาแล้วเรื่องนี้ยังขายหน้าไม่พออีกเหรอ แม่เล็กพาเธอกลับไปสงบสติอารมณ์เถอะครับ เรื่องการลงโทษคุณพ่อคงจะสั่งไปทีหลังช่วงนี้ก็งดมาที่ตึกใหญ่สักพักเถอะครับ”
“อาหยาง คือว่าน้องยังเด็กอย่าถือสาแกเลย”
“เธออายุยี่สิบสองแล้วนะครับ เรียนเกือบจะจบมหาลัยถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว ถ้าแม่เล็กยังเอาแต่เหตุผลนี้มาอ้างผมว่าคนที่จะเดือดร้อนในอนาคตก็คือตัวแม่เล็กกับอาถิงเอง คิดให้ดีนะครับ”
เขาเดินกลับเข้าไปในบ้านแล้ว หว่านเจินได้แต่คับแค้นในใจแม้ว่าจะรู้ว่าสิ่งที่เย่าหยางพูดจะจริงแต่ก็ยากที่จะยอมรับ ก่อนหน้านี้แม้ว่าเธอจะไม่ค่อยมีบทบาทแต่อย่างน้อยรุ่ยถิงก็ยังได้รับความสนใจจากพ่อกับพี่ชาย มาตอนนี้แม้แต่หางตาของทั้งคู่ก็มองรุ่ยถิงอย่างรังเกียจ
“กลับกันก่อนเถอะ”
“แม่คะ หนูผิดตรงไหนกันหนูพูดเรื่องจริง”
“พอเถอะ กลับไปก่อน”
“ทำไมพี่รองต้องได้แต่ของที่ดีกว่าหนูและยังได้แต่งงานกับคนดี ๆ ไม่ยุติธรรมเลยสักนิด”
“สักวันหนึ่งพวกมันจะต้องเสียใจเชื่อแม่สิ ผู้ชายคนเดียวแต่งพี่น้องเข้าบ้านพร้อมกันได้ เอาไว้แม่จะหาเวลาปรึกษาเรื่องนี้กับคุณพ่อดู”
“จริงนะคะแม่ หนูไม่เคยเห็นใครแล้วชอบเหมือนกับที่เห็นคุณหมอเฉินมาก่อนเลยค่ะ”
“กลับก่อนเถอะ”
สองแม่ลูกค่อย ๆ พากันเดินกลับบ้าน ไม่นานเมื่อทุกอย่างจัดการเสร็จแล้วลู่ตานถงกับฟางหยงก็เดินมานั่งคุยกัน
“คิดว่าเขาจะไม่มาเสียแล้วสิคะ คุณนายเฉินเองก็แทบจะเป็นลมอยู่แล้ว”
“เฮ้อ คนเป็นหมอก็ยุ่งแบบนี้แหละ คุณไม่เห็นหน้านายพลเฉินเหรอ เครียดยิ่งกว่าพวกคุณอีก แม้ว่าจะไม่ค่อยชอบที่จะดองกันแต่เขาจะทนเสียหน้าได้เหรอ”
“อาถิงไม่น่าทำขายหน้าตระกูลเฉินเลย เธอเป็นอะไรไปนะ”
“หึ ก็แค่เชื้อไม่ทิ้งแถวนั่นแหละ”
“คุณคะ”
“อาหยาง”
“ครับ”
“ให้คนไปบอกสองแม่ลูกนั่น จากนี้หากไม่มีเรื่องอะไรไม่ต้องมาที่ตึกใหญ่ กลับไปพักที่บ้านพักใกล้มหาลัยแล้วตัดเงินเดือนลงครึ่งหนึ่งหากว่าไม่พอก็ไปทำงานที่ร้านแลกเงินเอาถือเป็นการช่วยฝึกงานให้อาถิงไปในตัวด้วย”
“คุณคะ อาถิงยังเรียนอยู่นะคะทำแบบนี้จะไม่ดีมั้งคะ”
“หึ คุณไม่เห็นที่หล่อนทำวันนี้เหรอเด็กคนนี้หากไม่ลงโทษแรง ๆ เสียบ้างจะเคยตัวไปใหญ่ ดูอย่างอาหลินสิยังรู้จักโตเลยคุณไม่เห็นเหรอว่าวันนี้ทั้งงานพากันสั่นกลัวแต่ลูกเรากลับนิ่งเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
“นั่นสิครับ ผมยังกลัวว่าอาหลินจะลุกขึ้นมาโวยวายอย่างเดิมแต่เธอกลับนิ่งมาก นิ่งจนผมกลัวว่าเธอจะเป็นคนประกาศยกเลิกงานหมั้นเสียเอง”
สามคนพ่อแม่ลูกหันมามองหน้าก็รู้ว่าแต่ละคนคิดแบบเดียวกัน ไม่ใช่แค่พวกเขาแต่ตระกูลเฉินทั้งหมดก็เช่นกัน แต่ละคนที่เห็นว่าที่เจ้าสาวนั่งนิ่ง ๆ รอเจ้าบ่าวอยู่ก็เริ่มกลัวว่าลู่เหม่ยหลินจะเป็นฝ่ายขอยกเลิกงานหมั้นเสียเอง โชคดีที่เฉินต้าเว่ยมาทันเวลาผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายจึงโล่งใจ
“ตอนนี้ฉันไม่รู้เลยค่ะว่าอาหลินกำลังคิดอะไรอยู่ ความคิดของลูกไปไกลเกินกว่าฉันที่เป็นแม่จะรู้ได้แล้ว”
“อย่าว่าแต่คุณแม่เลยครับ ผมยังแปลกใจจนรับไม่ทันกับการเปลี่ยนไปของน้องรองครั้งนี้ และคิดไม่ถึงเลยว่าน้องเล็กจะกล้าทำแบบนี้ โชคดีที่แขกคนอื่น ๆ กลับไปหมดแล้ว”
“เฮ้อ… อาหลินโตขึ้นแล้วจริง ๆ ครั้งนี้หากหมอเฉินมาไม่ทันเธอคงจะรีบประกาศยกเลิกงานหมั้นเองแล้วล่ะ”
ทุกคนลงความเห็นเหมือนกันว่าตอนนี้ลู่เหม่ยหลินไม่ได้ดีใจแม้แต่น้อยที่ได้หมั้นหมายกับคุณชายรองตระกูลเฉินเหมือนก่อนหน้านี้ แต่กลับกลายเป็นลูกสาวคนเล็กที่หันมาชอบว่าที่พี่เขยของตัวเองจนทำเรื่องน่าอายขึ้นมา
สองวันถัดมา
เสียงโทรศัพท์ในบ้านตระกูลลู่ดังขึ้นก่อนที่เย่าหยางจะเป็นคนรับสาย หมอเฉินโทรมาหาเหม่ยหลินแต่ตอนนี้เธอออกไปซื้อของข้างนอกกับอาหง แม้ว่าเสียงของหมอเฉินจะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยแต่ก็ยอมฝากข้อความเอาไว้ว่าเขาจะไปรับเธอพรุ่งนี้ตอนห้าโมงเย็นเพื่อจะมางานวันเกิดคุณย่าของเขาที่บ้านตระกูลเฉิน
“ครับ ผมจะบอกอาหลินให้นะครับคุณหมอ”
“เอ่อ… ฝากบอกเธอว่าผมจะไม่ไปสายแน่นอนครับ”
“ครับ ผมจะบอกให้หมดทุกคำเลยครับ”
เขาวางหูก่อนจะหันไปยิ้มกับโทรศัพท์ คิดไม่ถึงว่าว่าที่น้องเขยจะเริ่มกลัวน้องสาวของเขาตั้งแต่พึ่งจะหมั้นหมายแบบนี้ ดูเหมือนว่าท่าทีใหม่ของลู่เหม่ยหลินจะทำให้หลายคนรอบ ๆ ตัวมองเธอเปลี่ยนไปแล้ว รวมถึงคู่หมั้นของเธอด้วย
ตลาดในเมือง
“อาหงไปซื้อแป้งข้าวเจ้าเพิ่มอีกหน่อยแล้วก็งาดำกับผงอบเชยเดี๋ยวไปเจอกันที่ร้านยาหรูเป่านะ”
“ค่ะคุณหนู”
เหม่ยหลินที่ออกมาซื้อของที่ตลาดบ่อย ๆ เริ่มคุ้นเคยกับเส้นทางที่นี่แล้วซึ่งแม้ว่าจะต่างจากชาติก่อนที่เธอเคยอยู่ ยังไม่มีรถโดยสารสาธารณะมากนักแต่บ้านของเธอมีรถยนต์ให้ใช้เธอจึงไม่เดือดร้อน
“ซ้อหวงฉันมาเอายาที่สั่งเอาไว้…”
เสียงของคนต่างชาติหน้าร้านที่ดังเข้ามาเบี่ยงความสนใจของเธอไปเล็กน้อย ภาพของชายตัวสูงล่ำน่าจะเป็นคนยุโรปเดินมาถามทางป้าที่ขายเครื่องขัดเงาหน้าร้านขายยา เมื่อฟังจากสำเนียงแล้วเธอจึงรู้ว่าเขาน่าจะมาจากอังกฤษ
“สวัสดีค่ะ มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าคะ” (ภาษาอังกฤษ)
“โอ้มายกอดขอบคุณพระเจ้าที่ยังมีคนฟังผมออก”
“มีอะไรที่ฉันพอจะช่วยได้ไหมคะ”
“คือว่าผมกำลังจะไปที่โรงพยาบาลนี้ คุณพอจะบอกทางผมได้ไหม”
“อ๋อได้ค่ะ คือว่าเส้นทาง… เอาแบบนี้นะคะ ที่นี่อยู่ไม่ไกลมากเดี๋ยวฉันจะเดินไปส่งคุณเอง”
“ขอบคุณ… ขอบคุณมาก ๆ สวรรค์มาโปรด ผมชื่อโจเซฟ วิทเทอร์บีร์ เป็นแพทย์คนใหม่ที่จะมาประจำอยู่ที่นี่ตามโครงการแลกเปลี่ยนของรัฐบาล”
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฉันชื่อลู่เหม่ยหลิน”
“เม่ย…. เหมย…เมยลิน”
“เหม่ย… หลิน”
“ชื่อคุณเรียกยากจัง ผมขอเรียกคุณว่า ไมลี่ย์ได้ไหม”
“ก็ได้ค่ะคุณโจเซฟ”
“คุณเรียกผมว่าโจวเฉยเฉย ๆ ก็พอครับ”
“ได้ค่ะ ถ้าอย่างนั้นเชิญทางนี้เลยค่ะ”
เธอพาโจเซฟเดินเข้าไปในโรงพยาบาลและคุยกับเขาได้ความว่าเขาคือหน่วยแพทย์ทหารที่มีข้อตกลงกับรัฐบาลจีนให้มาช่วยในโรงพยาบาลโดยมีสัญญาสามปีแต่เขามาก่อนเวลาเพราะอยากเรียนรู้วิถีชีวิตแต่คิดไม่ถึงว่ามันจะไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด
“ที่นี่แหละค่ะ ฉันจะพาคุณไปหาเจ้าหน้าที่นะคะ”
“ขอบใจคุณมากนะไมลี่ย์วันนี้ถ้าไม่ได้คุณช่วยผมคงจะแย่แน่ ๆ”
“ไม่ต้องเกรงใจค่ะฉันเองก็ไม่ได้ยุ่งอะไรมากค่ะเดี๋ยวฉันจะพาคุณไปที่….”
“อาหลิน คุณมาทำอะไรที่นี่ในเวลานี้แล้วเขาคือใครกัน”
เฉินต้าเว่ยเดินมาพร้อมกับแฟ้มในมือและใบหน้าที่ค่อนข้างบูดบึ้งนิดหน่อยเมื่อเดินเข้ามาหาเธอและโจเซฟที่กำลังจะเดินไปที่โต๊ะของเจ้าหน้าที่“คุณหมอเฉิน เอ่อ…. พี่ต้าเว่ย”“ต้าเว่ย คุณคือคุณหมอเฉินต้าเว่ย ผมโจเซฟหมอคนใหม่ที่จะมารายงานตัว”ต้าเว่ยหันมามองที่ฝรั่งตัวโตข้าง ๆ เธอ ที่ยื่นมือมาจับมือกับเขาก่อนจะถามไถ่อีกฝ่ายด้วยความดีใจด้วยภาษาอังกฤษเช่นกัน“คุณโจเซฟ ยินดีมากครับผมคิดว่าคุณจะมาถึงอีกสองวันข้างหน้าเสียอีก ไม่คิดว่าจะมาถึงก่อนกำหนด”“โอ้ว ผมคิดพิเรนทร์นิดหน่อยน่ะสิก็เลยเดินเล่นมาเรื่อย ๆ จนหลงทาง โชคดีที่เจอไมลี่ย์ระหว่างทางเธอเลยอาสามาส่งเธอน่ารักมาก ๆ ว่าแต่พวกคุณรู้จักกันมาก่อนเหรอครับ”“คือว่าตอนนี้คุณก็ได้พบกับคุณหมอแล้ว ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวก่อนนะคะหมอโจว”“โอ้ ขอบใจมากไมลี่ย์”โจเซฟไม่รั้งรอเขายื่นมือออกไปให้เธอจับ เหม่ยหลินจับมือเขาก่อนที่จะหันไปมองต้าเว่ยที่มองเธอด้วยความตกใจเพราะเขาไม่คิดว่าเธอจะพูดภาษาอังกฤษได้คล่องถึงขนาดนี้“คือว่าออกมานานแล้ว ตอนนี้ทิ้งอาหงไว้ถ้าอย่างนั้น…”“คุณรอผมอยู่นี่เดี๋ยวผมมา นั่งรอตรงนั้นอย่าไปไหนเดี๋ยวผมจะเดินไปส่ง”“แต่ว่าฉันมากับอาหง”“ผมบอ
วันถัดมา “พอแล้วอาหง อันนี้ไม่เอาเยอะเกินไป อันนี้ก็ใหญ่ไป สวมสร้อยคอเล็ก ๆ ก็พอนี่มันงานเลี้ยงในบ้านนะ”“แต่ว่าคุณนายบอกว่าให้คุณหนูสวมเครื่องเพชรชุดนี้นะคะจะได้ไม่น้อยหน้าคนอื่น”“แค่ชุดขนเฟลอร์นี่ก็หนักจะตายอยู่แล้วอย่าเอาอะไรมาสวมให้มากเลย เอาต่างหูคู่เก่ามา”“แต่ชุดนี้เคยใส่ไปแล้วนะคะ”“ใส่แล้วก็ใส่ได้อีกทำไมล่ะ มันเบาที่สุดแล้ว”ไม่นานเสียงแตรรถยนต์ก็ดังขึ้นมาจากหน้าบ้าน รถของเฉินต้าเว่ยค่อย ๆ ขับเข้ามาในบ้านเพื่อมารับเธอตามเวลานัด ที่จริงต้องบอกว่าวันนี้เขามาถึงก่อนเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง“ตานี่ก็รีบเกินไปแล้วนี่มันยังไม่ถึงเวลาสักหน่อย เร็ว ๆ เข้าอาหงกระเป๋าฉันล่ะ กล่องนั่นด้วยอย่าลืมยกไป”“ได้ค่ะ ๆ”เหม่ยหลินส่องกระจกตรวจดูความเรียบร้อยก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป อาหงเดินไปเปิดประตูและเดินตามเธอลงไป หมอเฉินนั่งรออยู่ที่โซฟาชั้นล่างเมื่อเธอเดินลงมาเขาก็เหมือนตกอยู่ในภวังค์อีกครั้ง ดูเหมือนว่าคู่หมั้นของเขาจะสวยขึ้นในทุก ๆ ครั้งที่พบเธอ หรืออาจจะเป็นเพราะท่าทางที่นิ่งและดูสง่างามผิดกับเมื่อก่อนละมั้ง เธอเองก็มองมาที่เขาแล้วรู้สึกวูบวาบขึ้นมาที่หัวใจเหมือนกัน คุณหมอในชุดสูทสีดำเรี
เฉินต้าเว่ยหันมามองคุณย่าของเขา แม้ว่าจะเป็นหลานชายแต่เมื่อถูกเขามองเช่นนี้คุณย่าโจก็แอบหลบตาไปเหมือนกัน“จริงสิซีอิ๋งมาพอดีเลย ย่ากำลังจะดูของขวัญที่ตระกูลลู่นำมาให้หนูมานั่งใกล้ ๆ ย่าก่อนสิ ทักทายพี่เขาหน่อย”“หลิวซีอิ๋ง” หันมายิ้มให้กับเฉินต้าเว่ยและทักทายทันทีแม้ว่าเธอจะแอบเห็นว่าเขาจับมือกับลู่เหม่ยหลินอยู่ก็ตาม“สวัสดีค่ะพี่เว่ย ขอโทษทีนะคะที่ซีอิ๋งมาช้าพอดีว่าพึ่งจะกลับมาจากมหาลัยแต่คิดถึงคุณย่ามากไปหน่อยก็เลยเผลอเสียมารยาทไป สวัสดีค่ะคุณคือ….”“สวัสดีค่ะลู่เหม่ยหลินค่ะ”“สวัสดีค่ะคุณลู่ คุณย่าคะวันนี้ซีอิ๋งนำของขวัญมาให้คุณย่าด้วยเปิดได้เลยนะคะ”“โอ้ว แค่มาก็ดีแล้วยังจะลำบากหาของขวัญมาเอาใจคนแก่อีกเด็กคนนี้นี่ ไหน ๆ เอามา ๆ”“คุณย่าเปิดเลยนะคะ”“อะไรนะ จะดีเหรอให้เปิดเลยเหรอ”“เปิดเลยสิคะซีอิ๋งอยากให้คุณย่าดีใจค่ะ ซีอิ๋งตั้งใจเลือกมาด้วยตัวเองเลยนะคะ”“ได้สิ มา ๆ เปิดเลยก็แล้วกัน”ทุกคนต่างก็ลุ้นว่าสิ่งที่เธอนำมาเป็นของขวัญให้กับคุณย่าโจคืออะไรเมื่อเปิดออกมาก็พบว่ามันคือผ้าคลุมขนมิ้งค์ที่หายากและมีราคาค่อนข้างสูงแต่เรื่องความสวยงามแล้วไม่มีใครจะปฏิเสธได้จริง ๆ สิ่งนี้เรียกเสีย
คนในงานเริ่มหันมามองหน้าหลิวซีอิ๋งที่นั่งทำหน้าตกใจและนิ่งงันไปเพราะเธอไม่เคยคิดว่าคนอย่างต้าเว่ยจะกล้าดุเธอต่อหน้าแขกในงานเลี้ยงแบบนี้ และไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเมื่อเธอหันไปมองที่คุณย่าซึ่งตอนนี้เอาแต่สนใจเพียงกล่องของขวัญของเหม่ยหลินก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกเสียหน้ามากกว่าเดิม“พี่เว่ย… หมายความว่ายังไงคะที่ของขวัญของน้องที่มอบให้คุณย่าจะเป็นอันตราย”“คุณบอกว่าคุณเป็นห่วงคุณย่าแต่กลับมอบผ้าคลุมขนสัตว์มาให้ คุณไม่รู้เหรอว่าคุณย่าเป็นโรคภูมิแพ้ขนสัตว์ทุกประเภท แค่ได้กลิ่นหรือจับก็จะจามไม่หยุดจนอาจจะทำให้อาการกำเริบจนหัวใจวายได้”หลิวซีอิ๋งเบิกตากว้างเพราะตกใจเมื่อต้าเว่ยพูดจบ คนในงานเริ่มกระซิบกระซาบอีกครั้ง นายพลเฉินและแม่เฉินรีบเดินเข้ามาจับแขนลูกชายเอาไว้เพื่อให้เขาสงบอารมณ์ ส่วนย่าโจตอนนี้เอาแต่ดมยาดมที่เหม่ยหลินให้เพื่อบรรเทาอาการวิงเวียนเมื่อได้กลิ่นเสื้อคลุม แต่ที่ย่าโจไม่พูดออกมาเพราะไม่อยากให้ตระกูลหลิวและซีอิ๋งเสียหน้า“คือว่า… ซีอิ๋งคิดว่า…มันเหมาะกับคุณย่า”“ปากคุณบอกว่าเป็นห่วงคุณย่า คิดถึงจนทนไม่ไหวเดินพรวดพราดเข้ามาโดยไม่มีมารยาทและมอบสิ่งที่คุณย่าแพ้อย่างเสื้อขนสัตว์นี้มาให้
“พี่เว่ย…”ต้าเว่ยเดินเข้าไปข้างในแล้วโดยไม่ได้รอ เขารู้สึกหงุดหงิดกับซีอิ๋งมาสองสามครั้งแล้วในคืนนี้โดยเฉพาะตอนที่เธอพยายามหักหน้าคู่หมั้นเขาต่อหน้าคุณย่าและแขกในงานเลี้ยง“คุณย่าครับ”“อ้าวต้าเว่ยมาแล้วเหรอ แล้วซีอิ๋งล่ะ”“คุณย่ามีอะไรเหรอครับทำไมให้คนไปเรียกผมมา”“คือว่าย่าน่ะไม่อยากให้เราโกรธซีอิ๋งมาก เธอยังเด็กก็เลยไม่รู้ว่าชุดนั่นจะทำให้ย่าแพ้ อย่าไปถือสาน้องเลยนะ”“ที่คุณย่าเรียกผมมาเพราะเรื่องนี้เหรอครับ”“ก็ใช่ ย่ารู้ว่าหลานหมั้นหมายกับเหม่ยหลินไปแล้วแต่หลานก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าผู้ชายก็สามารถมีภรรยาหลายคน…”“คุณย่าครับ ตอนนี้ผมไม่อยากคุยเรื่องนี้”“ต้าเว่ย ย่าก็แค่อยากจะพูดแค่นี้ทำไมต้องโกรธด้วยล่ะ”“ถ้าวันนี้คนที่มอบชุดขนสัตว์ให้คุณย่าเป็นลู่เหม่ยหลิน คุณย่าจะรู้สึกยังไงครับ”“ย่า….”“คุณย่าคงโกรธจนอยากจะไล่เธอออกจากงานเลี้ยงเลยสินะครับ แต่เพราะวันนี้คนที่ให้เป็นหลิวซีอิ๋ง คุณย่าเลยไม่โกรธและพยายามกดอาการจามของตัวเองเอาไว้ สุดท้ายก็ได้ยาดมที่เหม่ยหลินเอามาให้ช่วยแก้สถานการณ์”“ต้าเว่ยคือว่าย่าไม่ได้...” “ถามว่าทำไมผมต้องโกรธนั่นเพาะผมเป็นหมอและรู้ดีว่าอาการของคุณย่าเป็นยังไง จ
ครั้งนี้กลายเป็นซีอิ๋งที่นั่งนิ่งและกำหมัดแน่นและมองไปที่เหม่ยหลินพร้อมกับยิ้มให้ ส่วนเหม่ยหลินก็หันมายิ้มเย็น ๆ ตอบกลับไปเช่นกัน เธอไม่ลาพ่อแม่ของตระกูลหลิวเพราะคิดว่าในเมื่อพวกเขาไม่ให้เกียรติเธอ ตัวเธอก็ไม่จำเป็นจะต้องให้เกียรติคนพวกนี้เช่นกัน เมื่อเดินออกมาข้างนอกต้าเว่ยจึงรีบดึงมือเธอเอาไว้“อาหลินเดี๋ยวก่อนสิ”แต่อารมณ์ของเธอตอนนี้ไม่อยากทำอะไรนอกจากกลับบ้านและไปพักผ่อน คืนนี้เธอเหนื่อยมากแล้วจริง ๆ ที่ต้องมาที่นี่และรับมือกับหลาย ๆ คน แม้ว่าจะมีเขาคอยช่วยแต่เธอไม่รู้ว่าตัวเองจะทนกับเรื่องจอมปลอมนี้ได้อีกนานแค่ไหน“มีอะไรคะคุณหมอ”“เมื่อกี้คุณยังเรียกว่าพี่ต้าเว่ยอยู่เลย ตอนนี้เรียกผมคุณหมออีกแล้วงั้นเหรอ”“แล้วตกลงมีอะไรคะ”“คือผมกับซีอิ๋งเราสองคนไม่ได้มีอะไรกันนะ ซีอิ๋งแค่สนิทกับคุณย่าและพ่อของเธอก็เป็น…”“ช่างเถอะค่ะ คุณก็ไม่ได้ทำอะไรที่ผิดต่อฉันสักหน่อย รีบพาฉันกลับบ้านเถอะค่ะคืนนี้ฉันเหนื่อยแล้วจริง ๆ”เธอเบือนหน้าหลบเขาอีกครั้ง ต้าเว่ยรู้ว่าเธอคงจะเหนื่อยมากจริง ๆ ที่ต้องมาพบกับหลาย ๆ คนที่นี่ในคืนนี้ ที่จริงแล้วเขาค่อนข้างชื่นชมที่เธอรับมือคุณย่าของเขาได้อย่างอยู่หมัดซึ่ง
“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แต่ว่ายังไงก็หมั้นหมายกันแล้วนะ เท่าที่พี่ดูอาการของเขาดูจะกังวลใจมากเลยยังไงก็ค่อย ๆ คุยกันนะดูแล้วหมอเฉินคงจะสนใจความรู้สึกเราไม่น้อยเลยล่ะ”“อะไรกันเรื่องแค่นี้ก็ต้องไปคุยกับพี่ใหญ่ด้วย”“พี่ไปแล้วนะขอบใจมากสำหรับชาและขนมที่ฝากไปให้อาเซียง”“เดินทางปลอดภัยนะคะ”เย่าหยางขึ้นเรือไปแล้วส่วนเหม่ยหลินก็นั่งรถกลับบ้านไปพร้อม ๆ กับพ่อแม่ของเธอ ตั้งแต่คืนที่ต้าเว่ยมาส่งเธอที่บ้านในวันนั้นเขาก็ไม่เคยมาหาเธออีกเลย แม้ว่าจะมีโทรมาบ้างแต่เธอก็ไม่ได้รับสายเขา“ลูกกับต้าเว่ยทะเลาะกันเหรอ”“เปล่านี่คะคุณแม่คิดมากไปแล้ว”“แล้วทำไมไม่ยอมรับสายพี่เขาล่ะ นี่ครั้งที่สองแล้วที่พี่เขาโทรมาหาแต่หนูเอาแต่หนี”“ไม่ได้หนีสักหน่อย บัญชีที่ร้านยังคิดไม่เสร็จแม่ก็รู้ว่าตั้งแต่พี่ใหญ่กลับไปก็ยุ่งมากขนาดไหน”“แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะหลบหน้า...”“กริ๊ง……”เสียงโทรศัพท์ในบ้านดังขึ้น เหม่ยหลินจึงรีบวิ่งออกจากบ้านทันที“แม่คะลืมไปเลยว่าหนูจะไปซื้อของกับอาหงไปก่อนนะคะ”“เดี๋ยวสิ ลูกคนนี้นี่”แต่เมื่อแม่ของเธอรับสายกลับเป็นเพื่อนของคุณแม่ที่ไม่ได้เจอกันนานแล้ว เหม่ยหลินเดินออกมาพร้อมกับชวนอาหงขี่จักรยานไ
“มันสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอคะ”เมื่อเขาเริ่มพูดแบบนี้ เธอก็หวนกลับไปนึกถึงเรื่องในวันก่อนขึ้นมาได้วันที่เขาจูบเธอในรถคืนนั้น ยิ่งคิดขึ้นมาตอนนี้หน้าเธอก็เริ่มร้อนผ่าวและใจก็เริ่มเต้นแรงเมื่อคุณหมอเริ่มก้มลงมาใกล้เรื่อย ๆ“คุณกำลังคิดอะไรอยู่”“เปล่าค่ะ ไม่ได้คิดอะไร”“งั้นก็เรียกเสียทีสิ เรียกให้คุ้นเคยเพราะจากนี้เราจะต้องออกงานด้วยกันบ่อย ๆ คุณจะเรียกผมว่าคุณหมอ หรือหมอเฉินตลอดเวลาแบบนี้คนอื่นคงฟังดูแปลก ๆ”“ก็ไม่เห็นจะต้องสนใจคนอื่นเลยนี่คะ”“แล้วคุณไม่สนใจพ่อแม่ของคุณเหรอ”การเอาพ่อแม่มาอ้างทำให้เหม่ยหลินรู้สึกเหมือนถูกชกใต้เข็มขัดเพราะคนในยุคนี้ยังเน้นเรื่องความกตัญญูและเคารพผู้ใหญ่ในบ้าน หากว่าเรื่องไหนทำแล้วจะเสียหน้าพ่อแม่คนที่เป็นลูกก็จะเลี่ยงที่จะไม่ทำ“อาหลิน”“ก็ได้ค่ะ ต่อไปฉันจะเรียกคุณว่า “พี่ต้าเว่ย” ก็ได้”“ทำไมไม่เรียกว่าพี่เว่ยเฉย ๆ ล่ะ”“ก็ฉันไม่อยากเรียกเหมือนกับที่ซีอิ๋งเรียกคุณ”เหม่ยหลินรีบหยุดทันที เธอเผลอพูดออกไปเองเสียแล้วว่าไม่ชอบที่ซีอิ๋งเรียกเขาแบบนั้นก็เลยไม่อยากเรียกเขาว่าพี่เว่ยตามที่เขาขอ คนที่ยืนอยู่แทบจะกลั้นยิ้มเพราะดีใจไม่ได้ เขาคิดว่าเธอจะไม่ได้คิดอะไ