ตอนที่ 10 ความลับของคุณสามี
"หากอยากรู้ก็นอนลงมา... ผมจะเล่านิทานให้ฟังก่อนนอน"
เมื่อได้ยินประโยคนั้นของสามี หนิงหนิงก็รับรู้ได้ทันทีว่าเขาต้องมีอะไรมากกว่านี้แน่นอน วันแรกของการเผชิญหน้าก็คุยกันไม่รู้เรื่อง เพราะเธอไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับที่นี่เลย หากวันนี้ยังคุยกันหรือตกลงกันไม่ได้ มันจะทำให้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันลำบาก
"เขยิบนิดหนึ่ง อย่าเบียดมาก" ยังไงก็ต้องนอนรวมเตียง จะได้นอนคุยกันให้รู้เรื่อง
หนิงหนิงไม่ใช่คนหวงเนื้อหวงตัว สังคมและโลกที่จากมาไม่ใช่แบบนั้น และการทำงานของเธอต้องมีการแตะเนื้อต้องตัวเป็นธรรมดา ถึงแม้ยุคนี้จะตรงกันข้ามกับโลกที่เธอจากมา แต่คนที่นอนร่วมเตียงได้ชื่อว่าเป็นสามี เธอไม่คิดมากเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว จะให้เธอเป็นนางเอกที่แสนดี แยกห้องนอน เธอไม่ทำแน่นอน อากาศหนาวแบบนี้ ไม่มีทางทรมานตัวเองเป็นอันขาด ที่สำคัญเธอไม่ใช่นางเอก เธอคือนางร้ายอันดับหนึ่ง...
"หากขยับมากกว่านี้ ผมคงต้องลงไปนอนพื้น" ฉิงหมิงมองคนตัวเล็กที่ใช้สายตากดดันเขา มีอย่างที่ไหนที่ภรรยาคิดข่มสามีแบบนี้ เพิ่งเคยเห็นเนี่ยแหละ
เมื่อล้มตัวนอนก็พอดี เบียดกันให้อุ่นขึ้น ไม่ถึงกับทำให้อึดอัด และจากที่ดูแล้วสามีของเธอก็นอนสบาย ไม่ได้คับแคบเกินไป
เพียะ! มือของหนิงหนิงฟาดเข้าไปที่แขนของคนตัวโตทันทีที่เขามาโดนนมน้อยของเธอ
"โอ๊ยคุณ โดนนิดโดนหน่อยนี่ไม่ได้เลย ลืมแล้วหรือยังไงว่าผมคือสามี ที่สำคัญแยกไม่ออกด้วยซ้ำว่าเป็นหน้าอกหรือว่าแผ่นหลัง ยังจะหวงอีก" เมื่อโดนตีฉิงหมิงก็รีบพูดทันที
"ปากหรือนั่น อย่าพูดมาก เป็นผู้ชายหัดพูดน้อย ๆ รักษาท่าทางไม่ได้หรือยังไง วันแรกยังวางตัวเป็นผู้ใหญ่ นิ่งกว่าตอนนี้ คนคนนั้นหายไปไหนแล้ว" หนิงหนิงตอบสวนกลับไป พร้อมทั้งต่อว่าอีกหลายประโยค มีอย่างที่ไหนมาว่านมน้อยของเธอเหมือนกับแผ่นหลัง มันไม่ได้แบนขนาดนั้นไหม! ไอ้บ้านี่... เดี๋ยวแม่จับยัดปาก จะได้ไม่ต้องพูดมาก
"แล้วคิดยังไงตัดผมสั้นแบบนี้" ฉิงหมิงไม่สนใจตอบคำถามคนตัวเล็ก เขาพลิกตัวนอนตะแคง พร้อมเอามือมาจับผมอีกคนเล่นอย่างไม่สนใจว่าเธอพยายามปัดมือเขาออก
"เฮ้ออ... อยากตัด จะพูดได้หรือยังคะ" เมื่อปัดมือของเขาออกไปไม่พ้น ก็เอาเถอะตามสบาย อยากจับอยากดึงก็ตามใจ อย่ากระชากหัวก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นเธอสัญญาว่าจะถีบแบบเน้น ๆ ให้ตกเตียงไปเลย
"จริง ๆ แล้วผมไม่ได้เป็นเหมือนวันแรกหรอก ผมคิดแบบไหนก็พูดแบบนั้น แต่ทำอย่างไรได้ ในเมื่อผมมีภรรยาที่เด็กกว่าตั้งหลายปี ก็ต้องวางตัวเป็นผู้ใหญ่เข้าไว้ จะได้เป็นที่พึ่งให้ภรรยาตัวน้อย" ฉิงหมิงเริ่มพูด ซึ่งสิ่งที่เขาพูดนั้นคือเรื่องจริง แต่พอได้ยินว่าภรรยาอายุมากกว่าเขาหลายปี จะเป็นอย่างที่บอกไหมเขาก็ไม่รู้ แต่ดูจากการแสดงออกของภรรยาในบางครั้งก็ดูเป็นผู้ใหญ่ และยังโวยวายเก่ง บ่นเก่ง เรื่องไม่ยอมคนนี่ที่สุดเลย มันเลยเหมือนว่าเขาไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นผู้ใหญ่แบบวันแรก
"แล้วทำไมไม่ทำแบบเดิม" ผู้ชายในฝัน พูดน้อย ๆ แสดงออกให้มาก ร้ายกับคนทั้งโลก คลานเข่าเข้าหาเมีย แบบในนิยายหรือละครแบบนั้นไม่มีเลยเหรอ ร้อยทั้งร้อยของผู้หญิงชอบผู้ชายแบบนั้นทั้งนั้น และหนิงหนิงก็ชอบผู้ชายแบบนั้นมาตั้งตอนเป็นชะนีน้อยจนตอนนี้จะกลายเป็นแม่ชะนีอยู่แล้วยังชอบอยู่เลย
"ไม่ทำแล้ว คุณแก่กว่าผมตั้งหลายปี คงเป็นผมที่ต้องพึ่งพาคุณแล้วแหละครับคุณภรรยา" ฉิงหมิงแกล้งอีกคนด้วยคำพูดและการกระทำ โดยขยับเข้าหาคนตัวเล็ก เพื่อยั่วให้ภรรยาโมโหและโวยวาย
"จะพูดได้หรือยังคะ" เมื่อเจอคนยั่วโมโหและยังมีท่าทางกะล่อนอีกด้วย ก็ทำให้หนิงหนิงถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะตัดสินใจพลิกตัวขึ้นทับคนตัวโต
จากตอนแรกจะแกล้งสาวน้อยให้กลัว กลายเป็นว่าเขากลับตัวแข็งค้างเมื่อสาวน้อยดันพลิกตัวขึ้นมานอนบนตัวของเขา พร้อมทั้งใช้มือเท้าค้างจ้องมองเขาอย่างไม่ละสายตา ถึงแม้ว่าจะเป็นตอนกลางคืน แต่ยังมีแสงจันทร์ที่สามารถสาดส่องเข้ามาให้มองเห็นดวงตากลมโตของคนตัวเล็ก ยิ่งมองยิ่งทำให้ใจสั่น สิ่งที่หลับใหลด้านล่างก็เริ่มบิดตัวเตรียมตื่น...
"ละ... ลงก่อน" เพราะรู้ว่าตัวตนเริ่มตื่นขึ้น ต้องรีบเตือนสาวน้อย ก่อนที่สาวน้อยจะเดือดร้อน กลายมาเป็นคนกล่อมน้องชายเขาให้หลับ ไม่อย่างนั้นไม่มีทางนอนแน่ ๆ
"ทีหลังอย่าหือ... กับภรรยาเข้าใจไหม!! " หนิงหนิงยกนิ้วชี้ไปที่กลางหน้าผากของสามี เพื่อเตือนเขาให้จำไว้
"ครับ จะก้มหน้าก้มตาทำตามคำสั่งเลยครับ" ฉิงหมิงตอบรับแต่ก็ยังคงพูดยียวนอยู่ดี
"พูดได้แล้ว หากดึกกว่านี้ ฉันอาจหลับก่อนที่จะได้ฟัง" เธอมั่นใจว่าตัวเองหลับเป็นตายแน่นอน เพราะเธอทำงานทั้งวัน ก่อนหน้านี้เธอก็หลับไม่รู้เรื่อง ตื่นอีกทีคือตอนเช้าเลย หากเขายังลีลารับรองได้ว่าไม่มีทางคุยกันรู้เรื่องอีกแน่นอน
"หากคุณง่วงแล้ว ผมจะเล่าแบบสั้น ๆ ให้เข้าใจได้ง่าย ๆ แล้วกัน หากอยากรู้อะไรก็ถามได้ หากตอบได้ ผมจะตอบอย่างแน่นอน" เนื่องด้วยเวลาที่รู้จักกันและคุยกันเพียงไม่นาน ยากที่ทั้งสองคนจะเข้าใจในทีเดียว ได้แต่บอกเรื่องสำคัญและค่อย ๆ เรียนรู้กันไปเรื่อย ๆ หากไม่รู้แค่ถามเท่านั้นเอง
"เข้าใจแล้วค่ะ เรื่องเกี่ยวกับฉันเหมือนกัน ถามได้ แต่ดูคุณไม่ค่อยสนใจสักเท่าไหร่ รู้ไหมว่าฉันเป็นนักแสดงที่รับบทนางร้าย และแสดงดีมาก ๆ ดีมากจนฉันได้กลายเป็นนางร้ายอันดับหนึ่งเลยแหละ" ขอโม้สักหน่อย ถึงแม้ว่าตำแหน่งที่ว่าจะตั้งเอาเอง แต่บอกเลยว่ามันคือเรื่องจริง ภูมิใจในตัวเองมาก...
"ได้เลย ตามคำสั่งนางร้ายอันดับหนึ่ง หากสงสัยผมจะถาม ตอนนี้มาฟังเรื่องของผมก่อนแล้วกัน... คุณรู้อยู่แล้วว่าผมบาดเจ็บก่อนจะลาออก ผมออกไปทำภารกิจแล้วเกิดอุบัติเหตุ อาการของผมไม่น่ารอด แต่ผมกลับรอด หมอและเพื่อนของผมบอกว่าผมหยุดหายใจไปแล้ว แต่เพียงไม่นานชีพจรและลมหายใจก็กลับมาเป็นเหมือนคนปกติ เหมือนก่อนหน้านั้นไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมไม่รู้หรอกว่าตัวเองนอนหลับหรือว่าอะไร เหมือนผมหลุดไปสถานที่แห่งหนึ่งที่มีแสงสีมากมาย มีรถยนต์วิ่งเต็มท้องถนน ผู้คนมากมายเดินขวักไขว่ไปมา ผมอยู่ที่นั่นนานมากจนเห็นอะไรหลาย ๆ อย่าง ทุกอย่างแปลกใหม่และแปลกตา และอยู่ ๆ ก็มีคนบอกผมว่าที่ผมอยู่คือโลกอนาคตของอีกมิติหนึ่ง ให้ผมรีบกลับมาแต่งงานและสร้างครอบครัว ซึ่งผมยังจับต้นสายปลายเหตุไม่ได้เลย เด็กน้อยคนนั้นบอกว่าภรรยาของผมจะเป็นคนที่พิเศษมาก ๆ ในตอนนั้นผมคิดว่าอย่างผมนี่นะเหรอจะมีภรรยา เพราะในหัวไม่มีเรื่องนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว... หลับหรือยัง" เมื่อเล่าแล้วเห็นอีกคนเงียบผิดปกติเลยต้องหยุดถามก่อน
"ยังค่ะ เด็กที่ว่ามีลักษณะแบบไหน" หนิงหนิงเดาว่าจะต้องเป็นภูตน้อยถิงถิงแน่นอน ไม่อย่างนั้นตอนที่เธอมีเพนต์เฮาส์เป็นมิติ ถิงถิงคงไม่รบเร้าให้เธอพาสามีเข้าไปหรอก ทุกอย่างน่าจะถูกกำหนดไว้แล้ว
"กลม ๆ ขาว ๆ แต่มองหน้าไม่ชัด ว่าแต่... เมียจ๋า อยากรู้ไปทำไม" ฉิงหมิงไม่อยากให้บรรยากาศที่เขากำลังเล่ามันเคร่งเครียดเกินไป จึงหันมาเย้าแหย่ภรรยา และคำที่เขาใช้ก็จำมาจากสถานที่ที่เขาไปเยือนมาแล้วนั่นเอง
"อย่าบอกนะว่าจำมาจากที่นั่น และฉันไม่ใช่เมีย... " หนิงหนิงรีบเถียงกลับ แต่พอนึกขึ้นได้ว่า ถึงอย่างไรเธอสองคนก็เป็นสามีภรรยากันจริง ๆ ถึงไม่มีงานแต่งแต่เดินเรื่องไว้แล้ว ก็ต้องมีสามีแบบนิตินัยไปโดยปริยาย
"ก็จำได้เป็นบางคำ จะฟังต่อหรือจะนอน" ฉิงหมิงถามก่อนจะขยับเข้าหาคนตัวเล็กทีละนิด
"เล่าต่อเลยค่ะ" ไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงกับคนกะล่อนแบบเขาแล้ว ก่อนหน้านี้ยังมองว่าเป็นผู้ใหญ่ ห่างไปไม่กี่วันกลับเหมือนเด็ก
"ถึงไหนแล้ว... อืมม... อย่างที่บอกครับ มีเด็กมาบอกแต่ผมไม่เชื่อ และผมคิดว่าตัวเองกำลังฝัน พอตื่นมาแล้วเพื่อนและหมอเล่าให้ฟัง ถึงได้รู้ว่าตัวเองหยุดหายใจไป แล้วกลับมาหายใจใหม่อีกครั้ง แต่ก็ยังไม่ฟื้น หลับยาวเป็นอาทิตย์กว่าจะตื่น ผมไม่ได้สนใจเกี่ยวกับความฝันนั้นอีกเลยจนผมถูกคุณกระโดดเข้าหา แต่ก็ยังคิดว่าอาจเป็นเรื่องบังเอิญที่ตรงกับความฝัน แต่ก็ยังจับตามอง เพราะผมว่ามันแปลก ๆ แต่พอคุณเล่าเรื่องอีกโลกให้ฟังซึ่งมันเหมือนที่ผมเคยเห็น เลยคิดว่าอาจเป็นเรื่องจริง อีกอย่างคุณแตกต่างจากคนที่นี่มาก คุณรู้ตัวไหม สำเนียงการพูดของคุณไม่เหมือนคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ พอผมได้ยิน มันเลยทำให้คิดถึงคำพูดของเด็กน้อย ผมเลยเชื่อที่คุณบอก แต่หากผมไม่เคยเห็นสถานที่แห่งนั้น ผมก็ไม่เชื่อหรอก ใครจะไปเชื่อ หลักฐานอะไรก็ไม่แสดงให้เห็น" ฉิงหมิงพูดยาวเหยียดเพื่อให้อีกคนได้รับรู้ โดยไม่คิดจะปิดบังอะไร
"ถูกจับได้ด้วยเรื่องเล็ก ๆ น้อยหรือนี่... " หนิงหนิงพึมพำเบา ๆ เธอมัวแต่ห่วงเรื่องใหญ่ กลับตกม้าตายด้วยเรื่องเล็กน้อย
"ตอนแรกผมยังไม่มั่นใจ แค่สงสัยเท่านั้นเอง แต่การพูดคุยของคุณมันแตกต่างมาก ที่นี่ไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากหย่า เพราะหย่าแล้วจะใช้ชีวิตยาก ไม่มีคนต้อนรับ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าสังคม การทำงาน แต่คุณกลับไม่สนใจ สาวน้อยที่พยายามจับผมให้รับผิดชอบด้วยการแต่งงาน กลับพูดเรื่องหย่าตั้งแต่ครั้งแรกที่พูดคุยกัน" ไม่ใช่แค่เรื่องเดียว แต่มันหลายเรื่องรวมกัน และนึกถึงคำของเด็กน้อยที่บอกว่าเขาต้องกลับมาแต่งงาน สร้างครอบครัวให้มีความสุข ต้องบอกว่าหลายอย่างมันบ่งชี้ให้คิดแบบนั้น
"นี่คือฉัน ในโลกใบนั้น" หนิงหนิงตัดสินใจเอาภาพต่าง ๆ ของตัวเองให้อีกคนดู ในเมื่อคิดจะลงเรือลำเดียวกันแล้วก็ต้องช่วยกันพาเรือลำน้อยไปให้ถึงฝั่งฝัน ไม่ใช่ตีกันกลางทางแล้วเรือล่ม อาจตายทั้งคู่ แบบนี้ไม่ดีแน่ ๆ ดีกันได้ก็ต้องดีกัน ช่วยเหลือกันเพื่อความอยู่รอดของทั้งสองคน
"สิ่งนี้ในกองทัพมีเยอะ แต่หาซื้อข้างนอกไม่ค่อยมี" ฉิงหมิงหยิบไฟฉายที่คนตัวเล็กยื่นให้มาถือไว้ พร้อมกับมองไปที่รูปภาพที่วางอยู่บนเตียงจำนวนหลายใบ
"ไฟฉายค่ะ ไม่คิดว่าจะได้ใช้" สิ่งนี้เธอจับฉลากในวันปิดกล้องละคร คนอื่นได้สิ่งของดี ๆ แต่เธอกลับได้ไฟฉายพลังงานแสงอาทิตย์ ตอนที่ถิงถิงบอกว่าสิ่งของถูกยึดคืน เธอนึกว่าหายไปหมด แต่ไฟฉายและของที่จำเป็นกลับไม่หายไป มีแต่ของแบรนด์เนม เสื้อผ้า รองเท้า และกระเป๋าที่หายไป รองเท้าผ้าใบบางคู่ยังอยู่ เธอเลยเดาว่าน่าจะเหลือแต่สิ่งของที่จำเป็นในยุคนี้เท่านั้น สิ่งไหนไม่จำเป็นจะหายไปจนหมด
"หน้าคล้ายกัน แต่ตอนนี้ดูโตกว่าจริง ๆ ไม่ใช่แค่หน้าตาที่โตกว่า ทุกอย่างโตหมด ทำไมตอนนี้แตกต่างกันล่ะ" ฉิงหมิงมองที่ภาพก่อนจะหันมามองบริเวณหน้าอกของคนตัวเล็กที่มันไม่ค่อยจะมีสักเท่าไหร่ ด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่ากำลังสงสัย
"ตอนนั้นฉันอายุเท่าไหร่แล้วล่ะ ตอนนี้ฉันยังเด็กอยู่ มีเมื่อไหร่จะจับฟาดหน้าเลยคอยดู ชอบพูด ชอบย้ำอยู่นั่นแหละ" หนิงหนิงหงุดหงิดคนตัวโตที่ชอบเปรียบเทียบหน้าอกกับแผ่นหลังของเธอ จริง ๆ แล้วมันก็ไม่ขนาดนั้น
"อย่าโมโห โมโหมาก ๆ ระวังมันจะไม่โตขึ้น ตอนนี้ดึกแล้วนอนดีกว่าเนอะ พรุ่งนี้ค่อยวางแผนว่าจะเอายังไงต่อ ภรรยาตัวน้อยครับ พร้อมจะจับมือสามีลงเรือไปด้วยกันหรือยังครับ" ฉิงหมิงวางไฟฉายและภาพไว้บนหัวนอน ก่อนจะยื่นมือมาหาภรรยาเป็นการถามความสมัครใจของอีกคน
"พร้อมค่ะ แต่การที่จะล่องเรือไปด้วยกัน เราต้องตกลงกันก่อน" หากไม่ได้ตกลงกัน กลัวว่าเธออาจจะถีบเขาลงจากเรือ เพราะเขานั้นกะล่อนจนไม่น่าไว้ใจ
"ตกลง พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ นอนได้แล้วครับคนเก่ง" ฉิงหมิงเอื้อมมือมากอดคนตัวเล็ก พร้อมทั้งกดจมูกหอมหน้าผากมนอย่างรวดเร็ว หากช้ารับรองว่าอีกคนต่อต้านแน่นอน
"อย่าเสียงดังและอย่าบ่น อย่าด่านะครับ ปล้ำนะครับ แต่หากเป็นเด็กดีนอนให้กอดนิ่ง ๆ จะไม่ทำอะไร" ฉิงหมิงได้ทีรีบพูดรีบกอดอีกคน แล้วค่อยหลับตาลง ผ่อนคลายในหลาย ๆ เรื่อง หวังว่าสาวน้อยพลัดถิ่นคนนี้จะหมดกังวลเช่นเดียวกัน ถึงจะบอกว่าอายุมากกว่า แต่เขาก็ยังมองว่าเป็นสาวน้อยอยู่ดี
หนิงหนิงที่โดนคนตัวโตกอดและซุกใบหน้าไว้ที่ซอกคอ ได้แต่นอนตัวเกร็ง ไม่ให้เกร็งได้อย่างไร มีบางสิ่งที่กำลังตื่นตัวถูไถทิ่มตามร่างกายเวลาที่เขาขยับตัว เธออายุตั้งเท่าไหร่ รับรู้ได้ทันทีว่าคืออะไร จึงทำได้แค่นอนนิ่ง ๆ เพราะเธอไม่สามารถสู้รบตบมือกับเจ้าตัวนั้นได้แน่นอน ทางที่ดีนอนนิ่ง ๆ ตามที่เขาบอกดีที่สุด นิ่งจนแทบไม่กล้าหายใจแรง ๆ ไม่รู้ว่าคืนนี้เธอจะรอดจากเจ้าตัวที่ทิ่มตามร่างกายเธอไหม ได้แต่ภาวนาอย่าเข้าใกล้น้องสาวเธอเป็นพอ
ผู้เป็นสามีเร่งจัดการธุระเพื่อรีบกลับบ้าน ทำให้สองวันก่อนแทบไม่ได้นอน พอมาเจอคนตัวนุ่มนิ่มหอม ๆ ทำให้หลับง่ายกว่าที่ตัวเองคิดไว้เสียอีก...
ภรรยาผู้ที่นอนเกร็งไม่กล้าขยับในตอนแรกก็ผล็อยหลับไปง่าย ๆ ไม่ต่างจากสามี...
คืนแรกของสองสามีภรรยา ต่างพากันนอนกอดรัดหลับไปในอ้อมกอดของกันและกันจนถึงเช้า โดยที่ทั้งสองนอนหลับสนิทอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน...
ตอนที่ 11 จับมือลงเรือลำเดียวกันผ่านมาอาทิตย์หนึ่งแล้ว ที่ทั้งสองพูดคุยเปิดเผยเรื่องราวของตนเองและเริ่มใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ทั้งสองตกลงจะอยู่ร่วมกันและศึกษากันอย่างค่อยเป็นค่อยไป ด้วยยุคสมัยและสังคมที่ไม่ได้เปิดกว้าง ทำให้ไม่ได้มีทางเลือกมากนัก และที่สำคัญทั้งสองไม่ได้รังเกียจกัน ค่อนข้างที่จะพึงพอใจกันและกันมากพอสมควร เมื่อเปิดใจพูดคุยเรื่องความลับของแต่ละคนมาขนาดนี้แล้ว เลยลองเปิดใจในเรื่องอื่นด้วยเช่นกัน สำหรับหนิงหนิงมันเหมือนทดลองใช้ชีวิตการมีครอบครัว มีคนอีกคนมาเข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวัน นอนด้วยกัน แต่ยังไม่มีอะไรลึกซึ้งไปมากกว่า กอด หอม เพราะตกลงกันไว้แบบนั้น แต่ทุกคืนน้องชายของเขาก็ทิ่มตามร่างกายเธอตลอด ไม่รู้จะตื่นมาทำไมทุกคืน เขาขยับตัวทีไรน้องชายของเขาก็ทิ่มสะเปะสะปะไปทั่ว พอเขาขยับตัว หนิงหนิงต้องรีบยกสองมือมาปิดน้องสาวของตัวเองทันที ไม่ใช่ว่าเธอกลัวเขา แต่เธอกลัวน้องสาวของตัวเองอยากรู้จักน้องชายเขามากกว่า เลยต้องรีบห้ามเอาไว้ไม่ให้ทั้งสองรู้จักกัน ไม่อย่างนั้นคำว่าค่อยเป็นค่อยไปไม่น่าจะมีอยู่จริงแน่นอนวันนี้มีรถขนอิฐแดงมาส่งที่บ้านจำนวนหลายคัน ในตอนแรกฉิงหมิงต้องการเอามา
ตอนที่ 12 แผนที่ไม่ใช่แผน"เรื่องทะเบียนสมรส เรียบร้อยหรือยังครับ" เมื่อมาถึงฉิงหมิงก็พูดธุระของตัวเอง โดยที่ไม่ได้ทักทายเจ้าของบ้านเลยแม้แต่น้อย"จะเรียบร้อยได้ยังไง ในเมื่อเผยหนิงยังไม่ได้ลงชื่อ" หัวหน้าชุมชนตอบกลับอย่างรวดเร็วไม่ต่างกัน คนคนนี้มาใหม่ ไม่รู้ธรรมเนียมเลยหรืออย่างไร การทำงานมันต้องมีค่าน้ำชานิด ๆ หน่อยบ้างไม่ใช่แค่ใช้งานอย่างเดียว"อ้าว หัวหน้าบอกเองไม่ใช่เหรอว่าเรื่องลงชื่อไม่มีปัญหา ยังบอกอีกว่าประทับตราด้วยลายนิ้วมือก็ได้ พอมาวันนี้จะมาบอกแบบนี้คืออะไร" เรื่องนี้คุยตั้งแต่วันแรกแล้ว บอกเองว่าจัดการได้ "ตอนนั้นนึกว่าได้ แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้ว รอไปก่อน เข้าเมืองต้องใช้เงิน รอให้มีหลาย ๆ คนยื่นเรื่องค่อยเข้าเมืองทีเดียว" พูดขนาดนี้หากเงินไม่มา ก็รอไปก่อนได้เลย "ถ้าอย่างนั้นผมขอเอกสารคืนทั้งหมดด้วย" ฉิงหมิงตอบด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ "จะไม่ทำแล้วหรืออย่างไร หากอยากได้วันหลังค่อยมาเอา มาถึงจะเอาทันทีทันใดได้อย่างไร ไม่ได้ทำงานให้คนคนเดียวนะ" หัวหน้าหมู่บ้านไม่สนใจทหารที่ลาออกมาอยู่บ้านเพราะบาดเจ็บอยู่แล้ว หายไปตั้งหลายปี พ่อแม่พี่น้องไม่มี ตัวคนเดียว จะมีปัญญาทำอะไรได้ เขามีล
ตอนที่ 13 นางร้ายเข้าเมืองหนิงหนิงเปิดสมุดที่ใช้แลกสิ่งของอย่างสนใจ เพราะตอนนี้มีสิ่งของที่เธออยากได้หลายอย่าง ดีที่สิ่งของแลกเปลี่ยนสามารถแลกได้จากยุคที่เธอจากมาและสามารถแลกสิ่งของที่มาจากยุคโบราณ ซึ่งมันช่างอัศจรรย์มาก นั่นคือหินที่เป็นสี ๆ ที่ระบุว่าเป็น หินแร่ธาตุหากเป็นหินธาตุน้ำจะมีน้ำไหลออกมาตลอด หากอยากได้บ่อน้ำเพียงขุดบ่อลงไปแล้วนำหินไว้ก้นบ่อก็จะมีน้ำไหลออกมาทันที ไม่ต้องขุดจนเจอตาน้ำก็ได้ ซึ่งหนิงหนิงคิดว่ามันดีมาก เพราะหากเธอต้องการบ่อน้ำใช้สำหรับเพาะปลูกพืชมันจะง่ายมาก ไม่ต้องเดินไปถึงลำธารเพื่อตักน้ำ หรือทำทางน้ำไหลให้ยุ่งยาก มันเลยทำให้เธอสนใจสิ่งนี้มาก ๆ เพราะเธออยากเป็นนางร้ายปลูกผักบ้าง อย่างไรก็มีกิน ไม่อดตายแน่ ๆ "ดูเมียจ๋าสนใจเจ้าสิ่งนี้" ฉิงหมิงทำหน้าที่ปิดบ้านพร้อมกับเตรียมตัวพากันเข้าเมือง"จะมีคนมาขโมยไหมคะ" หนิงหนิงไม่ได้สนใจตอบคำถามสามี แต่กลับถามคำถามอื่นแทนพร้อมกับมองไปที่กองหิน กองทราย และอิฐแดง"หากเอาไปก็เอาไปได้ไม่เยอะ และก็รู้ ๆ กันอยู่ว่าในหมู่บ้านนี้ยังไม่มีใครจะต่อเติมบ้าน หากมีคนทำก็เอามาจากของเราทั้งนั้น และที่สำคัญ ภรรยาเก็บไว้ในช่องว่างแทบหม
ตอนที่ 14 นางร้ายกับคุณป้าทั้งห้า"อย่าทำหน้าแบบนั้น ผมแค่เดินเรื่องไว้ตั้งแต่แรกเท่านั้นเอง ผมถึงบอกว่าผมไม่รีบ เพราะเขาไม่ทำให้ ผมก็ทำเรียบร้อยแล้ว" ฉิงหมิงเดินจูงมือภรรยาออกมาข้างนอกเพื่อพาไปอีกอาคารหนึ่ง ที่มีพวกป้าในหมู่บ้านรออยู่"แล้วคุณมีเอกสารได้ยังไง" ทุกอย่างเป็นเอกสารทางราชการทั้งนั้น เขาเป็นทหารปลดประจำการ จะมีของแบบนี้ติดตัวได้อย่างไร"ตอนเย็นวันเกิดเรื่องผมไปบ้านหัวหน้าชุมชนเพื่อแจ้งเรื่อง ในช่วงจังหวะที่เขาเผลอ ผมก็หยิบเอกสารราชการติดมือมาด้วย พอออกจากบ้านหัวหน้า ผมไปหาคุณที่บ้าน แต่ทุกคนกลับไม่ให้เข้าไป พวกเขาจึงคุยเรื่องค่าสินสอด ผมยอมรับว่าไม่ค่อยไว้ใจ เลยต่อรองด้วยการขอลายนิ้วมือของคุณ" ฉิงหมิงหยุดเดิน หันมาพูดและจ้องตากับภรรยา เขาอยากให้ภรรยาได้เห็นว่าสิ่งที่เขาพูดคือเรื่องจริง"สินสอดเหรอ เยอะไหม" หนิงหนิงไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย"ถามมาแบบนี้ ไม่รู้จะตอบว่าแบบไหนเลย... 100 หยวนครับ พ่อคุณเรียกค่าสินสอด 100 หยวน ซึ่งผมยินดีจ่าย แต่ต้องได้เอกสารที่ประทับตราก่อน ก็อย่างที่เห็น ผมได้มาหนึ่งฉบับ โดยที่เขาไม่ถามสักคำว่าผมเอาหนังสือราชการมาจากไหน" ที่เขาไม่ยอมพูดเรื่
ตอนที่ 15 นางร้ายกับโรงขยะหนิงหนิงยืนอยู่หน้าโรงขยะประจำจังหวัดนี้ ไม่เคยคิดว่าตัวเองต้องมาสถานที่แบบนี้ แต่เพราะต้องการหารายได้จึงต้องมาทนกลิ่นที่เหม็นคละคลุ้ง คนที่เดินผ่านไปมาต้องมีผ้าเอามาปิดจมูก คนงานก็เช่นกันหนิงหนิงเห็นคนทำงานแล้วได้แต่เห็นใจ เพราะมันไม่ถูกสุขอนามัยเลย แบบนี้มันจะเป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่ในยุคนี้มันยังไม่มีเทคโนโลยีอะไรเข้ามาช่วย ทุกคนเลยต้องป้องกันตัวเองเท่าที่จะป้องกันได้แต่ที่ไม่เข้าใจคือ... ในยุคนี้มีขยะมากขนาดนี้ได้อย่างไร ทั้งที่บางอย่างยังขาดแคลน แต่กลับมีขยะจำนวนมากสามีบอกว่าทุกคนที่ทำงานที่โรงขยะยินดีที่จะทำ เพราะโรงขยะเป็นหน่วยงานของรัฐ คนทำงานได้สวัสดิการจากรัฐ อย่างที่รู้ ๆ กันอยู่ หากเป็นคนของรัฐ การเป็นอยู่ อาหารการกินจะดีกว่าชาวบ้านทั่วไป"หนิงหนิง เราต้องไปอีกที่" ฉิงหมิงเดินเข้ามาจูงมือภรรยาเพื่อพาไปอีกสถานที่หนึ่ง "คนทำงานที่นี่เขาป่วยบ่อยไหมคะ" หนิงหนิงเดินตามแรงจูงก็ถามเรื่องทั่วไปไปด้วย"ไม่รู้เหมือนกัน แต่เชื่อเถอะว่า พวกเขายอมป่วยบ่อยมากกว่ายอมให้ครอบครัวอดอาหาร" ภรรยาก็ช่างสงสัย เขาไม่เคยมาสถานที่แห่งนี้เลยจะรู้ได้อย่างไร ฉิงหมิงยิ้
ตอนที่ 16 ของที่คนอื่นไม่ต้องการ... กลับเป็นสิ่งของล้ำค่าของนางร้ายเมื่อกลับมาถึงบ้านทั้งสองต่างแยกย้ายกันทำหน้าที่ สิ่งของที่จะใช้แลกเปลี่ยนถูกเก็บไว้ในช่องว่าง ค่อยแลกตอนที่ทั้งสองว่างจากงาน ตอนนี้ต้องทำงานตรงหน้าให้เรียบร้อยเสียก่อนหนิงหนิงเข้าครัวเตรียมมื้อเย็น อาหารเลือกทำอาหารง่าย ๆ กินอิ่มอยู่ท้อง ถึงอยู่ที่นี่จะลำบาก แต่เธอกินได้ทุกอย่าง ไม่ต้องมาคำนวณปริมาณ ไม่ต้องรักษาหุ่น เพราะเธอไม่ได้ใช้รูปร่างหน้าตาที่ต้องดูดีตลอดเวลา เพื่อการทำมาหากินเหมือนแต่ก่อน ตอนนี้เธอได้กินในสิ่งที่อยากกิน มันก็ทำให้มีความสุขไปอีกแบบ ทางด้านฉิงหมิงที่เดินสำรวจบ้านอีกรอบ ตรวจดูสิ่งของต่าง ๆ ว่ายังอยู่ครบไหม และเขาจะเริ่มวางแผนทำงานในวันพรุ่งนี้แล้ว ตรงไหนทำได้จะได้เริ่มทำไปก่อน เขาไม่อยากเสียเวลา ทำอะไรได้ก็อยากจะทำ"เมียจ๋า... มีอะไรให้ช่วยไหม" เมื่อตัวเองเสร็จงานก็เข้ามาในครัวเพื่อช่วยภรรยา หากเป็นผู้ชายหรือสามีคนอื่น น้อยคนนักที่จะเข้าครัวมาช่วยงาน เพราะคนที่นี่จะบอกว่ามันคืองานของผู้หญิง แต่เขาไม่คิดแบบนั้น ยิ่งไปเห็นอะไรที่แปลกใหม่ ยิ่งทำให้เขาคิดไม่ต่างจากภรรยา ขนาดหาเงินภรรยาเขายังทำได้เอ
ตอนที่ 17 นางร้ายกับคนบ้านเดิมผ่านมาอาทิตย์หนึ่งหลังจากที่สองสามีภรรยาได้เดินทางเข้าเมือง ตอนนี้มีบางอย่างเปลี่ยนไป นั่นคือหลังบ้านของหนิงหนิงมีบ่อน้ำใสอยู่สองบ่อ บ่อแรกไว้ใช้สำหรับใช้สอยในบ้าน อีกบ่อไว้สำหรับเลี้ยงปลาและเอาไว้รดน้ำผักและต้นไม้สิ่งของอำนวยความสะดวกหลายอย่างถูกแลกมา สิ่งแรกที่หนิงหนิงแลกมาคือหินแร่ธาตุ ซึ่งเป็นธาตุน้ำ เพราะเธอไม่อยากให้สามีต้องคอยตักน้ำไว้ใช้บ่อย ๆ เพราะบ้านหลังนี้ถูกทิ้งไว้หลายปี สิ่งที่ควรมีก็ยังไม่มี หนิงหนิงเลยต้องการบ่อน้ำส่วนตัวไว้ใช้ในบ้าน หนิงหนิงได้เหรียญจากการแลกสิ่งของในครั้งเดียว หากเปลี่ยนเป็นเงิน เธอจะมีเงินสองถึงสามพันหยวนเลยทีเดียว ซึ่งในยุคนี้ถือว่ามีเยอะมาก แต่ตอนนี้เธอต้องการสิ่งของที่จำเป็นมากกว่า เธอต้องแลกตั้งแต่อุปกรณ์ทำครัว อุปกรณ์ทำสวน และอุปกรณ์ทำมาหากินทั้งหลาย ถึงต้องใช้จำนวนเหรียญเยอะก็ยอมแลก ดีกว่าเข้าไปซื้อในเมือง เพราะมันไม่ได้สะดวก อยากซื้ออะไรต้องใช้คูปอง มีจำกัดจำนวนอีกด้วย หนิงหนิงเลยแลกกับเครื่องแลกเปลี่ยน แลกง่าย ไม่ยุ่งยากตอนนี้เธอมีแปลงผักเกือบสิบแปลง แต่ยังไม่ได้ลงมือปลูกอะไร ได้แต่เตรียมดินไว้ก่อน อีกอย่างค
ตอนที่ 18 นางร้ายกับหัวหน้าชุมชนตอนนี้ชาวบ้านเริ่มแบ่งเป็นสองฝ่าย แต่ฝ่ายที่ออกห่างหัวหน้านั้นมีมากกว่าฝ่ายที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ วันนี้วันเดียวหนิงหนิงสามารถใช้ความสามารถในการแสดงปลุกปั่นให้คนอื่นเดือดร้อนได้ถึงสองสามคนเลยทีเดียว"หัวหน้าได้เข้าไปหาหมอมาบ้างไหม" ทั้งที่ไม่รู้ว่าภรรยาทำอะไรไว้ แต่ภรรยาเปิดช่องแล้วก็เตรียมทะลวงต่อ โดนไม่โดนเดี๋ยวก็รู้ผลเอง"แค่ผื่นคัน ทำไมต้องไปหาหมอ" หัวหน้าตอบออกมาไม่เต็มเสียง เพราะเขาก็ไม่มั่นใจเช่นเดียวกันว่าตัวเองเป็นอะไร เพิ่งจะมีตุ่มขึ้นตามร่างกายเมื่อตอนเช้านี่เอง"อาทิตย์ที่แล้วตอนที่ฉันเข้าไปในเมือง ได้ยินคนพูดเรื่องโรคระบาดที่มีตุ่มขึ้นตามตัว แรก ๆ มันจะคัน ต่อไปมันจะกลัดหนอง ตอนนี้กำลังระบาดอย่างหนักเลย หัวหน้าเข้าไปในเมืองบ่อย ๆ ไม่รู้ข่าวเลยเหรอ" หนิงหนิงพูดยาวเหยียด และทุกคำของเธอเสียงดังฟังชัด เพื่อให้ทุกคนได้ยินอย่างทั่วถึง"เมืองนี้ยังไม่เจอคนติด แต่เมืองข้าง ๆ มีคนติดเยอะแล้ว เจ้าหน้าที่สั่งห้ามไม่ให้อยู่ใกล้กัน เพราะเชื้อโรคมันมาทางอากาศ ผมว่าหัวหน้าควรไปหาหมอ อย่าปล่อยไว้เลย หากไม่ห่วงตัวเองก็ควรห่วงลูกบ้านนะครับ" ฉิงหมิงผู้ที่ปรับเปลี่
ตอนที่ 48 บทส่งท้ายห้าปีผ่านไป ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจหรือสุขภาพร่างกายของคนในครอบครัว หลี่อี้สามารถเดินเองได้โดยไม่ต้องใช้ไม้ค้ำยันช่วยแล้ว สามารถช่วยงานลูกเขยได้อย่างสบายซูหรงเป็นคุณย่าและคุณย่าทวดที่แข็งแรงเช่นเดียวกัน รับหน้าที่ช่วยหลานเขยและลูกชายในการดูแลสวนผัก บ่อปลา และโรงเพาะเห็ดที่ตอนนี้ขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิมรัฐบาลเริ่มเปิดให้ประชาชนซื้อขายที่ดินเป็นของตัวเองแล้ว จึงทำให้ครอบครัวของหนิงหนิงซื้อที่ดินเพิ่มเพื่อขยายพื้นที่ทำกิน และตอนนี้ก็เริ่มเปิดให้ทำการค้าได้อย่างเสรีอีกด้วย แต่หนิงหนิงก็ยังทำการค้ากับตระกูลจ้าวเหมือนเดิม เพราะว่าทำกันมาตั้งแต่แรกเริ่ม และเธอเน้นขายส่งมากกว่าขายปลีกหนิงหนิงไม่ได้ย้ายไปอยู่ในเมืองเหมือนคนอื่น ๆ ที่นิยมเข้าไปอยู่ในเมือง เนื่องจากมีการเปิดให้ค้าขายอย่างเสรีแล้ว จึงทำให้คนนิยมย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองเพราะสามารถเปิดร้านค้าขาย คนเลยย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองเป็นจำนวนมาก แต่เธอยังอยู่ที่เดิม บ้านหลังเดิม เธอคุ้นเคยกับที่นี่ เธอชอบที่จะอยู่แบบนี้ มันไม่ได้วุ่นวาย มีแต่คนกันเองและคนในครอบครัวเพียงเท่านั้นส่วนครอบครัวเหอได้ย
ตอนที่ 47 ครอบครัวเราใหญ่มากหนิงหนิงกลับมาอยู่บ้านได้เกือบสองอาทิตย์แล้ว การเลี้ยงลูกของเธอไม่ค่อยวุ่นวายสักเท่าไหร่ เพราะฝาแฝดเลี้ยงง่าย กินแล้วก็นอนอย่างเดียว วันนี้เป็นวันแต่งงานของเหอหยวน ซึ่งคนที่เป็นเถ้าแก่ไปสู่ขอเจ้าสาวก็คือครอบครัวของเธอนั่นเอง แต่งเสร็จก็เข้ามาอยู่รวมกับครอบครัวของเธอ เพราะพวกเขายังไม่ได้สร้างบ้าน ก็เลยยังอยู่ที่บ้านหลังเดิมซึ่งตั้งอยู่ตรงสวนหลังบ้านนั่นเองหนิงหนิงก็ไม่อยากให้ทั้งสามคนออกไปอยู่ที่อื่น หากสร้างบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้วค่อยย้าย แบบนั้นจะสบายใจมากกว่า เพราะอยู่ด้วยกันมานานและรู้ว่าพวกเขาเป็นแบบไหน มันเลยทำให้เธอค่อนข้างเป็นห่วงสามพี่น้องบ้านเหอมากพอสมควร"วันนี้ลูกสาวของพ่อแต่งตัวสวยจังเลย... " ฉิงหมิงเข้ามาในบ้านเห็นเจ้าตัวเล็กใส่ชุดสีแดง บ่งบอกถึงวันมงคล ถึงแม้จะห่อด้วยผ้าห่มหนานุ่ม แต่เขาก็ยังชมลูกสาวอยู่ดี"พาเฟยเฟยออกไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวฉันจะตามไปทีหลัง ให้หยางหยางกินนมให้เสร็จก่อน ยังไม่ยอมหยุดกินเลยสงสัยจะหิว" หนิงหนิงก้มมองลูกชายที่กำลังดูดนมไม่ยอมหยุดกินสักที เอาออกก็ร้องจึงต้องปล่อยให้กินต่อ"อย่าดีกว่า... กลัวคนอยากอุ้มเฟยเฟย เดี๋ยวคนสว
ตอนที่ 46 กลับบ้านนับเป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือนที่หนิงหนิงคลอดฝาแฝดชายหญิง ปกติแล้วหลังคลอดเด็กจะพักอยู่ที่โรงพยาบาลไม่เกินอาทิตย์ แต่หนิงหนิงกลับอยู่ถึงหนึ่งเดือนไม่ใช่ว่าร่างกายไม่แข็งแรง ทุกอย่างสมบูรณ์แข็งแรงดีหมด แข็งแรงทั้งแม่และลูก แต่เพราะความเป็นห่วงที่สามีมีให้ทั้งแม่และลูกเลยให้อยู่ที่โรงพยาบาลก่อน เพราะถ้าอยู่ที่โรงพยาบาลยังมีปู่และมีย่าทวดอยู่เป็นเพื่อนอีกด้วยหากให้หนิงหนิงบอกเล่าถึงโรงพยาบาล ก็คงไม่แตกต่างจากโรงพยาบาลเอกชนในโลกที่จากมา หากจ่ายค่ารักษาก็สามารถอยู่ได้นานตามที่ต้องการได้เลย ทั้งที่โรงพยาบาลนี้คือโรงพยาบาลของรัฐ ซึ่งเธอก็ไม่ค่อยเข้าใจระบบการทำงานของพวกเขาสักเท่าไหร่อีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญนั่นคือ รอกลับบ้านพร้อมกับปู่ ซึ่งตอนนี้อาการถือว่าดีขึ้นมาก สามารถช่วยเหลือตัวเอง เดินเองในระยะใกล้ได้แล้ว แต่หากเดินในระยะไกลยังใช้ไม้ค้ำยันช่วยพยุงหมอจึงอนุญาตให้กลับบ้านได้ แล้วค่อยหัดเดินบ่อย ๆ และต้องมาหาหมอตามนัดทุกครั้งเพื่อติดตามอาการ ซึ่งพ่อก็รับปากหมอทุกอย่าง เพราะอยากกลับพร้อมหลานแฝด ไม่อยากอยู่ที่โรงพยาบาลอีกแล้วส่วนลูกฝาแฝดของเธอเป็นผู้หญิงและผู้ชายแฝดพี่เป็
ตอนที่ 45 พวกเรามาแล้ว...เมื่อคนเราตั้งใจทำอะไร จึงเป็นเรื่องง่ายที่มันจะสำเร็จ เจ้าก้อนแป้งที่บอกว่าจะปั้นแล้วเกิดการตื่นเต้นในวันนั้น... ผลออกมาเป็นเจ้าก้อนแป้งที่อยู่ในท้องของคนเป็นแม่ในวันนี้ แต่ไม่รู้ว่าเจ้าก้อนแป้งจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงเท่านั้นเองชายหรือหญิงไม่รู้ แต่ที่รู้ ๆ คนที่แพ้ท้องอย่างหนักกลับเป็นว่าที่คุณพ่อ!!"ไหวไหมคะ" หนิงหนิงเข้ามาลูบหลังสามีที่ตอนนี้นั่งหลับตาพิงกำแพงห้องน้ำอย่างหมดแรง"ขอพักสักหน่อยนะเมียจ๋า ตอนนี้ไม่ไหวจริง ๆ " ฉิงหมิงกอดภรรยาพร้อมกับซุกหน้าไว้บริเวณหน้าอกของภรรยา"ไปนอนบนเตียงไหม" หนิงหนิงเสนอ เพราะเขากินอะไรเข้าไปก็อาเจียนออกมาจนหมด ดูแล้วน่าจะหมดแรง"ต้องไปดูงานก่อน" เพราะวันนี้คือวันที่จับปลาจำนวนมาก เขาอยากไปดูด้วยตัวเอง"ฉันจะไปดูให้ ไม่ต้องห่วง ทนอีกหน่อย เคยได้ยินว่าแพ้ท้องแค่ไม่กี่เดือน" หนิงหนิงปลอบใจสามี เธอไม่รู้หรอกว่าแพ้ท้องเป็นแบบไหน เพราะเธอยังปกติดีทุกอย่าง"คนเราตั้งครรภ์กี่เดือนถึงจะคลอด" ฉิงหมิงหลับตาอยู่แต่ก็ยังถามคำถามที่ตัวเองอยากมั่นใจ... ว่าที่ตัวเองรู้มามันตรงกันไหม"เจ็ดถึงเก้าเดือน แต่ส่วนมากจะคลอดตอนเก้าเดือน แต่บา
ตอนที่ 44 มาเถิดนะ... เจ้าก้อนแป้ง NC+++เมื่อหลายสิ่งหลายอย่างเข้าที่เข้าทางตามที่เคยพูดไว้ก็ถึงเวลาปฏิบัติภารกิจปั้นเจ้าก้อนแป้ง ซึ่งคนที่ตื่นเต้นที่ก็หนีไม่พ้นฉิงหมิง ทั้งที่ทำอยู่แทบทุกวัน แต่วันนี้กลับตื่นเต้นเป็นพิเศษภรรยาบอกว่าหยุดกินยาคุมกำเนิดแล้ว และวันนี้คือวันดี หากอยากมีเจ้าตัวเล็กก็ต้องเป็นวันนี้ เพราะวันนี้คือ วันไข่ตก เขาไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ รู้แต่ว่าวันนี้คือวันที่เขาต้องปั้นเจ้าก้อนแป้งเท่านั้นเอง ภายในห้องนอนใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยความสลัว ฉิงหมิงนั่งจ้องหน้าภรรยาที่กำลังนั่งอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ มันน่าแปลกตรงที่ว่าทุกครั้งเขาไม่เคยกังวล แต่พอถึงเวลาจริง ๆ ทำไมเขาต้องกังวลมากขนาดนี้ก็ไม่รู้"คุณรู้ไหมว่า... หากเครียดมากเกินไป สิ่งที่คุณต้องการมันจะไม่สำเร็จ" ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี คนที่พูดอยู่แทบทุกวันว่าอยากมีลูก แต่พอถึงเวลากลับนั่งจ้องหน้าเธอ ไม่ทำอะไรทั้งนั้น"คุณฟังมาจากไหน จำผิดหรือเปล่า ผมแค่กำลังคิดว่าจะทำท่าไหนดี จะลองท่าไหนก่อน ลูกชายและลูกสาวจะต้องใช้ท่าไหน... ผมกำลังคำนวณและใช้ความคิดเท่านั้นเอง" บอกภรรยาไปแบบนั้น แต่ความจริงแล้วเขากำลังตื่นเต้นเป็
ตอนที่ 43 เข้าที่เข้าทางผ่านมาสามเดือนแล้ว ตั้งแต่วันที่เริ่มแลกเปลี่ยนกับแก๊งวัยรุ่นฟันน้ำนม หนิงหนิงได้ผู้ช่วยตัวน้อยมาคอยช่วยรดน้ำผัก และให้ช่วยงานเล็ก ๆ น้อยๆ เท่าที่พอจะทำได้ หนิงหนิงส่งผลผลิตขายให้กับตระกูลจ้าวไปหลายรอบแล้ว ตอนนี้เธอมีคนมาช่วยงานเพิ่มแล้ว นั่นคือครอบครัวของป้าเหลียน หลังจากวันนั้นที่นัดพูดคุยกัน เธอได้ชักชวนให้มาช่วยงาน โดยมาดูแลที่ดินผืนใหม่ที่ตอนนี้มีแปลงผักและมีบ่อปลาจำนวนมากในหมู่บ้านรู้แล้วว่าหนิงหนิงรับแลกเปลี่ยนสิ่งของ ชาวบ้านก็นำสิ่งของมาแลกเปลี่ยน ถึงแม้จะได้ของเล็ก ๆ น้อย ๆ กลับไป แต่ก็ยังดีกว่าทิ้งไว้แบบนั้น จึงกลายเป็นรายได้อีกทางให้ชาวบ้านได้นำของที่ไม่ได้ใช้แล้วมาแลกเปลี่ยนเป็นเงินบ้าง อาหารบ้าง"พี่สาว... จะมีโรงเรียนในหมู่บ้านจริง ๆ เหรอ" เหอเหรินถามคำถามนี้มาหลายรอบแล้ว ถามตั้งแต่เช้าก็ยังไม่หยุดถามสักที "ยังไม่แน่ใจ ต้องรอดูว่ายื่นเรื่องผ่านไหม" หนิงหนิงตอบแบบเดิม และตอบคำถามทุกครั้งที่เหอเหรินถาม จนจำไม่ได้แล้วว่าตอบไปกี่ครั้งแล้ว ที่เหอเหรินยังถามคำถามนี้ เพื่อให้เด็ก ๆ ทุกคนได้ยินและได้ฟังคำตอบ เพราะตอนนี้ที่บ้านของพี่สาวไม่ได้มีเธอเป็น
ตอนที่ 42 หัวหน้าแก๊งฟันน้ำนมวันนี้เป็นวันแรกที่จะทำการแลกเปลี่ยนกับกลุ่มวัยรุ่นฟันน้ำนมทั้งหลาย หนิงหนิงเตรียมเสื้อผ้าไว้หลายชุด เตรียมข้าวปลาอาหาร เครื่องดื่ม ขนมขบเคี้ยว เพื่อรอเด็ก ๆ โดยมีเหอเหรินกับเหอหมิงเป็นผู้ช่วยส่วนฉิงหมิงกับเหอหยวนไปช่วยกันทำในงานอยู่ตรงสวนหลังบ้าน เขาต้องรีบจัดการเก็บเกี่ยวผลผลิตที่โตเร็วกว่าปกติให้เรียบร้อย เพื่อส่งขายให้ตระกูลจ้าวที่จะมารับสินค้าเย็นนี้ ผลผลิตชุดนี้เป็นชุดแรกของปี และเป็นชุดแรกที่มียอดผลผลิตจำนวนมาก ที่น่าอัศจรรย์ใจมากกว่าสิ่งอื่นนั่นคือ.. เห็ดที่ภรรยาเพาะมีจำนวนมาก แม้แต่ภรรยาที่เป็นคนทำยังตกใจกับผลผลิตที่ได้ส่วนคนที่ทำหน้าที่วิ่งเข้าออกหน้าบ้านหลังบ้านนั้นคือย่า เพราะตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่ได้เห็น สิ่งที่เรียกร้องความสนใจย่าได้มากที่สุดคือสวนผักที่อยู่หลังบ้าน บ่อปลา และโรงเพาะเห็ด จากตอนแรกไม่อยากจะมา หลีกเลี่ยงตลอด ตอนนี้กลับกำลังเพลิดเพลิน ไม่อยากกลับไปที่โรงพยาบาลอีกแล้วหนิงหนิงมองย่าทีไรก็ต้องยิ้มตามทุกครั้ง เพราะย่ามีสีหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มอยู่ตลอด พอรู้ว่าจะมีเด็ก ๆ มา ย่ายิ่งชอบใจ เหมือนได้ช่วยเหลือคนอื่นอย่างที่ย่าอยากทำ พอ
ตอนที่ 41 คุณรู้ไหม... คนเราสามารถอดอาหารได้หลายวันเหตุการณ์เติมเชื้อเพลิงปาระเบิดในครั้งนั้น ผลออกมาเป็นเช่นไร หนิงหนิงไม่ได้สนใจรอดูผลงานของตัวเอง เพราะเธอมีงานมากมายที่ต้องทำ คนพวกนี้เล่นสนุกได้เป็นบางครั้ง แต่อย่าเอามาทำให้เสียเวลาชีวิต จะรักกันหรือตีกันก็ตามสบาย เจอหน้าเมื่อไหร่ก็โยนเชื้อไฟให้เมื่อนั้นเท่านั้นเอง"น่าจะเรียกย่าไปร่วมสนุกด้วย... เสียดายจริง ๆ " ซูหรงได้ยินที่หลานสาวเจอกับคนบ้านเดิมทีไรก็เสียดายทุกครั้ง เธอชอบใจที่หลานสาวสู้คน มีการเอาคืน ไม่ยอมให้ใครมารังแกง่าย ๆ "ฉันไม่รู้ว่าจะเจอพวกเขา พอเจอแล้วมันก็นึกถึงตอนที่ตัวเองโดนรังแก เลยไม่สามารถปล่อยผ่านได้จริง ๆ " หนิงหนิงบอกกับย่าพร้อมกับหัวเราะท่าทางการแสดงออกของย่าที่พร้อมสนับสนุนหลาน ทั้งที่หลานสาวจะไปมีเรื่องกับคนอื่น"ระวัง... อาหมิงรู้... " หลี่อี้เตือนลูกสาว เพราะรู้ว่าลูกเขยรักและห่วงใยลูกสาวเป็นอย่างมาก รักมากเกินไปเสียด้วยซ้ำ ความยับยั้งชั่งใจเกี่ยวกับภรรยาไม่มีเลย ไม่เคยเขินอาย อยากกอดรัดภรรยาเวลาไหนก็ทำเลย ไม่ได้สนใจสถานที่หรือสนใจผู้คนรอบข้าง ไม่มีอายใคร ไม่มีเกรงใจหากคิดว่านั่นคือสิ่งที่ลูกเขยเป็นหนั
ตอนที่ 40 สวัสดีน้องสาวสุดที่รักนับเป็นเวลาเกือบเจ็ดเดือนที่พ่อรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล อาการของพ่อดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สามารถขยับขาได้บ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะเดินเองได้ เท่านี้ก็ถือว่าคนไข้ตอบสนองต่อการรักษาแล้วสองสามีภรรยารู้ดีว่าที่อาการพ่อดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดนั้นเพราะอะไร แต่ทั้งสองก็ได้แต่เงียบไว้เท่านั้นเองส่วนอาการของเย่อี้เตอยังไม่เห็นผลอะไรเลย ทั้งที่ตอนนี้มีการรักษาแบบเดียวกัน ต้องยอมรับว่าลูกชายคนโตของเขาเป็นคนที่ฉลาด รู้จักพูด รู้จักเข้าหาคนพอรู้เรื่องคนป่วยอีกคนที่มีอาการดีขึ้น หลีเฟิงเลยเข้าไปคุยกับหมอพร้อมเสนอแนวทางให้หมอช่วยรักษาแบบเดียวกัน จะได้มีการเปรียบเทียบว่า การรักษาแบบเดียวกันสามารถหายเหมือนกันได้ไหมซึ่งตอนนั้นหมอก็ต้องการคนไข้ที่มีอาการแบบเดียวกัน เพื่อเปรียบเทียบ เพื่อหาข้อบกพร่อง เพื่อที่จะได้แก้ไข จึงทำให้เย่อี้เตอกลายมาเป็นคนไข้พิเศษเช่นเดียวกันกับพ่อของหนิงหนิงด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลต่อได้ แต่ถึงอย่างไรก็ยังลำบากอยู่ดี เพราะว่าลูกชายคนโตยังทำงานเพียงคนเดียว แต่ต้องจ่ายค่ารักษาทั้งพ่อและแม่ในส่วนของแม่เลี้ยงนั้นอาการยังเหม