ตอนที่ 12 แผนที่ไม่ใช่แผน
"เรื่องทะเบียนสมรส เรียบร้อยหรือยังครับ" เมื่อมาถึงฉิงหมิงก็พูดธุระของตัวเอง โดยที่ไม่ได้ทักทายเจ้าของบ้านเลยแม้แต่น้อย
"จะเรียบร้อยได้ยังไง ในเมื่อเผยหนิงยังไม่ได้ลงชื่อ" หัวหน้าชุมชนตอบกลับอย่างรวดเร็วไม่ต่างกัน คนคนนี้มาใหม่ ไม่รู้ธรรมเนียมเลยหรืออย่างไร การทำงานมันต้องมีค่าน้ำชานิด ๆ หน่อยบ้างไม่ใช่แค่ใช้งานอย่างเดียว
"อ้าว หัวหน้าบอกเองไม่ใช่เหรอว่าเรื่องลงชื่อไม่มีปัญหา ยังบอกอีกว่าประทับตราด้วยลายนิ้วมือก็ได้ พอมาวันนี้จะมาบอกแบบนี้คืออะไร" เรื่องนี้คุยตั้งแต่วันแรกแล้ว บอกเองว่าจัดการได้
"ตอนนั้นนึกว่าได้ แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้ว รอไปก่อน เข้าเมืองต้องใช้เงิน รอให้มีหลาย ๆ คนยื่นเรื่องค่อยเข้าเมืองทีเดียว" พูดขนาดนี้หากเงินไม่มา ก็รอไปก่อนได้เลย
"ถ้าอย่างนั้นผมขอเอกสารคืนทั้งหมดด้วย" ฉิงหมิงตอบด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ
"จะไม่ทำแล้วหรืออย่างไร หากอยากได้วันหลังค่อยมาเอา มาถึงจะเอาทันทีทันใดได้อย่างไร ไม่ได้ทำงานให้คนคนเดียวนะ" หัวหน้าหมู่บ้านไม่สนใจทหารที่ลาออกมาอยู่บ้านเพราะบาดเจ็บอยู่แล้ว หายไปตั้งหลายปี พ่อแม่พี่น้องไม่มี ตัวคนเดียว จะมีปัญญาทำอะไรได้ เขามีลูกบ้านมากมายที่คอยสนับสนุน
"แล้วเรื่องเอกสารตัดขาดของฉันทำไมถึงยื่นได้ละคะ" ตอนแรกหนิงหนิงยืนฟังอยู่เงียบ ๆ ก็อยากรู้เรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องตัดขาดเพิ่มเติม
"ประทับตราด้วยลายนิ้วมือก็เรียบร้อยแล้ว เรื่องนั้นง่ายนิดเดียว" หัวหน้าหมู่บ้านหันมามองเผยหนิงชัด ๆ เพิ่งรู้ว่าเด็กสาวคนนี้หน้าตาผิวพรรณดีขนาดนี้ ทำไมแต่ก่อนถึงผมเผ้ารุงรัง ผอมแห้งกว่านี้ ช่างแตกต่างจากเมื่อก่อน
"แล้วเรื่องทะเบียนสมรส ไม่ได้เอาให้ฉันประทับตราพร้อมกันกับใบตัดขาดเหรอคะ" หนิงหนิงยังควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดี ทั้งที่อยากจะถีบไอ้หัวหน้าชุมชนหน้าเงิน แต่การแสดงออกของเธอกลับตรงกันข้าม
"พรุ่งนี้ค่อยเข้ามาเอา อยากไปเดินเรื่องกันเองก็ไป แต่ต้องรู้ไว้ด้วยว่า คนในชุมชนส่วนมากจะให้หัวหน้าชุมชนเป็นคนทำเรื่องให้" ฝันไปเถอะว่าจะเดินเรื่องเองได้ง่าย ๆ ทุกอย่างต้องใช้เส้นสาย และการใช้เส้นสายต่าง ๆ ส่วนมากก็ต้องมีสินน้ำใจให้ทั้งนั้น เงินไม่อยากเสียอยากเดินเรื่องเอง แบบนี้ก็ดี จะได้พูดให้ลูกบ้านคนอื่นรับรู้ว่าสองคนนี้ทำอะไรข้ามหน้าข้ามตา
"ผมจะเอาวันนี้ และจะเอาตอนนี้ด้วย เป็นหัวหน้าชุมชน แต่ใช้คำพูดเหมือนกำลังข่มขู่ลูกบ้าน" จะพูดแบบไหนเขาก็ไม่สนใจ เขาแค่ต้องการเอกสารคืนตอนนี้เท่านั้น
"มากไปแล้วไอ้หนุ่ม เป็นแค่ลูกบ้านอย่ามาดูถูกเจ้าหน้าที่ อยากย้ายไปอยู่อื่นหรือยังไง ทุกเรื่องก็ต้องผ่านหัวหน้าชุมชนทั้งนั้น" ในเมื่อเด็กมองข้ามหัว มีหรือที่เขาจะยอม ทำงานมาตั้งกี่ปี มีแต่คนเข้าหา มีแต่คนพูดจาดี ๆ ด้วย เพิ่งจะมาเจอสองคนนี้แหละที่กล้ามาพูดแบบนี้กับเขา
"อยากจะทำอะไรก็ทำ แต่ตอนนี้เอาเอกสารมาคืนได้แล้ว" ความหงุดหงิดเริ่มพุ่งขึ้นสูง มองอีกคนอย่างหาเรื่อง
"ไหนบอกจะใจเย็น" เมื่อเห็นหัวหน้าชุมชนเดินเข้าบ้านด้วยท่าทางที่ไม่ค่อยพอใจมากนัก หนิงหนิงก็หันไปพูดกับสามีที่ยืนทำหน้าบึ้งตึง
คนคนนี้ความอดทนช่างต่ำเตี้ยเรี่ยดินเหลือเกิน ตอนออกมาบอกเธอ กำชับเธอให้ใจเย็น ๆ ให้อยู่นิ่ง ๆ ทุกอย่างจะเป็นคนจัดการเอง แต่ดูจากท่าทางแล้ว เหมือนจะพุ่งเข้าหาเรื่องหัวหน้าหมู่บ้านมากกว่า
"เอาไป!! ทีหลังเดือดร้อนอะไรมาไม่ต้องมา อยากดูน้ำหน้าพวกแกทั้งสองคนจะอยู่ยังไง!! " ทหารก็ไม่ได้เป็นแล้ว หากไม่ทำงานในชุมชนหรือในคอมมูนจะเอาอะไรกิน อย่าหวังว่าเขาจะช่วย เขาจะเป็นคนกีดกันจนถึงที่สุด!!
หนิงหนิงรับเอกสารมาจากมือหัวหน้าหมู่บ้าน โดยไม่พูดอะไร พร้อมกับเดินจูงมือสามีให้ออกมาข้างนอก เธอยังไม่อยากให้มีเรื่องกัน ดีที่ว่าวันนี้ไม่มีใครอยู่ในบ้าน ไม่อย่างนั้นต้องมีคนเอาไปพูดจนเรื่องราวบานปลาย ต่อไปเธอสองคนจะทำอะไรลำบากมากกว่าเดิม ไม่ได้กลัวการมีปัญหาหรือมีเรื่องกับหัวหน้าหมู่บ้าน แต่ตอนนี้ยังเสียเปรียบจึงจำเป็นต้องใจเย็นก่อน
"ทีหลังคุณต้องบอกตัวเองด้วย ไม่ใช่บอกแต่ฉันให้ใจเย็น ๆ " เมื่อเดินออกมาแล้วหนิงหนิงก็บอกสามี แล้วมุ่งหน้าพากันไปที่สหกรณ์ของหมู่บ้านตามที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก
"หนิงหนิงเหรอ... " คนที่สหกรณ์ร้องทัก แต่ไม่แน่ใจว่าใช่ไหม เพราะไม่เคยเห็นหน้าชัด ๆ เลยสักครั้ง
"ใช่จ้ะ ฉันอยากได้นมผง มีไหมจ๊ะ" หนิงหนิงยิ้มให้คนที่ถาม ซึ่งมีชาวบ้านอยู่กันหลายคน เป็นเรื่องปกติที่ชาวบ้านจะรวมตัวพูดคุยกันอยู่แล้ว และที่สหกรณ์ร้านค้าหมู่บ้านคือสถานที่ที่ทุกคนจะมารวมตัวกันเป็นประจำ
"ไม่มีหรอก หมดตั้งแต่สองวันก่อน ของยังไม่มีมาเลย ตั้งใจมาซื้อของหรือจะพากันไปไหน" ในหมู่บ้านมีไม่กี่เรื่องที่คนอยากรู้อยากเห็น นั่นคือเรื่องของคนอื่นที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง และยิ่งคนที่ถูกตัดขาดจากครอบครัวเพราะกระโดดเข้าหาผู้ชายอย่างเผยหนิง คนยิ่งพากันพูดไปสามบ้านแปดบ้าน ผ่านมาเกือบสองอาทิตย์แล้วยังไม่เลิกพูดถึงเรื่องนี้เลย
"ไปเอาเอกสารที่บ้านหัวหน้ามาจ้ะ เขานัดให้มาเอา แต่พอมาเอามันยังไม่เรียบร้อย ฉันเลยต้องเอาเอกสารกลับคืน เพื่อไปทำเรื่องเอง" หนิงหนิงแสดงสีหน้าท่าทางที่ไร้เดียงสา ส่วนมือก็หยิกสามีไว้ กลัวเขาพูดอะไรแปลก ๆ ออกมา ของแบบนี้ต้องให้ผู้หญิงลงมือ รับรองได้ผลแน่นอน
"วันนี้เขาก็เข้าเมืองไม่ใช่เหรอ" เมื่อมีประเด็น ชาวบ้านก็เริ่มถกกันต่อ และพวกเขารู้ดีว่าสองสามีภรรยาคงไม่มีสินน้ำใจจ่ายให้ ไม่อย่างนั้นเรื่องน่าจะเรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่ว่าสองสามีภรรยาเท่านั้นที่โดนแบบนี้ ใครยื่นเอกสารราชการแล้วไม่มีน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ มอบให้หัวหน้า ก็ต้องรอนานเป็นธรรมดา
"หนิงหนิง หากไม่มีเงินก็ให้อาหารหรือไข่ไก่ก็ได้" ชาวบ้านบางคนไม่มีเงินก็เปลี่ยนเป็นอาหารหรืออะไรที่พอหาได้ให้เขาไป เวลาเข้าเมืองเขาอาจจะถือเอกสารไปยื่นให้ก็ได้ ยังไงเขาก็ต้องเข้าไปในเมืองแทบทุกวัน
"ต้องให้ด้วยเหรอจ๊ะ เขาต้องเป็นคนทำให้ไม่ใช่เหรอ ในเมื่อเขาเป็นตัวแทนของพวกเรา และเป็นตัวแทนของรัฐด้วย เขากินเงินเดือนไม่ใช่เหรอ หรือว่าหัวหน้าใจดีทำงานโดยไม่ได้รับเงินเดือน ฉันไม่รู้ว่าเขาไม่ได้รับเงินจากรัฐ เลยไม่ได้เอาอะไรติดไม้ติดมือไปให้" หนิงหนิงยังคงสวมบทบาทนางสาวไม่รู้ และยังอ่อนด้อยไร้เดียงสาอย่างที่สุด และเท่าที่ดูแล้วทุกคนเชื่อสนิทใจเลยว่าเธอไม่รู้จริง ๆ
"รับสิ ทำไมจะไม่รับ แต่หากไม่จ่าย เขาก็ทำงานให้ช้าแบบนี้แหละ ไม่รู้ว่าหมู่บ้านอื่นเป็นแบบนี้ไหม แต่ที่หมู่บ้านเราเป็นแบบนี้มานานแล้ว" เมื่อมีคนมาเปิดประเด็น ไม่มีชาวบ้านคนไหนที่จะอยากเสียเงิน ยิ่งยุคข้าวยากหมากแพง ยิ่งทำให้ทุกคนประหยัด
"แล้วแบบนี้ ฉันต้องทำยังไงต่อดี... ฉันเอาเอกสารกลับมาแล้วด้วย" นางไม่รู้แบบหนิงหนิงยังตีหน้าซื่อถามคำถามต่อ
"หากไม่รีบก็ให้เขาทำให้ แต่หากรีบก็อย่างที่บอก" เพราะทุกคนอยู่แต่หมู่บ้าน ไม่รู้ว่าตอนนี้ข้างนอกเป็นแบบไหนยังไง ส่วนมากก็ต้องให้เขาเดินเรื่องให้ทั้งนั้น
"แต่หัวหน้าบอกว่าให้พวกฉันทำเอง เขาไม่ทำให้แล้ว" หนิงหนิงยังตีหน้าเศร้า เล่าเรื่องราวได้อย่างน่าสงสาร
"พรุ่งนี้เราก็เข้าเมืองไปเดินเรื่องเองได้ ไม่นานครับ" แค่มองตาก็รู้ใจคงเป็นแบบนี้ เพราะแค่ภรรยาปรายตามามองเท่านั้น ฉิงหมิงก็รู้ได้ทันทีว่าตัวเองต้องพูดหรือทำยังไงต่อ
"มันยุ่งยากไหม หนังสือหนังหาอ่านไม่ออกอีก" เมื่อได้ยินว่าเดินเรื่องเองได้ ไม่นานอีกด้วย ชาวบ้านต่างก็พากันอยากรู้ แต่เพราะไม่เคยทำเอง กลัวไปแล้วทำไม่ถูก ส่วนมากชาวบ้านก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น และที่สำคัญไม่ค่อยมีเอกสารหรือเรื่องอะไรให้ต้องเข้าไปทำอยู่แล้ว
"มีเจ้าหน้าที่ดูแลตลอดครับ ช่วยอ่าน ช่วยอธิบายให้เราเข้าใจ ที่สำคัญไม่ต้องรอนานเลยครับ" ฉิงหมิงเพิ่งจะไปเดินเรื่องซื้อของมาสร้างกำแพง เขารู้เรื่องนี้ดี
"พ่อหนุ่ม ที่เดินเรื่องซื้อของนั้นทหารทำให้หรือว่าทำเอง ชาวบ้านอย่างเราลงชื่อได้ไหม" ช่วงนี้เห็นรถบรรทุกอิฐวิ่งเข้าไปท้ายหมู่บ้านหลายรอบ ทุกคนรู้ดีว่าขนของมาสร้างบ้านสร้างกำแพงให้นายทหารที่ลาออกกลับมาอยู่บ้านเดิม
"ผมลงชื่อด้วยตัวเอง และหน่วยงานทหารเข้ามาช่วยทีหลังครับ"
"ชาวบ้านลงได้ไหม" เรื่องนี้ชาวบ้านสนใจเป็นอย่างมาก เพราะลงชื่อกับหัวหน้าหมู่บ้านแล้วยังเงียบอยู่เลย บางคนก็จ่ายเงินให้ช่วยตามเรื่อง หรือที่รู้ ๆ กันอยู่คือหากได้ก่อนยิ่งดี แต่ก็ยังช้าอยู่เลย
"ผมเห็นคนอื่น ๆ ไปลงชื่ออยู่นะครับ หากสร้างบ้านใหม่ใช้ของเยอะก็อาจนานสักหน่อย แต่หากต่อเติมไม่นานครับ" บอกไปตามตรง และเพื่อกระตุ้นชาวบ้านด้วยเช่นกัน เดินเรื่องเอกสารอาจนาน ๆ ที แต่เรื่องซ่อมแซมต่อเติมบ้านนั้นแทบทุกครัวเรือนที่ยื่น แต่ก็ต้องรออยู่อย่างนี้ไม่ถึงคิวตัวเองสักที
สองสามีภรรยาวางเมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัย ความอยากได้ ความอยากรู้ เพื่อกระตุ้นชาวบ้าน รู้ดีว่าเรื่องไหนที่ชาวบ้านต้องการก็เอาเรื่องนั้นออกมาพูดคุย เหมือนเป็นเรื่องทั่วไป แต่จริง ๆ แล้วกลับมีความนัยแอบแฝง หากมีคนไปเดินเรื่องเอง นั่นหมายถึง หัวหน้าหมู่บ้านจะขาดรายได้จากตรงนี้ ชาวบ้านส่วนมากต้องเสียเงินให้หัวหน้าตามเรื่องนี้ให้
พูดง่าย ๆ คือติดสินบนให้เขาตามเรื่อง บางคนติดสินบนเพื่อที่จะได้แซงคิวให้ได้ของเร็วที่สุด แต่ในความเป็นจริงแล้ว หัวหน้าหมู่บ้านไม่มีความสามารถช่วยชาวบ้านได้ขนาดนั้น แต่เขามีวิธีพูดให้ชาวบ้านเชื่อ และเงินที่ได้มาเขาก็เก็บไว้ใช้เองอย่างสบาย หากชาวบ้านได้เข้าไปฟังที่เจ้าหน้าที่บอก ชาวบ้านจะรู้เองว่ามันเป็นแบบไหน และแน่นอนว่าสิ่งที่หัวหน้าชุมชนพยายามปกปิดก็จะถูกเปิดเผยออกมา
"ผมเพิ่งรู้ว่าภรรยาเก่งก็วันนี้" ฉิงหมิงเดินโอบไหล่ภรรยากลับบ้านพร้อมทั้งเอ่ยชมไม่ขาดปาก เคยได้ยินแต่ภรรยาบอกว่าตัวเองเป็นนักแสดงนางร้ายอันดับหนึ่ง เพิ่งรู้ว่านางร้ายแสดงได้หลายบทบาท ภรรยาเขาตีสีหน้าได้ใสซื่อ ถึงขนาดเขาที่มาด้วยกันยังเชื่อเลย
"ไม่เสียชื่อนางร้ายอันดับหนึ่งแน่นอน แต่คุณไม่นิ่ง เคยได้ยินไหมทำงานใหญ่ ใจต้องนิ่ง" หนิงหนิงหันมาต่อว่าสามี
"ภรรยาครับ หากผมไม่ทำแบบนั้นจะส่งไม้ต่อให้ภรรยาได้อย่างไร" ฉิงหมิงพูดจบพร้อมกับหัวเราะในลำคอ
"หือ... อย่าบอกนะว่านั่นคือการแสดง" ...หากเป็นแบบนั้นถือว่าเก่งกว่าเธอเสียอีก เพราะเธอมองไม่ออกด้วยซ้ำว่าเขากำลังแสดง
"ไม่ถึงกับแสดง โมโหจริง อยากจะซัดสักสองหมัด คืนนี้เมียจ๋านอนคนเดียวได้ไหม ขอไปเอาคืนสักหน่อย หากไม่ได้เอาคืนอาจนอนไม่หลับไปหลายวันแน่ ๆ " ก่อนออกไป อุตส่าห์คิดว่าจะเป็นสามีที่ดี ไม่ให้ภรรยาลงมือเอง แต่ก็ยังต้องให้ภรรยาช่วยอยู่ดี ไม่อย่างนั้นมันไม่สมจริง
"ไม่ต้องหรอกค่ะ ในเมื่อคุณคิดจะเล่นงานแบบนี้ตั้งแต่แรก ช้าหน่อย แต่เล่นให้หนักแบบนี้ดีแล้ว" หากสามีไม่บอกก่อนว่าจะทำอย่างไร เธอก็คงตามไม่ทัน ดีที่พอจะรู้เรื่องบ้าง หากไปแบบไม่รู้อะไรเลย อาจเป็นเธอที่โดดโหยง ๆ เพราะโมโหกับคำพูดของหัวหน้าชุมชนอย่างแน่นอน
"พรุ่งนี้เข้าเมืองกัน ทำเรื่องให้เรียบร้อย และจะได้ไปยื่นเรื่องร้องเรียนด้วย สามีจะพาเมียจ๋าไปลองกินอาหารในเมืองด้วย" ฉิงหมิงก้มลงหอมหัวภรรยาอย่างมันเขี้ยว เขารู้สึกว่ายิ่งอยู่ด้วยกันยิ่งเหมือนกัน และแค่มองตาก็พากันไปต่อได้โดยที่ไม่ต้องพูดหรือบอกอะไร
"เขาจะได้หลุดจากตำแหน่งจริง ๆ ใช่ไหมคะ" การทำแบบนี้ใช้เวลานานในการตรวจสอบ กว่าจะเอาคืนได้ก็ลืม แบบนั้นมันไม่ค่อยทันใจเธอสักเท่าไหร่
"เมียจ๋า... สามีคนนี้มีทางลัด อย่าห่วงเลย นานสุดไม่เกินหนึ่งเดือนแน่นอน เรามีหลักฐานและพยานครบ ก่อนหน้านี้เราก็สร้างพยานไว้แล้ว อย่าห่วงเลย" ฉิงหมิงไม่อยากให้ภรรยาคิดเรื่องนี้แล้ว เพราะเขามั่นใจและคิดว่ามันจบแน่ ๆ และจบได้สวย ๆ เพราะได้ความร่วมมือจากภรรยา
"ตอนนี้ฉันไม่รู้ว่าคุณหรือฉันกันแน่ที่แสดงเก่ง เริ่มไม่น่าไว้ใจแล้ว" เพราะจากที่ดูเหมือนทุกอย่างเป็นแผนที่เขาวางไว้ และเหมือนเธอเป็นหมากให้เขาอีกด้วย
"จำไว้หนิงหนิง ผมเป็นตัวเองเวลาอยู่กับคุณเท่านั้น นี่คือตัวตนที่แท้จริงของผม กับคนอื่นขึ้นอยู่กับสถานการณ์ แต่ว่าไปแล้วเมียจ๋านี่น่าทำงานในกองทัพ น่าจะสืบข่าวได้ดี แสดงเนียนกริบ และเราทำงานเข้าขากันสุด ๆ ทั้งที่ผมไม่ได้บอกแผนทั้งหมด แต่สามารถรุกและรับได้ทัน เนื้อคู่กันจริง ๆ เนอะ" ฉิงหมิงยังคงเย้าแหย่ภรรยาอย่างอารมณ์ดี
"โอ๊ย... อยากจะบ้าตาย" เพราะความกะล่อนของเขาที่พลิกไปพลิกมา เธอก็เริ่มปวดหัวแล้วเหมือนกัน
"ไม่แกล้งแล้ว ไม่ปวดแล้วเนอะ" ฉิงหมิงเลิกเล่นทันทีที่เห็นท่าทางของภรรยา เขารู้ว่าควรหยุดตอนไหน ไม่อย่างนั้นได้ทะเลาะกันจริง ๆ แน่
"ฉันหวังว่าวันหนึ่งคุณจะไม่วกกลับมาเล่นงานฉัน" เมื่อรู้ถึงความร้ายกาจของสามีภายใต้ใบหน้าทะเล้น หนิงหนิงรู้เลยว่าหากเป็นศัตรูกับเขา ต้องรับมือยากมากแน่ ๆ
"ไม่มีทาง ผมไม่ทำแบบนั้นกับภรรยาตัวเองเด็ดขาด แต่หากคุณคิดหย่าขาดเมื่อไหร่ ก็ค่อยเตรียมรับมือผมเมื่อนั้นได้เลย" เรื่องอื่นยอมหมด มีเรื่องหย่านี่แหละห้ามเด็ดขาด เรื่องนี้เรื่องเดียวที่เขาจะไม่ยอมภรรยา
หนิงหนิงแหงนหน้ามองคนข้าง ๆ เธอคงหนีเขาไม่พ้นแน่ ๆ เห็นไส้เห็นพุงกันขนาดนี้ ขนาดแผนที่เธอคิดว่าไม่ใช่แผน ยังเป็นแผนจริง ๆ ของเขาเลย และเธอดันไปเป็นคนเดินหมากให้เขาอย่างไม่รู้ตัวอีกด้วย
"อย่าคิดมาก เราเข้ากันได้ดี นี่ขนาดยังไม่แก้ผ้ายังเข้ากันขนาดนี้ หากเราแก้ผ้ารับรองเข้ากันจนมิดเลย... ลองไหม" เมื่อรู้ว่าแกล้งได้แล้ว เขาก็แกล้งต่อทันที
"ฉันบอกให้เงียบ ๆ นิ่ง ๆ เข้าใจไหม" หนิงหนิงหยิกเข้าที่สีข้างพร้อมกับเอ่ยเสียงลอดไรฟันให้อีกคนรับรู้
"โอ๊ย... ยอมครับ ยอมทุกอย่างเลยเมียจ๋า นิ่งแล้ว เงียบแล้ว ไม่พูดแล้ว เข้าใจแล้ว" เมื่อโดนบิดอย่างแรง ภรรยาสั่งอะไรรีบรับปากทันที
"เล่นให้มันรู้เวลาบ้าง ถ้ายังไม่หยุดไม่ต้องเข้ามานอนในห้อง!! "
เมื่อเจอคำขู่ของภรรยา แม้แต่เจ็บยังไม่กล้าซูดปากออกมาเลย ให้ทำอย่างอื่นที่ยากกว่านี้ยังดีกว่าไล่ออกมานอนนอกห้อง ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ทำไมเขาต้องกลัวเรื่องนี้ด้วย บ้านก็บ้านของเขา แต่หากภรรยาสั่งเขากลับรีบทำ ไม่อย่างนั้นเขาได้นอนข้างนอกแน่ ๆ นอนข้างนอกไม่น่ากลัวเท่าไม่ได้นอนกอด
เขาคุ้นชินกับการนอนกอดภรรยาเสียแล้ว ตัวนุ่ม ๆ กลิ่นหอม ๆ ระยะเวลาเพียงไม่นาน เขากลับชอบที่จะนอนกอดภรรยาจนยอมทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย เพราะกลัวโดนไล่ออกจากห้องตัวเอง ไม่รู้ผู้ชายคนอื่นจะเป็นเหมือนเขาไหม แค่ภรรยาหันมาจ้องนี่ก็ร้อนตัวแล้ว คิดว่าตัวเองทำอะไรผิด ไม่กล้าจ้องตาภรรยาที่กำลังโมโห
อาจเป็นอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นกับคนที่หยุดหายใจแล้วฟื้นขึ้นมา อาการที่เขาเป็นนั้นมันประหลาดมาก ๆ คงต้องรีบไปหาหมอ หากรักษาได้จะได้รีบรักษาแต่เนิ่น ๆ เพราะเขากลัวเป็นหนักมากกว่าเดิม นี่ขนาดอยู่ด้วยกันยังไม่ถึงเดือนยังเป็นขนาดนี้ หากอยู่ด้วยกันนานไปเขาอาจเป็นหนักขึ้นเรื่อย ๆ ปล่อยไว้ไม่ดีแน่ ๆ ต้องรีบหาหมอโดยด่วน...
ตอนที่ 13 นางร้ายเข้าเมืองหนิงหนิงเปิดสมุดที่ใช้แลกสิ่งของอย่างสนใจ เพราะตอนนี้มีสิ่งของที่เธออยากได้หลายอย่าง ดีที่สิ่งของแลกเปลี่ยนสามารถแลกได้จากยุคที่เธอจากมาและสามารถแลกสิ่งของที่มาจากยุคโบราณ ซึ่งมันช่างอัศจรรย์มาก นั่นคือหินที่เป็นสี ๆ ที่ระบุว่าเป็น หินแร่ธาตุหากเป็นหินธาตุน้ำจะมีน้ำไหลออกมาตลอด หากอยากได้บ่อน้ำเพียงขุดบ่อลงไปแล้วนำหินไว้ก้นบ่อก็จะมีน้ำไหลออกมาทันที ไม่ต้องขุดจนเจอตาน้ำก็ได้ ซึ่งหนิงหนิงคิดว่ามันดีมาก เพราะหากเธอต้องการบ่อน้ำใช้สำหรับเพาะปลูกพืชมันจะง่ายมาก ไม่ต้องเดินไปถึงลำธารเพื่อตักน้ำ หรือทำทางน้ำไหลให้ยุ่งยาก มันเลยทำให้เธอสนใจสิ่งนี้มาก ๆ เพราะเธออยากเป็นนางร้ายปลูกผักบ้าง อย่างไรก็มีกิน ไม่อดตายแน่ ๆ "ดูเมียจ๋าสนใจเจ้าสิ่งนี้" ฉิงหมิงทำหน้าที่ปิดบ้านพร้อมกับเตรียมตัวพากันเข้าเมือง"จะมีคนมาขโมยไหมคะ" หนิงหนิงไม่ได้สนใจตอบคำถามสามี แต่กลับถามคำถามอื่นแทนพร้อมกับมองไปที่กองหิน กองทราย และอิฐแดง"หากเอาไปก็เอาไปได้ไม่เยอะ และก็รู้ ๆ กันอยู่ว่าในหมู่บ้านนี้ยังไม่มีใครจะต่อเติมบ้าน หากมีคนทำก็เอามาจากของเราทั้งนั้น และที่สำคัญ ภรรยาเก็บไว้ในช่องว่างแทบหม
ตอนที่ 14 นางร้ายกับคุณป้าทั้งห้า"อย่าทำหน้าแบบนั้น ผมแค่เดินเรื่องไว้ตั้งแต่แรกเท่านั้นเอง ผมถึงบอกว่าผมไม่รีบ เพราะเขาไม่ทำให้ ผมก็ทำเรียบร้อยแล้ว" ฉิงหมิงเดินจูงมือภรรยาออกมาข้างนอกเพื่อพาไปอีกอาคารหนึ่ง ที่มีพวกป้าในหมู่บ้านรออยู่"แล้วคุณมีเอกสารได้ยังไง" ทุกอย่างเป็นเอกสารทางราชการทั้งนั้น เขาเป็นทหารปลดประจำการ จะมีของแบบนี้ติดตัวได้อย่างไร"ตอนเย็นวันเกิดเรื่องผมไปบ้านหัวหน้าชุมชนเพื่อแจ้งเรื่อง ในช่วงจังหวะที่เขาเผลอ ผมก็หยิบเอกสารราชการติดมือมาด้วย พอออกจากบ้านหัวหน้า ผมไปหาคุณที่บ้าน แต่ทุกคนกลับไม่ให้เข้าไป พวกเขาจึงคุยเรื่องค่าสินสอด ผมยอมรับว่าไม่ค่อยไว้ใจ เลยต่อรองด้วยการขอลายนิ้วมือของคุณ" ฉิงหมิงหยุดเดิน หันมาพูดและจ้องตากับภรรยา เขาอยากให้ภรรยาได้เห็นว่าสิ่งที่เขาพูดคือเรื่องจริง"สินสอดเหรอ เยอะไหม" หนิงหนิงไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย"ถามมาแบบนี้ ไม่รู้จะตอบว่าแบบไหนเลย... 100 หยวนครับ พ่อคุณเรียกค่าสินสอด 100 หยวน ซึ่งผมยินดีจ่าย แต่ต้องได้เอกสารที่ประทับตราก่อน ก็อย่างที่เห็น ผมได้มาหนึ่งฉบับ โดยที่เขาไม่ถามสักคำว่าผมเอาหนังสือราชการมาจากไหน" ที่เขาไม่ยอมพูดเรื่
ตอนที่ 15 นางร้ายกับโรงขยะหนิงหนิงยืนอยู่หน้าโรงขยะประจำจังหวัดนี้ ไม่เคยคิดว่าตัวเองต้องมาสถานที่แบบนี้ แต่เพราะต้องการหารายได้จึงต้องมาทนกลิ่นที่เหม็นคละคลุ้ง คนที่เดินผ่านไปมาต้องมีผ้าเอามาปิดจมูก คนงานก็เช่นกันหนิงหนิงเห็นคนทำงานแล้วได้แต่เห็นใจ เพราะมันไม่ถูกสุขอนามัยเลย แบบนี้มันจะเป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่ในยุคนี้มันยังไม่มีเทคโนโลยีอะไรเข้ามาช่วย ทุกคนเลยต้องป้องกันตัวเองเท่าที่จะป้องกันได้แต่ที่ไม่เข้าใจคือ... ในยุคนี้มีขยะมากขนาดนี้ได้อย่างไร ทั้งที่บางอย่างยังขาดแคลน แต่กลับมีขยะจำนวนมากสามีบอกว่าทุกคนที่ทำงานที่โรงขยะยินดีที่จะทำ เพราะโรงขยะเป็นหน่วยงานของรัฐ คนทำงานได้สวัสดิการจากรัฐ อย่างที่รู้ ๆ กันอยู่ หากเป็นคนของรัฐ การเป็นอยู่ อาหารการกินจะดีกว่าชาวบ้านทั่วไป"หนิงหนิง เราต้องไปอีกที่" ฉิงหมิงเดินเข้ามาจูงมือภรรยาเพื่อพาไปอีกสถานที่หนึ่ง "คนทำงานที่นี่เขาป่วยบ่อยไหมคะ" หนิงหนิงเดินตามแรงจูงก็ถามเรื่องทั่วไปไปด้วย"ไม่รู้เหมือนกัน แต่เชื่อเถอะว่า พวกเขายอมป่วยบ่อยมากกว่ายอมให้ครอบครัวอดอาหาร" ภรรยาก็ช่างสงสัย เขาไม่เคยมาสถานที่แห่งนี้เลยจะรู้ได้อย่างไร ฉิงหมิงยิ้
ตอนที่ 16 ของที่คนอื่นไม่ต้องการ... กลับเป็นสิ่งของล้ำค่าของนางร้ายเมื่อกลับมาถึงบ้านทั้งสองต่างแยกย้ายกันทำหน้าที่ สิ่งของที่จะใช้แลกเปลี่ยนถูกเก็บไว้ในช่องว่าง ค่อยแลกตอนที่ทั้งสองว่างจากงาน ตอนนี้ต้องทำงานตรงหน้าให้เรียบร้อยเสียก่อนหนิงหนิงเข้าครัวเตรียมมื้อเย็น อาหารเลือกทำอาหารง่าย ๆ กินอิ่มอยู่ท้อง ถึงอยู่ที่นี่จะลำบาก แต่เธอกินได้ทุกอย่าง ไม่ต้องมาคำนวณปริมาณ ไม่ต้องรักษาหุ่น เพราะเธอไม่ได้ใช้รูปร่างหน้าตาที่ต้องดูดีตลอดเวลา เพื่อการทำมาหากินเหมือนแต่ก่อน ตอนนี้เธอได้กินในสิ่งที่อยากกิน มันก็ทำให้มีความสุขไปอีกแบบ ทางด้านฉิงหมิงที่เดินสำรวจบ้านอีกรอบ ตรวจดูสิ่งของต่าง ๆ ว่ายังอยู่ครบไหม และเขาจะเริ่มวางแผนทำงานในวันพรุ่งนี้แล้ว ตรงไหนทำได้จะได้เริ่มทำไปก่อน เขาไม่อยากเสียเวลา ทำอะไรได้ก็อยากจะทำ"เมียจ๋า... มีอะไรให้ช่วยไหม" เมื่อตัวเองเสร็จงานก็เข้ามาในครัวเพื่อช่วยภรรยา หากเป็นผู้ชายหรือสามีคนอื่น น้อยคนนักที่จะเข้าครัวมาช่วยงาน เพราะคนที่นี่จะบอกว่ามันคืองานของผู้หญิง แต่เขาไม่คิดแบบนั้น ยิ่งไปเห็นอะไรที่แปลกใหม่ ยิ่งทำให้เขาคิดไม่ต่างจากภรรยา ขนาดหาเงินภรรยาเขายังทำได้เอ
ตอนที่ 17 นางร้ายกับคนบ้านเดิมผ่านมาอาทิตย์หนึ่งหลังจากที่สองสามีภรรยาได้เดินทางเข้าเมือง ตอนนี้มีบางอย่างเปลี่ยนไป นั่นคือหลังบ้านของหนิงหนิงมีบ่อน้ำใสอยู่สองบ่อ บ่อแรกไว้ใช้สำหรับใช้สอยในบ้าน อีกบ่อไว้สำหรับเลี้ยงปลาและเอาไว้รดน้ำผักและต้นไม้สิ่งของอำนวยความสะดวกหลายอย่างถูกแลกมา สิ่งแรกที่หนิงหนิงแลกมาคือหินแร่ธาตุ ซึ่งเป็นธาตุน้ำ เพราะเธอไม่อยากให้สามีต้องคอยตักน้ำไว้ใช้บ่อย ๆ เพราะบ้านหลังนี้ถูกทิ้งไว้หลายปี สิ่งที่ควรมีก็ยังไม่มี หนิงหนิงเลยต้องการบ่อน้ำส่วนตัวไว้ใช้ในบ้าน หนิงหนิงได้เหรียญจากการแลกสิ่งของในครั้งเดียว หากเปลี่ยนเป็นเงิน เธอจะมีเงินสองถึงสามพันหยวนเลยทีเดียว ซึ่งในยุคนี้ถือว่ามีเยอะมาก แต่ตอนนี้เธอต้องการสิ่งของที่จำเป็นมากกว่า เธอต้องแลกตั้งแต่อุปกรณ์ทำครัว อุปกรณ์ทำสวน และอุปกรณ์ทำมาหากินทั้งหลาย ถึงต้องใช้จำนวนเหรียญเยอะก็ยอมแลก ดีกว่าเข้าไปซื้อในเมือง เพราะมันไม่ได้สะดวก อยากซื้ออะไรต้องใช้คูปอง มีจำกัดจำนวนอีกด้วย หนิงหนิงเลยแลกกับเครื่องแลกเปลี่ยน แลกง่าย ไม่ยุ่งยากตอนนี้เธอมีแปลงผักเกือบสิบแปลง แต่ยังไม่ได้ลงมือปลูกอะไร ได้แต่เตรียมดินไว้ก่อน อีกอย่างค
ตอนที่ 18 นางร้ายกับหัวหน้าชุมชนตอนนี้ชาวบ้านเริ่มแบ่งเป็นสองฝ่าย แต่ฝ่ายที่ออกห่างหัวหน้านั้นมีมากกว่าฝ่ายที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ วันนี้วันเดียวหนิงหนิงสามารถใช้ความสามารถในการแสดงปลุกปั่นให้คนอื่นเดือดร้อนได้ถึงสองสามคนเลยทีเดียว"หัวหน้าได้เข้าไปหาหมอมาบ้างไหม" ทั้งที่ไม่รู้ว่าภรรยาทำอะไรไว้ แต่ภรรยาเปิดช่องแล้วก็เตรียมทะลวงต่อ โดนไม่โดนเดี๋ยวก็รู้ผลเอง"แค่ผื่นคัน ทำไมต้องไปหาหมอ" หัวหน้าตอบออกมาไม่เต็มเสียง เพราะเขาก็ไม่มั่นใจเช่นเดียวกันว่าตัวเองเป็นอะไร เพิ่งจะมีตุ่มขึ้นตามร่างกายเมื่อตอนเช้านี่เอง"อาทิตย์ที่แล้วตอนที่ฉันเข้าไปในเมือง ได้ยินคนพูดเรื่องโรคระบาดที่มีตุ่มขึ้นตามตัว แรก ๆ มันจะคัน ต่อไปมันจะกลัดหนอง ตอนนี้กำลังระบาดอย่างหนักเลย หัวหน้าเข้าไปในเมืองบ่อย ๆ ไม่รู้ข่าวเลยเหรอ" หนิงหนิงพูดยาวเหยียด และทุกคำของเธอเสียงดังฟังชัด เพื่อให้ทุกคนได้ยินอย่างทั่วถึง"เมืองนี้ยังไม่เจอคนติด แต่เมืองข้าง ๆ มีคนติดเยอะแล้ว เจ้าหน้าที่สั่งห้ามไม่ให้อยู่ใกล้กัน เพราะเชื้อโรคมันมาทางอากาศ ผมว่าหัวหน้าควรไปหาหมอ อย่าปล่อยไว้เลย หากไม่ห่วงตัวเองก็ควรห่วงลูกบ้านนะครับ" ฉิงหมิงผู้ที่ปรับเปลี่
ตอนที่ 19 เรื่องที่อยากให้เป็น... อาจเป็นเรื่องจริงผ่านมาอาทิตย์กว่า ที่บ้านหนิงหนิงก่อกำแพงล้อมรอบที่ดินของตัวเอง โดยมีเพื่อนของสามีมาช่วย และมีครอบครัวป้าเหลียนฮวาคอยจัดหาที่นอนและทำอาหารให้ ส่วนวัตถุดิบที่เอามาทำอาหาร หนิงหนิงเป็นคนจัดเตรียมให้ทั้งหมด คาดว่าไม่เกินสามวันกำแพงก็คงแล้วเสร็จ"ถือว่าโชคดีที่หนิงหนิงได้สามีคนนี้" เหลียนฮวาที่ออกมาช่วยหลานสาวทำอาหารก็มองไปที่กลุ่มคนงาน ซึ่งมีสามีของหลานรวมอยู่ในนั้นด้วย"เขาก็ดีจ้ะ" ...แต่กะล่อนไปหน่อย"แม่ของเราคงหมดห่วง" เหลียนฮวายิ้มเมื่อพูดถึงเพื่อนตัวเอง ตอนแรกเธอไม่รู้ว่าสามีหลานเป็นคนแบบไหน รู้แต่ว่าเคยอยู่ท้ายหมู่บ้าน พ่อแม่จากไปเพราะโรคระบาด"ป้าเหลียนรู้ไหมว่าพ่อแม่ของเขาก็จากไปเพราะโรคระบาดเหมือนกันกับแม่" หนิงหนิงรู้เรื่องนี้เพราะสามีเล่าเรื่องของตัวเองให้ฟัง คนที่เสียชีวิตเพราะโรคระบาดไม่ได้ฝังศพเหมือนคนอื่น ๆ เขาบอกว่าทางการจัดการให้ทั้งหมด แต่หนิงหนิงเดาว่าเจ้าหน้าที่คงต้องเผารวมแล้วฝังกลบอีกรอบ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค ไม่มีหลุมศพให้เคารพเหมือนคนที่เสียชีวิตทั่วไป"รู้สิ ปีนั้นหมู่บ้านเราคนตายกันเยอะ พอตายแล้
ตอนที่ 20 ควรช่วยเหลือตัวเองก่อนช่วยคนอื่นกำแพงบ้านสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว เพื่อนของสามีต่างพากันแยกย้ายกลับบ้านของตัวเองแล้วเช่นกัน สามีรับผิดชอบจ่ายค่าแรงให้เพื่อนที่มาช่วยงานในครั้งนี้ และยังมีข้าวสาร อาหารแห้งให้ทุกคนได้เอากลับไปด้วยหนิงหนิงได้เตรียมอาหารไว้ให้ครอบครัวป้าเหลียนแล้ว แต่ยังไม่ได้เอาไปให้ เพราะป้าเหลียนไปบ้านครอบครัวสามี กว่าจะกลับก็คงอีกหนึ่งหรือสองอาทิตย์สามีของเธอได้จ่ายค่าแรงให้ครอบครัวป้าเหลียนไปแล้ว ตอนแรกทั้งสองไม่ยอมรับ แต่ก็พูดจนพวกเขารับค่าแรง หนิงหนิงคิดว่าทำแบบนี้ดีแล้ว พวกเขาก็มีครอบครัวภาระที่ต้องรับผิดชอบเหมือนกันตอนนี้หนิงหนิงเริ่มเลี้ยงปลาในกระชัง แยกชนิดของปลา ทุกอย่างก็มาจากเครื่องแลกเปลี่ยน ตอนแรกก็กลัวว่าปลาจะตายเหมือนกัน เพราะเธอไม่เคยเลี้ยงปลามาก่อนในชีวิต เคยแต่ให้อาหารเพียงเท่านั้น หากเป็นปลูกผักยังพอที่จะทำได้บ้าง"คุณว่าปลามันโตเร็วเกินไปไหม" ฉิงหมิงใช้กระชอนช้อนปลาขึ้นมาดู ปกติปลาไม่น่าโตเร็วขนาดนี้ "ฉันไม่เคยเลี้ยงปลาเลยไม่รู้ว่าโตเร็วหรือช้า แต่เท่าที่เห็นปลาตัวอ้วนและตัวมันโตมาก อย่าว่าแต่ปลาเลย ผักที่ลองปลูกยังรอดเลย ทั้งที่เราปลู
ตอนที่ 48 บทส่งท้ายห้าปีผ่านไป ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจหรือสุขภาพร่างกายของคนในครอบครัว หลี่อี้สามารถเดินเองได้โดยไม่ต้องใช้ไม้ค้ำยันช่วยแล้ว สามารถช่วยงานลูกเขยได้อย่างสบายซูหรงเป็นคุณย่าและคุณย่าทวดที่แข็งแรงเช่นเดียวกัน รับหน้าที่ช่วยหลานเขยและลูกชายในการดูแลสวนผัก บ่อปลา และโรงเพาะเห็ดที่ตอนนี้ขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิมรัฐบาลเริ่มเปิดให้ประชาชนซื้อขายที่ดินเป็นของตัวเองแล้ว จึงทำให้ครอบครัวของหนิงหนิงซื้อที่ดินเพิ่มเพื่อขยายพื้นที่ทำกิน และตอนนี้ก็เริ่มเปิดให้ทำการค้าได้อย่างเสรีอีกด้วย แต่หนิงหนิงก็ยังทำการค้ากับตระกูลจ้าวเหมือนเดิม เพราะว่าทำกันมาตั้งแต่แรกเริ่ม และเธอเน้นขายส่งมากกว่าขายปลีกหนิงหนิงไม่ได้ย้ายไปอยู่ในเมืองเหมือนคนอื่น ๆ ที่นิยมเข้าไปอยู่ในเมือง เนื่องจากมีการเปิดให้ค้าขายอย่างเสรีแล้ว จึงทำให้คนนิยมย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองเพราะสามารถเปิดร้านค้าขาย คนเลยย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองเป็นจำนวนมาก แต่เธอยังอยู่ที่เดิม บ้านหลังเดิม เธอคุ้นเคยกับที่นี่ เธอชอบที่จะอยู่แบบนี้ มันไม่ได้วุ่นวาย มีแต่คนกันเองและคนในครอบครัวเพียงเท่านั้นส่วนครอบครัวเหอได้ย
ตอนที่ 47 ครอบครัวเราใหญ่มากหนิงหนิงกลับมาอยู่บ้านได้เกือบสองอาทิตย์แล้ว การเลี้ยงลูกของเธอไม่ค่อยวุ่นวายสักเท่าไหร่ เพราะฝาแฝดเลี้ยงง่าย กินแล้วก็นอนอย่างเดียว วันนี้เป็นวันแต่งงานของเหอหยวน ซึ่งคนที่เป็นเถ้าแก่ไปสู่ขอเจ้าสาวก็คือครอบครัวของเธอนั่นเอง แต่งเสร็จก็เข้ามาอยู่รวมกับครอบครัวของเธอ เพราะพวกเขายังไม่ได้สร้างบ้าน ก็เลยยังอยู่ที่บ้านหลังเดิมซึ่งตั้งอยู่ตรงสวนหลังบ้านนั่นเองหนิงหนิงก็ไม่อยากให้ทั้งสามคนออกไปอยู่ที่อื่น หากสร้างบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้วค่อยย้าย แบบนั้นจะสบายใจมากกว่า เพราะอยู่ด้วยกันมานานและรู้ว่าพวกเขาเป็นแบบไหน มันเลยทำให้เธอค่อนข้างเป็นห่วงสามพี่น้องบ้านเหอมากพอสมควร"วันนี้ลูกสาวของพ่อแต่งตัวสวยจังเลย... " ฉิงหมิงเข้ามาในบ้านเห็นเจ้าตัวเล็กใส่ชุดสีแดง บ่งบอกถึงวันมงคล ถึงแม้จะห่อด้วยผ้าห่มหนานุ่ม แต่เขาก็ยังชมลูกสาวอยู่ดี"พาเฟยเฟยออกไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวฉันจะตามไปทีหลัง ให้หยางหยางกินนมให้เสร็จก่อน ยังไม่ยอมหยุดกินเลยสงสัยจะหิว" หนิงหนิงก้มมองลูกชายที่กำลังดูดนมไม่ยอมหยุดกินสักที เอาออกก็ร้องจึงต้องปล่อยให้กินต่อ"อย่าดีกว่า... กลัวคนอยากอุ้มเฟยเฟย เดี๋ยวคนสว
ตอนที่ 46 กลับบ้านนับเป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือนที่หนิงหนิงคลอดฝาแฝดชายหญิง ปกติแล้วหลังคลอดเด็กจะพักอยู่ที่โรงพยาบาลไม่เกินอาทิตย์ แต่หนิงหนิงกลับอยู่ถึงหนึ่งเดือนไม่ใช่ว่าร่างกายไม่แข็งแรง ทุกอย่างสมบูรณ์แข็งแรงดีหมด แข็งแรงทั้งแม่และลูก แต่เพราะความเป็นห่วงที่สามีมีให้ทั้งแม่และลูกเลยให้อยู่ที่โรงพยาบาลก่อน เพราะถ้าอยู่ที่โรงพยาบาลยังมีปู่และมีย่าทวดอยู่เป็นเพื่อนอีกด้วยหากให้หนิงหนิงบอกเล่าถึงโรงพยาบาล ก็คงไม่แตกต่างจากโรงพยาบาลเอกชนในโลกที่จากมา หากจ่ายค่ารักษาก็สามารถอยู่ได้นานตามที่ต้องการได้เลย ทั้งที่โรงพยาบาลนี้คือโรงพยาบาลของรัฐ ซึ่งเธอก็ไม่ค่อยเข้าใจระบบการทำงานของพวกเขาสักเท่าไหร่อีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญนั่นคือ รอกลับบ้านพร้อมกับปู่ ซึ่งตอนนี้อาการถือว่าดีขึ้นมาก สามารถช่วยเหลือตัวเอง เดินเองในระยะใกล้ได้แล้ว แต่หากเดินในระยะไกลยังใช้ไม้ค้ำยันช่วยพยุงหมอจึงอนุญาตให้กลับบ้านได้ แล้วค่อยหัดเดินบ่อย ๆ และต้องมาหาหมอตามนัดทุกครั้งเพื่อติดตามอาการ ซึ่งพ่อก็รับปากหมอทุกอย่าง เพราะอยากกลับพร้อมหลานแฝด ไม่อยากอยู่ที่โรงพยาบาลอีกแล้วส่วนลูกฝาแฝดของเธอเป็นผู้หญิงและผู้ชายแฝดพี่เป็
ตอนที่ 45 พวกเรามาแล้ว...เมื่อคนเราตั้งใจทำอะไร จึงเป็นเรื่องง่ายที่มันจะสำเร็จ เจ้าก้อนแป้งที่บอกว่าจะปั้นแล้วเกิดการตื่นเต้นในวันนั้น... ผลออกมาเป็นเจ้าก้อนแป้งที่อยู่ในท้องของคนเป็นแม่ในวันนี้ แต่ไม่รู้ว่าเจ้าก้อนแป้งจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงเท่านั้นเองชายหรือหญิงไม่รู้ แต่ที่รู้ ๆ คนที่แพ้ท้องอย่างหนักกลับเป็นว่าที่คุณพ่อ!!"ไหวไหมคะ" หนิงหนิงเข้ามาลูบหลังสามีที่ตอนนี้นั่งหลับตาพิงกำแพงห้องน้ำอย่างหมดแรง"ขอพักสักหน่อยนะเมียจ๋า ตอนนี้ไม่ไหวจริง ๆ " ฉิงหมิงกอดภรรยาพร้อมกับซุกหน้าไว้บริเวณหน้าอกของภรรยา"ไปนอนบนเตียงไหม" หนิงหนิงเสนอ เพราะเขากินอะไรเข้าไปก็อาเจียนออกมาจนหมด ดูแล้วน่าจะหมดแรง"ต้องไปดูงานก่อน" เพราะวันนี้คือวันที่จับปลาจำนวนมาก เขาอยากไปดูด้วยตัวเอง"ฉันจะไปดูให้ ไม่ต้องห่วง ทนอีกหน่อย เคยได้ยินว่าแพ้ท้องแค่ไม่กี่เดือน" หนิงหนิงปลอบใจสามี เธอไม่รู้หรอกว่าแพ้ท้องเป็นแบบไหน เพราะเธอยังปกติดีทุกอย่าง"คนเราตั้งครรภ์กี่เดือนถึงจะคลอด" ฉิงหมิงหลับตาอยู่แต่ก็ยังถามคำถามที่ตัวเองอยากมั่นใจ... ว่าที่ตัวเองรู้มามันตรงกันไหม"เจ็ดถึงเก้าเดือน แต่ส่วนมากจะคลอดตอนเก้าเดือน แต่บา
ตอนที่ 44 มาเถิดนะ... เจ้าก้อนแป้ง NC+++เมื่อหลายสิ่งหลายอย่างเข้าที่เข้าทางตามที่เคยพูดไว้ก็ถึงเวลาปฏิบัติภารกิจปั้นเจ้าก้อนแป้ง ซึ่งคนที่ตื่นเต้นที่ก็หนีไม่พ้นฉิงหมิง ทั้งที่ทำอยู่แทบทุกวัน แต่วันนี้กลับตื่นเต้นเป็นพิเศษภรรยาบอกว่าหยุดกินยาคุมกำเนิดแล้ว และวันนี้คือวันดี หากอยากมีเจ้าตัวเล็กก็ต้องเป็นวันนี้ เพราะวันนี้คือ วันไข่ตก เขาไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ รู้แต่ว่าวันนี้คือวันที่เขาต้องปั้นเจ้าก้อนแป้งเท่านั้นเอง ภายในห้องนอนใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยความสลัว ฉิงหมิงนั่งจ้องหน้าภรรยาที่กำลังนั่งอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ มันน่าแปลกตรงที่ว่าทุกครั้งเขาไม่เคยกังวล แต่พอถึงเวลาจริง ๆ ทำไมเขาต้องกังวลมากขนาดนี้ก็ไม่รู้"คุณรู้ไหมว่า... หากเครียดมากเกินไป สิ่งที่คุณต้องการมันจะไม่สำเร็จ" ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี คนที่พูดอยู่แทบทุกวันว่าอยากมีลูก แต่พอถึงเวลากลับนั่งจ้องหน้าเธอ ไม่ทำอะไรทั้งนั้น"คุณฟังมาจากไหน จำผิดหรือเปล่า ผมแค่กำลังคิดว่าจะทำท่าไหนดี จะลองท่าไหนก่อน ลูกชายและลูกสาวจะต้องใช้ท่าไหน... ผมกำลังคำนวณและใช้ความคิดเท่านั้นเอง" บอกภรรยาไปแบบนั้น แต่ความจริงแล้วเขากำลังตื่นเต้นเป็
ตอนที่ 43 เข้าที่เข้าทางผ่านมาสามเดือนแล้ว ตั้งแต่วันที่เริ่มแลกเปลี่ยนกับแก๊งวัยรุ่นฟันน้ำนม หนิงหนิงได้ผู้ช่วยตัวน้อยมาคอยช่วยรดน้ำผัก และให้ช่วยงานเล็ก ๆ น้อยๆ เท่าที่พอจะทำได้ หนิงหนิงส่งผลผลิตขายให้กับตระกูลจ้าวไปหลายรอบแล้ว ตอนนี้เธอมีคนมาช่วยงานเพิ่มแล้ว นั่นคือครอบครัวของป้าเหลียน หลังจากวันนั้นที่นัดพูดคุยกัน เธอได้ชักชวนให้มาช่วยงาน โดยมาดูแลที่ดินผืนใหม่ที่ตอนนี้มีแปลงผักและมีบ่อปลาจำนวนมากในหมู่บ้านรู้แล้วว่าหนิงหนิงรับแลกเปลี่ยนสิ่งของ ชาวบ้านก็นำสิ่งของมาแลกเปลี่ยน ถึงแม้จะได้ของเล็ก ๆ น้อย ๆ กลับไป แต่ก็ยังดีกว่าทิ้งไว้แบบนั้น จึงกลายเป็นรายได้อีกทางให้ชาวบ้านได้นำของที่ไม่ได้ใช้แล้วมาแลกเปลี่ยนเป็นเงินบ้าง อาหารบ้าง"พี่สาว... จะมีโรงเรียนในหมู่บ้านจริง ๆ เหรอ" เหอเหรินถามคำถามนี้มาหลายรอบแล้ว ถามตั้งแต่เช้าก็ยังไม่หยุดถามสักที "ยังไม่แน่ใจ ต้องรอดูว่ายื่นเรื่องผ่านไหม" หนิงหนิงตอบแบบเดิม และตอบคำถามทุกครั้งที่เหอเหรินถาม จนจำไม่ได้แล้วว่าตอบไปกี่ครั้งแล้ว ที่เหอเหรินยังถามคำถามนี้ เพื่อให้เด็ก ๆ ทุกคนได้ยินและได้ฟังคำตอบ เพราะตอนนี้ที่บ้านของพี่สาวไม่ได้มีเธอเป็น
ตอนที่ 42 หัวหน้าแก๊งฟันน้ำนมวันนี้เป็นวันแรกที่จะทำการแลกเปลี่ยนกับกลุ่มวัยรุ่นฟันน้ำนมทั้งหลาย หนิงหนิงเตรียมเสื้อผ้าไว้หลายชุด เตรียมข้าวปลาอาหาร เครื่องดื่ม ขนมขบเคี้ยว เพื่อรอเด็ก ๆ โดยมีเหอเหรินกับเหอหมิงเป็นผู้ช่วยส่วนฉิงหมิงกับเหอหยวนไปช่วยกันทำในงานอยู่ตรงสวนหลังบ้าน เขาต้องรีบจัดการเก็บเกี่ยวผลผลิตที่โตเร็วกว่าปกติให้เรียบร้อย เพื่อส่งขายให้ตระกูลจ้าวที่จะมารับสินค้าเย็นนี้ ผลผลิตชุดนี้เป็นชุดแรกของปี และเป็นชุดแรกที่มียอดผลผลิตจำนวนมาก ที่น่าอัศจรรย์ใจมากกว่าสิ่งอื่นนั่นคือ.. เห็ดที่ภรรยาเพาะมีจำนวนมาก แม้แต่ภรรยาที่เป็นคนทำยังตกใจกับผลผลิตที่ได้ส่วนคนที่ทำหน้าที่วิ่งเข้าออกหน้าบ้านหลังบ้านนั้นคือย่า เพราะตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่ได้เห็น สิ่งที่เรียกร้องความสนใจย่าได้มากที่สุดคือสวนผักที่อยู่หลังบ้าน บ่อปลา และโรงเพาะเห็ด จากตอนแรกไม่อยากจะมา หลีกเลี่ยงตลอด ตอนนี้กลับกำลังเพลิดเพลิน ไม่อยากกลับไปที่โรงพยาบาลอีกแล้วหนิงหนิงมองย่าทีไรก็ต้องยิ้มตามทุกครั้ง เพราะย่ามีสีหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มอยู่ตลอด พอรู้ว่าจะมีเด็ก ๆ มา ย่ายิ่งชอบใจ เหมือนได้ช่วยเหลือคนอื่นอย่างที่ย่าอยากทำ พอ
ตอนที่ 41 คุณรู้ไหม... คนเราสามารถอดอาหารได้หลายวันเหตุการณ์เติมเชื้อเพลิงปาระเบิดในครั้งนั้น ผลออกมาเป็นเช่นไร หนิงหนิงไม่ได้สนใจรอดูผลงานของตัวเอง เพราะเธอมีงานมากมายที่ต้องทำ คนพวกนี้เล่นสนุกได้เป็นบางครั้ง แต่อย่าเอามาทำให้เสียเวลาชีวิต จะรักกันหรือตีกันก็ตามสบาย เจอหน้าเมื่อไหร่ก็โยนเชื้อไฟให้เมื่อนั้นเท่านั้นเอง"น่าจะเรียกย่าไปร่วมสนุกด้วย... เสียดายจริง ๆ " ซูหรงได้ยินที่หลานสาวเจอกับคนบ้านเดิมทีไรก็เสียดายทุกครั้ง เธอชอบใจที่หลานสาวสู้คน มีการเอาคืน ไม่ยอมให้ใครมารังแกง่าย ๆ "ฉันไม่รู้ว่าจะเจอพวกเขา พอเจอแล้วมันก็นึกถึงตอนที่ตัวเองโดนรังแก เลยไม่สามารถปล่อยผ่านได้จริง ๆ " หนิงหนิงบอกกับย่าพร้อมกับหัวเราะท่าทางการแสดงออกของย่าที่พร้อมสนับสนุนหลาน ทั้งที่หลานสาวจะไปมีเรื่องกับคนอื่น"ระวัง... อาหมิงรู้... " หลี่อี้เตือนลูกสาว เพราะรู้ว่าลูกเขยรักและห่วงใยลูกสาวเป็นอย่างมาก รักมากเกินไปเสียด้วยซ้ำ ความยับยั้งชั่งใจเกี่ยวกับภรรยาไม่มีเลย ไม่เคยเขินอาย อยากกอดรัดภรรยาเวลาไหนก็ทำเลย ไม่ได้สนใจสถานที่หรือสนใจผู้คนรอบข้าง ไม่มีอายใคร ไม่มีเกรงใจหากคิดว่านั่นคือสิ่งที่ลูกเขยเป็นหนั
ตอนที่ 40 สวัสดีน้องสาวสุดที่รักนับเป็นเวลาเกือบเจ็ดเดือนที่พ่อรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล อาการของพ่อดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สามารถขยับขาได้บ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะเดินเองได้ เท่านี้ก็ถือว่าคนไข้ตอบสนองต่อการรักษาแล้วสองสามีภรรยารู้ดีว่าที่อาการพ่อดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดนั้นเพราะอะไร แต่ทั้งสองก็ได้แต่เงียบไว้เท่านั้นเองส่วนอาการของเย่อี้เตอยังไม่เห็นผลอะไรเลย ทั้งที่ตอนนี้มีการรักษาแบบเดียวกัน ต้องยอมรับว่าลูกชายคนโตของเขาเป็นคนที่ฉลาด รู้จักพูด รู้จักเข้าหาคนพอรู้เรื่องคนป่วยอีกคนที่มีอาการดีขึ้น หลีเฟิงเลยเข้าไปคุยกับหมอพร้อมเสนอแนวทางให้หมอช่วยรักษาแบบเดียวกัน จะได้มีการเปรียบเทียบว่า การรักษาแบบเดียวกันสามารถหายเหมือนกันได้ไหมซึ่งตอนนั้นหมอก็ต้องการคนไข้ที่มีอาการแบบเดียวกัน เพื่อเปรียบเทียบ เพื่อหาข้อบกพร่อง เพื่อที่จะได้แก้ไข จึงทำให้เย่อี้เตอกลายมาเป็นคนไข้พิเศษเช่นเดียวกันกับพ่อของหนิงหนิงด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลต่อได้ แต่ถึงอย่างไรก็ยังลำบากอยู่ดี เพราะว่าลูกชายคนโตยังทำงานเพียงคนเดียว แต่ต้องจ่ายค่ารักษาทั้งพ่อและแม่ในส่วนของแม่เลี้ยงนั้นอาการยังเหม