มิรันดารู้สึกตัวตื่นอีกครั้งเพราะถูกปลุกด้วยสัญญาณผิดปกติบางอย่างในร่างกาย
“อุ๊บ! อุแหวะ...”
หญิงสาวโก่งคออาเจียนจนหมดไส้หมดพุง ลำคอขมปร่าไปหมด อาการคลื่นเหียนวิงเวียนเล่นงานเธอจนแทบคลานอย่างหมดสภาพ
นี่เธอเป็นอะไรอีกล่ะ หรือโรคกระเพาะจะถามหาเข้าให้แล้ว อะไรก็ช่าง แต่ตอนนี้ใครก็ได้ช่วยปิดสวิตช์อ้วกเธอก่อนได้ไหม ก่อนที่ตับไตไส้พุงเธอจะไหลออกมากองที่ชักโครกนี่
เสียงโทรศัพท์ดังแว่วมาจากที่ใดที่หนึ่งในห้อง ทำให้หญิงสาวที่กอดชักโครกอย่างอ่อนแรงชะงักกึก
หรือจะเป็นเขา ดิฐกรอาจจะคิดได้แล้วจึงโทรหาเธอใช่ไหม เขาจะโทรมาง้อเธอใช่ไหม
หญิงสาวเผลอยิ้มก่อนรวบรวมเรี่ยวแรงอันน้อยนิดตะเกียกตะกายไปตามหาโทรศัพท์ด้วยความหวัง แต่เมื่อเห็นเบอร์ที่โชว์หน้าจอ ความหวังที่มีก็พังทลาย
ไม่ใช่เขา แต่เป็น...
“ฮัลโหลมี่ สายป่านนี้แล้วทำไมยังไม่มาทำงานอีก เป็นอะไรหรือเปล่า”
เสียงหัวหน้างานจอมเฮี้ยบทำให้มิรันดาหันไปมองนาฬิกาที่บอกว่าเธอตื่นสายมากกว่าปกติ
“ขอโทษค่ะหัวหน้า พอดีมี่ไม่ค่อยสบาย”
“แล้วทำไมไม่โทรบอกพี่ก่อน ว่าแต่เป็นอะไรล่ะ”
“มี่ก็ไม่แน่ใจค่ะ ตั้งแต่เช้าก็อาเจียนไม่หยุดเลย แถมยังหวิวๆ หน้ามืดเหมือนจะเป็นลมด้วย”
“อาการแบบนี้ท้องหรือเปล่าเนี่ย”
คำถามนั้นทำให้หญิงสาวฉุกใจ พลางเหลือบไปมองทางถังขยะที่เธอทิ้งแท่งตรวจครรภ์ปลอมไว้
“มี่...ทำไมเงียบไป”
“คะหัวหน้า”
“พี่ถามว่างานที่พี่สั่งไปเมื่อวานซืนทำเสร็จหรือยัง พี่บอกแล้วใช่ไหมว่างานด่วนต้องรีบใช้ แล้วนี่เธอก็มาลาอีก แล้วงานพี่จะทำยังไง...”
มิรันดารีบรวบรวมสติอันน้อยนิดก่อนตอบ
“เสร็จแล้วค่ะ มี่ส่งเมล์ให้หัวหน้าไปตั้งแต่เมื่อวาน”
“อ๋อๆ นี่ไง พี่เจอแล้ว” ปลายสายอ้อมแอ้มบอก แต่ไม่มีคำว่าขอโทษที่ตั้งใจโทรวีนเธอสักนิด
“แล้วนี่เราน่ะจะมาทำงานไหมวันนี้”
“มี่คงไปไม่ไหวจริงๆ ค่ะหัวหน้า งั้นมี่ขอลาไปหาหมอวันหนึ่งนะคะ แล้วพรุ่งนี้มี่จะเข้าไปยื่นใบลาอีกทีค่ะ”
“อืมๆ งั้นก็ได้ รีบๆ หายแล้วกัน จะได้รีบกลับมาทำงาน งานเยอะจะตายขาดไปคน พี่ก็ต้องหัวหมุนอีก อ้อ อย่าลืมขอใบรับรองแพทย์มาแนบใบลามาด้วยล่ะ”
มิรันดารับคำเบาๆ ก่อนที่ปลายสายจะกดตัดการติดต่อ หญิงสาวจึงถอนหายใจหนักๆ ด้วยความกังวล
ท้องงั้นเหรอ เธอคงไม่ฟลุกขนาดนั้นหรอกมั้ง...
เด็กเลี้ยงแกะมักตายเพราะการโกหกฉันใด ตอนนี้มิรันดาก็กำลังเผชิญกับชะตากรรมเดียวกันฉันนั้น
“ยินดีด้วยค่ะ คุณตั้งครรภ์ได้สิบสัปดาห์แล้วค่ะ”
คำนั้นทำเอาคนฟังตัวชาวาบ สมองงุนงงไปหมด
ชิบหายแล้ว สิบสัปดาห์นี่มันกี่เดือนกันนะ
“สองเดือนครึ่ง...นี่ฉันท้องตั้งสองเดือนครึ่งแล้วเหรอคะ”
“ใช่ค่ะ คุณแม่บางรายอาจจะไม่รู้ตัวได้ เพราะไม่มีอาการแพ้ท้อง หรือหน้าท้องไม่ออกค่ะ มักเป็นในคุณแม่ตั้งครรภ์ครั้งแรก หรือท้องสาว”
มิรันดาถึงกับอึ้งเมื่อรู้ตัวว่าตนกำลังจะเป็นแม่คน พลันสมองก็ดันคิดถึงคนที่ทำให้เธอท้องขึ้นมา เขาจะดีใจไหมนะที่รู้ว่ากำลังจะมีลูกกับเธอจริงๆ
‘พี่ยังไม่พร้อมจะแต่งงานหรือมีลูกตอนนี้ มี่เข้าใจพี่หน่อยได้ไหม’
คำพูดนั้นทำให้คนกำลังจะเป็นแม่ถึงกับใจฝ่อ ขนาดเธอลองใจเขาด้วยแท่งตรวจครรภ์ปลอม เขายังพูดแบบนั้น ก็แปลว่าถึงเธอจะมีลูกขึ้นมาจริงๆ เขาก็คงไม่ดีใจหรือกลับมารักเธอได้ดังเดิมอีกครั้งหรอก ในเมื่อเขาไม่อยากมีเธอหรือมีลูกคนนี้มาผูกมัดนี่นา
ความคิดนั้นทำให้หญิงสาวเจ็บแปลบแสบไปทั้งทรวง
ช่างประไร ไม่อยากมี ก็ไม่ต้องมี
ลูกเธอ...เธอเลี้ยงเองก็ได้
“คุณจะฝากครรภ์ที่นี่เลยไหมคะ”
“ค่ะ ฝากเลยค่ะ ฉันต้องทำยังไงบ้างคะ”
หลังจากเดินออกจากคลินิก มิรันดาก็ได้ยาบำรุงครรภ์ติดมือกลับมาพร้อมกับคู่มือคุณแม่ตั้งครรภ์อีกเล่มที่ลงวันนัดตรวจครั้งต่อไปช่วงต้นเดือนหน้า
“หาว่าไงนะ แกท้องจริงๆ เหรอ” นิลุบลอุทานลั่นด้วยความตกใจ
“อืม...สองเดือนครึ่งแล้ว” คนท้องตอบเนือยๆ พลางโบกยาดมไปมาเมื่ออาการแพ้ท้องมาเยือนอีกหน
“งั้นก็ดีสิ ท้องจริงๆ แบบนี้พี่ดิวของแกจะไปไหนเสีย”
มิรันดาแค่นยิ้มขื่นๆ
“ไม่รู้สิ ตั้งแต่เมื่อคืนที่ฉันให้ที่ตรวจครรภ์นั่นเป็นของขวัญวันเกิด เขาก็หายหัวไปทั้งคืนจนถึงตอนนี้ยังไม่โทรมาเลย ข้อความสักอันก็ไม่มี”
“เวร! หรือว่าเขาไม่อยากมีลูกวะ”
“เขาไม่อยากมีทั้งฉันทั้งลูกเลยต่างหาก เขาบอกว่าขออยู่ห่างกันสักพัก”
“กรรมของเวร” นิลุบลอุทาน “แล้วนี่แกจะทำยังไง แล้วไอ้คำว่าอยู่ห่างกันสักพักนี่มันหมายความว่าไง หรือเขาขอเลิก”
ถามไปแล้วคนถามก็อยากตีปากตัวเอง เมื่อเห็นสีหน้าเพื่อนที่หม่นหมองลงทันตา
“ไม่รู้สิ ก็คงงั้นมั้ง แต่ฉันบอกขอเลิกไปแล้ว”
“ไม่ได้สิแก แล้วเขาจะปล่อยให้แกเลี้ยงลูกคนเดียวงี้ พี่ดิวไม่ทำหรอกมั้ง แกลองโทรคุยกับเขาดูอีกทีไหม”
“ไม่มีประโยชน์หรอก เพราะฉันโทรหาเขาจนมือจะหงิกแล้ว แต่เขาไม่รับ ติดต่อไม่ได้เลย”
“แล้วแกจะเอาไง จะเลิกกันทั้งที่มีลูกด้วยกันแบบนี้เหรอ”
“แล้วแกจะเอาไง จะเลิกกันทั้งที่มีลูกด้วยกันแบบนี้เหรอ”คำถามนั้นมิรันดาก็ถามตัวเองตั้งแต่รู้ว่าตัวเองกำลังจะเป็นแม่คนแล้ว แต่กลับไม่มีคำตอบอื่นใดนอกจาก...“ก็คงต้องเป็นอย่างนั้น เพราะฉันคงไม่เอาลูกออกแน่ เขาไม่อยากได้ก็ช่าง ลูกฉันทั้งคน ฉันเลี้ยงเองก็ได้”“แต่เลี้ยงลูกคนเดียวมันเหนื่อยนะเว้ย กว่าจะโตต้องใช้เงินเท่าไหร่ แกดูฉันสิ ขนาดมีคนช่วยเลี้ยงทั้งผัว ทั้งพ่อแม่ผัว พ่อแม่ตัวเอง ไหนจะจ้างพี่เลี้ยงอีก ฉันยังแทบสลบเลย ตั้งแต่มีลูกมาฉันแทบไม่รู้จักคำว่านอนตื่นสาย ไม่ได้ช็อปปิ้งเสื้อผ้ากระเป๋ารองเท้าเลยเพราะต้องเก็บเงินให้ลูก ฉันว่าแกลองคุยกับผัวแกอีกทีดีกว่า เป็นซิงเกิ้ลมัมมันไม่ง่ายอย่างที่คิดนะแก”มิรันดาคิดภาพตามที่เพื่อนสาธยายก็แอบนึกหวั่นใจ แต่เมื่อนึกถึงผัวเฮงซวยที่ตัดรอนเธออย่างเลือดเย็นในวันนั้นขึ้นมา หญิงสาวก็ถอนใจ“ไม่คุยแล้วล่ะ แกมาช่วยฉันหาที่อยู่ใหม่ดีกว่า”“อะไร แกจะย้ายออกจากคอนโดนี้งั้นเหรอ” คนเป็นเพื่อนถามเสียงดังลั่น“ก็นี่มันคอนโดเขา ชื่อเขา เขาเป็นคนดาวน์คนผ่อนนี่นา เลิกกันแล้วฉันจะหน้าด้านอยู่ที่นี่ได้ไง เกิดเขามีเมียใหม่แล้วพาเข้ามา ฉันจะทำไงล่ะ อยู่แบบเป็นส่วนเกิ
คอนโดที่นิลุบลพาเธอไปดูนั้นถือว่าสภาพดีมากเกินกว่าราคาเช่า เพราะเจ้าของอยู่เอง แต่เมื่อต้องไปทำงานที่เมืองนอกก็ไม่อยากปล่อยทิ้งไว้ พอรู้ว่าเธอเป็นเพื่อนสนิทของนิลุบลที่เป็นญาติทางสามีกัน ก็เลยตกลงให้เช่าง่ายๆ โดยไม่เก็บมัดจำเย็นวันนั้นมิรันดาก็ตัดสินใจเซ็นสัญญาเช่าทันที พร้อมกับตอบแทนเพื่อนรักที่ช่วยหาที่อยู่ใหม่ให้ด้วยการพาไปกินชาบูที่ร้านโปรดหลังจากรู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์ เธอก็กลายเป็นคนกินจุ กินดุขึ้น อาการแพ้ท้องนั้นไม่รุนแรงมากเท่าตอนแรกแล้ว ทำให้เธอใช้ชีวิตได้อย่างสบายๆ ดูเหมือนลูกจะปรานีเธอตามที่ร้องขอไป แต่ก็ไม่รู้ว่าคำขอเธอจะทำให้พ่อของลูกโดนเล่นงานด้วยอาการแพ้ท้องแทนหรือไม่“แก...นั่นกระเทียมนะ” นิลุบลเอะอะ เมื่อเห็นเพื่อนสาวตักกระเทียมใส่ในน้ำจิ้มชาบู“แล้วไงแก” คนพูดถามพลางตักน้ำจิ้มเข้าปากเพื่อชิมรสชาติ“แกไม่เหม็นกระเทียมเหรอ”“ไม่นี่...อร่อยดี ฉันชอบกิน”คำบอกเล่านั้นทำเอาคนเคยผ่านการตั้งครรภ์มาก่อนสองหนถึงกับตาโตเท่าไข่ห่าน“ทำไมเหรอ” มิรันดาถามอย่างสงสัยเมื่อเห็นอาการนั้นของเพื่อน“แกไม่รู้อะไร ตอนฉันท้องนะ ได้กลิ่นกระเทียมนิดเดียวก็อ้วกแตกอ้วกแตนไปสามสี่วัน เหม็นจะแย
“พี่รู้เหรอว่ามี่กำลังคิดอะไร”“มี่...อย่างี่เง่าได้ไหม ขอร้อง” ดิฐกรบ่นอย่างหงุดหงิด“งี่เง่าเหรอ...มี่งี่เง่า แล้วพี่ล่ะเรียกอะไร เพราะผู้หญิงคนนั้นใช่ไหมที่ทำให้พี่อยากเลิกกับมี่ เพื่อนร่วมงานเหรอ แอบกินกันไปกี่รอบแล้วล่ะ แล้วเขารู้หรือเปล่าว่าพี่มีแฟนแล้ว หรือว่าถึงรู้ก็ยังจะแย่งผัวคนอื่น”“พอได้แล้วมี่!” ดิฐกรตวาดใส่อย่างเหลืออด “มันไม่ใช่อย่างที่เธอคิด เอาเวลาที่มาสงสัยพี่ไปดูตัวเองเถอะ เพราะมี่เป็นแบบนี้ไง พี่ถึงเบื่อ แม้แต่บ้านก็ยังไม่อยากกลับ”มิรันดาถึงกับอึ้งเมื่อได้ยินคำนั้นของเขา“เบื่อมากไหม”“มากสิ...” ชายหนุ่มตอกกลับก่อนรู้สึกเสียใจเมื่อเห็นใบหน้าถอดสีของอีกฝ่าย“ก็ได้... ถ้าเบื่อมากนัก งั้นต่อไปมี่จะไม่มาให้พี่เห็นหน้าอีกแล้วกัน อยากจะไปเอากับใครก็เชิญเลย”ประโยคนั้นทำให้ดิฐกรแอบใจหาย มองหน้าคนพูดนิ่งค้าง เขาไม่ได้ต้องการให้เป็นแบบนี้ ไม่ได้อยากเลิกกับเธอแบบนี้ ก็แค่อยากห่างกันสักพักให้เขาได้รู้ใจตัวเอง แต่เธอกลับขอเลิก“อ้อ...อีกเรื่อง เงินฝากที่เราฝากร่วมกันน่ะ ถ้าพี่จะเลิกก็โอนส่วนของมี่คืนมาแล้วกัน จากนั้นก็ทางใครทางมัน”มิรันดาตัดสินใจออกปาก ในเมื่อเขามีคนอื่นแล้
ทั้งที่เขาไม่เคยบอก แต่เธอก็ช่างสังเกตและรู้ว่าเขาชอบหรือไม่ชอบอะไรเสมอ ความใส่ใจของเธอทำให้เขาเคยตัว และชินกับการที่มีอีกฝ่ายอยู่ จนสุดท้ายก็เป็นความเบื่อหน่าย แล้วก็จบที่การแยกย้ายอย่างที่เกิดขึ้นเขาควรตามเธอไป หรือไม่ก็ขอให้มิรันดาทบทวนการตัดสินใจอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้ทำเพราะความโมโหที่ถูกอีกฝ่ายทวงเงินราวกับเขาเป็นลูกหนี้“คิดอะไรอยู่เหรอคะพี่ดิว ทำไมพี่ไม่ทานอะไรเลยล่ะคะ”จะให้กินอะไรเล่า บนโต๊ะมีแต่ซาซิมิ ของดิบทั้งนั้น หรือซูชิที่สั่งมาก็เป็นหน้าปลาสด กุ้งสด หมึกสด ปลาไหล อูนิ แล้วก็อะไรหน้าตาแปลกๆ เขากินได้ที่ไหนกัน“มาค่ะ ลองชิมอันนี้ดีกว่า เห็นว่าเป็นเมนูแนะนำของเดือนนี้เลยนะคะ ซาชิมิปลาฮามาจิสดๆ เนื้อหวานนุ่มมากเลยนะคะ”ไม่พูดเปล่า หญิงสาวยังหวังดีคีบปลาที่ว่าปาดวาซาบิกับโชยุมาจ่อให้ถึงปากอย่างเอาใจ ทำให้ดิฐกรยากจะปฏิเสธ เลยจำต้องอ้าปากรับอย่างเสียไม่ได้ แต่ทว่าพอเนื้อปลาดิบแตะที่ลิ้นเท่านั้น ความพะอืดพะอมก็พลันมาเยือน จนจะต้องรีบคายอาหารในปากออกมาแทบไม่ทัน“อุ๊บ!”“พี่ดิวเป็นอะไรคะ นี่ค่ะน้ำดื่มก่อนนะคะ”ดิฐกรรีบคว้าแก้วชาเขียวขึ้นดื่มพรวดๆ แต่ทว่าแทนที่จะช่วยให้ดีขึ้น รสคา
“ไอ้ดิว นี่มึงไม่คิดจะกลับบ้านกลับช่องบ้างหรือไงวะ” พิรามถามเมื่อเห็นเพื่อนรักที่อพยบมาขอนอนที่บ้านเขาอยู่พักใหญ่แล้วดิฐกรถอนหายใจหนักๆ ก่อนเงยหน้าจากโทรศัพท์ที่ไม่มีข้อความหรือใครโทรมาหลายวันแล้ว หลังจากวันที่เจอเธอที่ร้านอาหารญี่ปุ่น มิรันดาก็หายเงียบไปเลยทั้งที่เมื่อก่อนข้อความของเธอ หรือการโทรจิกเขาวันละหลายรอบมันทำให้เขาแสนจะรำคาญ หลายครั้งที่งานกำลังยุ่งๆ แต่อีกฝ่ายก็ส่งข้อความเข้ามาถี่ยิบ เพื่อถามคำถามเดิมๆกินข้าวหรือยังเย็นนี้อยากกินอะไรวันนี้พี่จะกลับกี่โมงทำไมไม่รับสาย ทำไมไม่ตอบไลน์...และอีกสารพัดคำถามที่เธอจะส่งมาให้เขาทั้งวัน แรกๆ ก็ขยันตอบหรอก แต่หลังๆ มันก็น่าเบื่อที่ต้องมาตอบคำถามอะไรซ้ำๆ ซากๆ ทุกวี่ทุกวันแต่มาตอนนี้โทรศัพท์เขามันว่างเปล่าข้อความสุดท้ายที่เธอส่งมาตั้งแต่ตอนวันเกิดเขา“เป็นอะไร ทำไมทำหน้าแบบนั้นวะ” พิรามถามเมื่อเห็นสีหน้าปั้นยากของเพื่อนรัก“นี่อย่าบอกนะว่ายังไม่คืนดีกับเมียอีกเหรอ”“เปล่า...เราเลิกกันแล้วต่างหาก” คำตอบที่แสนเนือยนั้นทำคนฟังอ้าปากค้าง“หา! เลิกกันแล้วเนี่ยนะ ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ ก็ไหนว่าแค่ห่างกันสักพักไง”คนถูกถามถอนหายใจอีกเฮือก
“นี่มันวันที่เท่าไหร่แล้วน่ะดาว”“วันที่ยี่สิบเก้าแล้วค่ะพี่ ถามทำไมเหรอคะ”“กรรม งั้นหวยงวดก่อนก็ออกไปแล้วสิ พี่ลืมสนิทเลย”จะไม่ให้ลืมได้อย่างไร ในเมื่อช่วงนี้ราหูเข้าเธอชุดใหญ่ขนาดนั้น พอเลิกกับดิฐกรไป ชีวิตเธอก็เหมือนคนเสียศูนย์ ว่าจะทำใจให้ได้ แต่พอคิดถึงคำพูดเขาขึ้นมาทีไร ไหนจะภาพบาดตาในวันนั้น เธอก็อดเสียใจไม่ได้“งั้นบอกตัวเลขมาสิคะ เดี๋ยวหนูช่วยตรวจให้”มิรันดาพยักหน้า พลางล้วงกระเป๋าสะพายหยิบลอตเตอรี่ออกมา“557990”“5-5-7-9-9-0 เหรอคะ อืม...” ดาวทวนคำก่อนพิมพ์ตัวเลขลงไปในระบบที่ตรวจลอตเตอรี่ ก่อนที่ข้อความสีเขียวสดใสจะเด้งขึ้นมาบนหน้าจอยินดีด้วยค่ะคุณถูกรางวัล!“หืม...”คนตรวจเพ่งตามองอีกครั้ง ก่อนกรีดร้องเสียงหลง“กรี๊ดดด พี่มี่คะ พี่ถูกหวย!”“หา! จริงเหรอ รางวัลไหนน่ะ”คำนั้นทำให้เจ้าของหวยตาโต รามือจากงานที่ทำรีบเผ่นมาดูที่หน้าจอมือถือของเพื่อนรุ่นน้องที่เบิกตาค้างอย่างตะลึงงันจนพูดไม่ออกเมื่อเห็นข้อความที่โชว์ขึ้นมาหน้าจอ“พะ...พี่มี่ ระ...รางวัลที่หนึ่ง หะ...หกล้านพี่!”“หา! ว่าไงนะ...” มิรันดาอ้าปากค้าง รีบก้มลงมองข้อความตรงหน้าซ้ำอีกครั้งอย่างไม่เชื่อหูไม่ผิด! ตัวเล
มิรันดาหารู้ไม่ว่าเย็นวันนั้นคนที่เธอกำลังคิดถึงได้กลับมายืนอยู่หน้าห้องที่เปรียบเสมือนรังรักของสองเราอีกครั้ง ดิฐกรจดๆ จ้องๆ หน้าประตูมาพักใหญ่แล้ว แต่ยังไม่กล้าเข้าไปด้านในเปล่าหรอก เขาไม่ได้กลัวว่าจะเจอคนรักที่กลายเป็นอดีตไปหมาดๆ ก็แค่รู้สึกอิหลักอิเหลื่อนิดหน่อย หากต้องพบหน้ากันเขาควรทำตัวอย่างไร“เอาวะ เจอก็เจอไปสิ ใครสน” ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนตัดสินใจเปิดประตูเข้าไปในห้องด้วยหัวใจที่สั่นไหวแม้บรรยากาศในห้องยังคงเป็นเหมือนในวันที่เขาตัดสินใจก้าวออกไป แต่อะไรบางอย่างบอกกับเขาว่าที่นี่ไม่เหมือนเดิม“มี่...”ดิฐกรตัดสินใจเรียก หากทว่ากลับเงียบกริบ หรือเธอยังโกรธเขาอยู่ โกรธแล้วไง ใครแคร์ เขาก็แค่กลับบ้านตัวเองปกติ ใครจะทำไมดวงตาคมกริบเหลียวมองรอบกาย ไม่ได้คิดจะหาใครหรอก แค่ดูความเรียบร้อยของบ้านก็เท่านั้น หากทว่าตอนที่มองไปทางโต๊ะอาหาร กลับมีอะไรบางอย่างกระแทกสายตาจนต้องเดินเข้าไปดูใกล้ๆ“สร้อยนี่...” ชายหนุ่มหรี่ตามอง พลางยื่นมือไปหยิบของขวัญแทนใจที่เขาเคยให้มิรันดาในวันที่ความรักยังอยู่เต็มหัวใจปกติเธอมักจะสวมติดคอเสมอไม่เคยถอดออก หรือว่าจะถอดวันนั้นแล้วลืม ลืมเ
แรกๆ เขาก็ชอบในความเป็นธรรมชาติแบบนั้น แต่นานไปมันก็เริ่มชินตาและกลายเป็นเฉยชาเบื่อหน่าย ไม่มีอะไรดึงดูดใจเหมือนกับคนใหม่ที่เพิ่งพบกัน ได้ทำงานด้วยกันทุกวันจริงอยู่ที่เจนิสาสวย ทำงานเก่ง แถมช่างเจรจาฉอเลาะออดอ้อนเอาใจ แต่ก็มีอีกหลายอย่างที่เขาอดเปรียบเทียบกับอดีตคนรักไม่ได้ ความใส่ใจของอีกฝ่ายเมื่อเทียบกับมิรันดายังห่างไกลนัก นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขากับอีกฝ่ายจึงยังไม่ได้เกินเลยกันมากไปกว่าเพื่อนร่วมงาน เพื่อนคุย“พอดีวันนี้พี่มีธุระน่ะครับเลยรีบกลับก่อน”“แล้วตอนนี้เสร็จธุระหรือยังคะ”“ครับ เสร็จแล้ว ทำไมเหรอ”“งั้นคืนนี้ออกมาเจอกันไหมคะ ที่ผับแถวทองหล่อ มานะคะ เจนี่อยากเจอพี่ดิว คิดถึง...” ปลายสายไม่วายออดอ้อนเสียงหวานชายหนุ่มกำลังจะตอบปฏิเสธไปเพราะความเซ็ง แต่พอมองไปที่โต๊ะอาหารที่มีสร้อยรูปหัวใจเส้นนั้นวางอยู่ คำตอบเลยเปลี่ยนไปทันใด“ได้สิครับ งั้นคืนนี้เจอกันนะ”ดิฐกรตอบพร้อมกับเดินไปที่โต๊ะอาหาร และคว้าสร้อยแทนใจเส้นนั้นไปหย่อนลงในก้นลิ้นชักตู้เก็บของไม่ใช้แล้วในเมื่อเธอไปแล้ว เขาก็ควรเริ่มต้นกับคนใหม่อีกครั้งโดยไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรไม่แน่ว่าวันนี้เขาอาจได้เมียใหม่แซ่บๆ มาแท
“แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยู แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยู...” เสียงเพลงวันเกิดดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงโปร่งของดิฐกรและลูกสาวเดินถือเค้กน่ารักออกมาทำให้เจ้าของวันเกิดสาวถึงกับยกมือปิดปากน้ำตารื้นคิดถึงวันเกิดครั้งแรกที่เขาเคยจัดให้“แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทู...ยู” พอเพลงจบชายหนุ่มก็ยื่นเค้กวันเกิดมาตรงหน้าของมิรันดา“อธิษฐานสิมี่”มิรันดาหันไปมองคนรอบข้างทั้งเพื่อนเธอแล้วยังมีครอบครัวของดิฐกรพร้อมหน้า ทำให้เธออดคิดถึงวันเกิดของดิฐกรในปีนั้นที่เธอต้องนั่งรอเขาคนเดียว ก่อนเลิกกัน มาวันนี้เขากลับเป็นคนถือเค้กออกมาให้เธออีกครั้งพร้อมกับลูกสาวสุดที่รักชีวิตเธอควรจะมีความสุขสมบูรณ์เมื่อมีทุกอย่างที่ผู้หญิงคนหนึ่งควรมีแล้ว แต่ทว่ายังมีใครอีกคนที่เธอกำลังรอคอยอยู่ และอดลุ้นไม่ได้ว่าเขาคนนั้นจะยอมมาร่วมฉลองวันเกิดกับเธอไหมมิรันดาหลับตาอธิษฐานในใจ ก่อนจะเป่าเค้กวันเกิดจนดับ ท่ามกลางเสียงปรบมือของทุกคน“สุขสันต์วันเกิดครับมี่” ดิฐกรอวยพร พร้อมกับยื่นกล่องของขวัญเล็กๆ ใบหนึ่งให้“อะไรคะ”“ลองเปิดดูสิครับ”มิรันดาทำตามที่เขาบอกและพบว่าของในกล่องคือ...สร้อยแทนใจเส้นนั้น“นี่มัน!”“ของขวัญชิ้นแรกที่พี่ให้มี่ไง” คำนั้นทำใ
แม้ชีวิตของเธอกับลูกจะมีสีสันมากขึ้น ทว่ากลับมีบางสิ่งที่หายไปแทน แม้กระทั่งคนรอบข้างเองก็ยังรู้สึก“แม่มี่ขา...” เจ้าของขวัญวิ่งตุ๊บตั๊บเข้ามากอดเอวอ้อนแม่ หลังจากที่เพิ่งส่งคุณปู่คุณย่าและลุงดลกลับไปเมื่อครู่“ขา...คนเก่ง”“เมื่อไหร่ลุงคิมจะมาบ้านเราอีกคะ น้องมิวคิดถึงม้ากมาก ทำไมคราวนี้ลุงคิมไปเมืองนอกนานจังคะ” คำถามนั้นทำให้เธอสะอึกอึ้งไป เพราะรู้เหตุผลที่อีกฝ่ายหายไปดีกว่าใคร“นั่นสิแก นี่มันก็นานแล้วนะ คุณคิมเขาไม่บอกแกเหรอว่าจะกลับเมื่อไหร่ ถามยายดาวก็บอกไม่รู้” “เปล่า ไม่ได้บอก” หลังจากวันที่เขาบอกรักและจูบเธอวันนั้น คีรินก็หายหน้าไป หรือเขาจะถอดใจเสียแล้วนะ หรือเธอเล่นตัวมากไป“ยัยนิ ฉันถามหน่อยสิ”“อะไร ถามอะไร ทำหน้าเครียดแบบนี้ เรื่องใหญ่ล่ะสิ” “คือ...จริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องฉันหรอก แต่เป็นเรื่องคนอื่นอีกที คือเขามีผู้ชายมาสารภาพรัก แล้วก็ขอแต่งงานน่ะ แต่เขายังเข็ดกับความรักที่โดนแฟนเก่าทิ้งจนกลัวจะมีรักใหม่เลยปฏิเสธผู้ชายคนนั้นไป”“นั่นไง ฉันว่าแล้วเชียว คุณคิมหายไปเพราะโดนแกปฏิเสธนี่เอง”“เฮ้ย! ไม่ใช่ฉัน”“แหม แต่สตอรี่ตรงเชียวนะยะ เฮ้อ...” นิลุบลค้อนเพื่อน “แล้วไง เขาหาย
“คุณ!” มิรันดาแทบไม่เชื่อสายตาเมื่อเห็นเพื่อนบ้านผู้ลึกลับตัวจริง ไม่ใช่คุณป้าที่เธอเคยพบแต่กลับเป็น...อดีตผัวเก่า!“ทำบ้าอะไรของคุณเนี่ย” คนถูกจับได้เลิ่กลั่ก ทำตัวไม่ถูก“เปล่านะ พี่ไม่ได้ทำอะไร ก็แค่เอาอาหารเช้ามาให้มี่กับลูก” คนฟังได้แต่กลอกตาไปมา เชื่อเขาเลย “ทำไมเป็นคุณได้ล่ะ แล้วบ้านหลังนั้นของใครกันแน่”เมื่อถึงคราวจนมุม จำเลยจึงต้องยอมรับสารภาพ“ของพี่เอง” “ว่าไงนะ แล้ววันนั้นคุณป้าที่ออกมารับขนมหน้าบ้านล่ะใครกัน”“นั่นแม่บ้านที่พี่จ้างมาทำความสะอาดน่ะ” เขาสารภาพเสียงอ่อย หน้าจ๋อยสนิทมิรันดาได้ฟังก็สูดหายใจเข้าลึกสุดปอด “ตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” “ก็ไม่นานนะ ยังไม่ถึงปี แค่เกือบๆ เอง” คนฟังเริ่มกำหมัด กัดฟันกรอด“มี่ใจเย็นๆ ก่อนนะ พี่ไม่ได้มีเจตนาร้ายกับมี่และลูกของเราเลยนะ” “แล้วทำไปทำไม”“พี่ก็แค่อยากชดเชยความผิดที่ผ่านมาให้มี่กับลูกบ้าง แต่ถ้ามี่ไม่ต้องการพี่ก็จะไม่ทำอีกก็ได้นะ” มิรันดามองคนพูดที่ตอนนี้อ่อนเป็นงูกลัวเชือกกล้วย “มี่จ๋า...พี่สำนึกผิดแล้ว เมื่อไหร่มี่จะยอมให้อภัยพี่สักที อย่างน้อยก็ให้พี่ได้ทำหน้าที่พ่อบ้าง น้องมิวเป็นลูกพี่ ขนาดพ่อแม่พี่น้องของพี่ มี่ก
เสียงประตูเปิดเข้ามาในห้องพักฟื้นผู้ป่วยทำให้ดิฐกรสะดุ้งหันขวับ หัวใจพองฟูอีกครั้ง แต่เมื่อเห็นคนที่เดินเข้ามา เขาก็ถอนหายใจอย่างผิดหวัง“คุณพ่อให้แคทมาเยี่ยมพี่ดิวค่ะ วันนี้เป็นยังไงบ้างคะ” ดิฐกรมองน้องสาวของศัตรูหัวใจที่มาเยี่ยมเขาเกือบทุกวัน พลางแอบบ่นในใจคนที่อยากให้มาก็ดันไม่มา ส่วนคนที่ไม่อยากเจอกลับขยันมาเสียจริงๆ ทำไมเขาจะไม่รู้แผนของบิดาสุดที่รักกับเพื่อนสนิทของท่านที่ต้องการจับคู่ให้เขากับผู้หญิงสุดเปรี้ยวเข็ดฟันตรงหน้าก็ถ้าหัวใจมันมูปออนกันได้ง่ายๆ เขาคงหาเมียใหม่ได้ไปนานแล้ว ไม่ต้องมานั่งรอเมียเก่าใจอ่อนให้อภัยมาจนถึงวันนี้รอเหมือนโดนสาป ขนาดเจอแล้วก็ยังต้องรอเหมือนเดิม“ผมดีขึ้นมากแล้ว พรุ่งนี้หมอก็ให้ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วล่ะ คุณแคทไม่ต้องลำบากมาเยี่ยมก็ได้นะครับ”แคทรียาถอนใจอย่างลำไย เธอเองก็ใช่ว่าอยากมา แต่เพราะโดนพ่อกับแม่บังคับให้มาหรอก จะขัดก็ไม่ได้เดี๋ยวระเบิดลง แล้วเธอก็จะโดนตัดออกจากกองมรดกเสียก่อนแถมเรื่องราวของดิฐกรในงานวันเกิดของคุณเมธาก็ดังกระฉ่อนเข้าหูเธอขนาดนั้น ทำให้รู้ว่าที่แท
ฝ่ายคีรินที่พาสองแม่ลูกกลับมาส่งถึงบ้าน เขาก็ช่วยอุ้มเด็กหญิงตัวน้อยเข้าไปส่งถึงห้องนอน โดยมีมิรันดาเดินตามมาด้านหลัง“ขอบคุณพี่คิมมากนะคะ แล้วก็ต้องขอโทษด้วยที่วันนี้มี่ทำให้พี่ต้องพลอยวุ่นวายไปด้วย”“พี่ยินดีวุ่นวาย หากเป็นเรื่องของมี่กับลูก แล้วมี่ล่ะ...”“มี่ทำไมเหรอคะ”“มี่จะยอมให้พี่ผ่านโปรของเราได้หรือยังครับ” คำถามนั้นทำเอาหญิงสาวถึงกับสะดุดลมหายใจตัวเอง“พี่รอได้ แต่ไม่อยากรอแล้ว เรื่องวันนี้ทำให้พี่อยากได้สิทธิ์ในการปกป้องดูแลมี่กับน้องมิว ไม่ให้ใครมาทำให้เสียใจได้อีก พี่รักมี่ แต่งงานกับพี่นะครับ”มิรันดาถึงกับอึ้งเมื่อได้ยินคำนั้น คำที่เธอเคยอยากให้ดิฐกรพูดกับเธอมาตลอด แต่แล้วกลับเป็นผู้ชายตรงหน้าที่พูดมันออกมา เขาขอเธอแต่งงาน และบอกรัก ถึงจะไม่โรแมนติก แต่เมื่อมองสบตากันเธอก็รับรู้ได้ถึงความจริงในที่เขามีให้“มี่รังเกียจพี่หรือเปล่า หรือว่า...ยังรักเขาอยู่”“ไม่ค่ะ มี่ไม่ได้รักพี่ดิวแล้ว ไม่ได้รักนานแล้ว” คราวนี้หญิงสาวตอบอย่างมั่นใ
ดิฐกรถูกส่งเข้าห้องฉุกเฉินในเวลาต่อมา มิรันดาและคีรินที่พาเขามาส่งโรงพยาบาลนั่งรอหน้าห้อง ชุดเดรสแสนสวยตอนนี้มีคราบเลือดคราบเลอะติดเป็นหย่อมๆ หากเจ้าตัวกลับไม่ได้สนใจ ในสมองยังคงคิดถึงภาพตอนที่คนเจ็บนอนแน่นิ่งจมกองเลือดอย่างน่าตกใจเมื่อครู่ตอนแรกเธอคิดว่าอีกฝ่ายตายไปแล้ว ทว่าโชคดีที่โรงพยาบาลอยู่ไม่ไกลจากที่เกิดเหตุ คีรินจึงช่วยเรียกรถพยาบาลมารับได้ไว ชายหนุ่มไม่กล้าเคลื่อนย้ายเอง เพราะเกรงว่าจะทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บหนักกว่าเดิม“แม่คะ คุณลุงคนนั้นจะตายไหมคะ” คำถามของลูกน้อย ทำให้ความกลัวแล่นเข้าจับหัวใจของมิรันดาจนสั่นสะท้านไปทั้งร่างเธอเกลียดในสิ่งที่เขาเคยทำไว้กับเธอจนไม่อยากให้อภัยก็จริง แต่ไม่ได้อยากให้อีกฝ่ายตายจริงอย่างที่ลั่นปากไป“ไม่หรอกลูก คุณลุงต้องไม่เป็นอะไรนะครับ” คีรินปลอบขวัญ“คุณลุงคนนั้นเขาเป็นพ่อน้องมิว จริงๆ เหรอคะแม่มี่”คำถามนั้นเสียดลึกเข้าไปในอก กับความจริงที่เธอไม่อาจปฏิเสธได้ แม้จะเลิกกันแล้ว แม้เขาจะเคยไม่ต้องการมีลูกกับเธอ แต่เด็กหญิงของขวัญก็คือลูกสาวของดิฐกร ไม่ม
“ทำไมหนูถึงว่าคุณลุงคนนั้นใจร้ายล่ะคะลูก” “ก็เขาเคยมาที่บ้านน้องมิว แล้วก็รังแกแม่มี่ของหนูจนร้องไห้เลย น้องมิวไม่ชอบเขา เขานิสัยไม่ดี” คุณดารณีได้ฟังก็งุนงงจับต้นชนปลายไม่ถูกจนต้อง หันไปมองหน้าลูกชายคนกลางอย่างคาดคั้น“นี่มันเรื่องอะไรกันตาดิว ลูกทำแบบที่น้องมิวว่าจริงเหรอ ทำไปทำไม” “ผม...เอ่อ...แม่ครับ ผมมีเรื่องจะสารภาพ” คำนั้นทำให้ทุกคนนิ่งไป “มี่คือเมียผม แล้วก็น้องมิวก็เป็นลูกของผมแล้วก็เป็นหลานสาวแท้ๆ ของคุณแม่ครับ” “หา! ว่าไงนะตาดิว” คุณดารณีเบิกตาค้างอย่างตื่นตะลึง โชคดีที่แขกเหรื่อเข้างานกันหมดแล้วเหลือแต่พวกเขาเป็นกลุ่มสุดท้าย “นี่มันเรื่องอะไรกันลูก” คีรินกุมมือหญิงสาวไว้แน่น มืออีกข้างก็เอื้อมไปจูงมือเด็กหญิงตัวน้อยไว้ “มี่คือคนที่ผมเคยบอกแม่ เธอเป็นเมียผม แต่เราเลิกกันไปเพราะเข
“ตาคิมเขาพาแฟนมาอวดน่ะสิคุณดา คนนั้นไง” คำนั้นทำให้คุณดารณีหันไปมองที่หญิงสาวข้างกายคีรินทันที “เอ๊ะ! เราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่าจ๊ะหนู” มิรันดาเองก็จำได้ตั้งแต่เห็นหน้าอีกฝ่ายเช่นกัน“ใช่ค่ะ เจอกันที่โรงพยาบาล” “จริงด้วย ป้าจำได้แล้ว นี่ไงคะแม่หนูที่ฉันเล่าให้คุณฟังว่าช่วยฉันตอนโดนชนจนล้มข้อเท้าพลิกที่โรงพยาบาลไง ตายจริงโลกกลมเหลือเกิน ตาดลลูกก็จำน้องได้ใช่ไหม”“จำได้ครับแม่” ดลธวัชส่งยิ้มให้หญิงสาวผู้มีพระคุณของแม่“แล้วเจ้าแก้มยุ้ยคนนี้ใครจ๊ะ หน้าตาน่าเอ็นดูจริงเชียว” คนอยากมีหลานสาวรู้สึกถูกชะตากับเด็กน้อยตรงหน้าอย่างบอกไม่ถูก “แต่เอ...แม่เคยเห็นหน้าแบบนี้ที่ไหนนะ คุ้นๆ แต่นึกไม่ออก” คุณดารณีครุ่นคิด หากแล้วสายตาก็หันไปเห็นใครบางคนเดินตรงเข้ามาพอดีจึงคิดออก“นึกออกแล้ว หน้าเหมือนตาดิวตอนเด็
เขาอยากไปยืนตรงนั้นแทนที่คีรินเหลือเกิน แต่ยิ่งทำอย่างที่ใจต้องการ ทุกอย่างก็กลับพังไม่เป็นท่า ยิ่งใกล้ก็เหมือนเธอจะยิ่งไกลห่างออกไปทุกที ดูจากที่ร้านไอศกรีมวันนี้ ขนาดนั่งใกล้กันมิรันดายังแทบไม่มองหน้า ไม่สนใจเขาด้วยซ้ำ เธอทำราวกับเขาเป็นเพียงอากาศไร้ตัวตน แล้วจู่ๆ คำพูดของพิรามก็ดังขึ้นในหู‘มูปออนง่ายกว่ามั้งเพื่อน’หรือเขาควรทำเช่นนั้น แต่จะให้ตัดใจจากเธอและลูกยังไง มือหนาหยิบสร้อยรูปจี้หัวใจขึ้นมาดูอย่างปวดใจ“ต้องทำยังไง มี่ถึงจะให้อภัยพี่เสียที พี่ต้องทำยังไง...” เย็นวันต่อมา คีรินก็มาถึงบ้านของหญิงสาวตรงตามเวลานัดเป๊ะ“ลุงคิมมาแล้ว โห...วันนี้หล่อจัง” เด็กหญิงของขวัญทำตาโตมอง ปกติเวลามาหาสองแม่ลูก เขามักจะสวมเสื้อเชิ้ตแบบไม่สวมสูทเพื่อเป็นกันเอง แต่วันนี้เขาใส่ทักซิโด้หล่อเต็มยศ“ไงครับคนสวยของลุง ไหนลองหมุนตัวให้ดูหน่อยได้ไหม”