มิรันดาหารู้ไม่ว่าเย็นวันนั้นคนที่เธอกำลังคิดถึงได้กลับมายืนอยู่หน้าห้องที่เปรียบเสมือนรังรักของสองเราอีกครั้ง ดิฐกรจดๆ จ้องๆ หน้าประตูมาพักใหญ่แล้ว แต่ยังไม่กล้าเข้าไปด้านใน
เปล่าหรอก เขาไม่ได้กลัวว่าจะเจอคนรักที่กลายเป็นอดีตไปหมาดๆ ก็แค่รู้สึกอิหลักอิเหลื่อนิดหน่อย หากต้องพบหน้ากันเขาควรทำตัวอย่างไร
“เอาวะ เจอก็เจอไปสิ ใครสน” ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนตัดสินใจเปิดประตูเข้าไปในห้องด้วยหัวใจที่สั่นไหว
แม้บรรยากาศในห้องยังคงเป็นเหมือนในวันที่เขาตัดสินใจก้าวออกไป แต่อะไรบางอย่างบอกกับเขาว่าที่นี่ไม่เหมือนเดิม
“มี่...”
ดิฐกรตัดสินใจเรียก หากทว่ากลับเงียบกริบ หรือเธอยังโกรธเขาอยู่ โกรธแล้วไง ใครแคร์ เขาก็แค่กลับบ้านตัวเองปกติ ใครจะทำไม
ดวงตาคมกริบเหลียวมองรอบกาย ไม่ได้คิดจะหาใครหรอก แค่ดูความเรียบร้อยของบ้านก็เท่านั้น หากทว่าตอนที่มองไปทางโต๊ะอาหาร กลับมีอะไรบางอย่างกระแทกสายตาจนต้องเดินเข้าไปดูใกล้ๆ
“สร้อยนี่...” ชายหนุ่มหรี่ตามอง พลางยื่นมือไปหยิบของขวัญแทนใจที่เขาเคยให้มิรันดาในวันที่ความรักยังอยู่เต็มหัวใจ
ปกติเธอมักจะสวมติดคอเสมอไม่เคยถอดออก หรือว่าจะถอดวันนั้นแล้วลืม ลืมเหรอ ของรักของหวงแบบนี้ ใครจะลืมกันได้ นอกจาก...
จงใจทิ้งไว้เพื่อประชดเขาน่ะสิ!
“มี่!” หัวใจชายหนุ่มกระตุกอย่างแรง ก่อนที่จะรีบผลุนผลันเข้าไปในห้องนอนเพื่อพิสูจน์ในสิ่งที่คิด
ทุกอย่างยังวางที่เดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือข้าวของที่เป็นของเธอทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องสำอาง ที่หายไปหมด ไม่สิ เธอไม่ได้เอาของที่เขาซื้อให้ติดไปด้วยสักชิ้น
ดิฐกรกัดฟันกรอด
ก็ดี...เลิกกันแล้วเธอก็ควรไปจากที่นี่มันก็ถูกแล้ว
เหรอวะ!
จะย้ายออกก็ควรบอกกล่าวกันบ้างสิ ไม่ใช่นึกจะไปก็ไปมันดื้อๆ แบบนี้ แล้วนี่ย้ายไปอยู่ที่ไหนกัน ในเมื่อเธอไม่มีญาติที่ไหนสักคน พ่อแม่ก็เสียหมดแล้วนี่นา
คำถามนั้นพาให้หัวใจวูบโหวง เมื่อนึกขึ้นได้ว่าหญิงสาวที่เคยรักไม่มีใครในครอบครัวเหลืออีกแล้วนอกจากเขาที่เป็นที่พึ่งเดียวในชีวิต แล้วตอนนี้ก็เป็นเขาที่ผลักไสเธอไปโดยตั้งใจ แต่หากเธอจะอยู่ที่นี่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ ถึงจะเลิกรากันไปก็เถอะ
ความเป็นห่วง...ไม่สิ! ความมีมนุษยธรรมตามประสาคนเคยรักกันมาก่อน ทำให้เขารีบกดโทรศัพท์หาอีกฝ่ายทันที
“ไม่มีหมายเลขที่ท่านเรียก...”
อะไรคือไม่มีหมายเลขที่ท่านเรียกวะ
เขาวนกดโทรอยู่หลายรอบ ผลก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมคือติดต่อไม่ได้ อย่าบอกนะว่าเธองอนจนเปลี่ยนเบอร์ด้วย พอส่งข้อความไปทางไลน์ อีกฝ่ายก็ไม่อ่าน ไม่สิ เธอบล็อกเขาไปแล้วต่างหาก
เริ่มตั้งแต่ถอนเงินฝากร่วม ย้ายออกโดยไม่บอกสักคำ ทิ้งสร้อยแทนใจ เปลี่ยนเบอร์โทร บล็อกไลน์ ตัดทุกช่องทางการติดต่อเพื่อตัดขาดจากเขา
นี่ยัยนั่นเอาจริงเหรอเนี่ย!
////////////
ที่ผ่านมานอกจากตัวเธอ เขาไม่เคยรู้จักเพื่อนสนิท หรือคนที่ทำงานของเธอมาก่อน เพราะไม่ใส่ใจเลยไม่มีเบอร์โทรหรือไลน์ของใครที่พอจะให้ถามไถ่ถึงชะตากรรมของอดีตคนรักได้เลย
“บ้าเอ๊ย! งั้นก็ช่างแม่ง อยากไปไหนก็ไปเลย”
เขาสบถอย่างหัวเสีย โกรธก็ส่วนหนึ่ง อีกส่วนก็อดห่วงไม่ได้ อย่างน้อยก็เคยอยู่ด้วยกันมาตั้งหลายปี
เอาเถอะ ไปแล้วไม่ต้องกลับมายิ่งดี เขาจะได้มีแฟนใหม่สวยๆ หุ่นอึ๋มๆ ไม่ต้องอยู่กับไม้กระดานเดินได้อีกต่อไป
คนอย่างยัยนั่นจะไปได้สักกี่น้ำ เกิดเอาตัวไม่รอดแล้วซมซานกลับมาหาเขาล่ะ ถึงตอนนั้นเมื่อไหร่เขาจะหัวเราะให้ฟันหักเลย คอยดู
ชายหนุ่มคิดในใจอย่างหงุดหงิด เขาควรดีใจที่เธอยอมไปดีๆ แต่ทำไมกันนะ หัวใจมันถึงโหวงเหวง ยิ่งมองไปรอบห้องก็เหมือนจะเห็นภาพตอนที่เราอยู่ด้วยกันทุกมุมของห้องผุดขึ้นมาในสมองอย่างไม่ตั้งใจ
“บ้าเอ๊ย!”
เขาอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว ไม่งั้นคงได้เป็นประสาทเสียก่อน ไวเท่าใจคิด ดิฐกรจึงรีบกดโทรศัพท์ในมืออีกครั้ง
“ว่าไงไอ้ดิว โทรมามีอะไรวะ”
“มึงเลิกงานยังวะราม กินเหล้ากัน”
“กินเหล้าอะไรป่านนี้ ฟ้ายังไม่มืดเลย” พิรามบ่นมาตามสาย “มีอะไรหรือเปล่าวะ”
“เปล่า แค่อยากแดกเหล้า ต้องมีอะไรด้วยเหรอวะ”
“วันนี้คงไม่ได้ว่ะ มีนัดกินข้าวเย็นกับเมีย ขืนเบี้ยวคงโดนไล่ไปนอนนอกห้องแน่”
เหตุผลของเพื่อนแทงใจดำคนเพิ่งไม่มีเมียอย่างจังจนยอกแสยงในอก
“เออๆ งั้นกูไปคนเดียวก็ได้วะ” พูดจบก็กดตัดสายไปอย่างหงุดหงิด
พอโทรหาเพื่อนคนอื่นก็ได้คำตอบไม่ต่างกัน สรุปคือไม่มีใครว่างพอจะเป็นเพื่อนกินเหล้าคลายเหงาให้คนโสดอย่างเขาได้สักคน ดิฐกรถอนหายใจอย่างเซ็งๆ กำลังคิดว่าจะโทรหาใครต่อ ก็มีสายเรียกเข้ามาเสียก่อน
พอมองชื่อที่โชว์บนหน้าจอ เขาก็ถอนหายใจยาว
“ครับเจนี่”
“พี่ดิวกลับไปตอนไหนคะ ทำไมวันนี้ไม่รอเจนี่กลับพร้อมกันล่ะคะ”
เสียงหวานของเจนิสา ไม่ได้ทำให้ดิฐกรหัวใจเต้นแรงเหมือนวันแรกที่พบกันตอนงานเลี้ยงต้อนรับพนักงานน้องใหม่ของแผนก วันนั้นเขาจำได้ว่าความสวยโฉบเฉี่ยวทันสมัยของเธอทำให้เขาไม่อาจละสายตาได้ ผิดกับคนรักของเขาที่สวยแบบหวานๆ เย็นๆ แต่พออยู่บ้านก็ไม่ค่อยแต่งหน้า แต่งตัวก็ธรรมดาไม่ได้หวือหวาเซ็กซี่
แรกๆ เขาก็ชอบในความเป็นธรรมชาติแบบนั้น แต่นานไปมันก็เริ่มชินตาและกลายเป็นเฉยชาเบื่อหน่าย ไม่มีอะไรดึงดูดใจเหมือนกับคนใหม่ที่เพิ่งพบกัน ได้ทำงานด้วยกันทุกวันจริงอยู่ที่เจนิสาสวย ทำงานเก่ง แถมช่างเจรจาฉอเลาะออดอ้อนเอาใจ แต่ก็มีอีกหลายอย่างที่เขาอดเปรียบเทียบกับอดีตคนรักไม่ได้ ความใส่ใจของอีกฝ่ายเมื่อเทียบกับมิรันดายังห่างไกลนัก นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขากับอีกฝ่ายจึงยังไม่ได้เกินเลยกันมากไปกว่าเพื่อนร่วมงาน เพื่อนคุย“พอดีวันนี้พี่มีธุระน่ะครับเลยรีบกลับก่อน”“แล้วตอนนี้เสร็จธุระหรือยังคะ”“ครับ เสร็จแล้ว ทำไมเหรอ”“งั้นคืนนี้ออกมาเจอกันไหมคะ ที่ผับแถวทองหล่อ มานะคะ เจนี่อยากเจอพี่ดิว คิดถึง...” ปลายสายไม่วายออดอ้อนเสียงหวานชายหนุ่มกำลังจะตอบปฏิเสธไปเพราะความเซ็ง แต่พอมองไปที่โต๊ะอาหารที่มีสร้อยรูปหัวใจเส้นนั้นวางอยู่ คำตอบเลยเปลี่ยนไปทันใด“ได้สิครับ งั้นคืนนี้เจอกันนะ”ดิฐกรตอบพร้อมกับเดินไปที่โต๊ะอาหาร และคว้าสร้อยแทนใจเส้นนั้นไปหย่อนลงในก้นลิ้นชักตู้เก็บของไม่ใช้แล้วในเมื่อเธอไปแล้ว เขาก็ควรเริ่มต้นกับคนใหม่อีกครั้งโดยไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรไม่แน่ว่าวันนี้เขาอาจได้เมียใหม่แซ่บๆ มาแท
เพล้ง!“อุ๊บ! แหวะ...”ดิฐกรปัดแก้วในมือของหญิงสาวจนหล่นลงพื้นแตกกระจายเกลื่อน พร้อมกับของเก่าในท้องที่พุ่งพรวดใส่ริมฝีปากและใบหน้าสวยๆ ของเจนิสาเต็มรัก“อุ๊บ! ว้ายยย...พี่ดิว อี๋ โสโครกที่สุดเลย อุแหวะ ถุ้ยๆ”เจนิสาพลอยคลื่นไส้จะอาเจียนตาม เธอสะบัดตัวเร่าๆ รีบถมถุยแล้วปาดเศษอาเจียนน่าขยะแขยงออกจากริมฝีปากและใบหน้าเป็นพัลวัน ก่อนกระเด้งตัวถอยห่างจากร่างสูงใหญ่อย่างลืมตัว“โอ๊ย หน้าฉัน ชุดฉัน ทุเรศที่สุดเลย มาอ้วกอะไรตอนนี้เนี่ย ไปไกลๆ เลยนะ อี๋ เลอะอ้วกหมดแล้วเนี่ย ถอยไปห่างๆ เลยนะไอ้บ้า”หญิงสาวเต้นเร่าๆ อย่างลืมตัว พลางแหกปากด่าแว้ดๆ จนความสวยที่มีหดหายกลายเป็นนางยักษ์ขมูขี ไม่คิดจะยื่นมือไปช่วย ดวงตาสวยเฉี่ยวมองหนุ่มที่หมายตาอย่างขยะแขยงระคนโมโห แล้วรีบวิ่งผละไปห้องน้ำเพื่อจัดการกับชุดแบรนด์เนมราคาแพงที่เลอะเทอะอาเจียนของอีกฝ่ายก่อน โดยทิ้งให้ดิฐกรเผชิญชะตากรรมอย่างไม่สนใจไยดีผ่านไปพักใหญ่ คลื่นสึนามิที่ถาโถมออกมาอย่างหนักหน่วงก็ค่อยๆ บรรเทาลง จนดิฐกรหมดเรี่ยวแรงฟุบหน้ากับโต๊ะ หอบหายใจรวยรินอย่างหมดสภาพ ใบหน้าหล่อเหลาซีดเผือดไร้สีเลือด ท่ามกลางสายตาของผู้คนที่มาเที่ยวหาความสุขในผั
“หน่วย สิบ ร้อย พัน หมื่น แสน ล้าน สิบเอ็ดล้านกว่า!” มิรันดาถึงกับน้ำตาแตกเมื่อได้เห็นจำนวนเงินในสมุดบัญชีที่เธอเพิ่งเปิดใหม่หมาดๆ เพื่อรับเงินรางวัลจากการถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งถึงสองใบ มูลค่าถึงสิบสองล้าน ที่แม้โดนหักภาษี ณ ที่จ่ายไปไม่น้อย ทว่าก็ยังเหลือมากเกินกว่าที่เธอเคยคิดฝันว่าจะมีได้ในชีวิต เมื่อรวมกับเงินเก็บที่มีตอนนี้เธอก็ไม่ต้องกลัวอดตายหรือว่าต้องง้อใครอีกแล้ว“ตัวเล็กลูกแม่ เรารอดแล้วลูกรัก” มิรันดากระซิบกับคนที่อยู่ในท้องอย่างมีความสุขที่สุดนับตั้งแต่เลิกกับพ่อของลูกมา โชคใหญ่คราวนี้ทำให้ความกังวลต่างๆ ในใจมันหายไปหมดจนนึกอยากจะร้องออกมาเป็นเพลงดังๆเงินที่ได้มาเธอตั้งใจจะใช้เพื่ออนาคตของตัวเองและลูก แต่กระนั้นก็ไม่คิดประมาท เคยได้ยินมาว่าเงินจากการถูกหวยนั้นเป็นเงินร้อนอยู่ได้ไม่นานก็ต้องหมด เธอจึงต้องคิดหาทางทำให้เงินที่มีงอกเงย แต่ระหว่างนี้ก็คงต้องทำงานประจำต่อไปก่อน จนกว่าจะคิดออกว่าต้องการทำอะไรต่อไปแล้วค่อยลาออกตอนนั้นก็ยังไม่สายต่อให้เธอไม่ต้องมีดิฐกรในชีวิต ก็ไม่ทำให้เธอกับลูกต้องลำบากอีกต่อไป ก็ดีไปอย่าง ไม่ต้องมีคนมาช่วยใช้เงินที่ได้มา หากอีพี่ดิวรู้ว่า
“คุณไปตรวจดูอาการที่โรงพยาบาลหน่อยดีไหมครับ”“ฉันไม่ได้เป็นอะไรมากค่ะ แค่ตกใจ ยังไงก็ต้องขอบคุณนะคะที่คุณเบรกทัน ไม่งั้นฉันกับลูกคงแย่แน่”“ลูก...” ชายหนุ่มทวนคำ พลางมองสำรวจเจ้าของเรือนร่างเพรียวตรงหน้าอย่างแปลกใจ“พอดีฉันกำลังท้องอยู่น่ะค่ะ เอ่อ...งั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ”“คุณจะไปที่ไหนครับ ให้ผมไปส่งดีไหม”“โอ๊ะ ไม่ต้องค่ะ ฉันไม่ได้เป็นอะไร เดี๋ยวฉันนั่งแท็กซี่ไปดีกว่า ขอบคุณสำหรับน้ำใจนะคะ งั้นฉันขอตัวก่อน”หญิงสาวรีบบอก พร้อมกับหันไปโบกเรียกรถแท็กซี่คันหนึ่งที่แล่นผ่านมาพอดี ก่อนหันไปมองคู่กรณีอีกหนถึงเขาจะหน้าตาดี ขับรถคันโก้ แต่ก็เป็นคนแปลกหน้าอยู่ดี ไม่ควรไว้ใจทางวางใจคน เพราะขนาดคนที่เคยไว้ใจยังหักหลังกันได้เลย นับประสาอะไรกับคนที่ไม่รู้จักล่ะเพียงไม่นานมิรันดาก็มาถึงบริษัท หญิงสาวรีบลงจากรถแท็กซี่แล้วเข้าไปด้านใน โดยไม่ทันเห็นรถคันหนึ่งที่แล่นตามมาจอดด้านหลังติดๆดวงตาคมกริบมองตามแผ่นหลังของคู่กรณีสาวที่เขาเกือบขับรถชนอย่างแปลกใจ เธอทำงานที่นี่ด้วยงั้นหรือพอคิดถึงดวงหน้าหวานในยามตื่นตกใจ มุมปากของเขาก็ยกยิ้มขึ้นนิดๆ ด้วยความเอ็นดู ยอมรับว่าสวยสะดุดใจ หน้าตาก็ตรงสเปก แต่น่าเส
การประชุมเริ่มจากแนะนำหัวหน้าแผนกต่างๆ และถามไถ่เรื่องทั่วๆ ไปของแต่ละแผนก มิรันดานั่งฟังเพลินๆ หากเมื่อเงยหน้าขึ้นมองไปทางหัวโต๊ะก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นสายตาของใครบางคนที่มองตรงมาที่หลังห้อง ไม่รู้มองใคร พอเธอจ้องกลับ เขาก็เบนสายตาไปทางอื่น“แก...เห็นสายตาผู้จัดการคนใหม่ไหม เมื่อกี้เขามองฉันด้วย”“มองแกที่ไหน มองฉันต่างหาก” ขาเม้าท์ที่นั่งข้างๆ กระซิบกระซาบกันคิกคัก ทำให้คนไม่ตั้งใจได้ยินเผลอยิ้มไปด้วยไม่ได้ไม่ต้องว่าใคร ดูวันวิสาหัวหน้าแผนกของเธอเสียก่อน นั่งมองคนหล่อตาเยิ้มเชียว ใจลอยจนกระทั่งไม่ได้ยินคำถามจากผู้จัดการคนใหม่ จนลูกน้องที่นั่งข้างๆ ต้องรีบสะกิด“คะ เมื่อกี้ผู้จัดการถามว่าอะไรนะคะ”ดวงตาเข้มคมมองไปที่คนไม่ตั้งใจฟังนิ่งๆ หากกลับทำให้คนถูกมองร้อนๆ หนาวๆ ขึ้นมาทันใด“ผมถามว่ายอดขายของทีมหนึ่งเมื่อเดือนก่อนเพิ่มขึ้นหรือลดลงกี่เปอร์เซนต์ครับ”มิรันดาเห็นอาการเลิ่กลั่กของคนถูกถามก็พอรู้ ว่ารายงานที่อีกฝ่ายใช้เธอทำไปหลายวันก่อน วันวิสาไม่ได้อ่านทบทวนมาด้วยซ้ำ ขอแค่ได้มีส่งให้ผู้จัดการเสร็จก็จบกัน ส่วนคนทำอย่างเธอก็ดันนั่งอยู่เสียหลังห้อง จะกระซิบหรือส่งซิกซ์คำตอบให้ก็ลำบากคร
“อุ๊ย! ไม่ต้องค่ะไม่ต้อง...”“หรือคุณกลัวว่าพ่อของลูกจะเข้าใจผิด จะโทรบอกเขาก่อนก็ได้นะ”คำถามนั้นมาพร้อมใบหน้าใครบางคนที่เธอต้องรีบปัดมันออกไปจากสมองอย่างหงุดหงิด“ไม่ค่ะ! ไม่ได้กลัว ไม่จำเป็นต้องกลัว เพราะเราเลิกกันแล้ว ตอนนี้ฉันเป็นซิงเกิลมัม...”เผลอพูดไปแล้วก็ฉุกใจนึกขึ้นได้ ไปบอกเขาทำไมล่ะนี่ ยังไงอีกฝ่ายก็คนแปลกหน้า ไม่สิ ตอนนี้เป็นเจ้านายเธอด้วยเขาจะหาว่าเธออ่อยไหมวะ“เอ่อ คือฉันไม่ได้...”“งั้นก็เอาตามนี้นะครับ”“คะ เอาอะไรคะ”“ก็เย็นนี้ผมจะพาคุณไปตรวจที่โรงพยาบาลด้วยกันเพื่อความสบายใจของผม อ้อ ขอเบอร์มือถือคุณหน่อยได้ไหม เผื่อจะได้นัดว่าเย็นนี้จะเจอกันที่จุดไหน”มิรันดาถึงกับอึ้งที่โดนอีกฝ่ายมัดมือชก หากเป็นคนอื่นเธอคงปฏิเสธออกไปง่ายๆ แต่คนตรงหน้าเป็นถึงผู้จัดการใหญ่ เธอมันพนักงานเล็กๆ จะไปทำอะไรได้ นอกจากทำตามที่เขาต้องการคือบอกเบอร์มือถือไปโดยดีคีรินกดเมมเบอร์โทรของอีกฝ่ายไว้ พร้อมกับโทรออก“นั่นเบอร์ผม คุณเมมไว้หน่อยแล้วกัน หากมีอะไรให้ช่วยก็โทรมาได้ หรือจะแอดไลน์ผมไว้ก็ได้นะ”ใครจะไปกล้าทำแบบนั้นกันล่ะ หญิงสาวค่อนขอดในใจ“งั้นถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวกลับไปทำงานก่อนนะค
“อีมี่!”“หยุดค่ะ อย่ามาขึ้นไอ้อีกับฉัน ถ้าจะด่าก็ควรด่าตัวเองที่ไม่ได้เรื่องมากกว่า”“แก...คอยดูนะ ฉันจะรายงานเรื่องแกกับผู้จัดการ ให้เขาไล่แกออก”มิรันดากลอกตาอย่างเซ็งๆ กับไม้ตายเดิมๆ ที่อีกฝ่ายเคยใช้มาข่มขู่คนอื่น เธอเองพอได้ระบายสิ่งที่เก็บกดในใจมานานออกมา ก็ไม่คิดจะอยู่ที่นี่ต่ออยู่แล้ว ขืนทำงานกับหัวหน้าผีบ้าแบบนี้ ก็อาจทำให้เสียสุขภาพจิตจนส่งผลถึงลูกในท้อง หรือไม่ก็คงได้ฟาดฟันกับหัวหน้าอย่างวันวิสาจนไม่ใครก็ใครได้ตายกันไปข้างหนึ่งสักวัน“ได้ค่ะ รายงานเดี๋ยวนี้เลยไหม แต่ถ้าจะไล่ออกแบบไร้เหตุผล ฉันก็จะได้เรียกเงินชดเชยหนักๆ แล้วอย่าคิดว่าตัวเองฟ้องเป็นคนเดียว คนที่ชอบกดขี่ข่มเหงลูกน้อง ทำงานเอาหน้าแบบคุณนี่ ฉันก็ไม่อยากทำงานด้วยเหมือนกัน”“พี่มี่...”ดาวถึงกับตาค้าง เมื่อเห็นมุมเอาเรื่องของเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่จนอยากจะตีลังกาปรบมือให้ถ้าไม่ติดต้องถือโทรศัพท์ถ่ายคลิปน่ะนะเมื่อใช้ไม้ขู่ไม่ได้ วันวิสาก็หันรีหันขวาง ยิ่งมองเห็นสายตาลูกน้องในแผนกที่มองมาอย่างเห็นด้วยกับมิรันดา ก็ยิ่งรู้สึกของขึ้น ตามองใบหน้าสวยหวานแทบถลน หากขู่ไล่ออกไม่ได้ผล ก็คงเหลือวิธีเดียวที่จะระบายโทสะได้“แก!”
“ไง เจ้าตัวเล็กของแม่ ขอโทษนะที่แม่ทำให้หนูตกใจอีกแล้ว แต่คราวหน้าแม่สัญญาว่าจะระวังให้มากกว่านี้นะคะคนดี” มือบางลูบไปที่หน้าท้องที่เริ่มมีความนูนให้เห็นเพียงไม่นานคีรินก็เดินกลับมาพร้อมกับถุงยาในมือ เขายื่นมือมาช่วยประคองหญิงสาวให้ลุกขึ้นอย่างอ่อนโยน จนเธอแอบเกรงใจ“คิดไว้หรือยังครับว่าจะพาผมไปดินเนอร์ที่ไหนดี”“ผู้จัดการ...”“อะแฮ่ม! ตอนนี้ผมไม่ได้อยู่ที่บริษัท เรียกใหม่ครับ”มิรันดามองใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มที่เธอเพิ่งรู้จักแค่เพียงวันเดียวอย่างครุ่นคิดจีบเปล่าวะเนี่ยฮื้อ...ไม่หรอกมั้ง เขาออกจะหล่อ โพรไฟล์ก็เริ่ด จะมาสนใจอะไรกับคนท้องอย่างเธอ ถึงจะท้องแบบไร้พันธะแล้วก็เถอะ ไปหาสาวโสดสวยๆ คนอื่นไม่ดีกว่าหรือ พอคิดได้ดังนั้นก็สบายใจขึ้น“คุณคิม”“ว่าไงครับผม”“คุณนี่...” หญิงสาวรีบหลบลูกตาวาวๆ ที่มองมา เหาตัวใหม่นี่ดูท่าจะหว่านเสน่ห์เก่งเหลือเกิน“ผมทำไมเหรอ”“คิดจะไปกินข้าวกับมี่ ไม่กลัวคนที่บ้านว่าเหรอคะ”“ใครจะมาว่าคนโสดอย่างผม”“โสดเนี่ยนะ” มิรันดาแกล้งทำตาโตใส่ “ใครจะไปเชื่อ”“ใครไม่เชื่อก็ช่าง แค่คุณเชื่อคนเดียวก็พอ”คำนั้นทำเอาคนฟังเหวอ มองสบตาคนพูดค้างนอกจากมีโชคเรื่องห
“แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยู แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยู...” เสียงเพลงวันเกิดดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงโปร่งของดิฐกรและลูกสาวเดินถือเค้กน่ารักออกมาทำให้เจ้าของวันเกิดสาวถึงกับยกมือปิดปากน้ำตารื้นคิดถึงวันเกิดครั้งแรกที่เขาเคยจัดให้“แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทู...ยู” พอเพลงจบชายหนุ่มก็ยื่นเค้กวันเกิดมาตรงหน้าของมิรันดา“อธิษฐานสิมี่”มิรันดาหันไปมองคนรอบข้างทั้งเพื่อนเธอแล้วยังมีครอบครัวของดิฐกรพร้อมหน้า ทำให้เธออดคิดถึงวันเกิดของดิฐกรในปีนั้นที่เธอต้องนั่งรอเขาคนเดียว ก่อนเลิกกัน มาวันนี้เขากลับเป็นคนถือเค้กออกมาให้เธออีกครั้งพร้อมกับลูกสาวสุดที่รักชีวิตเธอควรจะมีความสุขสมบูรณ์เมื่อมีทุกอย่างที่ผู้หญิงคนหนึ่งควรมีแล้ว แต่ทว่ายังมีใครอีกคนที่เธอกำลังรอคอยอยู่ และอดลุ้นไม่ได้ว่าเขาคนนั้นจะยอมมาร่วมฉลองวันเกิดกับเธอไหมมิรันดาหลับตาอธิษฐานในใจ ก่อนจะเป่าเค้กวันเกิดจนดับ ท่ามกลางเสียงปรบมือของทุกคน“สุขสันต์วันเกิดครับมี่” ดิฐกรอวยพร พร้อมกับยื่นกล่องของขวัญเล็กๆ ใบหนึ่งให้“อะไรคะ”“ลองเปิดดูสิครับ”มิรันดาทำตามที่เขาบอกและพบว่าของในกล่องคือ...สร้อยแทนใจเส้นนั้น“นี่มัน!”“ของขวัญชิ้นแรกที่พี่ให้มี่ไง” คำนั้นทำใ
แม้ชีวิตของเธอกับลูกจะมีสีสันมากขึ้น ทว่ากลับมีบางสิ่งที่หายไปแทน แม้กระทั่งคนรอบข้างเองก็ยังรู้สึก“แม่มี่ขา...” เจ้าของขวัญวิ่งตุ๊บตั๊บเข้ามากอดเอวอ้อนแม่ หลังจากที่เพิ่งส่งคุณปู่คุณย่าและลุงดลกลับไปเมื่อครู่“ขา...คนเก่ง”“เมื่อไหร่ลุงคิมจะมาบ้านเราอีกคะ น้องมิวคิดถึงม้ากมาก ทำไมคราวนี้ลุงคิมไปเมืองนอกนานจังคะ” คำถามนั้นทำให้เธอสะอึกอึ้งไป เพราะรู้เหตุผลที่อีกฝ่ายหายไปดีกว่าใคร“นั่นสิแก นี่มันก็นานแล้วนะ คุณคิมเขาไม่บอกแกเหรอว่าจะกลับเมื่อไหร่ ถามยายดาวก็บอกไม่รู้” “เปล่า ไม่ได้บอก” หลังจากวันที่เขาบอกรักและจูบเธอวันนั้น คีรินก็หายหน้าไป หรือเขาจะถอดใจเสียแล้วนะ หรือเธอเล่นตัวมากไป“ยัยนิ ฉันถามหน่อยสิ”“อะไร ถามอะไร ทำหน้าเครียดแบบนี้ เรื่องใหญ่ล่ะสิ” “คือ...จริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องฉันหรอก แต่เป็นเรื่องคนอื่นอีกที คือเขามีผู้ชายมาสารภาพรัก แล้วก็ขอแต่งงานน่ะ แต่เขายังเข็ดกับความรักที่โดนแฟนเก่าทิ้งจนกลัวจะมีรักใหม่เลยปฏิเสธผู้ชายคนนั้นไป”“นั่นไง ฉันว่าแล้วเชียว คุณคิมหายไปเพราะโดนแกปฏิเสธนี่เอง”“เฮ้ย! ไม่ใช่ฉัน”“แหม แต่สตอรี่ตรงเชียวนะยะ เฮ้อ...” นิลุบลค้อนเพื่อน “แล้วไง เขาหาย
“คุณ!” มิรันดาแทบไม่เชื่อสายตาเมื่อเห็นเพื่อนบ้านผู้ลึกลับตัวจริง ไม่ใช่คุณป้าที่เธอเคยพบแต่กลับเป็น...อดีตผัวเก่า!“ทำบ้าอะไรของคุณเนี่ย” คนถูกจับได้เลิ่กลั่ก ทำตัวไม่ถูก“เปล่านะ พี่ไม่ได้ทำอะไร ก็แค่เอาอาหารเช้ามาให้มี่กับลูก” คนฟังได้แต่กลอกตาไปมา เชื่อเขาเลย “ทำไมเป็นคุณได้ล่ะ แล้วบ้านหลังนั้นของใครกันแน่”เมื่อถึงคราวจนมุม จำเลยจึงต้องยอมรับสารภาพ“ของพี่เอง” “ว่าไงนะ แล้ววันนั้นคุณป้าที่ออกมารับขนมหน้าบ้านล่ะใครกัน”“นั่นแม่บ้านที่พี่จ้างมาทำความสะอาดน่ะ” เขาสารภาพเสียงอ่อย หน้าจ๋อยสนิทมิรันดาได้ฟังก็สูดหายใจเข้าลึกสุดปอด “ตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” “ก็ไม่นานนะ ยังไม่ถึงปี แค่เกือบๆ เอง” คนฟังเริ่มกำหมัด กัดฟันกรอด“มี่ใจเย็นๆ ก่อนนะ พี่ไม่ได้มีเจตนาร้ายกับมี่และลูกของเราเลยนะ” “แล้วทำไปทำไม”“พี่ก็แค่อยากชดเชยความผิดที่ผ่านมาให้มี่กับลูกบ้าง แต่ถ้ามี่ไม่ต้องการพี่ก็จะไม่ทำอีกก็ได้นะ” มิรันดามองคนพูดที่ตอนนี้อ่อนเป็นงูกลัวเชือกกล้วย “มี่จ๋า...พี่สำนึกผิดแล้ว เมื่อไหร่มี่จะยอมให้อภัยพี่สักที อย่างน้อยก็ให้พี่ได้ทำหน้าที่พ่อบ้าง น้องมิวเป็นลูกพี่ ขนาดพ่อแม่พี่น้องของพี่ มี่ก
เสียงประตูเปิดเข้ามาในห้องพักฟื้นผู้ป่วยทำให้ดิฐกรสะดุ้งหันขวับ หัวใจพองฟูอีกครั้ง แต่เมื่อเห็นคนที่เดินเข้ามา เขาก็ถอนหายใจอย่างผิดหวัง“คุณพ่อให้แคทมาเยี่ยมพี่ดิวค่ะ วันนี้เป็นยังไงบ้างคะ” ดิฐกรมองน้องสาวของศัตรูหัวใจที่มาเยี่ยมเขาเกือบทุกวัน พลางแอบบ่นในใจคนที่อยากให้มาก็ดันไม่มา ส่วนคนที่ไม่อยากเจอกลับขยันมาเสียจริงๆ ทำไมเขาจะไม่รู้แผนของบิดาสุดที่รักกับเพื่อนสนิทของท่านที่ต้องการจับคู่ให้เขากับผู้หญิงสุดเปรี้ยวเข็ดฟันตรงหน้าก็ถ้าหัวใจมันมูปออนกันได้ง่ายๆ เขาคงหาเมียใหม่ได้ไปนานแล้ว ไม่ต้องมานั่งรอเมียเก่าใจอ่อนให้อภัยมาจนถึงวันนี้รอเหมือนโดนสาป ขนาดเจอแล้วก็ยังต้องรอเหมือนเดิม“ผมดีขึ้นมากแล้ว พรุ่งนี้หมอก็ให้ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วล่ะ คุณแคทไม่ต้องลำบากมาเยี่ยมก็ได้นะครับ”แคทรียาถอนใจอย่างลำไย เธอเองก็ใช่ว่าอยากมา แต่เพราะโดนพ่อกับแม่บังคับให้มาหรอก จะขัดก็ไม่ได้เดี๋ยวระเบิดลง แล้วเธอก็จะโดนตัดออกจากกองมรดกเสียก่อนแถมเรื่องราวของดิฐกรในงานวันเกิดของคุณเมธาก็ดังกระฉ่อนเข้าหูเธอขนาดนั้น ทำให้รู้ว่าที่แท
ฝ่ายคีรินที่พาสองแม่ลูกกลับมาส่งถึงบ้าน เขาก็ช่วยอุ้มเด็กหญิงตัวน้อยเข้าไปส่งถึงห้องนอน โดยมีมิรันดาเดินตามมาด้านหลัง“ขอบคุณพี่คิมมากนะคะ แล้วก็ต้องขอโทษด้วยที่วันนี้มี่ทำให้พี่ต้องพลอยวุ่นวายไปด้วย”“พี่ยินดีวุ่นวาย หากเป็นเรื่องของมี่กับลูก แล้วมี่ล่ะ...”“มี่ทำไมเหรอคะ”“มี่จะยอมให้พี่ผ่านโปรของเราได้หรือยังครับ” คำถามนั้นทำเอาหญิงสาวถึงกับสะดุดลมหายใจตัวเอง“พี่รอได้ แต่ไม่อยากรอแล้ว เรื่องวันนี้ทำให้พี่อยากได้สิทธิ์ในการปกป้องดูแลมี่กับน้องมิว ไม่ให้ใครมาทำให้เสียใจได้อีก พี่รักมี่ แต่งงานกับพี่นะครับ”มิรันดาถึงกับอึ้งเมื่อได้ยินคำนั้น คำที่เธอเคยอยากให้ดิฐกรพูดกับเธอมาตลอด แต่แล้วกลับเป็นผู้ชายตรงหน้าที่พูดมันออกมา เขาขอเธอแต่งงาน และบอกรัก ถึงจะไม่โรแมนติก แต่เมื่อมองสบตากันเธอก็รับรู้ได้ถึงความจริงในที่เขามีให้“มี่รังเกียจพี่หรือเปล่า หรือว่า...ยังรักเขาอยู่”“ไม่ค่ะ มี่ไม่ได้รักพี่ดิวแล้ว ไม่ได้รักนานแล้ว” คราวนี้หญิงสาวตอบอย่างมั่นใ
ดิฐกรถูกส่งเข้าห้องฉุกเฉินในเวลาต่อมา มิรันดาและคีรินที่พาเขามาส่งโรงพยาบาลนั่งรอหน้าห้อง ชุดเดรสแสนสวยตอนนี้มีคราบเลือดคราบเลอะติดเป็นหย่อมๆ หากเจ้าตัวกลับไม่ได้สนใจ ในสมองยังคงคิดถึงภาพตอนที่คนเจ็บนอนแน่นิ่งจมกองเลือดอย่างน่าตกใจเมื่อครู่ตอนแรกเธอคิดว่าอีกฝ่ายตายไปแล้ว ทว่าโชคดีที่โรงพยาบาลอยู่ไม่ไกลจากที่เกิดเหตุ คีรินจึงช่วยเรียกรถพยาบาลมารับได้ไว ชายหนุ่มไม่กล้าเคลื่อนย้ายเอง เพราะเกรงว่าจะทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บหนักกว่าเดิม“แม่คะ คุณลุงคนนั้นจะตายไหมคะ” คำถามของลูกน้อย ทำให้ความกลัวแล่นเข้าจับหัวใจของมิรันดาจนสั่นสะท้านไปทั้งร่างเธอเกลียดในสิ่งที่เขาเคยทำไว้กับเธอจนไม่อยากให้อภัยก็จริง แต่ไม่ได้อยากให้อีกฝ่ายตายจริงอย่างที่ลั่นปากไป“ไม่หรอกลูก คุณลุงต้องไม่เป็นอะไรนะครับ” คีรินปลอบขวัญ“คุณลุงคนนั้นเขาเป็นพ่อน้องมิว จริงๆ เหรอคะแม่มี่”คำถามนั้นเสียดลึกเข้าไปในอก กับความจริงที่เธอไม่อาจปฏิเสธได้ แม้จะเลิกกันแล้ว แม้เขาจะเคยไม่ต้องการมีลูกกับเธอ แต่เด็กหญิงของขวัญก็คือลูกสาวของดิฐกร ไม่ม
“ทำไมหนูถึงว่าคุณลุงคนนั้นใจร้ายล่ะคะลูก” “ก็เขาเคยมาที่บ้านน้องมิว แล้วก็รังแกแม่มี่ของหนูจนร้องไห้เลย น้องมิวไม่ชอบเขา เขานิสัยไม่ดี” คุณดารณีได้ฟังก็งุนงงจับต้นชนปลายไม่ถูกจนต้อง หันไปมองหน้าลูกชายคนกลางอย่างคาดคั้น“นี่มันเรื่องอะไรกันตาดิว ลูกทำแบบที่น้องมิวว่าจริงเหรอ ทำไปทำไม” “ผม...เอ่อ...แม่ครับ ผมมีเรื่องจะสารภาพ” คำนั้นทำให้ทุกคนนิ่งไป “มี่คือเมียผม แล้วก็น้องมิวก็เป็นลูกของผมแล้วก็เป็นหลานสาวแท้ๆ ของคุณแม่ครับ” “หา! ว่าไงนะตาดิว” คุณดารณีเบิกตาค้างอย่างตื่นตะลึง โชคดีที่แขกเหรื่อเข้างานกันหมดแล้วเหลือแต่พวกเขาเป็นกลุ่มสุดท้าย “นี่มันเรื่องอะไรกันลูก” คีรินกุมมือหญิงสาวไว้แน่น มืออีกข้างก็เอื้อมไปจูงมือเด็กหญิงตัวน้อยไว้ “มี่คือคนที่ผมเคยบอกแม่ เธอเป็นเมียผม แต่เราเลิกกันไปเพราะเข
“ตาคิมเขาพาแฟนมาอวดน่ะสิคุณดา คนนั้นไง” คำนั้นทำให้คุณดารณีหันไปมองที่หญิงสาวข้างกายคีรินทันที “เอ๊ะ! เราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่าจ๊ะหนู” มิรันดาเองก็จำได้ตั้งแต่เห็นหน้าอีกฝ่ายเช่นกัน“ใช่ค่ะ เจอกันที่โรงพยาบาล” “จริงด้วย ป้าจำได้แล้ว นี่ไงคะแม่หนูที่ฉันเล่าให้คุณฟังว่าช่วยฉันตอนโดนชนจนล้มข้อเท้าพลิกที่โรงพยาบาลไง ตายจริงโลกกลมเหลือเกิน ตาดลลูกก็จำน้องได้ใช่ไหม”“จำได้ครับแม่” ดลธวัชส่งยิ้มให้หญิงสาวผู้มีพระคุณของแม่“แล้วเจ้าแก้มยุ้ยคนนี้ใครจ๊ะ หน้าตาน่าเอ็นดูจริงเชียว” คนอยากมีหลานสาวรู้สึกถูกชะตากับเด็กน้อยตรงหน้าอย่างบอกไม่ถูก “แต่เอ...แม่เคยเห็นหน้าแบบนี้ที่ไหนนะ คุ้นๆ แต่นึกไม่ออก” คุณดารณีครุ่นคิด หากแล้วสายตาก็หันไปเห็นใครบางคนเดินตรงเข้ามาพอดีจึงคิดออก“นึกออกแล้ว หน้าเหมือนตาดิวตอนเด็
เขาอยากไปยืนตรงนั้นแทนที่คีรินเหลือเกิน แต่ยิ่งทำอย่างที่ใจต้องการ ทุกอย่างก็กลับพังไม่เป็นท่า ยิ่งใกล้ก็เหมือนเธอจะยิ่งไกลห่างออกไปทุกที ดูจากที่ร้านไอศกรีมวันนี้ ขนาดนั่งใกล้กันมิรันดายังแทบไม่มองหน้า ไม่สนใจเขาด้วยซ้ำ เธอทำราวกับเขาเป็นเพียงอากาศไร้ตัวตน แล้วจู่ๆ คำพูดของพิรามก็ดังขึ้นในหู‘มูปออนง่ายกว่ามั้งเพื่อน’หรือเขาควรทำเช่นนั้น แต่จะให้ตัดใจจากเธอและลูกยังไง มือหนาหยิบสร้อยรูปจี้หัวใจขึ้นมาดูอย่างปวดใจ“ต้องทำยังไง มี่ถึงจะให้อภัยพี่เสียที พี่ต้องทำยังไง...” เย็นวันต่อมา คีรินก็มาถึงบ้านของหญิงสาวตรงตามเวลานัดเป๊ะ“ลุงคิมมาแล้ว โห...วันนี้หล่อจัง” เด็กหญิงของขวัญทำตาโตมอง ปกติเวลามาหาสองแม่ลูก เขามักจะสวมเสื้อเชิ้ตแบบไม่สวมสูทเพื่อเป็นกันเอง แต่วันนี้เขาใส่ทักซิโด้หล่อเต็มยศ“ไงครับคนสวยของลุง ไหนลองหมุนตัวให้ดูหน่อยได้ไหม”