“อีวี่อาจวิ่งเล่นแถวนี้ ผมจะเดินไปดูทางโน้นก็แล้วกัน”
ชายหนุ่มยิ้มแกน ๆ ก่อนจะเดินไปอีก้านของสุสานในขณะที่อิสลินเดินตรงไปทางกอดอกไม้เล็ก ๆ ที่อีวี่ชี้ให้ดูเมื่อครู่
“อีวี่...ลูกจ๋า” หญิงสาวเดินพลางเรียกด้วยความรู้สึกที่เริ่มเป็นกังวล อีวี่แม้เป็นเด็กผู้หญิงแต่ก็ซุกซนเข้าขั้นจนบางครั้งเธอก็ถึงกับหอบ แต่อิสลินไม่เคยอยู่ห่างจากนางฟ้าของเธอเลยตั้งแต่แม่หนูลืมตาดูโลก นัยน์ตาสีฟ้าเข้มคู่นั้นเปรียบเสมือนตัวแทนแห่งความรักนิรันดร์ที่จะอยู่กับเธอตลอดไป
“อีวี่...ลูกอยู่ไหน?...อีวี่” ร่างบางรู้สึกว่าตัวเองเดินออกมาไกลและก้าวผ่านกอไม้รกเรื้อกระทั่งถึงบริเวณน้ำพุเล็ก ๆ ซึ่งห่างออกมาจากสุสานพอประมาณ
“อีวี่!” อิสลินปรี่เข้าไปกอดบุตรสาวที่นั่งอยู่บนพื้นหญ้าใกล้กับน้ำพุเพียงโดดเดี่ยว
“อีวี่...แม่บอกหนูแล้วไงจ๊ะว่าอย่าไปไหนมาไหนคนเดียว แม่ตกใจหมดรู้มั้ย”
เสียงเอ็ดเบา ๆ ของหญิงสาวทำเอาหนูน้อยหน้าหงิกตาแดงก่ำ อีวี่ไม่พูดอะไรแต่ค่อย ๆ ยื่นของสิ่งหนึ่งซึ่งทำให้มารดาถึงกับผงะ
“อีวี่...ลูกไปเอาดอกไม้นี่มาจากไหน?” หญิงสาวถามขณะรับดอกกุหลาบสีชมพูหวานจากร่างเล็ก
“มีคนชวนหนูมาที่นี่...เขาบอกว่ามีดอกไม้สวย ๆ เยอะแยะ แล้วเขาก็ให้ดอกไม้นี่กับหนู”
อิสลินจ้องปากเล็กบางที่พรั่งพรูคำพูดไม่ค่อยชัดถ้อยตามประสาเด็ก เธอก้มลงมองดอกไม้แสนสวยในมือ มันคือกุหลาบปรินเซส เดอ โมนาโก
“ไคลน์...” ร่างบางพูดกับตัวเองเบาจนเป็นกระซิบ ดวงตาคู่นั้นเริ่มมีน้ำรื้น ไม่ว่ายามหลับหรือตื่นภาพความทรงจำครั้งวันคืนเก่า ๆ ก็ยังคงฝังแน่นอยู่ในมโนนึก แต่แล้วหญิงสาวต้องปลุกตัวเองให้ตื่นขึ้นมารับความเป็นจริงที่ว่า เซอร์เรนัล์ฟ ไคลน์ ได้ตายไปจากโลกนี้แล้ว
“มามี้ขา...เขาบอกหนูว่ามันเป็นดอกกุหลาบ...ที่สวยที่สุดในโลก เป็นความจริงหรือคะ?” / “เขา?”
“ก็คุณน้าคนนั้น...ไงคะ” เด็กหญิงหันไปรอบ ๆ ก่อนทำสีหน้าผิดหวังเมื่อพบเพียงความว่างเปล่า ไม่มีใครอื่นอยู่ในที่นั้นนอกจากตัวเองกับมารดา
“มามี้...อีวี่ไม่ได้โกหกนะคะ”
“มามี้ไม่ได้ว่าหนูโกหกนี่จ๊ะ” อิสลินดอบกอดแม่หนูน้อยไว้เมื่อความพลุ่งพล่านในใจเริ่มลดน้อยลง “อาจเป็นคนแถวนี้กระมัง แต่ทีหลังอย่าแอบตามใครมาแบบนี้อีกนะจ๊ะ สัญญาแบมามี้สิจ๊ะ”
“แต่เขาก็ใจดีมากนะคะ มามี้ไม่ต้องห่วงหนูหรอกค่ะ”
“อีวี่...ลูกเป็นแก้วตาของมามี้ จะไม่ให้ห่วงหนูได้อย่างไร หนูตัวแค่นี้ถ้าเกิดหนูหายไป มามี้คงจะ...”
“มามี้ร้องไห้อีกแล้ว...อย่าร้องนะคะ” มือน้อยที่ค่อย ๆ บรรจงเช็ดรอยน้ำใต้ดวงตาของมารดาด้วยความไร้เดียงสาราวแสงอบอุ่นอาบลงบนหัวใจของหญิงสาว อิสลินก้มลงจูบบนเปลือกตาบอบบางและริมฝีปากนุ่มนิ่มของอีวี่ด้วยความรักสุดหัวใจ ภาพที่สองแม่ลูกนั่งตระกองกอดบนลานหินใกล้น้ำพุกำลังถูกจับตามองผ่านแว่นสีชาของบุรุษร่างสูงใหญ่ซึ่งนั่งสงบนิ่งบนเบาะด้านหลังภายในรถเลคซัสสีดำสนิทซึ่งจอดอยู่ห่างไปไม่ไกล
“จะกลับเลยไหมครับ?” คนขับซึ่งเป็นชายหนุ่มถามขึ้นขณะมองคนที่นั่งด้านหลังผ่านกระจกหน้า เจ้าของใบหน้าคร้ามคมถอดแว่นออกเผยให้เห็นนัยน์ตาสีฟ้าเข้มสาดประกายเยียบเย็นดุดัน
“ออกรถเถอะ แล้วโทรบอกคนของฉันให้เตรียมเครื่องบินไว้ด้วย ฉันจะกลับนิวยอร์คคืนนี้”
“ครับ...คุณไคลน์”
เป็นเวลานับเดือนอิสลินได้แต่มองเดเรกนั่งอยู่เพียงลำพังในศาลารูปทรงกรีกโบราณซึ่งแวดล้อมด้วยต้นไม้ภายในบริเวณของสวนบนเนินหลังคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ตั้งอยู่ชานเมืองของกรุงนิวยอร์คซิตี้ เธอรู้สึกถึงท่าทีของผู้ได้ชื่อว่าเป็นสามีดูผ่อนคลายลงหลังอยู่ในอาการเครียดและมีความปริวิตกเกี่ยวกับข่าวที่ทำให้แอร์โรว์ไวรอนต์สูญเสียความเชื่อมั่นจากลูกค้าถูกเผยแพร่ออกไปจนทำให้ภาพลักษณ์ของบริษัทเกิดความเสียหายและเหนืออื่นใดยังถูกเพิกถอนการเป็นคู่สัญญากับกระทรวงกลาโหม เขาควรต้องไม่สบายใจแต่กลับกลายเป็นว่าได้จุดประกายอะไรบางอย่างจากเหตุการณ์นั้น หลังส่งอีวี่เข้านอนและปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพี่เลี้ยงคอยดูแลอิสลินจึงปลีกตัวลงไปที่สวนหลังคฤหาสน์ตอนอาทิตย์ลับฟ้าไปนานแล้ว โดยปกติหญิงสาวจะมาที่นี่บ่อยครั้งเพื่อดูแลสวนดอกไม้ที่เธอใช้เวลาว่างปลูกมันด้วยตัวเอง กลิ่นอวลไอในยามค่ำคืนของดอกกุหลาบปรินเซส เดอ โมนาโก ล่องลอยมาตามสายลมในช่วงเวลาของฤดูร้อน มันทำให้เธอมีความสุขทุกครั้งที่ได้มองกุหลาบงามเบ่งบานแตกช่อเต็มไปหมดในสวนแสนสวย ร่างบางในชุดนอนผ้ามัสลินสวมทับด้วยเสื้อคลุมผ้าไหมเดินไปจนถึงศาลาที่ตกแต่งด้วยเสาไพลอนแบบกรีก เดเรกยังอยู่ที่นั่น เขานั่งหันหน้าไปยังคุ้งฟ้ากระจ่างด้วยแสงไฟจากยอดตึกสูง
“ยังไม่นอนหรือคะ เดเรก?” เสียงหวานที่ดังขึ้นไม่ได้ทำให้เขาตกใจแต่อย่างใด ชายหนุ่มเพียงหันมายิ้มกับหญิงสาวที่ทรุดตัวนั่งลงข้าง ๆ
“ยัง...ผมกำลังคิดเรื่องวันพรุ่งนี้ที่ผมต้องเดินทางไปปารีส”
“ฉันคิดว่าคุณกำลังคิดถึงเรื่อง...” อิสลินชะงักคำพูดและเหลือบมองหนังสือพิมพ์ในมือของเขา
“ข่าวที่ประธานแอร์โรว์ไวรอนต์หย่ากับภรรยาน่ะหรือ?” เดเรกเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น ร่างแน่งน้อยเงียบไป เธอเพิ่งไปเซ็นต์ใบหย่ากับเดเรกเมื่อวานนี้และมันก็กลายเป็นข่าวใหญ่ขึ้นหน้าหนึ่งอีกระลอกถัดจากข่าวความเสียหายที่เกิดกับบริษัท“อีฟ...คุณคงไม่โกรธผมนะ ที่จู่ ๆ ผมก็ทิ้งคุณไปในช่วงเวลาแบบนี้”เดเรกดึงมือเรียวบางนั้นมาไว้บนตักและบีบมันเบา ๆ ก่อนจะกล่าวต่อ“มันน่าจะถึงเวลาที่ผมต้องยุติการทำหน้าที่การเป็นประธานแอร์โรว์ไวรอนต์ซึ่งมันเป็นความหวังของพ่อกับแม่เสียที หลังจากท่านทั้งสองเสียชีวิตผมก็คิดมาตลอดว่าอยากถอดหัวโขนนี้ออกไปในสักวัน ที่ผ่านมาผมมอบหน้าที่ให้แอนดรูว์หัวหน้าฝ่ายวิจัยดูแลการผลิตมาตลอด เพราะที่จริงผมไม่ได้อยากสานต่อเจตนารมณ์ของพ่อมากสักเท่าไหร่ ผมอยากไปอยู่ในที่สงบและใช้ชีวิตในแบบที่ผมเป็น”“แต่ตอนนี้คุณก็กำลังจะได้ไปตามทางที่คุณมุ่งหวัง เราต่างเป็นกำลังใจให้กันและกันเสมอมาไม่ใช่หรือคะ”“อีฟ...หลังจากที่ผมเดินทางไปปารีสแล้ว ผมอยากให้คุณได้รับรู้เจตนารมณ์ของผมอีกอย่าง นั่นคือการขายหุ้นทั้งหมดของแอร์โรว์ไวรอนต์ คอร์ป”“ฉันจะจัดการทุกอย่างได้อย่างไรล่ะคะ ถึงตอนนี้หุ้นส่วนใหญ่ในบริษัทจะเปลี่
“ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณอีฟ...ผมมีหน้าที่เพียงทำตามความต้องการของคุณเดเรกก็เท่านั้น ถึงไม่มีแอร์โรว์ไวรอนต์แล้วแต่ผมก็จะยังคงสานต่องานด้านวิศวกรรมการบินของบริษัทซึ่งต่อไปก็จะอยู่ภายใต้การบริหารจัดการของดี ฮันเตอร์ และประธานของบริษัทที่กำลังจะพาคุณไปทำความรู้จักตอนนี้อย่างไรล่ะครับ” แอนดรูว์กล่าวด้วยน้ำเสียงอันสุขุมตามแบบฉบับของคนพูดน้อย เขาเป็นคนคอยจัดการทุกอย่างให้เดเรกรวมทั้งวันนี้ที่พาเธอกับอีวี่ออกจากคฤหาสน์หลังงามชานเมืองเพื่อไปส่งอดีตสามีตามกฎหมายขึ้นเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวเดินทางไปปารีส หลังจากนั้นจึงพาแม่หนูน้อยไปส่งที่เนอร์สเซอรี่ก่อนจะมาที่นี่เพื่อให้อิสลินได้ทำความรู้จักและมีโอกาสพูดคุยกับเจ้าของบริษัทผลิตยูเอวีซึ่งเธอไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามหรือเห็นหน้าค่าตาเขามาก่อน“คุณรู้จักเขาหรือเปล่าคะ แอนดรูว์?”“ถ้าบอกไปคุณอีฟอาจต้องประหลาดใจก็ได้ ผมไม่เคยเห็นหน้าประธานของบริษัทนี้มาก่อนเลยครับ ผมเพียงติดต่อผ่านตัวแทนที่ทำให้เราแน่ใจว่าเขามีตัวตนอยู่ในแวดวงนี้จริง ๆ ”“แปลกจังนะคะ เดเรกก็ไม่รู้จักเขา...อืม...เขาคงเป็นพวกนักประดิษฐ์ที่ชอบเก็บตัวและทำให้มีคนอยากรู้เรื่องของเขาเป็นแ
“ไคลน์...มีอะไรที่ฉันยังไม่เข้าใจอย่างนั้นหรือคะ?”“ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมก็คงคิดว่าคุณน่ะไร้เดียงสา แต่เวลาก็ทำให้ผมค้นพบว่าไม่ควรไว้ใจคนที่ชอบเสแสร้งว่าตัวเองอ่อนต่อโลก โดยเฉพาะผู้หญิงแพศยาอย่างคุณ!”“ไคลน์! หยุดนะคะ คุณจะว่าฉันมากเกินไปแล้ว!”“มิสซิสเพียซ...อ้อ...ลืมไปว่าคุณน่ะเป็นหม้ายเพราะผัวทิ้งไปตอนกิจการกำลังมีปัญหา เดเรกมันฉลาดเอาตัวรอด เมียของมันก็เลยต้องมารับกรรมที่มันก่อไว้กับคนอื่นหนักหนาสาหัส!”“ปล่อยฉัน!” อิสลินสะบัดไหล่จากมือหนาและผละห่างเพื่อมองหน้าเขาชัด ๆ หญิงสาวส่ายหน้าทั้งน้ำตาเพราะไม่คิดว่าจะพบเจอซาตานสิงสู่สุภาพบุรุษที่เธอเคยรู้จัก ความรู้สึกเหมือนเกิดใหม่เมื่อครู่จางหายกลับกลายเป็นความระทมทุกข์เหมือนตายทั้งเป็นอีกครั้ง“ขอโทษนะคะ...ฉันคงเข้าใจอะไรผิดไป เพราะคุณไม่ใช่เซอร์เรนัล์ฟ ไคลน์ที่ฉันเคยรู้จัก”“ผมคือเซอร์เรนัล์ฟ ไคลน์!” น้ำเสียงกร้าวกว่าเดิมทำให้ร่างบางที่กำลังจะหันหลังกลับหยุดชะงัก หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่นเพื่อสะกดกลั้นไม่ให้เสียงสะอื้นลอดออกมาเมื่อรู้สึกถึงมือหนาใหญ่ที่จับไหล่เธอไว้จากด้านหลัง ทว่าคาวนี้เขากดมันไว้แน่นจนความปวดร้าวแล่นลงไปถึงฝ่ามือบางเย็นเฉ
อิสลินพูดไม่ทันจบประโยคก็ถูกกลบด้วยเสียงหัวเราะของเซอร์เรนัล์ฟ เขาหัวเราะเหมือนคนบ้าและมองเธอด้วยแววตาเยาะหยัน“คุณเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า อีฟ...นี่คุณคงคิดว่าอยากจะขายหุ้นพวกนั้นไปให้ใครก็ได้ล่ะสิท่า เดเรกมันไม่เคยบอกคุณหรือว่าบริษัทของมันกำลังจะพินาศ!”“นี่...หยุดหัวเราะนะคะ ไคลน์! คุณพูดเรื่องอะไรกัน ในเมื่อฉันมีสิทธิ์ที่จะทำอะไรก็ได้กับหุ้นพวกนี้””ผมไม่เถียงคุณหรอก อีฟ...” ร่างสูงตระหง่านก้าวเข้ามาประชิดตัวเธออีกครั้ง อิสลินต้องแข็งใจทั้งที่ข้างในไหวยวบทุกคราที่เขาเข้ามาอยู่ใกล้“มันอาจเป็นสิ่งมีค่าสำหรับผู้หญิงหน้าเงินอย่างคุณ แต่คุณจะขายมันให้ใครไม่ได้อย่างเด็ดขาด!”“ฉันจะขายมัน แต่ขายให้ใครก็ได้ที่ไม่ใช่คุณ ฉันจะไม่มีวันขายหุ้นของแอร์โรไวรอนต์ให้กับดี ฮันเตอร์...โอ๊ย!”หญิงสาวร้องเสียงหลงเมื่อเซอร์เรนัล์ฟดึงข้อมือของเธอไว้และบิดอย่างไม่คิดปราณี“ฟังผม! เมื่อไหร่ที่คุณขายหุ้นให้คนอื่นก็เตรียมตัวถูกฟ้องข้อหาบริษัทลักลอบส่งยูเอวีให้พวกนายหน้าค้าอาวุธสงครามได้เลย!”“คุณบังคับฉันไม่ได้หรอกค่ะ! ฉันขอยืนยันว่าจะไม่ขายมันให้คุณ”“สายเกินไปกระมัง อีฟ...หุ้นที่คุณเคยครอบครองมันตอนนี้ต
“ก็เอาซี อีฟ...ถ้าคิดว่าจะฆ่าผมได้ แต่ถ้าผมไม่ตาย คุณก็ต้องเจอแบบนี้!” อิสลินสะดุ้งสุดตัวเมื่อจอมซาตานสาดความกักขฬะเข้าใส่ด้วยการฉกเรียวลิ้นเข้าไปในปากเล็กและขบกัดบนริมฝีปากอ่อนจนเลือดซึม ข้อมือบางถูกบีบแทบหักทุกครั้งที่เขายัดเยียดสัมผัสอันปวดร้าวแก่หญิงสาวที่พยายามดิ้นหนี เซอร์เรนัล์ฟกลับกลายเป็นคนที่มีแค่เลือดเนื้อไร้หัวใจ ทุกอย่างที่ทำไปก็เพื่อสนองอารมณ์ดิบเถื่อนก็เท่านั้นหญิงสาวสะอื้นฮักขณะกลีบปากถูกบดจนเป็นรอยช้ำ จุมพิตในความทรงจำของอิสลินสูญสิ้นไม่มีเหลือ ใบหน้าคร้ามเข้มจูบดุดันเนิ่นนานกระทั่งเขาถอนริมฝีปากออกก็ถึงกับผงะเมื่อเห็นการกระทำรุนแรงต่ออิสลิน ดวงหน้างามนั้นซีดเผือดและเรียวปากบางบวมช้ำจนเห็นได้ชัด ไม่! เขาจะไม่เห็นใจและสงสาร เซอร์เรนัล์ฟเตือนตัวเองก่อนสำแดงอาการขึ้งเคียด“ผมรู้มาว่าที่คฤหาสน์ชานเมืองมีสวนไคกัตที่จำลองมาจากสวนของตระกูลร็อคกี้เฟลเล่อร์ ผมจะให้คุณกับลูกอยู่ที่นั่น...และจะไม่แตะต้องลูกของคุณ ถ้าคุณ...ยินยอมอยู่ในอาณัติของผม” ร่างแน่งน้อยกัดฟันแน่นขณะเอียงหน้าไปอีกทาง ผมเผ้านั้นยุ่งสยายไปหมดจากการขัดขืน เธอกำหมัดไว้แน่น ทั้งตา จมูก และปากเป็นรอยแดงทว่าเพียร
“ผมให้แอนดรูว์ไปรับแล้ว ส่วนคุณต้องกลับไปพร้อมกับผม” / “ฉันกลับเองได้”“ลืมไปแล้วหรือยังไงว่ารับปากอะไรผมไว้! ไอ้อาการลืมง่ายแบบนี้นี่ไง เลยทำให้คุณใจง่ายมีผู้ชายคนใหม่โดยไม่ต้องคิด!”“ไคลน์!” อิสลินกำหมัดและกัดริมฝีปากซ้ำลงไปที่รอยแผลแตก ทว่าความเจ็บยังไม่ถึงครึ่งของคำพูดที่เขาใช้ทิ่มแทงเธอไม่วายเว้น หญิงสาวตัดสินใจเดินกลับออกไปแต่ไม่ทันแขนใหญ่ที่ตวัดโอบไหล่เธอไว้อีกหน ร่างแน่งน้อยทำทีว่าจะไม่ยอมหากเขาไม่ขู่เสียงกร้าว“อย่าขัดใจผม! เป็นเด็กดีและเชื่อฟัง...อย่าทำให้อะไร ๆ มันยุ่งยากไปกว่านี้!” เซอร์เรนัล์ฟเค้นเสียงจากในลำคอก่อนจะเดินโอบไหล่ร่างเล็กออกจากห้องทำงานเพื่อตรงไปยังลิฟท์ มีพนักงานหลายคนเดินผ่านมาและมองตามด้วยความสงสัย แต่ใครกันจะกล้าถามว่าประธานของดี ฮันเตอร์ หอบหิ้วผู้หญิงคนนี้มาจากไหน อิสลินจำต้องเดินตามเจ้าของวงแขนแข็งกระด้างด้วยความกระดากอายกระทั่งเข้าไปในลิฟท์ที่มีเพียงเขาและเธอสองคน“ผมอยากเห็นเด็กคนนั้น...อีกครั้ง” ร่างสูงใหญ่พูดขึ้นก่อนกดปุ่มลิฟท์ลงไปชั้นล่าง หญิงสาวไม่พูดอะไรแต่หวาดหวั่นในใจโดยไม่มีเหตุผล และก็เป็นจริงดังคาด ความเงียบของเธอบันดาลให้เขาเกิดโทสะขึ้นม
หญิงสาวร่างเล็กเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเงางามและดวงตากลมโตทว่าอ่อนหวานยามจับจ้องมายังเขา บัดนี้ภาพเหล่านั้นเจือจางไปจนหมด อิสลินก็เป็นแค่เหยื่อของผู้ชายที่มีลมหายใจไว้เพื่อการแก้แค้นเท่านั้น เซอร์เรนัล์ฟขับรถออกมาไกลกระทั่งเข้าสู่เขตชานเมืองนิวยอร์คซึ่งเป็นย่านที่เต็มไปด้วยบ้านหรูแวดล้อมด้วยทิวไม้ร่มรื่นราวแดนสงบที่อิงแอบอยู่กับธรรมชาติและทำให้รู้สึกราวกับหลุดจากโลกอันวุ่นวายของมหานครใหญ่กระนั้น ไม่นานคฤหาสน์หลังงามบนเนินหลังแมกไม้และสวนสวยก็ค่อย ๆ ปรากฏแก่สายตาของผู้มาเยือน อิสลินมองที่อยู่ของเธอด้วยความหดหู่ นับแต่นี้ไปสถานที่แห่งนี้จะกลายเป็นคุกกักขังหัวใจเธอ“สวนนั่น...” / “อีวี่ล่ะคะ! ไหนคุณบอกว่าแอนดรูว์ไปรับอีวี่แล้ว ฉันอยากเจอลูก!”อิสลินแทรกขึ้นทันทีที่ชายหนุ่มจอดรถตรงทางเข้าคฤหาสน์ใกล้น้ำพุใหญ่ซึ่งรอบ ๆ ไม่เห็นเงาใครสักคน เซอร์เรนัล์ฟกำพวงมาลัยแน่นก่อนจะหันกลับมาทางหญิงสาวที่เฝ้ารอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ เขาทำสีหน้าเรียบเฉยราวกับไม่สะทกสะท้านอะไรเลยกับความหวั่นกลัวที่ฉายชัดในแววตาคู่งาม“พาผมไปที่สวนไคกัต แล้วผมจะให้คุณ...ได้เจอแม่หนูน้อย”“ไคลน์ ถ้าฉันยินยอมที่จะทำตามความต้องการ
เธอพยายามส่งสัญญาณว่ารู้หน้าที่ของตัวเองดีแต่ชายหนุ่มกลับสำแดงสีหน้าไม่พอใจขึ้นมาอีก“ผมก็อยากจะบอกคุณเหมือนกันว่าตอนนี้ผมเป็นเจ้าของที่นี่โดยสมบูรณ์ การที่เจ้าของอยากอยู่ส่วนไหนของคฤหาสน์คงไม่ใช่กงการของคนอาศัยจะมาชี้นิ้วสั่ง!”“ฉันไม่ได้สั่งคุณนะคะไคลน์ ...ใช่ค่ะ ฉันกับลูกอยู่ในฐานะของคนอาศัย แต่ฉันก็เพียงแสดงความคิดเห็นซึ่งมันก็ควรเป็นเช่นนั้น”“คุณไม่มีสิทธิ์แสดงความเห็นอะไรทั้งนั้น อีฟ...คุณมีหน้าที่ก็แค่ทำตามคำสั่งของผมเท่านั้น ชีวิตของคุณเป็นของผม ถ้าผมจะจองจำคุณไว้ที่นี่ชั่วชีวิตคุณก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ!” อิสลินนิ่งอึ้ง เซอร์เรนัล์ฟกลายเป็นซาตานร้ายอย่างเต็มตัว สุภาพบุรุษผู้แสนดีถูกความเคียดแค้นพยาบาทกลืนกินจนหมดสิ้น สิ่งที่เธอทำได้คือก้มหน้ารับคำบัญชาจากคนไร้หัวใจ“ค่ะ...ฉันเข้าใจ” หญิงสาวตอบรับเพียงสั้น ๆ ก่อนข้อมือบางจะถูกดึงไปกุมไว้พร้อมเสียงพูดจากร่างสูงที่ลดความเกรี้ยวโกรธลง“ตอนเดินผ่านมาเมื่อครู่ ผมเห็นสวนกุหลาบ ผมอยากเข้าไปดูใกล้ ๆ ““ไคลน์คะ...อีวี่อาจร้องหาฉันแล้ว บอกได้ไหมคะว่าแอนดรูว์พาเธอไปไว้ที่ไหน?”“ผมอยากไปดูต้นกุหลาบ แล้วจะพาคุณไปหาลูก” ซึ่งเธอก็คงปฏิเสธไม่ได้