ลานบ้านค่อนข้างเก่าแต่กว้างขวาง พื้นซีเมนต์เริ่มแตกเป็นรอยแยกแล้ว แม้อยู่ในช่วงฤดูหนาว แต่กลับมีต้นดอกเดซี่สีม่วงต้นเล็กๆ งอกขึ้นมาจากรอยแยกนั้น แล้วเบ่งบานสั่นเทาในสายลมหนาว
ดอกเดซี่สีม่วง
ซ่งถานจ้องมองดอกไม้นั้นอย่างตั้งใจ รู้สึกราวกับว่าดอกไม้น้อยๆ นี้ดูงดงามยิ่งขึ้นเมื่อเปลี่ยนสภาพแวดล้อม
ซ่งซานเฉินวางกระเป๋าไว้ในห้องโถงแล้วรีบตะโกนเรียกลูกสาว
"ถานถาน ข้างนอกหนาว รีบเข้ามาผิงไฟข้างใน" พลางลูบมือและเท้าของตัวเอง "ขี่มอเตอร์ไซค์นี่หนาวจริงๆ! "
ซ่งถานชะงักไปครู่หนึ่งกว่าจะตอบสนอง
‘ใช่แล้ว ขี่มอเตอร์ไซค์ในฤดูหนาวคงหนาวจริงๆ ’
แต่เธอกลับไม่รู้สึกอะไรมากนัก
กางมือออกดู ก็เห็นฝ่ามือขาวผ่องราวหยกของตนเอง พลางคิดว่า คงเป็นเพราะตอนเกิดอุบัติเหตุ พลังปราณในตัวเธอจึงพยายามซ่อมแซมร่างกายอย่างสุดชีวิต เพื่อหลบหนีจากชะตากรรมที่อาจต้องตาย จึงทำให้ร่างกายได้รับการชำระล้างในระดับหนึ่ง
แต่ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่ดี
อย่างเช่นตอนนี้ ลมหนาวพัดผ่านมา ซ่งถานกลับรู้สึกสั่นไปทั้งตัวอย่างควบคุมไม่ได้ เธอตกใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงรีบวิ่งเข้าไปในบ้าน
นี่คือห้องเล็กๆ ที่ใช้สำหรับผิงไฟ แม้พื้นที่ไม่กว้างนักแต่ก็พอให้ความอบอุ่นได้บ้าง มุมหนึ่งใกล้หน้าต่างมีเตาเหล็กซึ่งประกบด้านบนไว้ด้วยแผ่นเหล็กสี่เหลี่ยมคางหมู มองขึ้นไปมีปล่องไฟเป็นทรงยาวคดเคี้ยวอยู่ที่เพดาน แล้วทอดไปยังรูบนผนังอีกด้าน เมื่อเป็นเช่นนี้ เปลวไฟในเตาก็จะลุกโชน แต่ควันที่ร้อนระอุจะถูกระบายออกนอกบ้านผ่านทางปล่องไฟ เพียงแค่จุดไฟ ห้องทั้งห้องก็จะอบอุ่นราวกับห้องอบไอน้ำในแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ซ่งซานเฉินไม่ได้เจอลูกสาวมานานแล้ว นี่คือข้อเสียของการทำงานในเมืองใหญ่ วันหยุดน้อย ช่วงเทศกาลก็หาซื้อตั๋วยาก ครั้งล่าสุดที่ได้เจอก็ตั้งแต่ตอนตรุษจีนนู่น แต่ก็ได้หยุดเพียงสามวัน วันที่สี่ก็ต้องไปทำงานต่อแล้ว ดูลำบากยากเข็ญเหลือเกิน
ซ่งถานเป็นลูกคนแรกของเขากับอู่หลาน ชีวิตประจำวันคือไม่ว่าลูกสาวพูดอะไรก็ว่าตามนั้น แม้กระทั่งหลังจากลูกชายเกิดมา ทุกอย่างก็ยังคงเป็นแบบเดิมๆ อยู่
ตอนนี้คิดดูแล้วก็ไม่รู้จะพูดอะไร จึงยื่นมือที่แข็งกระด้างไร้ความรู้สึกไปหยิบมันเผาบนเตามา
“หิวไหม กินมันเผาแก้หิวหน่อยเร็ว”
เขาไม่กลัวร้อน ซ่งถานตอนนี้ก็ไม่กลัวแล้ว ยื่นมือมารับ “พ่อก็กินด้วยสิคะ”
“พ่อไม่กิน” ซ่งซานเฉินรีบโบกมือ “ตอนพ่อเป็นเด็ก ยายทำมันเผาให้พ่อกินกันทุกวัน กินมากๆ แล้วก็แสบร้อนในท้อง กินจนเบื่อแล้ว”
ซ่งถานเงียบไปชั่วครู่
ส่วนซ่งซานเฉินก็หาหัวข้อสนทนาเจอสักที “คราวนี้กลับมาอยู่บ้านนานแค่ไหน”
ซ่งถานอ้าปาก ในโลกเซียน เธอเป็นคนตรงไปตรงมาไม่ยอมใคร แต่ตอนนี้คำพูดที่พูดออกมากลับหนักอึ้งราวหินพันสักพันชั่ง
“พ่อ หนูลาออกแล้ว อยากกลับบ้านมาทำไร่”
ซ่งซานเฉินเงียบไปในทันที ครู่ใหญ่จึงถอนหายใจ “ถานถาน ความลำบากของการทำไร่ หนูไม่รู้หรอก หนูเป็นนักศึกษาจบมาแล้วกลับมาทำไร่ พ่อไม่กลัวคนอื่นหัวเราะเยาะหรอก แต่หนูจะทนความลำบากไหวเหรอ”
นัยว่าไม่เห็นด้วย
ซ่งถานก็ไม่รีบ “พ่อ ตอนหนูเด็กๆ เวลาถอนถั่ว เก็บข้าวโพด เด็ดใบชา รดน้ำแปลงผัก หนูก็เคยทำมาหมดแล้วนะ”
“นั่นมันแค่ไม่กี่อย่างเองนะลูก”
ซ่งซานเฉินชี้ไปยังถังพ่นยาที่วางอยู่ในห้องเก็บของตรงกันข้าม “หนูแบกถังแบบนั้นยังไม่ไหวเลยมั้ง”
นั่นเป็นถังพ่นยาพลาสติกสีน้ำเงินแบบเก่า เวลาใส่น้ำจนเต็มจะหนักถึงสามสิบกิโล เวลาพ่นยาต้องแบกมันเดินไปเดินมาตลอดเวลา แต่ถ้าเทียบกับการขุดภูเขาชา เกี่ยวข้าว ปักดำ นี่ถือว่าเป็นงานที่เบามากแล้ว อย่าคิดว่าชนบทจะไม่ฉีดยาฆ่าแมลง สมัยนี้แมลงเต็มไปหมดและวัชพืชก็ดื้อยา คนอื่นฉีดกันหมด ถ้าเราไม่ฉีดบ้าง ก็เตรียมรอให้ข้าวและใบชาโดนกินจนหมดได้เลย
ระหว่างที่พูดกันอยู่ อู่หลานก็เดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับถ้วยซุปปลาสีขาวขุ่น กลิ่นหอมฟุ้งไปทั่ว แม้จะยังมีกลิ่นคาวเล็กน้อย แต่ก็ดีกว่าที่ได้กลิ่นตอนมื้อกลางวันเยอะแล้ว
"ถานถาน เย็นนี้กินซุปเยอะๆ นะ ปลาเก๋านี่พ่อไปตกมาจากคูน้ำข้างบ้าน มีประโยชน์มาก กินเยอะๆ นะลูก" หันไปเห็นผ้าก๊อซที่ศีรษะลูกสาว ยิ่งได้ยินเธอบอกว่าหัวเผลอไปกระแทกเข้า ก็ยิ่งมั่นใจว่าตนเองจะตักซุปให้ลูกสาวเพิ่มอีกสองถ้วยตอนมื้อเย็น!
อู่หลานวางกะละมังบนเตาเหล็ก แล้วหันไปเห็นมันเทศในมือซ่งถาน
"ถานถาน มันเทศอย่าเพิ่งกินนะ มันเทศเนื้อขาวของที่นี่มันจะฝืดคอมันเหนียวมาก เก็บไว้กินตอนกลางคืน เดี๋ยวจะกินข้าวไม่ได้" พูดจบก็ไม่รอคำตอบ รีบกลับเข้าครัวไป
ส่วนซ่งถานก็วางมันเทศไว้ข้างๆ แล้วหันไปมองสีหน้าที่สลับซับซ้อนของซ่งซานเฉิน ก่อนจะเดินไปที่ห้องเก็บของหยิบถังพ่นยาสีน้ำเงินหนักๆ ขึ้นมา เปิดก๊อกน้ำข้างๆ แล้วก็รินน้ำลงไปในถัง
"ถานถาน! "
ซ่งซานเฉินก็ตามออกมาด้วย เห็นท่าทางที่ไม่ค่อยเหน็ดเหนื่อยของลูกสาวแล้ว ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกเศร้าใจ
ลูกสาวเชื่อฟังและว่าง่ายมาตั้งแต่เด็ก ประหยัดอดออม ไม่ยอมใช้เงิน ตอนไปทำงานข้างนอกก็เพื่อครอบครัว ตอนนี้ลูกสาวกลับมาพร้อมกับแผลบนหัว บอกว่าลาออกแล้ว แน่นอนว่าต้องโดนกลั่นแกล้งที่หนิงเฉิงแน่ๆ......ก็โทรไปทีไรก็มักได้ยินแต่บอกว่าทำงานล่วงเวลา ห้องที่อยู่ก็แคบๆ เล็กนิดเดียว จะไม่ให้ลำบากได้ยังไง
ในตอนนี้ ซ่งซานเฉินเริ่มลังเลแล้ว
ถ้าลูกอยากกลับมาทำไร่ก็ทำไปเถอะ ถ้าทนลำบากไม่ได้ก็ค่อยหางานในเมืองให้ใหม่ อย่างน้อยก็อยู่ใกล้บ้าน
ซ่งซานเฉินเพิ่งจะตะโกนเรียกลูกสาวไปเพราะกลัวจะหนัก แต่พอเห็นว่าถังยาเต็มแล้ว ก็แอบตกใจไปชั่วขณะ เพราะ "ลูกสาวที่กลัวทนลำบากไม่ได้" กำลังถือถังนั้นอยู่ราวกับตุ๊กตาหมีของเล่นตัวเล็กๆ
ในตอนนี้ ซ่งซานเฉินชาวนาแท้ๆ วัยห้าสิบแปดปีก็มองมือหยาบกร้านของตัวเองแล้วก็รู้สึกสับสน
ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าถังนั่นมันหนักจัง
ฉันแก่แล้วหรือไง
แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงร้องเรียกอย่างร่าเริงดังมาจากที่ไกลๆ
"พี่สาว! พี่สาว!"
ซ่งถานหันหน้าไปโดยไม่รู้ตัว เห็นเด็กชายหนุ่มสวมเสื้อกั๊กผ้าฝ้ายสีดำวิ่งมาจากถนน เขามีขาที่ยาวมาก สูงประมาณหนึ่งเมตรแปดสิบ แต่ผอมไปหน่อย ผิวขาวสะอาดเกลี้ยงเกลา มีลักยิ้มที่แก้ม ขณะที่เขาวิ่งมาก็พกรอยยิ้มพร้อมกันมาด้วย ใบหน้าทั้งหมดเต็มไปด้วยความยินดี
"พี่สาว! "
นี่คือซ่งเฉียว น้องชายของเธอ อายุจริงสิบแปดปี อายุสมอง...เพียงหกขวบ น้องชายผู้น่าสงสารของเธอ
อู่หลานให้กำเนิดเขาตอนอายุสี่สิบปี ชนบทไม่มีธรรมเนียมการตรวจก่อนคลอด ผลก็คือเขาเกิดมาเป็นแบบนี้ มีสติปัญญาของเด็กอายุหกหรือเจ็ดขวบตลอดไป แต่ว่าเขาเป็นเด็กดีและมีความน่ารักมากๆ ตอนเด็กซ่งถานเป็นคนเลี้ยงดูเขามาด้วยตัวเอง จนกระทั่งเธอจากบ้านไปเรียนหนังสือ แล้วก็อยู่ที่หนิงเฉิง
ซ่งเฉียวยืนอยู่ตรงหน้าซ่งถาน ดวงตาเป็นประกายแวววาว มองเธออย่างว่าง่ายเหมือนลูกสุนัข
เธอยื่นมือออกไป เด็กชายก้มศีรษะลงอย่างว่าง่าย ให้เธอสัมผัสใบหน้าเย็นเฉียบของเขา "เฉียวเฉียว"
"อืม! "
"พี่กลับมาอยู่เป็นเพื่อนเฉียวเฉียวนะ ดีไหม"
"ดี!" ตอบเสียงดังมาก
จากนั้นเขาก็หันไปมองซ่งซานเฉินด้วยความลังเล "แต่พ่อบอกว่าพี่ต้องหาเงิน มันเหนื่อย เฉียวเฉียวจะไปรบกวนให้พี่มาอยู่ด้วยไม่ได้"
ซ่งถานหัวเราะออกมา แล้วก็ตรวจดูมือของเขา ดูว่าซอกเล็บสะอาดไหม ‘ดีมาก’ ที่ไม่ได้ไปขุดดินเล่นในช่วงฤดูหนาว
"การหาเงินมันเหนื่อยเกินไป พี่ไม่อยากหาแล้ว พี่จะกลับมาอยู่เป็นเพื่อนเฉียวเฉียว เป็นเพื่อนพ่อแม่ เราอยู่ด้วยกันได้ไหม"
ซ่งเฉียวไม่รู้ว่านักศึกษาที่เพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัยคนเดียวในหมู่บ้าน กลับมาทำนาหมายความว่าอย่างไร เขาร้องเฮขึ้นมา "ดีเยี่ยม!"
"พี่สาวไม่ต้องกลัว เดี๋ยวเฉียวเฉียวจะปลูกข้าวโพด เฉียวเฉียวจะเลี้ยงพี่! "
คราวนี้แม้แต่ซ่งซานเฉินที่หน้าบึ้งเมื่อสักครู่ก็ยังหลุดยิ้มออกมา
"แกจะทำได้แค่โยนเมล็ดข้าวโพดลงหลุม แล้วก็เด็ดจากต้น แกจะปลูกข้าวโพดเป็นได้ยังไง! "
ซ่งซานเฉินยอมให้เธอกลับมาทำไร่ นั่นทำให้ซ่งถานโล่งใจจริงๆ แต่ต่อไปก็ถึงคิวแม่ของเธอ อู่หลานแล้วขณะนั้น อู่หลานก็พูดขึ้นมาพอดีว่า "ถึงเวลาทานข้าวแล้วเฉียวเฉียว ไปล้างมือแล้วมาช่วยยกกับข้าว! "ซ่งเฉียวก็วิ่งไปตามคำสั่ง ในช่วงฤดูหนาวแบบนี้แต่น้องชายเธอก็ยังเปิดก๊อกน้ำนอกบ้านแล้วล้างมือจนสะอาด จากนั้นก็ขยันขันแข็งไปยกกับข้าวน้ำซุปปลาเก๋าสีขาวข้น มีผักชีลอยอยู่ด้านบน แค่ได้กลิ่นก็รู้เลยว่าเป็นปลาที่สดมาก!ซ่งถานเหลือบมองอาหารอีกหลากหลายจานที่ถูกยกเสิร์ฟมาติดๆ กัน เริ่มจากปลาเก่าผัดซีอิ๊วที่ขนาดตัวไม่ได้ใหญ่มากมาย น่าจะประมาณสองถึงสามขีด แต่เมื่อผัดเข้ากันกับผักชี พริก ขิงและต้นหอม คลุกเคล้ากันอย่างดีแล้ว กลิ่นหอมเข้มข้นอบอวลไปทั่วทั้งบ้าน ถ้าอากาศอุ่นกว่านี้อีกนิด ในท้องปลาก็คงมีไข่ปลาที่อร่อยกว่านี้จานถัดมาเป็นหัวไชเท้าตุ๋นหมูสามชั้น หมูสามชั้นตุ๋นเป็นวิธีทำอาหารของท้องถิ่น นำหมูสามชั้นที่ติดมันนิดหน่อยมาหมักเกลือไว้ และหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ลงกระทะ ใส่น้ำมันถั่วลิสงแล้วผัดไปเรื่อยๆ ผัดจนชิ้นหมูเริ่มเป็นสีเหลือง น้ำมันจากหมูหอมๆ ก็จะออกมาบางส่วน จากนั้นจึงปิดท้ายด้วยใส่ทั้งน้ำมันและเนื้อหม
ซ่งถานตกใจจริงๆ"บ้านเราเงินเยอะขนาดนี้เลยเหรอ"มีทั้งภูเขาและที่นา"มีเงินอะไรล่ะ" อู่หลานไม่เงยหน้าขึ้นมา "ทั้งหมดก็ตกทอดมาจากคุณปู่ของหนูทั้งนั้น ภูเขารกๆ ตรงนั้น ขายก็ไม่ได้ ไม่มีใครเช่า ก็เลยรกร้างอยู่แบบนั้น"ซ่งถานเงียบไปตอนนี้ทั้งหมู่บ้านมีไม่ถึงสามสิบหลังคาเรือน อายุเฉลี่ยสี่สิบห้าสิบปี ตอนนี้ข้าวก็ไม่ค่อยมีค่าแล้ว ก็แค่พออยู่พอกินเท่านั้น ไม่ใช่แค่บ้านของพวกเขาเท่านั้น บ้านอื่นๆ ก็มีที่รกร้างเป็นผืนใหญ่เช่นกันก็ไม่มีเหตุผลอะไรอื่น นอกจากขาดแรงงานที่นี่มีภูเขาเยอะ เครื่องจักรกลการเกษตรขนาดใหญ่ก็ใช้ไม่ได้ เครื่องจักรขนาดเล็กก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง ซึ่งก็แพงมาก กำไรทั้งหมดจากที่นาหนึ่งแปลงก็ไม่พอที่จะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ นอกจากนี้ยังมีอีก ถนนยังคดเคี้ยว ไม่มีหนทางไหนที่จะส่งขายออกไปยังนอกหมู่บ้านได้เลย ทุกวันนี้การปลูกข้าวและข้าวสาลีก็เพื่อกินเอง ทำงานหนักมาทั้งปี ทั้งรดน้ำ ใส่ปุ๋ย และกำจัดแมลง ก็ต้องใช้เงินจำนวนมากแล้วผลผลิตได้เท่าไหร่ล่ะยิ่งในกรณีที่ขาดแรงงาน ก็เก็บเกี่ยวได้แค่พอที่บ้านกินเท่านั้นหันกลับมาดูที่ซูเปอร์มาร์เก็ตในเมือง สิบกว่าหยวนต่อหนึ่งกิโลกรัม แม้ว่ารสชา
สำนักงานอำเภอในเมืองเล็กๆ อย่างหยุนเฉิงไม่จำเป็นต้องต่อแถว เพราะประชากรน้อยยิ่งกว่าหยิบมือ ซ่งถานทำบัตรประจำตัวประชาชนใหม่ใช้เวลาเพียงสิบนาทีก็เสร็จ ตอนนี้เธอจึงเลือกซื้อโทรศัพท์มือถือราคาสามพันหยวนให้คุ้มค่าที่สุด ขณะที่กำลังคิดถึงเงินในกระเป๋าของเธอ เธอก็รู้สึกเศร้าใจหกหมื่นหยวน แม้จะพูดให้ถูกต้อง ต้องเป็นหกหมื่นสองพันกว่าหยวน รวมเงินอุดหนุนของแม่ที่ให้เพิ่มเพื่อซื้อโทรศัพท์มือถืออีกสองพันหยวน รวมแล้วก็เป็นหกหมื่นสี่พันหยวนเมื่อคืนก็วางแผนไว้ดีแล้ววางแผนอย่างไรบ้างน่ะหรือ..ซื้อโทรศัพท์มือถือ ซื้อเครื่องมือทำการเกษตร ซื้อเมล็ดพันธุ์ และปุ๋ย...ถ้าที่เหลือเก็บไว้ได้ไหมนะ ไม่ได้ ต้องจ้างคนขุดภูเขา ขุดดิน ขุดทุกที่ที่เธออยากปลูก...แต่เงินจำนวนนี้ก็จ้างคนทำงานได้ไม่นานนัก"พ่อ แม่บอกว่าทุ่งนาและภูเขาให้หนูจัดการได้ตามใจชอบ แค่แปลงผักอย่าไปยุ่ง ถ้าขอเช่าเครื่องจักรไถดินด้วยได้ไหม"ซื้อไม่ไหวก็เช่าได้!ซ่งซานเฉินยังไม่ค่อยเปิดใจเท่าไหร่ "ถานถาน ลูกจะทำไร่จริงๆ เหรอ ลองทำแค่หนึ่งหรือสองแปลงก่อนก็พอแล้ว ทำใหญ่ขนาดนี้ ชาวบ้านรู้เข้าจะต้องว่าเราโอ้อวดแน่ๆ "ซ่งถานเองก็คิดได้ เธอไม่ได้คิดเ
ซ่งซานเฉินขมวดคิ้ว "นี่หนูตั้งใจจะปลูกถั่วม่วงในพื้นที่หลายสิบเอเคอร์เลยหรือ"มิเช่นนั้นจะไม่จำเป็นต้องใช้เมล็ดถั่วม่วงจำนวนมากขนาดนี้ ถั่วม่วงหนึ่งเอเคอร์ใช้เมล็ดพันธุ์เพียงห้าหรือหกกิโลกรัมเท่านั้นตอนนี้ปลายเดือนกุมภาพันธ์ ยังคงสวมเสื้อผ้าขนเป็ดและเสื้อโค้ทผ้าฝ้ายหนาอยู่ เมื่อถึงเดือนมีนาคม อุณหภูมิจะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ตราบใดที่ไม่มีความหนาวเย็นในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ และความแตกต่างของอุณหภูมิช่วงหลังเที่ยงคืนไม่มากนัก พืชผลทางการเกษตรส่วนใหญ่ก็สามารถปลูกได้แล้วแต่หากปลูกถั่วม่วง อย่างน้อยที่สุดก็ต้องไถพรวนอีกครั้งในปลายเดือนเมษายนหรือพฤษภาคมเพื่อปลูกอย่างอื่นได้...ก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็ไม่ได้ขัดขวางการปลูกอย่างอื่นตามประสบการณ์การทำไร่ทำนาของซ่งซานเฉิน เดือนพฤษภาคมเป็นช่วงที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการปลูกพืชในชนบท ในช่วงเดือนมีนาคมและเมษายนของทุกปีจะมีความหนาวเย็นในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ ความแตกต่างของอุณหภูมิก่อนและหลังเที่ยงคืนมีมาก เมล็ดพันธุ์ที่เพิ่งงอกก็อาจจะถูกแช่แข็งจนตาย ไม่เหมาะสมเพียงแต่เขาคิดว่าการใช้เงินและเสียเวลาไปมากมายตั้งแต่แรก ทำให้รู้สึกไม่สบายใจเมื่อคืนซ่งถานคิดอย
กลับถึงบ้าน อู่หลานก็ซักไซ้เรื่องเงินก้อนนี้อย่างที่เธอคิดไว้จริงๆ ซ่งถานรายงานทีไร เส้นเลือดที่หน้าผากของเธอก็เต้นตามไปด้วยทุกรอบ เต้นจนซ่งถานใจคอไม่ดี จะขอเงินทำอะไรก็ดูติดขัดเก้ๆ กังๆ ไปเสียหมดตอนนี้ ต้องรีบใช้กลยุทธ์ถัดไปปิดฉากแม่เธอ "แม่ หนูอยากเลี้ยงหมูสักสองสามตัว…ได้ไหม"ตอนนี้ราคาหมูขึ้นๆ ลงๆ แต่ไม่ว่าราคาเท่าไหร่ หมูตามบ้านนอกอย่างหยุนเฉิงก็ไม่เคยขายไม่ออก ตามหลักแล้ว เลี้ยงหมูก็เหมาะสมดี"กี่ตัว"อู่หลานฮึดฮัด เหมือนคิดว่าลูกสาวตนเองไม่เคยจับงานใหญ่ "ตอนนี้หมูแพง ลูกหมูก็แพง ตัวละตั้งหลายร้อย กลับมาบ้านก็ต้องก่อเตาทำอาหารให้หมูกินอีก แถมตอนนี้หนาวก็ต้องซื้อรำข้าวโพด”โอ๊ย ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่หมูหิวก็ร้องแล้ว หมูสองสามตัวก็ร้องดังระงมไปทั่ว ต้องคอยสร้างคอกหมูอีก แค่เฉพาะทำงานในไร่ก็ยุ่งเป็นระวิงมือไม้ใช้ไม่พอแล้ว ซ่งถานเป็นแบบนี้เสมอ เห็นได้ชัดว่ายังไม่ทันเดินก็คิดจะบิน ในสายตาของอู่หลาน มันไม่น่าเชื่อถือเลย"อีกอย่าง ทรัพย์สินล้นฟ้าล้วนไม่นับสิ่งมีขน ถ้าหมูเกิดป่วยขึ้นมา..."แต่ซ่งถานอยากกินเหลือเกิน ช่วงนี้เธอสามารถฝึกฝนลมปราณได้แล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่เ
ซ่งถานมีคุณปู่ชื่อซ่งโหย่วเต๋อ เป็นชาวนาแก่ๆ อายุ 79 ปีแล้ว ท่านป่วยเป็นโรคถุงลมโป่งพองเนื่องมาจากการสูบบุหรี่บ่อยๆ และถี่หนักตั้งแต่สมัยยังหนุ่ม ดังนั้นแกจึงหอบง่ายมาก ส่งผลให้ทำงานหนักไม่ได้มาหลายปี นอกจากการดูแลสวนผักง่ายๆ ก็ยังถนัดเล่นไพ่ใบไม้กับกลุ่มคนแก่ในหมู่บ้านเป็นกิจวัตรบ่อยๆ ด้วย ในมือแกชอบถือไปป์ยาสูบเก่าแก่ที่หายาก ในสิบหมู่บ้านแปดเมือง ทุกปีจะต้องมีคนมาขอซื้อน้ำมันยาสูบเก่าในไปป์แกเพื่อรักษาแผลคนในครอบครัวตลอดไพ่ใบไม้ คุณปู่ของฉันเคยชอบเล่นเกมลับสมองแบบนี้ แต่ผ่านไปสักพักก็ไม่มีใครเล่นตามแกกันแล้วส่วนคุณยายหวังลี่เฟินนั้น ขาแข็งแรง ร่างกายแข็งแรง ทำอาหารเก่งมาก ปัจจุบันสวนผักในบ้านก็ยังคงได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ทุกปีจะมีชาวบ้านมาหาเธอเพื่อขอซื้อต้นกล้าผักสวนครัวโดยเฉพาะ เธอจึงเป็นเสาหลักของบ้านซ่งเลยก็ว่าได้ซ่งถานออกจากบ้าน เดินผ่านสวนผัก เห็นบ้านเก่าแก่ที่ทำจากอิฐสีแดงตั้งอยู่บริเวณเชิงเขา ลานหน้าบ้านปูด้วยซีเมนต์เป็นพื้นที่กว้าง ในใจก็พาลหวนนึกถึงตอนตัวเองยังเด็กขึ้นมาทันที ต้นไม้ไทรสูงใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ที่มุมลาน ใต้ต้นไม้มีไก่หลายตัวนอนอาบแดดคุ้ยเขี่ยทรายเล่นอยู
เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น ซ่งซานเฉินตื่นขึ้นมาแล้วก็ต้องตกตะลึงไปชั่วขณะหนึ่งอากาศ...สดชื่นจัง!ยิ่งได้เห็นแนวภูเขาที่ปกคลุมด้วยหมอกบางๆ ประกอบกับแสงสีทองอ่อนอำไพแผ่กระจายอย่างจางๆ ดูสวยงามราวกับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของประเทศก็ไม่เกินจริงคูน้ำหน้าบ้านยังมีหมอกสีขาวปกคลุม หนาแน่นและบังตาจนเขามองแทบไม่เห็นพื้นผิวน้ำ มันกำลังเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ ค่อยๆ สลายไป ส่วนต้นเหมยฮวาที่อยู่รอบๆ สนาม ซ่งซานเฉินจำได้ชัดเจนว่ามันเคยร่วงโรยไปตั้งแต่เมื่อเดือนที่แล้ว ทำไมวันนี้ถึงกลับมาบานอีกครั้ง? ดอกตูมสีเหลืองเล็กๆ ซึ่งยังบานไม่เต็มที่นั้น ไม่เพียงแค่ดูน่ารักราวเด็กน้อยหัดเดิน แต่กลับยังมีกลิ่นหอมโชยมาแต่ไกลขณะนี้ ชาวนาชราได้มีโอกาสชื่นชมความงามที่ไม่พบเจอมานานมากแล้ว แต่ก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง เหมือนกับว่าตัวเองกำลังถูกชื่นชมเขาหันไปมอง!เห็นกระรอกสีเทาพื้นเมืองเจ็ดแปดตัวเกาะกำแพงบ้านแล้วมองเข้ามาเหมือนพวกปาปารัสซี่ พอลองมองไปที่ภูเขาหลังบ้าน ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นภาพที่เพิ่งผ่านพ้นฤดูหนาวมา แต่กลับมีกลิ่นอายของความสดใหม่ ราวกับว่าเพิ่งขัดเคลือบเงาซ่งซานเฉินมองอยู่นานจนงง แล้วก็
ปลายเดือนกุมภาพันธ์ต้นเดือนมีนาคม จะเป็นช่วงเวลาแห่งความอึดอัดใจและกลัดกลุ้มสำหรับชาวนาในแต่ละปี เมื่อสิ้นปีได้ผ่านพ้นไป ลูกหลานส่วนใหญ่มักพากันย้ายออกไปตั้งรกร้างครอบครัวของตัวเองยังที่แห่งใหม่ นกเธอแอ่นบนคานหามยังไม่กลับมา ที่ดินรกร้างว่างเปล่าก็มีมากขึ้น หากมองไกลๆ จากบนท้องฟ้าจะพบสีเหลืองและน้ำตาลครามครอบคลุมพื้นที่ดินจำนวนมาก ยกเว้นภูเขาเขียวขจีที่อยู่ไกลออกไปแล้ว หมู่บ้านทั้งหมู่บ้านก็เงียบเหงาและสงบแต่ในวันนี้ ทุ่งนาข้างป่าไผ่ของตระกูลซ่งกลับคึกคักอีกครั้ง"ซ่งซานเฉิน ปีนี้บ้านนายเป็นอะไรไป ร่ำรวยเตรียมทำอะไรใหญ่โตหรือยังไงกัน ทุ่งนาตั้งเยอะแยะจะเก็บกวาดไปทำไม""ใช่แล้วซ่งซานเฉิน นายจะปลูกอะไรกันแน่ ที่ดินเดิมยังมีต้นชาสองสามต้น ฉันเห็นยังทิ้งๆ ขว้างๆ อยู่เลย"ทุกคนถูกซ่งซานเฉินเชิญมาเก็บกวาดที่ดิน เครื่องจักรรถไถกำลังทำงานอย่างหนักหน่วงอยู่ที่มุมหนึ่ง ก่อนจะไถดิน พวกเขาจำเป็นต้องกำจัดวัชพืชและเศษซากต้นไม้เล็กๆ ที่แห้งกรังในที่ดินก่อน ไม่เช่นนั้นเครื่องจักรขนาดเล็กอาจจะมีเศษติดอยู่ใต้ท้องเครื่องโชคดีที่มีคนมาร่วมแรงช่วยกันเยอะแยะ ทำให้งานดูสนุกและมียังมีประสิทธิภาพดีด้วย เมื่