อัญชิสากลืนอาหารเข้าไปได้ สองถึงสามคำ ก็มีทีท่าว่าจะอาเจียน เธอลุกไปที่ห้องน้ำ ไม่สามารถเดินได้เร็วอย่างที่คิด จึงต้องใช้มือข้างหนึ่งปิดปากตัวเองไว้ให้สนิท เพื่อไม่ให้สำรอกออกมาเลอะเทอะ แม้จะมีเมือกเหนียวซึมล้นออกมา แต่ก็ทันปล่อยลงโถชักโครก
อัญชิสาอาเจียนจนเส้นเลือดและเส้นเอ็นบริเวณลำคอเรียวเล็กขึ้นสันนูน อาการมวนในท้องกระอักกระอวน เพราะอาการท้องว่าง ทำให้เมื่อมีอาหารลงไปในกระเพาะ จึงเกิดปฏิกิริยาท้องไม่รับ ดันสิ่งที่เข้าไปออกมาโดยอัตโนมัติ
ชนแดนเดินตามมาดูช้าๆ ภาพที่เห็นอัญชิสาเกาะขอบโถ และโก่งคออาเจียนอย่างทรมาน จนน้ำหูน้ำตาไหล ส่วนที่มือหนึ่งกุมอยู่ที่ท้องของตัวเอง เพราะมีอาการจุกเสียด
“เหมือนคุณจะมีอาการโรคกระเพาะร่วมด้วย”
ชนแดนหยุดนั่งลงข้างๆ ก่อนจะช่วยลูบหลัง และประคองเธอมาที่อ่างน้ำ เพื่อล้างปากและล้างคราบเศษอาหารและคราบอาเจียนต่างๆ ที่คาวคุ้ง เหงื่อบนหน้าผากที่เกาะพราว เพราะอาการเครียด และความเหนื่อยล้า และทรมาน
เมื่อออกมาจากห้องทำงานของนับหนึ่ง มินตราเข่าแทบทรุด เพราะไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน มินตราค่อยๆพยุงร่างที่อ่อนแรง นั่งลงเก้าอี้ทำงานของตัวเองช้า ใบหน้าซีดเผือด หายใจไม่ออก เพราะมันอั้นและจุกอยู่กลางอก น้ำตาคลอเอ่ออยู่ที่เบ้า มินตราพยายามกระพริบตา เพื่อกั้นให้น้ำตากลับเข้าไปข้างในไม่ให้ไหลออกมามินตรานึกถึงวันแรกที่ได้เจอกับตรีวิทย์ จนเลยเถิดไปถึงการมีสัมพันธ์ที่ไม่ใครรู้ ช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกัน แม้จะเพราะเรื่องบนเตียง แต่ความผูกพันมันเริ่มก่อตัวทีละนิด จนเปลี่ยนเป็นความชอบ แต่เธอยังไม่ได้มั่นใจว่ามันคือความรักไหม เธอรักตัวเองและครอบครัวมากกว่า พยายามคิดอยู่เสมอว่าตรีวิทย์ก็ไม่ต่างจากผู้ชายทั่วไป ที่ยังไม่พร้อมรับผิดชอบเด็กคนหนึ่ง หรือการมีชีวิตคู่ เพราะวัยที่เพิ่มผ่านพ้นวัยรุ่นเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ไม่นานตรีวิทย์ ตื่นจากอาการเมามาย ในสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้ายับยู่ เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา ที่ปาเข้าไปเกือบบ่ายสอง &nbs
เขตรัฐพามินตราขึ้นมายังห้องผู้ป่วยของตรีวิทย์ เมื่อเปิดประตูเข้าไป พบว่ามีเพียงธนัญญา นั่งเฝ้าตรีวิทย์อยู่เพียงลำพัง“คนอื่นไปไหนกันหมดครับ ทำไมคุณถึงอยู่คนเดียว”“คนอื่นๆ ไปห้องพี่สืบสายกันหมดแล้ว กลัวว่าพวกคุณขึ้นมาจะไม่เจอใคร ฉันเลยอาสานั่งเฝ้า เพราะกลัวตาวิทย์ฟื้นขึ้นมาแล้วไม่เห็นใคร”สายตาที่ธนัญญามองเขตรัฐ และมินตราเต็มไปด้วยคำถาม เขตรัฐเข็นมินตราเข้าไปนั่งที่ข้างเตียง“มินเฝ้าคุณตรีวิทย์ไปก่อนแล้วกัน พี่กับคุณนัญจะไปเยี่ยมคุณสืบสายก่อน”“ค่ะ”มินตรารับคำสั้นๆ เธอเอาแต่มองหน้าที่หลับใหลของตรีวิทย์ด้วยความเป็นห่วง ผิวขาวซีดเซียวของเขายามนอนสงบนิ่ง ทำให้เธอเป็นห่วงขึ้นมา และสงสารเขาจับใจ อาจเพราะเขาเป็นทายาทของสินธรธนารักษ์ การที่เธอท้องกับเขา คงทำให้เขาเครียดมากจริงๆธนัญญาเดินตามเขตรัฐออกมาเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร ก่อนจะเข้าในลิฟท์ เพื่อไปชั้นบนที่สืบสายนอนพักฟื้นอย
ธนัญญาที่กำลังสำรวจความเรียบร้อยของตัวเองที่หน้ากระจก เธอแต่งหน้าทาปากโทนสีธรรมชาติ จนดูแทบไม่ออกว่ามีการเติมแต่ง แต้มสีสันเข้าไปแล้ว ความสวยงามสดใสของธนัญญา ทำให้เธอดูอ่อนเยาว์ ดูราวกับสาวแรกรุ่นอยู่ตลอดเวลา ด้วยดวงตากลมโต แก้มป่องขั้นตอนต่อไปคือการเลือกเสื้อผ้าที่จะสวมใส่ในวันที่เธอดูมีความสุขเป็นพิเศษ ตู้เสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้าหลากหลาย ดูจะไม่เพียงพอ แม้ทุกชุดจะดูสวยงามไปหมด แต่สำหรับธนัญญามันดูยังสวยไม่พอสำหรับเธอ จนกระทั่งเขตรัฐออกจากห้องน้ำ ธนัญญาก็ยังคงสวมเสื้อคลุมสีชมพูตัวเดิมผมที่เพิ่งการสระด้วยแชมพูหอมละมุนของธนัญญาเอง ทำให้เขตดูมีเสน่ห์และเย้ายวนเพิ่มขึ้น ผมที่เปียกจับช่อติดกัน ถูกสะบัดออกและซับด้วยผ้าขนหนูผื่นเล็กเนื้อนุ่ม“ยังไม่แต่งตัวอีกหรือ”“ผู้หญิงแต่งตัวนานเป็นเรื่องธรรมดาหรือเปล่า”ธนัญญาหันมาค้อน ที่เขาถามราวกับกำลังจะต่อว่าเธอ ใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มสวยงามเป็นธรรมชาติ ชวนมองและน่า
เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ ตรีวิทย์จึงขอออกจากโรงพยาบาลทันที เพราะเขาเป็นห่วงมินตรา ตรีวิทย์พยายามจะดึงสายน้ำเกลือออกจากแขนด้วยตัวเอง แต่นับหนึ่งและธนญห้ามไว้ ก่อนจะเรียกพยาบาลเข้ามาเอาออกให้ ในเมื่อห้ามไม่อยู่ จึงปล่อยเขาไป ตรีวิทย์สวมเสื้อผ้าสำรองที่ธนญเตรียมไว้ให้สำหรับวันออกจากโรงพยาบาล ซึ่งกำหนดการณ์คือวันพรุ่งนี้ แต่เมื่อน้องชายดึงดัน เขาก็ไม่ห้าม แค่เป็นห่วงแผลที่ศีรษะของเขาเท่านั้น“ผมจะไปดูเขา ปกติมินตราไม่ใช่คนเงียบแบบนั้น การที่เขาเงียบ แสดงว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ผมกลัว”“คุยกับมินตราดีๆ ค่อยๆ คุยด้วยเหตุและผล มินตราไม่ใช่คนไม่มีเหตุผล และใช่คนยอมแพ้อะไรง่ายๆ สู้กับเธอสิคะคุณตรีวิทย์”“ครับ”มินตรากลับมาถึงห้อง ด้วยอารมณ์โกรธ เธอถูกนางอนงค์นาถดูถูกด้วยสายตาไม่พอ ยังกล่าวคำดูถูกว่าไม่มีหัวนอนปลายเท้า สำหรับคนร่ำรวยในสังคมมันสำคัญมากนักหรือ เธอก็มีพ่อมีแม่ แถมท่านทั้งส
ขณะที่เขตรัฐกำลังขับรถเข้ากรุงเทพฯ หลังจากไปตรวจเยี่ยมโรงงานที่อยุธยา ก็มีเสียงเรียกเข้าจากสายโทรศัพท์ที่ไม่ปรากฏชื่อ ทำให้เขาค่อนข้างแปลกใจ ไม่บ่อยนักที่จะมีสายปริศนา หรือคนไม่รู้จักโทรหาเขาในเวลาพลบค่ำเช่นนี้“ฉันเองมานัส”“ว่าไงเพื่อน มีอะไรให้ผมรับใช้”น้ำเสียงตอบรับของเขตรัฐเต็มเปี่ยมไปด้วยความดีใจ เพราะเขาไม่เจอกับมานัสมาร่วมสิบปีแล้ว หลังจากเรียนจบ และแยกย้ายกันไปต่างคนต่างทำงาน ล่าสุดที่ติดต่อกัน ก็ตอนที่มานัสช่วยตามหาณัฐการ ตอนที่นายปรารณ จับณัฐการไป“ไม่เจอกันนานคิดถึงตอนนี้ตอนอยู่กับไอ้วาทิตที่ออกัส ผับ เจอกันหน่อยไหม”“ได้เพื่อน แต่สักพักนะฉันเพิ่งกลับจากโรงงานที่อยุธยา เพิ่งเข้าเขตกรุงเทพฯ รถอาจจะติด”“ไม่มีปัญหา คืนนี้อีกยาวไป เจอกันเพื่อน”มานัสนั่งอยู่ที่บาร์ เขาเป็นเพื่อนกับเขตรัฐและวาทิตตั้งแต่สมัยเรียนด้วยกันที่มหาวิทยาลัย และเขาเองที่เป็นคนชักชวนเพื่อทั้งสองเข้า
เมื่อเห็นว่าอัญชิสาและครอบครัวคลายกังวลลงมาก ชนแดนจึงปลีกตัวออกไป หาซื้อเครื่องดื่มมาให้เพราะตั้งแต่มาถึง พวกท่านคงจะมัวแต่เป็นห่วงอาการของลูกจนไม่ได้คิดถึงตัวเองการแต่งกายสบายๆ ของชนแดน เป็นที่สะดุดตาของเจ้าหน้าที่หมอและพยาบาลเวรดึกเป็นอย่างมาก เพราะไม่เคยเห็นเขาในเสื้อผ้าเครื่องกายเช่นนี้มาก่อน นอกจากชุดกีฬา และชุดทำงานปกติ ทุกคนต่างยิ้มทักทายเขา ชนแดนออกจะเขินสักเล็กน้อยที่เขาอยู่ในสภาพนี้ไม่นานชนแดนก็กลับมาพร้อมกับน้ำดื่ม กาแฟร้อน นมอุ่นๆ และของว่างทานรองท้องแก้หิว เพราะร่างกายที่ตื่นขึ้นมากลางดึกทั้งที่เป็นเวลานอนพักผ่อน มักจะแสดงอาการหิวที่มากกว่าอาการหิวในเวลาปกติ“เครื่องดื่มครับกับของว่างรองท้อง ผมไม่ทราบว่าพวกท่านชอบดื่มแบบไหน ก็เลยเลือกเป็นกาแฟร้อนกับนมอุ่นมาให้ ส่วนของคุณกาแฟร้อนนี่แก้แฮงค์”ชนแดนวางเครื่องดื่มและของว่างในกล่องที่บรรจุถุงกระดาษรักษ์โลกไว้ที่เก้าอี้ที่ว่างอยู่ ก่อนจะยื่นกาแฟร้อนแก้วหนึ่งให้อัญชิสา อัญชิสาส่งสายตาตำหนิเขาที่ บ
อังคณาร้องเสียงหลง ด้วยความตกใจ ที่คงทรัพย์ลุกขึ้น แต่เขากลับตรงไปเปิดประตูและออกไปจากห้อง โดยไม่พูดอะไร ทำให้อังคณาปล่อยลมหายใจอย่างรวดเร็ว ก่อนจะล้มตัวลงนอนเพราะเริ่มรู้สึกปวดที่แขนและหน้าอก ทั้งที่หมอนยังหล่นอยู่บนพื้น เมื่อนึกถึงดวงตาของคงทรัพย์ที่จ้องมองเธอ ก็รู้สึกหวั่นใจขึ้นมา เธอไม่เคยกลัวใคร แต่สำหรับคงทรัพย์เธอพยายามที่จะไม่กลัวเขา แต่ทุกครั้งที่เห็นสายตาเย็นชาที่จ้องมองมา มันกลับทำให้ใจสั่น และหนาวยะเยือกขึ้นมาทันที“จ้องยังกับอาฆาตกันมาแต่ชาติปางก่อน”อังคณาบ่นพึมพร่ำกับตัวเอง พยายามข่มตาให้หลับ แต่ก็ไม่อาจลืมหน้าของเขาได้ คงทรัพย์เป็นใครกัน เธอรู้แค่ว่าเขาเป็นเพื่อนของธนญ พี่ชายของธนัญญา แต่ดูจากบุคลิกของเขา คงไม่ใช่เพื่อนธรรมดาอย่างแน่นอน และดูออกจะไปทางน่ากลัวเกินไปเสียด้วยซ้ำมินตรากับตรีวิทย์หลังจากหลบอังคณามาได้ มินตรารีบพาตรีวิทย์ไปทำแผล เนื่องจากการยื้อยุดฉุกกระชาก ทำให้แผลที
ชนแดนมองหน้าอัญชิสาในความมืด เขาเริ่มรู้สึกแปลกใจ ที่เธอเริ่มกลัวคนแปลกหน้า แต่เมื่อรู้ว่าเป็นเขา เธอกลับผ่อนคลายลงง่ายๆ เมื่อนึกถึงครั้งแรกที่ได้พบกัน ทั้งที่เขามากับผู้หญิงคนอื่น เธอยังกล้าที่จะแย่งเขาไปจากผู้หญิงคนนั้นอย่างหน้าตาเฉย แสดงความต้องการเขา โดยไม่ได้รู้สึกกลัวหรือต่อต้านเลยสักนิด“ปกติไม่กลัวคนแปลกหน้าไม่ใช่หรือ ทำไมวันนี้ถึงตื่นเต้นนักล่ะ”อัญชิสาได้แต่เงียบ คำพูดของเขากำลังค่อนแคะเธออยู่ แม้จะมองไม่เห็นใบหน้าที่ชัดเจน แต่ประกายสะท้อนในแววตา มันวาววับอยู่ตรงหน้า เสียงลมหายใจแผ่วเบา และเสียงหัวใจตึกตัก อาการวิงเวียนเหมือนจะเป็นลม“ปล่อย ฉันหายใจไม่ออก”“จะให้ผ่ายปอดให้หรือ”ชนแดนเหยียดยิ้มในความมืด แม้จะมองไม่เห็นแต่ก็รู้สึกได้ อัญชิสาถูกเขาล้อเลียนครั้งแล้วครั้งเล่า เธอรู้สึกเจ็บจี๊ดอยู่ภายใน และพยายามจะพลิกกาย แต่ชนแดนไม่ยอม เพราะร่างกายที่แข็งแกร่ง ทำให้แรงหญิงสาวไม่อาจสู้
อาการบอบช้ำตามร่างกายของวิกรม ทุเลาลงมาก เขาร้อนใจ เมื่อพนมกรมารายงานความคุ้มคลั่งของอักษะที่นับวันจะทวีความรุนแรง และออกคำสั่งที่ดูเหมือนคนขาดสติและมิได้ไตร่ตรอง เรื่องหนึ่งไม่ทันจะหายเรื่องใหม่ก็เข้ามาพนมกรประคองร่างที่ยังเดินได้ไม่ดีนักของวิกรมมาที่รถของเขา ก่อนจะรีบเปิดประตูให้วิกรมได้นั่งสบายๆที่เบาะหลัง เขาปฏิบัติต่อวิกรมต่างจากอักษะ ราวกับวิกรมนั้นเป็นนายใหญ่แทนอักษะเสียอีก ดูจะมีความเคารพยำเกรงและเป็นห่วงเป็นใยมากกว่าเสียด้วยซ้ำไม่ทันที่พนมกรจะขึ้นไปนั่งประจำที่คนขับ เสียงโทรศัพท์ของวิกรมก็ดังขึ้น“เรื่องที่ผมเคยขอให้คุณวิกรมลองตัดสินใจ ตอนนี้ผมตัดสินใจได้แล้ว ผมจะไม่รอคำตอบจากคุณอีกแล้วครับ ผมเลือกแล้ว”“มีอะไรหรือคุณเมืองนาย คนของผมเพิ่งมารับผมออกจากโรงพยาบาลวันนี้”“คุณวิกรมทบทวนข้อเสนอของนายธนญหรือยัง ก่อนหน้าที่ผมเคยบอกกับคุณไว้ ว่ามันเป็นทางเลือกที่ดี และผมฝากคุณวิกรม ไปบอกท่านอักษะด้วยว่า ผมขอยุติการเป็นตัวแทนในการทำธุรกรรมทางการเงินผิดกฎหมายนั่น ถึงผมจะรักเงินมากแค่ไหน แต่น้องชายของผมก็สำคัญกว่าเงินนั่นมากกว่าเป็นหลายเท่า อย่าได้ริอาจมาแตะต้องน้องชา
พระแพงมองแผ่นหลังกว้างของสืบสาย ที่แสงจันทร์จับเป็นเงาวาววับ เสียงพูดคุยที่เบา แต่น้ำเสียงหนักแน่น แม้จะได้ยินไม่ถนัดนัก แต่ก็พอเข้าใจจากโทนเสียง น้ำหนักเสียงหนักเบาของเขา ที่แฝงไปด้วยความจริงจังเคร่งเครียดสืบสายรับโทรศัพท์ของธนญที่เรียกเข้ากลางดึก หลังจากที่ต่างฝ่ายต่างเสร็จกิจกันผ่านไปไม่นานนัก นับหนึ่งที่หมดแรงหลับไปแล้ว ส่วนพระแพงเองก็ไม่ขยับตัวเมื่อสืบสายประคองศีรษะของเธอออกจากไหล่ของเขา เพื่อที่จะลุกไปหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ที่โต๊ะหัวเตียงสืบสายนั่งอยู่ที่ปลายเตียงด้วยร่างกายเปลือยเปล่า หันหลังให้พระแพงที่นอนอยู่ใต้ผ้าห่มอุ่น ปิดคลุมไว้แค่เนินอก จนกระทั้งรู้สึกว่าไออุ่นที่เคยได้รับจากกายของสืบสายหายไป และไหล่ของเธอเริ่มเย็นเฉียบ จนรู้สึกขนลุก อีกทั้งเสียงใครบางคนที่กำลังคุยกับใคร ทำให้พระแพงค่อยๆ ลืมตา และเพ่งมองไปที่แผ่นหลังของสืบสาย เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นเขา“ฉันจะให้คงทรัพย์ ส่งคนไปเฝ้าคนร้ายที่โรงพยาบาลทันที ฉันกลัวจะเหมือนคราวที่แล้วอีก คราวนี้เราต้องมีพยานบุคคลให้ได้ แล้วเพื่อนนายเป็นอะไรมากไหม”“เมืองเหนือปลอดภัย แผลแค่ถากๆ แต่เจ้าหน้าที่หญิงที่ถูกจ
ชายที่ตามไล่ล่าพลอยฟ้า ชะงักฝีเท้าทันที ที่เห็นกลุ่มคนมากมายอยู่ที่รถของพวกเขา แต่ไม่ทันที่จะหลบวิ่งหนีกลับเข้าไปในป่า เจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งก็ตะโกนขึ้นด้วยเสียงอันดัง“หยุดนะ ไม่งั้นฉันยิ่ง”ทำให้ตำรวจนายอื่นประทับลำกล้องขึ้นไกปืนทันที แต่คนร้ายกลับไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวกับคำขู่เลยสักนิด พวกเขาวิ่งกลับเข้าไปอย่างรวดเร็ว จนตำรวจนายนั้นลั่นกระสุนตามทันที จนเสียงดังกึกก้องป่า ราวกับเสียงฟ้าคำรามยามฟ้าฝนกระหน่ำเช่นนี้ พร้อมกับไว่ไล่ตามไป“เกิดอะไรขึ้นครับ”เมืองเหนือที่มาถึงที่เกิดเหตุพร้อมภูผารีบตรงเข้าไปถามเจ้าหน้าที่ทันที เมื่อได้ยินเสียงปืน“พวกคนร้ายมันวิ่งหนีการจับกุมครับ”“แล้วผู้หญิงล่ะครับ”“เราไม่เห็นคุณผู้หญิง ผมคาดว่าคุณผู้หญิง อาจจะหลบหนี พวกมันถึงวิ่งหน้าตื่นออกมาตามหาไม่ทันระวังตัวแบบนั้น”“หนีหรือ”น้ำเสียงของเมืองเหนือนั้นตกใจ เพราะเขาชำนาญป่าแถบนี้ และรู้ว่าเป็นพื้นที่อันตราย และมีหุบเหวลึกอยู่มากมาย หากคนไม่ชินทางอาจตกลงไปโดยไม่รู้ตัวฝนที่เบาลง ให้พวกเขาตัดสินใจออกตามล่า พร้อมทั้งตามหาพลอยฟ้าไปพร้อมกัน เพราะพวกเขาเชื่อว่าคนร้ายยังไม่ได้ตัวเธออย่
ชายสองคนที่นั่งอยู่ในรถกระบะเก่าคร่ำคร่า จอดอยู่ใต้ร่มเงาไม้ในซอยเล็กๆ ห่างจากบ้านฟ้าร้อยดาวราวยี่สิบเมตร ไม่ได้โดดเด่นหรือน่าสนใจเกินไปนัก ที่จะเป็นที่สนใจของผู้ผ่านไปผ่านมา เพราะปกติจะมีรถที่หลบเข้ามาหาที่จอด เพื่อเข้ามาทานอาหารหรือมาที่คาเฟ่อยู่เป็นประจำ“ผมซุ่มดูอยู่ครับ ห่างออกมาจากหน้าคาเฟ่ราวยี่สิบเมตรครับ ไม่มีใครสนใจเรา ผู้หญิงนักวิจัยที่มาจากขุนวางพร้อมนายเมืองเหนือพักอยู่ที่นี่ครับ เป็นคาเฟ่เล็กๆครับนาย คนไม่พลุกพล่าน แต่อุปสรรคอย่างหนึ่งคือ ดูเหมือนไอ้ภูผาคนสนิทของคุณเมืองนายและน้องชายจะเป็นเจ้าของที่นี่ และมันก็พักอยู่ที่นี่ครับ พวกบนเขามีคนของนายภูผาเฝ้าอยู่ และคอยติดตามเข้าป่าไปพร้อมป่าไม้ครับ ยากมากที่จะเข้าถึง ”ชายคนขับกำลังส่งข่าวถึงใครบางคน ซึ่งปลายสายนั้นรู้จักเมืองเหนือและเมืองนายเป็นอย่างดี อีกทั้งการพูดถึงนักวิจัยหญิง ซึ่งคนเดียวที่อยู่ที่นี่นั่นคือพลอยฟ้า รวมถึงภูผาที่เป็นอุปสรรคของพวกมัน“นายว่าไงพี่”“นายบอกให้รอจังหวะ อย่าเพิ่งบุ่มบ่าม รอดูพวกมันไปก่อน”ทั้งสองเอนเบาะนอนในรถ พร้อมดับเครื่องและแง้มกระจกไว้ให้อากาศได้ถ่ายเท พวกมันตั้งใจ
คนของอักษะที่ซุ่มรอดูอยู่บริเวณคอนโดหรูที่พักของตรีทศ รอเวลาที่ลลิตาจะออกมา ในที่สุดเป้าหมายของพวกเขาก็ปรากฏตัว ลลิตาที่เดินเคียงคู่มาในชุดลำลองของตรีทศ สองหนุ่มสาวเดินออกมาบริเวณด้านหน้า เดินไปตามฟุตบาททางเท้าเพื่อไปยังร้านอาหารที่ห่างออกไปราว สองร้อยเมตรคนของอักษะรีบส่งสัญญาณไปยังคนที่อยู่ในรถ ส่วนคนที่เดินตามก็ตามมาห่างๆ แต่คอยรายงานเป็นระยะ จนกระทั่งตรีทศและลลิตาถึงที่หมายเนื่องจากเป็นร้านอาหารดัง ราคาย่อมเยา รสชาติถูกปากผู้คนในย่านนั้น ทำให้มีคนไปใช้บริการจำนวนมาก จนต้องมีการตั้งโต๊ะเสริมล้นออกมายังริมฟุตบาท“วันนี้ลูกค้าเยอะ สงสัยเราคงต้องนั่งข้างนอกนี้แล้วหละ”“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันนั่งได้”“คุณครับด้านในที่นั่งเต็มหมดแล้วครับ”เป็นอย่างที่คิด พนักงานเสิร์ฟออกมาแจ้งตรีทศ เมื่อเขามาถึงและถามพนักงานว่าด้านในยังพอที่นั่งเหลือไหม โดยที่พนักงานนั้นจำเขาได้ดี เพราะตรีทศเป็นลูกค้าประจำ พนักงานเสิร์ฟกุลีกุจอ เข้าไปสำรวจด้านในทันที ก่อนจะกลับออกมาพร้อมความผิดหวัง“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพวกเรานั่งข้างนอกนี่ก็ได้”ตรีทศตอบและหันไปทางโต๊ะเสริมที่อยู่ห่างออกไปด้านหลัง ไกลจากปา
ตรีทศตะแคงใช้ศอกค้ำ ฝ่ามือยันศีรษะของตัวเองไว้ นอนมองลลิตาที่มีอาการงัวเงีย เมื่อแสงสว่างจากด้านนอกที่ส่องเข้ามาในห้อง ทำให้ห้องนอนที่แสนจะเรียบง่ายสว่างขึ้น เปลือกตาที่ค่อยๆเปิดออก เธอปรับสายตาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะจ้องตอบเขาไป ราวกับไม่เชื่อว่าสิ่งที่เห็นตรงหน้า คือความจริง ลลิตาคิดว่าตัวเองฝันไป เธอกระพริบตาอยู่สองถึงสามครั้ง“ตื่นเถอะ”เสียงของตรีทศบอกเธอว่า ไม่ใช่ความฝัน ลลิตาตกใจรีบลุกขึ้น เธอมองไปรอบๆ นี่มันห้องของเขาจริงๆ มันไม่ใช่ความฝัน ตรีทศที่ยังนอนมองลลิตาเหยียดยิ้มออก ก่อนจะลุกขึ้นนั่งลลิตาที่ทำท่าจะก้าวลงจากเตียงถูกตรีทศรวบเอาไว้ก่อน ลลิตานั่งลงบนตักของเขาอย่างไม่ตั้งใจเพราะแรงยื้อที่เหวียงเข้าหาตัวเขา“คุณทศ ไหนบอกให้ฉันตื่น ฉันจะลุกแล้วนี่ไง”“ผมให้คุณตื่นไม่ได้บอกให้คุณลงจากเตียงเสียหน่อย”ตรีทศกอดรอบเอวลลิตาไว้ เธอนั้นจับท่อนแขนที่แน่นขึ้นของเขา พร้อมทั้งห่อตัว เมื่อตรีทศพยายามซุกไซ้ที่ซอกคอ“นี่สายแล้วนะคะ ไม่ไปทำงานหรือ”“ผมทำงานโปรเจคฯ ไม่ต้องเข้าสำนักงานก็ได้ นี่ไงที่ทำงานผม”“แต่ฉันต้องทำ”“เจ้านายคุณไม่อยู่ไม่ใช่เหรอ เขาให้คุณดูแลณัฐกา
ตรีทศและนิอรที่เดินออกมายังโถงส่วนหน้าของโรงพยาบาล ห่างไปไม่ไกลจากตรงนั้น ลลิตานั่งรอณัฐการอยู่ที่ร้านกาแฟ ตามที่ณัฐการบอก โดยตกอยู่ในภวังค์ความคิดที่กำลังสับสนและหวั่นไหวกับความรู้สึกของตัวเอง“นิอร มาทำอะไรที่นี่น่ะ”ณัฐการในชุดคลุมท้องแสนน่ารัก นั่งอยู่บนรถเข็นที่นางพยาบาลช่วยเข็นมาหาลลิตาที่ร้านกาแฟ“คุณอิ๋ง ไม่ได้เจอกันนานเลย ตั้งแต่คุณออกจากบริษัท พวกเราเหงามากเลยค่ะ เจ้านายไม่พาลูกน้องไปเลี้ยงเหมือนเคย อรขอฟ้อง”“นี่พี่อุ๋งกับพี่หัส ละเลยลูกน้องขนาดนี้เลยเหรอฉันต้องจัดการหน่อยแล้ว”“แล้วนี้มาตรวจครรภ์หรือคะ”ตรีทศมองณัฐการ ด้วยความรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตา เขาคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเจอเธอที่ไหนมาก่อน ณัฐการเองก็มองเขาแว้บหนึ่งก่อนจะจำได้“อ้อ ฉันจำนายได้แล้ว นายเป็นเพื่อนของนับหนึ่งนี่นา ฉันเป็นเพื่อนนับหนึ่ง เราเจอกันบ่อยๆ ที่มหาวิทยาลัย”“อ้อ! จำได้แล้ว เธอชื่ออะไรนะ ติดอยู่ที่ปาก”“ฉันชื่อณัฐการคณะบริหาร”“อ่อใช่ ผมตรีทศ”ตรีทศยิ้มให้ณัฐการ ทั้งคู่ต่างฝ่ายต่างยิ้มให้กัน เมื่อจำกันได้“นายเป็นแฟนกับนิอรเหรอ”สิ้นเสียงคำถามของณัฐการ ตรีทศไม่ทันจะได้ตอบ สายต
นายอักษะที่อยู่ในอารมณ์ครุกรุ่น โกรธโมโห และบันดาลโทสะ เขาทำร้ายวิกรมไม่ยั้ง ที่คนของวิกรม ทำผิดพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า ชายสูงอายุสองคนที่เคยเป็นเสมือนเพื่อนรัก คู่หู เจ้านายและลูกน้องที่รักกัน แต่เมื่อเป็นเรื่องงาน ที่พลาด อักษะไม่เคยให้อภัยใคร เพราะมันหมายถึงชีวิตทั้งหมดของเขาอาจจบสิ้นลงนายวิกรมที่กองอยู่ที่พื้น ถูกลูกน้องสองคนประคองข้างให้ทรงตัวนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น ในขณะที่ลูกน้องคนหนึ่งยื่นผ้าขนหนูผืนเล็กให้นายอักษะเช็ดมือ เอาเลือดของวิกรมที่เปรอะเปื้อนออก ด้วยสายตาและมือที่สั่นเทา เขาไม่เคยเห็นอักษะซ้อมหรือทำร้ายวิกรมถึงขั้นปางตายขนาดนี้มาก่อน เพราะทุกคนรู้ดีว่าวิกรมคือเพื่อนรัก ที่เคียงบ่าเคียงไหล่ของนายอักษะมาตั้งสมัยยังหนุ่ม จนกระทั่งเรืองอำนาจ อีกทั้งเป็นนายอีกคนของพวกเขา“พามันออกไป”สิ้นคำสั่งสองหนุ่มรีบหิ้วปีกวิกรมออกไปทันที เป็นครั้งแรกที่วิกรมสิ้นลาย และสูญสิ้นศักดิ์ศรีจากการกระทำที่ไม่ให้เกียรติกันของอักษะ สายตาดุดันเข้มขึ้น เขากัดฟัน และข่มความเจ็บแค้นเอาไว้ด้วยร่างกายที่สะบักสะบอม วิกรมถูกหามส่งโรงพยาบาลทันทีเมื่อสิ้นสติเช้าวันใหม่ที่แสงอร
พลอยฟ้าตกใจตื่นขึ้นมาเมื่อใกล้รุ่งสาง ดวงตาที่พยายามลืมขึ้นในแสงสลัวที่ฟ้ายังไม่แจ้งดี พลอยฟ้านอนหันหลังให้เขาด้วยร่างกายที่เปลือยเปล่า มีเพียงผ้าห่มอุ่นคลุมกายอยู่ใต้วงแขน เสียงหายใจแรงของภูผาทำให้พลอยฟ้า ไม่แน่ใจว่าเขาตื่นอยู่หรือว่าหลับก่อนจะค่อยลุกขึ้น และหันไปตามเสียงนั้นช้าๆ ใบหน้าที่เอียงไปทางหนึ่ง แขนทั้งสองวางอยู่บนอก ผ้าห่มคลุมแค่ท่อนล่าง ผิวกายที่ขาวสะอาด มีกล้ามเนื้อเล็กน้อยแต่ดูแข็งแรงพลอยฟ้ามองหาเสื้อผ้าของตัวเอง ก่อนจะย่องลงจากเตียง และรีบร้อนสวมใส่มัน และไม่ลืมที่จะเก็บของสำคัญที่เธอตั้งใจมาเอาคืน แต่กลับเป็นสิ่งที่ทำให้เธอและเขาลงเอยกันบนเตียงเสียงประตูที่ปิดลงเบาๆ ทำให้ภูผาลืมตา เขาตื่นนานแล้ว แต่เพราะกลัวว่าพลอยฟ้าจะทำตัวไม่ถูก เขาจึงแกล้งทำเป็นหลับอยู่ เพราะมันก็ยากสำหรับเขาด้วยเช่นกันที่จะต้องเผชิญหากับเธอพลอยฟ้าที่หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แสงแดดอ่อนๆ ก็ฉายแสงเต็มที่ แต่เธอยังคงหมกตัวอยู่ในห้อง อยากออกไปข้างนอกใจจะขาด แต่ไม่แน่ใจว่าโผล่ไปเจอเขาตอนไหน เธอจึงเอาแต่นั่งเงียบๆ อยู่ในห้องจนกว่าจะได้ยินเสียงของเขา จนกระทั่งช่วงสาย เสียง