นับหนึ่งนั่งมองพระอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าเหนือทิวไม้ อากาศที่หนาวเหน็บ ทำให้นึกถึงเขา อ้อมกอดที่เขาทิ้งไว้ ราวกับกองไฟที่ถูกสุม เขาต้องการเพียงร่างกายของเธอ เขาหลอกล่อเธอจนหนำใจ และจากไปโดยไม่มีแม้คำกล่าวลา เธอไม่ควรจะมานั่งเสียใจ เพราะเธอเองที่ผิด ผิดที่ไปรักเขา ผิดที่ไม่อาจต้านทานความต้องการของตัวเองได้
“น้องหนึ่งครับ พรุ่งนี้ทีมศาสตราจารย์ประวิทย์จะนำคณะของ ดร.กลอส เข้าป่า ไปดูพืชอนุรักษ์ ที่ใกล้สูญพันธุ์ น้องหนึ่งจะไปด้วยไหมครับ เพราะมันค่อนข้างลำบาก ถ้ากลับออกมาไม่ทัน อาจต้องค้างแรมในป่าด้วย”
พี่ชูชาติ เจ้าหน้าศูนย์วิจัยที่ทำหน้าที่ดูแลนักศึกษาฝึกงาน เข้ามาถามความสมัครใจ เพราะเห็นว่าเธอเป็นผู้หญิง
“ไปค่ะ หนึ่งไหว”
เธอตอบรับคำทันที เพราะอย่างน้อยมันช่วยให้เธอไม่คิดมาก และไม่ต้องการให้มีเวลาคิดถึงเขา
เช้าวันรุ่งขึ้น นับหนึ่งเตรียมของใช้ที่จำเป็นและสัมภาระใส่เป้สนาม เตรียมพร้อมการเข้าป่ากับเจ้าหน้าที่และกลุ่มเพื่อนนักศึกษาฝึกงาน จากมหาวิทยาลัยทางภาคเหนือ พร้อมคณาจารย์ชาวต่างชาติที่มาศึกษาพันธุ์ไม้ป่าไทยที่ใกล้สูญพันธุ์ ระหว่างที่รอคณะของชาวต่างชาติอยู่นั้น นับหนึ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมอุปกรณ์ชุดปฐมพยาบาลพื้นฐาน เพราะหากเกิดอัตรายในป่าจะได้ไม่ต้องลำบากคนอื่น จึงแจ้งกับหัวหน้าทีม เพื่อไปเอาของที่ห้องพัก
นับหนึ่งกลับมาก็พบว่าทุกคนมาพร้อมแล้ว และกำลังจะเริ่มเดินเท้าเข้าป่า
“มาพอดีเลย เราพร้อมกันแล้วหละ มีใครลืมอะไรกันอีกไหม เราจะออกเดินทางกันแล้ว”
พี่ชูชาติถามทุกคน ให้สำรวจตัวเอง นับหนึ่งมองไปรอบๆ ว่าเพื่อนๆมากันครบหรือยัง พลันสายตาไปสะดุดกับกลุ่มที่มาจากศูนย์วิจัยชาวต่างชาติ หนึ่งในนั้นมีธนญยืนอยู่ นับหนึ่งเกิดอาการวิงเวียน หน้ามืดจนแทบจะเป็นลม แต่ก็พยายามพยุงตัวเองไว้ และสูดหายใจ พร้อมทั้งดื่มน้ำเข้าไปอึกใหญ่
“ทีม ดร.กลอส มีนักศึกษาไทยอยู่ด้วย 2 คน ยังไง เดี๋ยวยังไงก็ลองเข้าไปทำความรู้จักกันดูนะครับ” พี่ชูชาติแนะนำ
นับหนึ่งและธนญสบตากัน แต่ต่างฝ่ายต่างนิ่งเฉย ทำเป็นเหมือนไม่รู้จักกัน ทั้งที่ในใจนั้น กำลังเต้นโคมคามจนแทบจะทะลุออกนอกอก ธนญสังเกตที่ฝ่ามือของนับหนึ่งยังแปะพลาสเตอร์อยู่ แผลของเธอยังไม่หายดี จึงต้องสวมถุงมือไว้เพื่อป้องกันอันตราย
คณะสำรวจราว 10 ชีวิต เดินเท้าเงียบๆ มาหยุดที่ริมผาสูง ที่มีเอื้องป่าหายาก ฟังบรรยายจากเจ้าหน้าที่ และเก็บภาพ จดบันทึกสังเกตการณ์อย่างละเอียด นับหนึ่งแทบจะไม่มีอาการเหนื่อยหอบเลย เมื่อเทียบกับนักศึกษาชายคนอื่น เนื่องจากเธอแข็งแรงและออกกำลังกายอยู่สม่ำเสมอ ทำให้ ธนญแอบยิ้ม นึกถึงเวลาที่ทั้งสองคนร่วมรักกัน นับหนึ่งนั้นสุดยอดมากสำหรับเขา
นับหนึ่งเหลือบตามองเขา และเห็นเขาแอบยิ้มและส่งสายตามองเธออย่างมีเลศนัย ทำให้รู้สึกหงุดหงิด จนต้องสะบัดหน้าหนี ธนญ ไม่ได้เห็นกิริยาเง้างอด งอนเขาแบบนี้นานแล้ว ทำให้เขารู้สึกมีความสุขขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“น้องหนึ่งครับ เหนื่อยไหม ยังไหวอยู่นะ”
พี่ชูชาติถามเธอด้วยความเป็นห่วง เนื่องจากเธอเป็นนึกศึกษาฝึกงานผู้หญิงเพียงคนเดียว การสำรวจครั้งนี้ยังมีพี่เอื้อมสวรรค์ ที่เป็นเจ้าหน้าที่ศูนย์วิจัยหญิงอีกคนเป็นเพื่อนเธอ แต่เนื่องจากพี่เอื้อมทำงานที่นี่มานาน และมีการออกเดินเท้าเข้าป่าอยู่เป็นประจำ จึงไม่น่าเป็นห่วงสักเท่าไหร่ ร่วมครึ่งวันที่ผ่านมา ระยะทางกว่า 10 กิโล แต่นับหนึ่งยังไม่แสดงอาการใดๆออกมา จึงทำให้พี่ๆ ในคณะอดชื่นชมไม่ได้
“เดี๋ยวเราจะหยุดพักทานอาหารกลางวันกันที่นี่นะครับ วันนี้เพิ่งได้ 3 จุด ตามแผนเราจะสำรวจทั้งหมด 10 จุด คืนนี้คงต้องค้างแรมในป่า หวังว่าทุกคนจะเตรียมตัวกันมาพร้อมนะครับ เอาหละ เรามีเวลาทานข้าว 30 นาที จากนั้นจะเดินทางต่อ เชิญครับ”
พี่ชูชาติพร้อมผายมือให้พักผ่อนกันตามอัธยาศัย
นับหนึ่งทานอาหารง่ายๆ เนื้อแห้งกับเข้าวเหนียว ห่อด้วยใบตองแห้ง เธอนั่งทานกับพี่เอื้อมสวรรค์ และพี่ชูชาติ ไม่นานนักมีหนุ่มจากมหาวิทยาลัยดังของเชียงใหม่ได้นำอาหารพื้นเมืองที่ห่อใบตองแห้งมาให้เธอ เขายิ้มกริ่ม แสดงออกชัดเจนว่าสนใจเธอ ทำให้ธนญรู้สึกฉุนเฉียว ที่แม้แต่ในป่า นับหนึ่งก็ยังดึงจุดสนใจใครต่อใคร โดยเฉพาะพวกผู้ชาย
“ลองทานดูครับ ของพื้นเมือง” เมืองเหนือ ยื่นให้อย่างจริงใจ ถึงแม้เขาจะตั้งใจเอามาให้นับหนึ่งแต่เขาก็ยังแสดงน้ำใจกับพี่ๆ ทั้งสองคนด้วย เพราะเขาไม่ได้เจาะจงว่าเขาต้องการให้นับหนึ่งเพียงคนเดียว
“ขอบคุณค่ะ”
นับหนึ่งขอบคุณด้วยรอยยิ้ม เมื่อเห็นอาหารนับหนึ่งอดไม่ได้ที่จะคิดถึง ธนญ เขาเป็นคนทานยาก จึงแอบสงสัยว่าเขาเตรียมอาหารแบบไหนมากับทางคณะต่างชาติ
เขาทานไส้กรอก และอาหารกล่องสำเร็จรูป แต่ทีมของเขาถึงแม้จะทานอาหารที่มีแพ็คเกจบรรจุเป็นพลาสติกบางส่วน ก็ยังได้เตรียมถุงมาใส่ขยะกลับลงไปทิ้งที่ศูนย์อย่างเรียบร้อย สำหรับทีมนักวิจัยไทยบรรจุภัณฑ์ธรรมชาติสะดวกสำหรับพวกเขา เมื่อทานแล้วเปลือกใบตองแห้งสามารถทิ้งในป่าได้เลย
“อ้าว! คุณเรียนที่มหาวิทยาลัยเดียวกับหนึ่งนี่ อย่างนี้พวกคุณก็รู้จักกันน่ะสิ”
เมืองเหนือตื่นเต้นที่เข้าไปทำความรู้จักกับทีมของธนญ แล้วรู้ว่าเขาเรียนที่เดียวกับนับหนึ่ง
“เขาเป็นแฟนผม”
ธนญบอกเมืองเหนือด้วยน้ำเสียงไม่พอใจที่เขาพูดถึงนับหนึ่งอย่างสนิทสนม เมืองเหนือถึงกับหน้าถอดสี และไม่อยากจะเชื่อว่าเขากับนับหนึ่งเป็นแฟนกัน เพราะตลอดทางที่เดินป่า ทั้งสองคนแทบจะไม่มองหน้า หรือพูดคุยกันเลยสักคำ
“นับหนึ่ง”
เมืองเหนือร้องเรียกนับหนึ่ง และกวักมือให้ไปหา ขณะที่ยังคุยกับธนญ และเพื่อนคนอื่นอีก 2-3 คน
“มีอะไรเหรอ”
นับหนึ่งทำหน้างง และสงสัยว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ทั้งสองคนทำหน้าเคร่งเครียด ส่วนคนอื่นๆ ไม่พูดอะไร แต่ในแววดาดูมีแววกังวน พี่ชูชาติ และพี่เอื้อมสวรรค์ สังเกตเห็นความผิดปกติ จึงเดินตามนับหนึ่งไปสมทบ
“หมอนี่บอก เธอเป็นแฟนเขา จริงหรือเปล่า” เมืองเหนือถามเธอด้วยเสียงหงุดหงิด
“นายถามเธอด้วยน้ำเสียงแบบนี้ ฉันว่ามันไม่ใช่นะ นายเป็นอะไรกับเขาถึงต้องร้อนตัวขนาดนี้”
ธนญชักสีหน้าไม่พอใจ ที่เมืองเหนือแสดงกิริยาก้าวร้าวนับหนึ่ง ทั้งที่เขาไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเธอ อาการแบบนี้เขาต่างหากที่ควรจะทำ
“ตอบมาสิ”
เมืองเหนือรุกนับหนึ่ง เพราะเธอมัวแต่อึ้งกับคำถาม จนพี่ชูชาติมองดูสถานกาณ์ไม่ค่อยดี เลยไกล่เกลี่ยให้เมืองเหนือสงบลงก่อน
“เดี๋ยวๆ ใจเย็นมันเรื่องอะไร ค่อยคุยกัน พี่ว่าน้องคนนี้ก็พูดถูกนะ นายไม่ได้เป็นอะไรกับนับหนึ่งสักหน่อย ทำไมถึงโววายนัก เรียนก็ไม่ได้เรียนด้วยกัน เพิ่งมาเจอกันตอนฝึกงานก็แค่ 2 เดือน เข้าใจอะไรผิดกันไปใหญ่แล้ว”
“ตอบสิหนึ่ง” เมืองเหนือยังเค้นคำตอบ
“ไม่ต้องตอบเขาหรอกหนึ่ง”
ธนญรำคาญ จึงเดินหนี ทำให้เมืองเหนือไม่พอใจ กระชากแขนธนญให้รอคำตอบก่อน เพื่อจะได้พิสูจน์ว่าเขาไม่ได้โม้
“เมืองเหนือนายจะโกรธเขาทำไม หรือนายโกรธฉัน นายกำลังคิดอะไรอยู่” นับหนึ่งถามเขาตรงๆ เพราะไม่เข้าใจ
“เขากับเธอเป็นแฟนกันเหรอ” เขาจ้องหน้าธนญอย่างหาเรื่อง
“ใช่” นับหนึ่งตอบเสียงแข็ง ทำให้ทุกคนตกตลึง เพราะไม่คิดมาก่อน
“ไม่เชื่อ” เมืองเหนือค้าน จนพี่เอื้อมสวรรค์ต้องออกตัว เมื่อเมืองเหนือยังดึงดัน
“เขาเป็นแฟนกันจริงๆ ปีที่แล้วเขายังมาพักด้วยกันที่บ้านพักอุทยานเป็นอาทิตย์ แล้วก็มาทำเรื่องขอสำเนางานวิจัย และฝึกงานกับพี่อยู่เลย พี่ยังถามนับหนึ่งเลย ว่าทำไมแฟนเธอถึงไม่ได้มาด้วย”
คำตอบของเอื้อมสวรรค์ทำให้ทุกคนไขข้อข้องใจ และทำให้เมืองเหนือหน้าถอดสี เขาเสียหน้าจนไม่กล้ามองหน้าใคร จนต้องเป็นฝ่ายขอโทษธนญและนับหนึ่งอย่างเสียมิได้
เมื่อเริ่มออกเดินทาง นับหนึ่งปลีกตัวไปเดินกับธนญเพียงลำพัง เธอต่อว่าเขาที่ทำให้เกิดเรื่อง และไม่สมควรอ้างตัวว่าเป็นแฟนเธอเพราะ ตั้งแต่แรกเขาและเธอไม่เคยมีคำว่าแฟนมาก่อน
“นายปฏิเสธฉันมาตลอด คราวนี้ทำไมถึงมาอ้างว่าเป็นแฟนฉัน” นับหนึ่งเสียงแข็ง
“ก็หมอนั่นมันแสดงออกว่าอยากจะได้เธอเหลือเกิน ฉันก็แค่แกล้งมัน ฉันก็บอกเธอแล้วไม่ต้องตอบ” ธนญยักคิ้ว ยิ้มยียวน
“ฉันผิดอีกแล้วสินะ ที่ทึกทักนายเป็นแฟน” นับหนึ่งกระแทกเสียงและเดินย่ำเท้าจากมาด้วยความโมโห
ธนญมองตาม และยิ้มออกมาอย่างมีความสุข ที่เขายั่วให้เธอโมโหได้สำเร็จ
แสงอาทิตย์เริ่มอ่อนแรง ฟ้าเริ่มปิด คณะสำรวจตัดสินใจตั้งแคมป์บริเวณลานกว้างใกล้กับลำธารน้ำตก เต็นท์ถูกกาง เปลสนามถูกผูกโยงกับต้นไม้ นับหนึ่งนอนกับพี่เอื้อมสวรรค์ ส่วนคนอื่นๆ นอนกันง่ายๆ ด้วยถุงนอนและเปลสนาม ทางด้านคณะวิจัยต่างชาติ ก็มีเต็นท์นอนของแต่ละคนมาเป็นส่วนตัว
ค่ำคืนอันหนาวเหน็บ กองไฟถูกก่อเพื่อให้ความอบอุ่นคณะสำรวจนั่งล้อมวง ฟังการสรุป การสำรวจที่ผ่านมาทั้ง 7 จุด เป็นไปด้วยดี การเพิ่มจำนวนของไม้ป่าหายากเพิ่มขึ้น และการเก็บดอกเอื้องป่าที่โรยลา เพื่อมาสกัดหาสารจำเพาะ และการเพาะเนื้อเยื่อ เพื่อหาวิธีการขยายพันธุ์เพื่อเพิ่มปริมาณ
ธนญ แอบมองนับหนึ่งด้านข้างของเสี้ยวหน้าที่สะท้อนแสงไฟ นับหนึ่งตั้งใจฟังสรุปของ ดร.กลอส และอ.ประวิทย์ ด้วยความสนใจ อากาศหนาวเย็น ความอบอุ่นจากไอร้อนของไฟจะช่วยได้บ้าง แต่ก็ยังไม่พอ เธอได้แต่เอามือทั้งสองอังที่ปาก เป่าลมร้อนใส่มืออยู่อย่างนั้น เขาอยากกอดเธอให้ได้รับไออุ่นจากเขาแทน แต่ก็ไม่อาจทำได้ เพราะนับหนึ่งพยายามหลบเลี่ยงเขา ถึงแม้ทุกคนจะทราบแล้วว่าทั้งสองเป็นคู่รักกัน
“พี่ขอตัวเข้านอนก่อน ยังไงก็อย่าดึกนะ เพราะพรุ่งนี้เราต้องเดินทางกันต่อ”
พี่เอื้อมสวรรค์ผละเข้าเต็นท์ไปก่อนด้วยความเหนื่อยล้า ส่วนนับหนึ่งขอนั่งผิงไฟต่ออีกสักพัก แล้วจะตามเข้าไป ธนญเดินเข้ามาหาเธอด้านหลัง และนั่งลงข้างๆ ก่อนที่จะโอบกอดเธอไว้ นับหนึ่งตัวเกร็ง ไม่คิดว่าเขาจะเข้ามากอดเธอแบบนี้ ทั้งที่คนอื่นๆ ยังคงทำกิจกรรมต่างๆ อยู่ แต่ก็ไม่มีใครสนใจใคร
“หนาวไม่ใช่เหรอ” เขากระซิบเบาๆ โอบกอดเธอไว้และเอียงศีรษะของเธอแนบไว้กับไหล่ของเขา
“อืม”
เธอตอบรับเพียงเท่านั้น ไม่ปฏิเสธที่เขาโอบกอดเธอ อ้อมกอดของเขาทำให้นับหนึ่งรู้สึกอบอุ่น และความโหยหาไม่อาจปฏิเสธมัน ถึงแม้จะพยายามแล้วก็ตาม เขาก้มลงจูบเธอเบาๆ ที่ศีรษะ ในอ้อมกอดของกันและกันแม้ช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็มีความหมายต่อเขาและเธอมาก
เช้ามันใหม่ของการเดินทางไปยังจุดหมายที่เหลืออีก 3 แห้งในผืนป่าอันกว้าง ทั้งคู่ยังคงไม่มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันเช่นเคย ทั้งที่ค่ำคืนที่ผ่านมา ยังนั่งกอดกันอย่างอบอุ่นหน้ากองไฟอยู่เลย สร้างความประหลาดใจต่อใครหลายๆ คนอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่มีใครกล้าถาม เพราะมันคือเรื่องส่วนตัวของพวกเขา
การเดินเท้าเข้าป่าที่ลึกขึ้น เต็มไปด้วยความยากลำบาก น้ำค้างที่เกาะตามพื้นดิน และยอดหญ้าทำให้พื้นลื่น ต้องเพิ่มการระมัดระวังเป็นพิเศษ ธนญแม้จะเดินอยู่ด้านหลังของนับหนึ่งแต่เขากลับคอยมองไปด้านหน้า เพราะกลัวว่าเธออาจจะเหยียบพลาด หรือหกล้ม เขาคอยเตือนเธอเป็นระยะ สร้างความรู้สึกปลอดภัยให้กับเธอเป็นอย่างมาก
ซากไม้ใหญ่ที่หักโค่นขวางเส้นทางเดินเท้า ต้องปีนป่ายฝ่าดงทาก ดงไม้ที่เป็นขวากหนาม แม้ลำบากนับหนึ่งก็ไม่โอดครวญเลยสักนิด ธนญคอยดูและเธอไม่ห่างสร้างความประทับใจกับคณะผู้ร่วมทาง ถึงแม้พวกเขาแทบจะไม่คุยกันเลยสักคำ แต่การที่ธนญปฏิบัติต่อเธอ พวกเขาก็สัมผัสได้ถึงความรักที่พวกเขามีต่อกัน
“หยุดก่อน”
ธนญร้องห้าม เมื่อนับหนึ่งพยายามจะปีนขึ้นไปบนตอไม้ใหญ่ที่ขวางทางเดิน ด้วยสภาพที่ผุกร่อน เป็นโพรง เขาเกรงว่าจะหัก และทำให้เธอตกลงไปได้รับบาดเจ็บ เพราะก่อนหน้าที่เขาสังเกตว่าจังหวะที่คนอื่นๆ ก้าวเหยียบขึ้นไป มันมีการยุบตัวลงเรื่อย ๆ เขาลองขึ้นไปเหยียบมันก่อน เพื่อจะช่วยพยุงเธอข้ามผ่าน แต่ไม่ทันที่จะก้าวข้าม ท่อนไม้นั้นก็หักลง ทำให้ ธนญเสียหลัก ตกลงไปกับพื้น และถูกตอไม้ขนาดเท่าแขน ครูดหน้าอกจนเป็นแผลทางยาว เลือดไหลซึม
“มีคนได้รับบาดเจ็บ”
พี่ชูชาติที่คุมอยู่ท้ายขบวน ตะโกนบอกคนที่อยู่ด้านหน้า เพราะธนญได้รับบาดเจ็บ
“นญ เป็นไงบ้าง เจ็บมากไหม”
นับหนึ่งตกใจ รับวิ่งเข้าไปประคองเขา ธนญไม่ได้บาดเจ็บมาก แค่ล้มเสียหลัก และถูกตอไม้แหลมครูดไปที่หน้าอก เพราะเขาไวพอที่จะใช้แขนดันพื้นไว้ ไม่มันทิ่มเข้าที่ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา
“ไม่เป็นไรมากครับทุกคน ด้านหน้าเดินนำไปก่อนเลยครับ เดี๋ยวผมดูแลทางนี้เอง”
พี่ชูชาติโบกมือให้คนอื่นที่อยู่ด้านหน้าเดินนำไปก่อน เหลือเขาและนักศึกษชายอีกคนหนึ่งอยู่เป็นเพื่อนทั้งสองคน เพื่อให้นับหนึ่งได้ทำแผลให้เขาก่อน
ธนญถอดเสื้อเชิ้ตของเขาออก เพื่อให้นับหนึ่งใช้น้ำสะอาดล้างแผล ก่อนจะตามด้วยน้ำเกลือ และทายาฆ่าเชื้อแล้วพันด้วยผ้าพันแผลที่รอบอก อุปกรณ์ที่เธออุตส่าห์วิ่งกลับไปเอาที่ห้องพัก กลับไม่ได้ใช้กับตัวเอง เป็นเขาที่ได้ใช้มัน นับหนึ่งเป็นคนรอบครอบเสมอ เพราะทั้งคณะ แทบจะไม่มีใครนึกถึงอุปกรณ์พวกนี้กันมาก่อนเลย เท่าที่มีก็แค่พลาสเตอร์ยาชิ้นเล็กๆ ก่อนที่สวมเสื้อกลับคืน พี่ชูชาติและเพื่อนนักศึกษาฝึกงานของเธอถึงกับเป่าปากที่เห็นอกผึ่งผาย แน่นกำยำเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อของเขา จนนับหนึ่งต้องถลึงตาใส่ที่พวกเขาล้อเลียนเธอ
“ขอบใจนะ”
ธนญพูดพร้อมกับก้มลงจูบเธอ โดยไม่สนใจชายหนุ่มที่แอบอิจฉาเขาทั้งสอง พี่ชูชาติและนักศึกษาชายที่อยู่เป็นเพื่อนถึงกับเขินแทนจนต้องเดินล่วงหน้าไปก่อน พร้อมกับหัวเราะคิกคัก นับหนึ่งรีบสะพายเป้วิ่งตามพวกเขาอย่างรวดเร็ว จนธนญยิ้มออกมา
ความสุขเพียงชั่วครู่ก็หมดไป เมื่อธนญกับคณะของเขาต้องนั่งรถต่อเข้าไปในเมือง การจากลาที่เหมือนไม่มีอะไร แต่ทำให้ข้างในของนับหนึ่งเจ็บแปลบ เพราะไม่รู้ว่าจะได้พบเขาอีกหรือไม่ นับหนึ่งยังคงนั่งมองพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าเพียงลำพัง ในศูนย์วิจัยที่เหน็บหนาว
ในที่สุดช่วงเวลาของการฝึกงานก็จบลง นับหนึ่งบอกลาพี่ๆ ที่ศูนย์วิจัย โดยเฉพาะพี่ชูชาติ และพี่เอื้อมสวรรค์ที่คอยดูแล และให้คำปรึกษา แก่เธอเป็นอย่างดีมาโดยตลอด และยังกำชับ ว่าหากมีโอกาสให้กลับมาเยี่ยมพวกเขาได้ทุกเมื่อ ทุกคนยินดีต้อนรับเธอเสมอ มิหนำซ้ำทางศูนย์วิจัยยังมอบหัวน้ำหอมของดอกไม้พื้นเมืองที่พวกเขาทำการวิจัยอยู่หลายชนิดให้แก่นักศึกษาทั้งหมดที่มาฝึกงานด้วยกัน ได้นำกลับไปต่อยอดงานวิจัยของตัวเอง สร้างความปลาบปลื้มและดีใจแก่นับหนึ่งเป็นอย่างมาก
ผ่านไปหลายเดือน แต่พระแพงก็ยังไม่กล้าที่จะนำเสื้อของสืบสายกลับไปไว้ที่คอนโด เพราะเธอไม่แน่ใจว่าจะพบเขาที่นั่นหรือไม่ และถ้าหากไปแล้ว พบเขากำลังอยู่กันคนอื่นเธอจะทำอย่างไร พระแพงสับสนไปหมด แต่ก็กลัวว่าเขาจะหาเรื่องมาทวงเสื้อกับเธอถึงที่นี่อีก เธอไม่อยากตอบคำถามใครๆ ไปมากกว่านี้อีกแล้ว
เมื่อเลิกงานออกกะช่วงค่ำ เธอจึงตัดสินใจไปที่คอนโด โดยไม่ได้บอกเขาก่อน เพราะเธอแค่จะแวะเอาเสื้อไปไว้และออกมาเลยทันที
เมื่อเปิดประตูเข้าไป ภายในห้องมืดสนิท พระแพงรู้สึกโล่งอก ที่เขาไม่อยู่ในห้อง ถึงกับเปล่าปากออกมา เสียงเพียงน้อยนิดจากลมปาก ทำให้ร่างที่นอนสงบนิ่งขยับตัว เมื่อเขาขยับตัวถึงกับทำให้พระแพงตัวแข็งขึ้นมาทันที พระแพงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น เธอไม่ได้เปิดไฟ รออยู่พักหนึ่งสายตาของเธอจึงปรับการรับภาพในความมืดได้ดีขึ้น
สืบสายนอนหลับอยู่บนเตียง ในสภาพคว่ำหน้าซุกอยู่ที่หมอน เปลือยท่อนบน แต่ยังสวมกางเกงสแลกตัวยาวอยู่ เหมือนคนที่เหนื่อยล้ามาก เสื้อเชิ้ตสีดำถูกถอดโยนทิ้งอยู่ที่พื้น เหมือนคนรีบร้อนกำจัดมันให้พ้นกาย
พระแพงย่องปลายเท้า เดินไปในความมืด นำเสื้อที่เธอซักรีดเรียบร้อยแล้วไปแขวนในตู้ และเดินกลับมาหยิบเสื้อที่กองอยู่ที่พื้นขึ้นมาอย่างแผ่วเบา เพราะกลัวว่าเขาจะตื่น
ความรู้สึกเหมือนมีการเคลื่อนไหวอยู่รอบๆ ตัวเขาในความมืด ทำให้สืบสายพยายามเพิ่งมองและปรับสายตาตัวเองโดยไม่ไหวติง เขามองเห็นร่างบางเล็กที่คุ้นตากำลังก้มลงเก็บของบางอย่างข้างเตียงของเขา ซึ่งเขาจำได้ดีว่าเป็นร่างของใคร สืบสายเอื้อมไปกดสวิสไฟหัวเตียง เมื่อแสงไฟสว่างขึ้น พระแพงตกใจปล่อยเสื้อของเขาที่เธอหยิบขึ้นหลุดมือ ก่อนจะหันไปมองเขา ที่จ้องมองมาด้วยสายตาขุ่นมัว
“ทำท่าอย่างกับโจรย่องเบา” เขาดุเธอจริงจัง คิ้วจรดกันเป็นปม
“เปล่า แค่กลัวนายตื่น ไม่อยากรบกวนน่ะ”
พูดจบ เธอก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่งลงหยิบเสื้อของเขาขึ้นมาใหม่ ก่อนจะนำไปใส่ไม้แขวนให้ เมื่อมองไปรอบๆ ดูอะไรๆ ก็ขวางหูขวานตาไปเสียหมด จานชามที่ทานแล้ว แก้วน้ำวางระเกะระกะ พระแพงเปิดไฟให้สว่างไปทั้งห้อง และลงมือเก็บกวาด ล้างทำความสะอาด เก็บเข้าที่ เพราะความเคยชินกับการทำงานที่ร้าน ทำให้สืบสายแปลกใจที่เธอเปลี่ยนไป และหยิบจับงานบ้านเรียบร้อยขึ้นกว่าตอนที่เธอพักอยู่ที่นี่
“ขอบใจ หิวน้ำรินน้ำให้หน่อย”
เขาเดินโซซัดโซเซ เหมือนคนหมดแรงมานั่งที่โต๊ะทานข้าว และขอให้เธอรินน้ำให้ ไฟที่ส่องสว่างทำให้เธอมองเห็นรอยช้ำที่คอของเขา จนตาลุกวาว เธอกระแทกแก้วน้ำลงบนโต๊ะ ด้วยความไม่พอใจ แต่ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ผละไปจัดการงานบ้านที่ค้างอยู่
เมื่อดื่มน้ำเสร็จแล้วเขาเดินตรงเข้าห้องน้ำ เพื่อปลดเบาและอาบน้ำให้สบายตัว เมื่อมองเห็นรอยแดงช้ำที่คอ ทำให้เขาเข้าใจว่าทำไมพระแพงถึงแสดงอาการไม่พอใจเพียงแค่เขาขอให้เธอรินน้ำให้ดื่ม เขาจำได้ว่าเขาไปดื่มกับพัศวีที่ผับ และมีหญิงสาวนางหนึ่งเข้ามายั่วยวนเขา และจูบเขาที่คอ แต่เขาไม่ได้ตกลงปลงใจไปต่อที่ไหนกับเธอ นอกจาการตรงมานอนพักที่คอนโดนี่ เพราะไม่อยากรบกวนคุณย่า ให้ผู้ใหญ่รำคาญใจ เขานอนทั้งวันเพราะเมามาก จนมารู้สึกตัวตื่นเมื่อเธอเข้ามา ทั้งหิวทั้งกระหายน้ำมาก
เมื่ออาบน้ำจนร่างกายสดชื่น เขาแค่พันผ้าเช็ดตัวออกมาหยุดมองเธอจากด้านหลัง พระแพงในชุดกระโปรงสั้นสีขาว กับเสื้อแขนกุดเนื้อบางคอจีนสีน้ำเงินเข้ม แขนและขาเรียวเล็ก กำลังจัดเก็บจานชาม แก้วน้ำที่ล้างและเช็ดจนแห้งแล้วเข้าตู้เหนือศีรษะ จนต้องเขย่งปลายเท้า
“หิวข้าว” เขาบอกเธอเหมือนเด็กกำลังอ้อน
“ห้องนายไม่มีอะไรเลย ต้องสั่งอาหารข้างนอกมาส่งเหมือนเดิมนั่นแหละ”
เธออยากทำอะไรง่ายๆ ให้เขาทานแต่ห้องนี้ไม่เคยมีของกินติดไว้เลยสักอย่าง วิธีที่ง่ายที่สุดคือการสั่งอาหารเดลิเวอรี่
“วันนี้นอนทั้งวันไม่ได้ไปทำงาน แฮงค์หนักมาก ดื่มหนักไปหน่อย” เขาบอกเธอทั้งที่เธอไม่ได้ถาม
“เหรอ” เธอตอบรับเพียงสั้นๆ แบบขอไปที และหมุนตัวกลับมามองที่คอ พร้อมสายตาที่กำลังยิ้มเยาะ
ร่างกายที่เปิดเผยเชิญชวนของเขาทำให้เธอกระอักกระอวน ทำให้พระแพงตรงไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อสั่งอาหารให้เขา เขามองปฏิกิริยาของพระแพงแล้วได้แต่อมยิ้มตีหน้าเข้ม
“จะทานอะไร จะสั่งให้” พระแพงถามด้วยเสียงที่กำลังรำคาญสิ่งกวนใจ
“อะไรก็ได้ เธอสั่งมาทานด้วยกันเลย เพิ่งเลิกงานไม่ใช่เหรอ เธอน่าจะยังไม่ทันได้ทานข้าว”
เขาพูดราวกับรู้ความเคลื่อนไหวของเธอ ติดตามเธออยู่ตลอดรู้แม้กระทั่งเวลาเลิกงาน พระแพงกดสั่งอาหารด้วยอาการไม่พอใจที่เขารู้ทัน หน้ามุ่ย
“ไปใส่เสื้อผ้าสิ” เธอไล่ให้เขาไปใส่เสื้อผ้า เพราะเธอกำลังทำตัวไม่ถูก
“ไม่ มากอดหน่อยสิ เขาตอบหน้าตาย แล้วกางแขนให้เธอ” พระแพงเกิดอาการงง เพราะแพระแพงไม่เคยเห็นเขาในมุมนี้มาก่อน
“เมาจนเพี้ยนเลยเหรอ”
ในเมื่อเธอไม่ยอมเข้ามากอดเขา เขาจึงเป็นฝ่ายเข้าไปกอดเธอเอง ร่างกายเย็นๆ หอมสดชื่นของเขา ทำให้เธอรู้สึกดี แต่ก็ต้องผลักเขาออก เพราะเธอเพิ่งเลิกงาน เนื้อตัวมีแต่กลิ่นเหงื่อ
“เขินเหรอ” เขายิ้ม
“นายเพิ่งอาบน้ำ แต่ตัวฉันมีแต่เหงื่อ” พระแพงพึมพำอยู่ในลำคอ
“ก็ไปอาบน้ำสิ เดี๋ยวได้มาทานข้าว ฉันจะลงไปรับอาหารเอง”
พูดจบเขาก็เดินตรงไปหาเสื้อผ้ามาสวมใส่ และผลักเธอเข้าไปในห้องน้ำแทน
แม้เขาไม่ได้พูดมันออกมา พระแพงก็รู้ดีกว่า หลังทานอาหารค่ำเสร็จเธอต้องทำอะไรต่อ เมื่อคิดถึงตรงนั้นใจของเธอก็กลับเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ หน้าแดง จนร้อนผ่าว ทั้งที่มือยังแช่อยู่ในน้ำเย็น พระแพงเหมือนคนกำลังคิดหนัก เธอไม่ได้ยินเสียงเขา นอกจากเสียงหัวใจของตัวเองที่เต้นตึกตัก จานชามที่ล้างแล้วล้างอีกไม่เสร็จเสียที จนเขาต้องเดินมาดู และประคองจับมือทั้งสองของเธอจากด้านหลัง และช่วยล้างให้เสร็จ
“ล้างตั้งนานไม่เสร็จสักที คิดอะไรอยู่ล่ะสิ” พร้อมกับหัวเราะหึหึอยู่ข้างหู
“เปล่า จานมันลื่นเลยล้างไม่ถนัด” พระแพงเฉไฉกลบเกลื่อน
“งั้นฉันช่วยจับ”
เขาประคองจากด้านหลัง ทำให้พระแพงร้อนผ่าวที่คอ เนื่องจากลมหายใจของเขา และสะโพกที่แนบชิดกางเกงบ็อกเซอร์ตัวบางทำให้เกิดความร้อนที่ต้นขา
“จะนอนกับฉันเหรอ” เธอถามเขาออกไปตรงๆ
“อืม” เขาตอบรับสั้นๆ
พระแพงนอนกับเขา เพราะถึงแม้ปากจะปฏิเสธ แต่ร่างกายของเธอไม่เคยต่อสู้กับความต้องการได้เลยสักครั้ง แม้ครั้งนี้จะเกิดจากการยินยอมของเธอเอง แต่ความรู้สึกข้างในกลับไม่เหมือนเดิม เพราะพระแพงเกร็งไปหมด ไม่ตอบสนองเขาเหมือนเคย จนทำให้เขาแปลกใจ
เขาแหวกขาของเธอกดลงด้วยมือทั้งสองข้าง ก่อนจะสัมผัสเธอด้วยริมฝีปากและปลายลิ้นที่ร้อนผ่าว แต่สะโพกของเธอกลับนิ่งเฉย ไม่ขยับยกรับเช่นเคย เมื่อเหลือบตามอง ก็พบว่าเธอกำลังหลับตา ไม่มองหน้าเขาเช่นเคย เพราะเธอพยายามข่มอารมณ์ความต้องการของตัวเอง หรือเธอต้องการต่อต้าน ให้เขาเบื่อไปเอง เขาเริ่มสนุกกับความคิด และอยากทรมานเธอเสียให้เข็ด ที่ความคิดแบบเด็กๆ พวกนี้วนเวียนอยู่ในหัวเธอไม่จบเสียที
“เธอไม่ชอบที่จะเป็นแฟนกับฉันเหรอ” เขาถามทั้งที่กำลังดูดดื่มและตวัดรอบปากถ้ำ
“ไม่ใช่” เธอจับมือเขาที่กดขาของเธอแรงจนเจ็บ
“ทำไมไม่มองฉันล่ะ หรือไม่อยากมีเซ็กซ์กับฉัน”
เขาจับมือของเธอมาสัมผัสส่วนสงวนของตัวเอง และถูมันไปมาโดยเขาคอยประคอง
“ฉันอยาก” เธอตอบพร้อมกับกดมันเองโดยอัตโนมัติ
“แบบนี้เขาเรียกว่าช่วยตัวเอง” เขายังคงกดนิ้วของเธอสอดใส่ และจับมืออีกข้างหนึ่งมาเกาะกุมเขาไว้
“มันร้อนมาก”
เธอละเมอมันออกมา เพราะยังหลับตา แต่สัมผัสทั้งสองแตกต่างกัน ร่างกายของเธอเริ่มผ่อนคลาย และเริ่มต้องการเขา
“ลืมตาสิ”
เขาจูบปากเธอ และสั่งให้ลืมตา เพื่อมองดูมัน พระแพงมองดูมือของตัวเองข้างหนึ่งที่กำลังเกาะกุมเขา และอีกข้างหนึ่งกดเสียดสีไปกับช่องแคบของตัวเองโดยที่เขาชี้นำ เพราะร่างกายกำลังเรียกร้องพระแพงจะดึงมันเพื่อสอดใส่ด้วยตัวเอง แต่เขากลับขืนตัวเองไว้ และพยายามกดนิ้วของเธอให้แรงกว่าเดิม
“เธอขืนทำไม ฉันต้องการเธอจะแย่อยู่แล้ว”
พระแพงร้องอย่างขัดใจ ที่เขาทำกับเธอแบบนี้ แรงกระสันที่นิ้วตอดตุบๆ แก่นกายที่พองร้อนผ่าว ดังไฟที่กำลังเผาไหม้นิ้วมือเรียวยาว ยิ่งเธอดึงมันและเขาขัดขืน ทำให้เขาเสียวซ่านไปทั้งสรรพางค์กาย จนเกร็ง พระแพงต้องการรุกเขา แต่เขาก็ยังไม่ยอม
“ฉันต้องการเดี๋ยวนี้ ในเมื่อเป็นแฟนฉันแล้ว เธอก็ต้องตอบสนองฉันสิ ทีไปทำกับคนอื่นยังทำได้”
เธอโพล่งออกมาเพราะความโมโห จนสืบสายต้องหัวเราะออกมา และแทรกตัวเขาหาเธออย่างรวดเร็ว เพราะความกระหายที่รอคอยนานเกินไป ทำให้พระแพงไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เธอทั้งกัดและทึ้งเขา เพื่อเร่งจังหวะ อารมณ์ดิบเถื่อนที่เก็บซ่อนจากความต้องการของตัวเอง ทำให้เขาทั้งตื่นเต้นและอัศจรรย์ใจ ที่ผู้หญิงของเขาตอบสนองเขาได้มากมายขนาดนี้
ร่างเล็กๆที่กอดก่ายขึ้นจังหวะค่อมร่างเขาด้วยตัวเอง เปลี่ยนท่าที่สมดุลและตอบสนองมันให้ได้มากที่สุด เธอไม่ต้องอายมันอีกต่อไป เธอจับมือเขามากอบกุมทรวงอกที่กำลังแกว่งไกว ขณะที่สะโพกของเธอกระแทกแก่นกายเขาอย่างเร่าร้อน ขาทั้งสองชันขึ้น ทำให้มองเห็นกลีบจำปาที่แยกออกรูดขึ้นลง สวมหัวมังกรของเขาอย่างพอดิบพอดี
“นายจะรังแกฉันฝ่ายเดียวไม่ได้” เสียงของเธอเด็ดขาด และเร่งจังหวะจนเขาต้องร้องออกมา เป่าปากเพราะอาการเกร็ง อดทนจนแทบระเบิด
“แพงหยุดก่อน” เขาพยายามขอร้องให้เธอหยุดเพราะเขายังไม่อยากเสร็จ แต่เธอไม่สนใจเร่งมันจนพุของเขาแตกกระจายก่อนที่เธอจะบีบรัดเขาจนหัวมังกรติดหนึบ
ถึงแม้พระแพงจะเสร็จไปแล้วแต่เธอก็ไม่ยอมหยุด ยังคงกดตัวเองไปมาบดขยี้เขาอยู่อย่างนั้น จนไฟรุกโชนอีกครั้ง เธอทำให้ร่างกายของเธอครอบครองเขาสำเร็จถึงสองครั้งติด ก่อนจะยกตัวออก และดูดมัน ปลุกมังกรให้ตื่นจากการสลบไสล แม้ปากปล่องจะเพิ่งพ่นลาวาออกไป แต่ภูเขาไฟที่อัดแน่นมานาน ก็ยังพร้อมจะประทุรอบใหม่อีกครั้ง
สืบสายรู้สึกสนุกและตื่นเต้นที่เขาได้มีเซ็กซ์กับเธออย่างเร่าร้อน ร่างกายเขาตื่นอยู่ตลอด เขาอยากมีกระสุนในกายที่ไม่หมดสิ้น เขาอยากยิงมันในกายเธอ สอดส่ายร่ายรับเป็นเกลียวอยู่อย่างนั้น เขาไม่ต้องการหยุดมัน แม้จะต้องฟาดฟันกันทั้งคืน เขาก็จะไม่หยุด เขาตบก้นที่ขาวเนียน จนแดง ขับอารมณ์ดิบของตัวเองจนสิ้น ผมที่หยิกเป็นรอนเล็กๆ ถูกดึงจนหลังแอ่น ราวกับพุดเดิ้ลตัวน้อยที่กำลังส่ายสะโพก
“ชอบใช่ไหม”
“ชอบสิ”
“ฉันจะทำมันทั้งคืน” เขาประกาศด้วยเสียงแหบเครือในลำคอ
“แรงอีกสิ”
เธอส่ายรับจัวหวะที่กำลังเร่งขึ้น จนแอ่นหลังและยกก้นกระดกรับแรงกระแทกกระทั้นนั้นและนิ่งไปก่อนจะสลบฟุบลงไปด้วยความหฤหรรษ์ ทำนบที่แตกไหลเยิ้มอาบสองขา กลิ่นคาวสวาทที่รันจวน ลมหายใจแผ่วเบา ราวกับคนใกล้ตาย
“เธอชอบมันมากใช่ไหม” เขามองหน้าเธอ นอนหันหน้าเขาหากัน หายใจรวยระริน
“ฉันไม่ต้องการให้นายนอนกับคนอื่นนอกจากฉัน” พระแพงมองเขาด้วยสายตาหวงแหน
“ไม่ฉันนอนกับเธอคนเดียวเท่านั้น”
สืบสายตอบและจูบหน้าผากก่อนจะดึงร่างของพระแพงเข้ามากอด เขาก็ไม่ต้องการให้เธอไปนอนกับคนอื่นเช่นกัน เพราะเขาคือคนที่สร้างเธอมาเพื่อตอบสนองเขาคนเดียวเท่านั้น
ลานจอดรถที่แน่นขนัด ในมุมหนึ่งที่มืดมิด ร่างชองชายหนุ่มและหญิงสาวในเครื่องแต่งกายที่สมบูรณ์ แต่ร่างกายท่อนร่างกลับกำลังออกกำลัง โยกรับต่อกัน หอมหายใจถี่และแรง คงทรัพย์ประคองสะโพกของอรปวีร์ กดอาวุธของเขาเข้าออก ผ่านช่องซิบที่รูดลงจนสุด กระโปรงแค่คืบที่ปกปิดสะโพกกลมกลึงถูกรั้งขึ้น จนแทบมองไม่เห็นเมื่อร่างกายแนบชิดติดกันเขาเขย่าสะโพกของเธอจนต้องเอามือปิดปากกั้นเสียงเอาไว้ ความแปลกใหม่ตื่นเต้นเร้าใจ อรปวีร์ถูกคงทรัพย์จับได้ว่าเข้ามาขายบริการในผับอินดีสที่เขาดูแลอยู่ ในฐานะผู้จัดการฝ่ายรักษาความปลอดภัย เขาต้องการจะส่งตัวเธอให้เจ้าหน้าที่ แต่เธอกลับขอร้องและแลกเปลี่ยนด้วยการที่จะยอมมีอะไรกับเขา โดยไม่อายที่จะใช้ลานจอดรถนี้สร้างความหรรษาให้กับเขา และพยายามยื่นข้อเสนอบางอย่างทั้งที่เขายังสอดใส่“ฉันมีเพื่อนคนนึง ที่เคยมาที่นี่กับฉัน พระแพง นายรู้จักนี่” อรปวีร์หอบแรงจนเสียงกระเส่า“รู้จัก ทำไม”“ฉันอยากแนะนำนางให้คุณอำนาจ ฉันกับนางเคยโดยจับได้ค
ธนญ พัศวี และคงทรัพย์ ยืนจ้องมองอรปวีร์ ที่ถูกมัดติดกับเก้าอี้ เนื่องจากเธอพยายามหนี และออกแรงต่อสู้กับลูกน้องของคงทรัพย์ เธอถูกตบไป 2-3 ครั้ง จนใบหน้าแดงช้ำ“เธอทำตัวน่ารังเกียจ” พัศวีพูดพร้อมกับเบ้ปาก“พวกนายต่างหากที่เข้ามายุ่งกับเรื่องของฉัน” อรปวีร์เดือดดาน“ฉันเสียดายที่ครั้งหนึ่งเธอได้ขึ้นชื่อว่าเป็นแฟนของสืบสาย เพื่อนฉันมันพลาดจริงๆ” ธนญยกมุมปากด้วยความรู้สึกสมเพช“ที่ลูกน้องฉันทำกับเธอมันก็สมควรแล้ว กล้าหลอกฉัน” คงทรัพย์ตวาดเมื่อเห็นว่าเธอไม่สำนึก และยังกล้าตีฝีปาก“ก็แกมันโง่ไง” อรปวีร์ยิ้มเย้ยเขาอรปวีร์ ไม่ได้รู้จักคงทรัพย์ดีไปกว่าพวกเขา ธนญและพัศวีได้แต่มองหน้ากัน และนึกเอาใจช่วยที่เธอบังอาจล่วงเกินคงทรัพย์ขนาดนี้ เขาทั้งสองขอตัวไปดื่มต่อ เพราะเขารู้ดีว่า ทำไมคงทรัพย์ถึงได้เป็นผู้ดูแล ผับอันดับหนึ่งของประเทศผู้หญิงอย่างอรปวีร์คงไม่กล้าไปอีกนาน ถึงแม้จะนึกสงสารและเห็นใจ 
นับหนึ่งหยิบเสื้อผ้าของเธอเดินตรงเข้าไปในห้องน้ำ และจัดการทำความสะอาดมันโดยเปิดก๊อกน้ำให้ไหลผ่านคราบสกปรกที่ติดอยู่ จากนั้นจึงใช้ครีมอาบน้ำขยี้ชุดชั้นในและ ชุดเดรสเนื้อบาง อย่างเบามือ และแขวนมันไว้ในห้องน้ำก่อนจะใช้ดรายค่อยๆเป่าให้แห้งที่ละชิ้นเมื่อเขาเห็นเธอหายเข้าไปในห้องน้ำนานผิดปกติทั้งที่เตรียมกาแฟดำไว้ให้นานแล้ว จึงเดินเข้ามาดู จึงเห็นสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่ ทำให้เขาถึงกับขมวดคิ้ว ที่เธอรีบจนไม่สนใจเขาเลยแม้แต่น้อย“ฉันเตรียมกาแฟดำไว้ให้ ไปดื่มก่อนสิ เดี๋ยวมันจะเย็นซะก่อน”และดึงดรายกับชุดที่เธอเป่าอยู่ออกจากมือ“ทำอะไร”นับหนึ่งพยายามดึงมันกลับ เพราะเขากำลังจับเสื้อผ้าของเธอเปล่าดรายแทนเธอทันทีที่สั่งให้ไปดื่มกาแฟ“เดี๋ยวฉันทำให้ เธออกไปได้แล้ว อย่าเสียเวลาอยู่ หรือ กำลังถ่วง”เขาพูดพร้อมกับสั่งให้เธอออกไป แต่กลับทิ้งเสียงกล่าวหาว่าเธอต้องการถ่วงเวลาเพื่ออยู่กับเขา“ฉันไม่ได้ต้องการมาที่นี่ และไม่เคยต้องการเจอกับนาย
เกศิตาที่กำลังว้าวุ่นเรื่องของพัศวี เธอไม่สามารถหยุดคิดเรื่องของเขาได้ ทำให้ต้องเอาอารมณ์ไปลงที่งาน แม้การประชุมในวันนี้จะสำคัญต่อเธอและบริษัท แต่การประชุมทำให้เธอไม่สามารถเก็บอารมณ์ที่ขุ่นมัวไว้ได้ ทำให้หุ้นส่วนทางธุรกิจบางคนไม่พอใจ และเกิดการโต้เถียงขั้นรุนแรง เกี่ยวกับการปรับผังโครงสร้างบริษัทและกลยุทธ์การตลาดที่ต้องสอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติของโครงสร้างใหม่“ในฐานะที่ดิฉันเป็นประธานบริหารโครงการนี้ ดิฉันขอให้ทุกท่านกลับไปพิจารณาและปรับแก้แผนงานมาใหม่ อีก 2 วัน เรามาประชุมกันใหม่ ถ้าทำไม่ได้ดิฉันพร้อมยุบโครงการทันที”ด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดและมีพลัง ทำให้ทั้งห้องเงียบกริบ จนกระทั่งเธอเดินออกไป ในบรรดาผู้บริหารที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ คนเก่าแก่ ถึงกับตบโต๊ะ แสดงความไม่พอใจ และรวมกลุ่มที่จะต่อต้านเธอ“นังเด็กเมื่อวานซืน คิดว่าตัวเองแน่มาจากไหน วันๆ ทำแต่เรื่องฉาวโฉ่ แต่ยังกล้าชูคอเป็นนางหงส์ เป็นแค่ลูกนอกสมรส ของประทานคนก่อน กล้ามาผยอง”
ปารวัตรวางแฟ้มเอกสารข้อมูลที่เกศิตาสั่งให้ไปสืบ ลงบนโต๊ะของเธอ ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด“ประวัติของคุณเนื้อน้องที่เจ้านายสั่งให้ไปสืบครับ” เขารายงานด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดเกศิตาหยิบมันขึ้นมาดู พบรูปถ่าย หลายใบ ของคนใกล้ชิด เพื่อน และพัศวีที่ยืนกอดรัดแสดงความรักต่อกัน เธออ่านประวัติของเนื้อน้อง จึงรู้ว่า เกศิตาจะกำจัดเธอได้อย่างไร เพราะครอบครัวของเนื้อน้อง ทำธุรกิจภายใต้สังกัดของบริษัทที่เธอดูแล และที่สำคัญ ตอนนี้เนื้อน้องเข้ามามีบทบาทสำคัญในธุรกิจของครอบครัว“ขอบใจ นายเตรียมข้อมูลประชุมให้ฉันด้วย แล้วก็วันนี้หลังจบประชุม นายไปทำงานต่อที่คอนโดกับฉัน”เธอสั่งเขาอย่างเฉียบขาด แม้จะบอกว่าทำงาน แต่เขารู้ดีว่างานที่เธอต้องการให้เขาทำนั้นคืองานอะไร“ครับ”หลังจากเสร็จสิ้นการประชุม ปารวัตรขับรถมาส่งเกศิตาที่คอนโดและตามขึ้นไปที่ห้องพัก ขณะที่กำลังเข้าไปในลิฟท์ที่ชั้นจอดรถอยู่นั้น มีเสียงคนตะโกนขอให้รอพวกเขาก่
หลังจากจบการประชุม ปารวัตรเดินตามเกศิตามาที่ห้องทำงานด้วยสีหน้าเคร่งเครียด และครุ่นคิดอะไรบางอย่าง“ฉันมีงานที่ไหนต่อไหม วันนี้” เกศิตานั่งลงที่โต๊ะทำงาน ดึงแฟ้มงานที่รอการลายเซ็นอนุมัติของเธอก่อนจะถามเขา“หกโมงเย็นมีนัดทานอาหารค่ำกับลูกค้า บริษัทคัลเลอร์เวฟ คุณทรงกลด กับคุณนพดล ผมจองร้านอาหารให้แล้ว แต่ไม่ทราบว่าคุณเกศจะมีแพลนต่อที่อินดีสเหมือนเคยหรือเปล่าครับ ผมจะได้ติดต่อสำรองที่นั่งไว้ให้ เพราะช่วงสุดสัปดาห์อาจจะมีคนมาใช้บริการมากเป็นพิเศษ”เขาถามเธอเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด เพราะแขกทั้งสอง เป็นลูกค้า VIP ของพวกเขา“อืม จัดการได้เลย”“ครับ”ทันทีที่ได้คำตอบ เขาประสานงานและคอนเฟิร์มกับผู้จัดการทันที เพราะเขาได้ติดต่อล่วงหน้าไว้แล้วค่ำคืนนี้ ไม่เพียงแต่แขก VIP ของเกศิตา หากแต่มีแขก VIP ของณัฐการด้วยเช่นกัน เธอก็เลือกใช้อินดีสเป็นสถานที่รับรองลูกค้า วันนี้เธอแต่งตัวพร้อมกับการทำงานแ
วันคืนที่อยู่ด้วยกันมันผ่านไปเร็วเหลือเกิน รุ่งขึ้นพัศวีจะต้องออกเดินทางแล้ว เขากอดเธอไว้แน่น จนแทบจะประสานเป็นร่างเดียวกัน“วีไม่อยากห่างจากน้องเลย น้องไปเรียนต่อที่อเมริกากับวีเถอะนะ หรือไปเที่ยวก่อนก็ได้”พัศวีพยายามเกลี้ยกล่อมเนื้อน้อง เหมือนเด็กน้อยที่กำลังอ้อนแม่ ให้อยู่เล่นด้วยกันก่อน เพราะแม่มัวแต่ทำงาน“ไม่ได้หรอกวี น้องมีงานต้องทำ มีเรื่องที่ต้องรับผิดชอบ” เนื้อน้องตอบเขาด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ถ้าวีอยู่ที่โน่น แล้วทนคิดถึงน้องไม่ไหว ต้องทำเรื่องนั้นกับคนอื่น น้องจะเสียใจไหม”เขาถามเธอจากใจจริง เพราะที่ผ่านมาเขาแทบจะไม่เคยห่างหายจากเรื่องพวกนี้ จนกระทั่งได้คบกับเธออย่างจริงจัง ทำให้เขาหยุดการมีใครต่อใครมากหน้าหลายตาได้ และเขาเองก็ไม่อยากกลับไปเป็นแบบนั้นอีกแล้ว“ก็คงเสียใจ แต่น้องไม่โกรธวีหรอก น้องเข้าใจ” น้ำเสียงของเธอเศร้าลง“สองปีหรืออาจจะมากกว่าเลยนะ”&n
การประชุมเริ่มขึ้นไม่ถึง 10 นาที เกศิตาก็ตกเป็นเป้าสายตา และถูกเปิดประเด็นให้ได้โจมตีทันที เพราะร่องรอยที่ถูกทิ้งไว้ที่ต้นคอ สายตาที่ปารวัตรชำเรืองมองปฏิกิริยาจากด้านข้าง แสดงออกถึงความกังวน เพราะเขาไม่อยากให้เธอเปิดศึกภายในกับคนในบริษัทเพียงเพราะเรื่องพวกนี้ แม้เกศิตาจะพยายามแสดงออกถึงความมั่นใจ และไม่แคร์ต่อคำวิพากวิจารณ์ของคนอื่น แต่ลึกๆ เธอกลับเก็บมันมาใส่ใจ และคิดแค้นคนเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา“ผมขอเข้าประเด็นเลยแล้วกัน วันนี้พวกเราหลายคนต่างเห็นพร้องต้องกันว่าคุณเกศิตา ควรลงจากตำแหน่งประธานบริษัท”นายพันธุ์ภพ ผู้บริหารอาวุโสระดับสูง เป็นคนกล่าวขึ้นท่ามกลางเสียงที่กำลังถกเถียง เรื่องความสามารถของเธอไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวเลยสักนิด จนทำให้เกศิตา ที่เอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายใจ ถึงกับโน้มตัวมาข้างหน้า และท้าวแขนทั้งสองลุกขึ้น ด้วยท่าทีนิ่งเฉย“ดิฉันยังไม่เห็นว่า การที่ดิฉันบริหารงานในฐานะประธานบ