‘จากนี้เป็นต้นไปผมจะไม่กินยาคุม คุณห้ามใส่ถุงยาง ห้ามปล่อยนอก ต้องปล่อยในทุกครั้งแล้วมาดูกันว่าผู้ชายตรงหน้าคุณมันท้องได้จริงหรือไม่จริง’
“เวรเอ้ย นี่ฉันพล่ามบ้าอะไรออกไปวะ” เมอร์ลินกุมขมับอย่างเคร่งเครียดยามนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ แค่คนพวกนั้นไม่เชื่อ แค่โจไซอาห์ไม่เชื่อ เขาจำเป็นต้องลงทุนทำให้เชื่อด้วยหรือไง? ไม่เลย ใครจะไม่เชื่อก็ช่างหัวมันสิ แค่เชื่อในตัวเองว่าเขามันแปลกประหลาดแค่นั้นก็น่าจะเพียงพอแล้ว “ยกเลิกดีไหม...” พึมพำอย่างหมดหวังแล้วปล่อยตัวให้ไหลจมลงก้นอ่างอาบน้ำ ทางโจไซอาห์ที่นั่งมองแผงยาคุมบนพื้นห้องสลับกับประตูห้องน้ำก็พลันคิด หากเมอร์ลินท้องขึ้นมาจริง ๆ เขาควรจะทำยังไง?
“น่ารำคาญจริง” ลงจากเตียงแล้วสวมกางเกงก่อนออกจากห้องนอนมาที่ห้องทำงาน ติดต่อหาบิดาของตนที่คฤหาสน์หลักเพื่อถามอะไรบางอย่าง
“ผมอยากรู้ว่าทางคาร์ลอฟได้ส่งเอกสารยืนยันเรื่องที่เมอร์ลินท้องได้มาหรือเปล่าครับ” ถามบิดาที่อยู่ปลายสายแล้วนั่งลงบนเก้าอี้บุหนังพลางเอนหลังพิงพนัก สองขายกขึ้นพาดบนโต๊ะ
(มาถามเอาอะไรตอนนี้?)
“แค่บอกผมว่ามีหรือไม่มี”
(ไม่มี)
“ฮะ? แต่พ่อก็ทำเชื่อแล้วส่งเอกสารขอแต่งงานไปน่ะนะ? นี่ยกอะไรให้เขาไปบ้าง”
(ทางนั้นไม่ต้องการอะไร นอกจากเชื่อมสัมพันธไมตรีและให้บ้านเรารับเมอร์ลินมา) คำตอบจากบิดาค่อนข้างน่าตกใจพอสมควร โจไซอาห์คิดไว้ว่าคาร์ลอฟคงขอหุ้นจำนวนมากหรือพื้นที่ขยายอำนาจในรันเซีย แต่กลับขอแค่เชื่อมสัมพันธไมตรีและรับเมอร์ลินมางั้นเหรอ?
(แต่แต่งงานมาห้าปีแล้วยังไม่ท้อง มันก็ต้องเป็นเรื่องล้อเล่นถูกไหม?)
“...เปล่าครับ ตลอดเวลาเมอร์ลินกินยาคุมทุกครั้ง ผมยังเคยลองเจาะถุงยางก็แล้วแต่ถูกจับได้ตลอด เลยไม่มีโอกาสได้รู้ความจริงว่าสรุปแล้วมันยังไงกันแน่แต่... แต่เราตกลงกันว่าจะมีลูกแล้วน่ะครับ”
(...ฮะ? อะไรนะ?) แล้วความเงียบก็ปกคลุมสองพ่อลูกที่เรียบเรียงคำพูดต่อไปไม่ได้ สายตัดไปทั้ง ๆ อย่างนั้น โจไซอาห์ถอนหายใจก่อนหลับตาลง ลูกเหรอ... ไม่เคยวางแผนเรื่องนี้ ไม่เคยคิด เพราะเขาเอาเรื่องครอบครัวไว้ทีหลัง ในหัวมีแต่เรื่องการสืบทอดอำนาจและขึ้นเป็นผู้นำตระกูลแทนพ่อ แน่นอนว่าเขาต้องแข่งขันกับพี่ใหญ่ที่เก่งกว่า แล้วถ้าหากมีลูก จะไม่เป็นอุปสรรคต่อเส้นทางเขาหรือยังไง? ...เห็นทีคงต้องคุยกันใหม่แล้วสิ
เมอร์ลินออกจากห้องน้ำมาก็ไม่เจอโจไซอาห์แล้ว เขาจึงลงมือแต่งตัวแล้ววางแผนว่าวันนี้จะทำอะไรบ้าง ทว่าความต้องการของเมอร์ลินมันก็มีเพียงอย่างเดียว เขาอยากออกไปเที่ยวบ้าง ตลอดระยะเวลาแต่งงาน เมอร์ลินแทบไม่ได้ออกไปไหนหากโจไซอาห์ไม่มีงานปาร์ตี้ที่ต้องเข้าร่วมหรืองานสังสรรค์ที่มีคำสั่งให้พาเขาไปด้วย นอกจากนั้นก็คืออยู่แต่ในคฤหาสน์หรือไม่ก็ไปเที่ยวคฤหาสน์หลังอื่นจนตอนนี้สนิทกับพี่น้องสามีทุกคน
“เอมี่ เห็นโจซบ้างไหม?” ออกจากห้องมาก็เอ่ยถามเอมี่ที่กำลังเดินผ่านพอดี
“นายท่านน่าจะอยู่ในห้องทำงานนะคะ”
“ขอบใจ” ยิ้มนิด ๆ แล้วเดินตรงไปยังห้องทำงานของโจไซอาห์ เมอร์ลินไม่เคาะประตูแต่อย่างใด เขาเปิดประตูเข้าไปแล้วส่งยิ้มหวานให้โจไซอาห์ที่มองมา “ไฮ~ ขอบัตรหน่อยครับคุณสามี” เดินเข้าไปหาที่โต๊ะทำงานอย่างร่าเริงพร้อมแบมือรอรับบัตรแบบไม่จำกัดวงเงิน
“จะซื้ออะไร” โจไซอาห์เอ่ยถามอย่างไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ ตอนนี้เขาเทความสนใจมาที่งานมากกว่าภรรยาที่ยืนอยู่
“ไม่รู้สิครับ ไม่ได้คิด” ตอบตามตรง ก็ไม่ได้คิดจริง ๆ นี่นะว่าจะซื้ออะไร ก็แค่อยากถือบัตรแล้วไปเดินดูก่อน ถูกใจอะไรก็ค่อยซื้อ
“ถ้าไม่รู้จะซื้ออะไรก็ไม่ต้อง...”
ปัง!
เมอร์ลินทุบโต๊ะด้วยความไม่พอใจ โจไซอาห์จึงละสายตาจากงานแล้วมองหน้าภรรยาแทน
“คุณคิดจะให้ผมอยู่แต่ในที่น่าอึดอัดแบบนี้หรือไง?! ผมออกจากเขตโรนัลเดลนับครั้งได้เลยนะครับ ผมเบื่อแล้วก็เบื่อเต็มทนแล้วไอ้...” เมอร์ลินชี้หน้าโจไซอาห์ก่อนระงับความขุ่นเคืองใจที่พลุ่งพล่านขึ้นมา เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนส่งยิ้มให้โจไซอาห์
“ผมจะออกไปเที่ยว ส่งบัตรมาเดี๋ยวนี้ครับและถ้าไม่ใช่แบล็กการ์ด ผมไม่รับ” รอยยิ้มของเมอร์ลินทำโจไซอาห์หงุดหงิดแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมส่งแบล็กการ์ดให้อย่างจำใจ ถึงเขาจะรวย จะมีเงิน แต่โจไซอาห์ไม่ใช่คนชอบใช้เงินฟุ่มเฟือย หากเทียบกับเหล่าพี่น้องทั้งหกคนแล้วรวมตัวเขา โจไซอาห์ถือเป็นคนที่รวยที่สุดในบรรดาพี่น้อง ขยันทำงาน ขยันหาเงิน ขยันออม แต่เหมือนเงินนั้นจะต้องปลิวแล้วสิ
“ผมได้ยินจากพี่ใหญ่อย่างพี่รามิเอลว่าคุณเป็นคนที่รวยที่สุดในหมู่พี่น้อง... ไม่เคยใช้เงินเลยเหรอครับ?” เมอร์ลินเอ่ยถามพลางมองแบล็กการ์ดในมือด้วยสายตาเป็นประกาย ตอนอยู่คาร์ลอฟเคยเห็นแต่เอดิสันใช้ เมอร์ลินพอรู้ว่าแบล็กการ์ดไม่ใช่บัตรที่จะได้มาง่าย ๆ ต้องผ่านกระบวนการอะไรมากมายและต้องถูกรับเชิญเท่านั้นถึงจะได้รับ คนในคาร์ลอฟที่มี นอกจากเอดิสันที่เป็นพ่อก็มีพี่ชายร่วมมารดาและพี่ชายต่างมารดาเท่านั้นรวมทั้งสิ้นสามคน แต่คนที่ไม่ใช้เงินอย่างคุณสามีจะถูกรับเชิญได้ยังไง?
“ใช้”
“อา หรือใช้แค่พอให้ได้รับแบล็กการ์ด?” เมอร์ลินลองเดาและคำตอบก็คือใช่ เมอร์ลินเลยยิ้มกริ่มก่อนเดินอ้อมโต๊ะไปหาโจไซอาห์แล้วหมุนเก้าอี้ให้หันมาหา นัยน์ตาคู่คมตวัดมองอย่างไม่สบอารมณ์นักก่อนนัยน์ตาสีเทาจะเบิกกว้างเมื่อริมฝีปากนุ่มกดลงบนแก้ม “ไม่ต้องห่วงนะครับ เพราะจากนี้ผมจะใช้เงินแทนคุณเอง ขยันหาเงินเข้านะครับคุณสามี” เมอร์ลินให้รางวัลด้วยการหอมแก้มก่อนจะเดินฮัมเพลงพลางใช้แบล็กการ์ดพัดที่หน้าเบา ๆ อือ~ กลิ่นหอมของเงินนี่มันหอมจริง ๆ เลยนะ
“...อยากฆ่าชะมัด” กำมือแน่นแล้วพลูลมหายใจ ค่อย ๆ ทำใจให้เย็นลงก่อนเริ่มทำงานที่ค้างอยู่ เขาติดต่อหาไทกิให้ส่งโรมันไปคุ้มกันและคอยห้ามปรามไม่ให้ซื้อของไร้สาระกลับมา แถมตลอดระยะเวลาที่เขานั่งทำงานอยู่ ไอ้ความรู้สึกที่ไม่สบายใจมันก็คอยวนเวียนอยู่รอบตัว นี่มัน... ลางสังหรณ์ของหายนะหรือไง?
ก๊อก ๆ
“เข้ามา” แต่ก่อนจะได้คิดอะไรไปมากกว่านี้ เสียงเคาะประตูดังขึ้นเสียก่อน เขาจึงส่งเสียงอนุญาตให้เข้ามาได้ คนที่เข้ามาคือไทกิ ไทกิเดินมาหยุดที่หน้าโต๊ะทำงานก่อนค้อมศีรษะเล็กน้อย
“ได้เวลาแล้วครับคุณชาย”
“อืม” โจไซอาห์สลัดเรื่องเมอร์ลินทิ้งไปแล้วเดินออกจากห้อง เวลานี้เรื่องงานต้องมาก่อน เสร็จเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน “ทางนั้นมันยอมรับข้อเสนอหรือยัง” เอ่ยถามไทกิระหว่างเดินไปที่รถ
“ยังครับ นอกจากจะไม่สนใจข้อเสนอของทางเรา พวกมันยังกล้าเสนอเงื่อนไขที่ให้ผลประโยชน์แก่องค์กรของตัวเองเท่านั้น ผมเลยให้วิลสันนำทีมเข้าไปรวบตัวไว้เรียบร้อยแล้วครับ”
“ดี” พูดจบก็ก้าวขึ้นรถไปแล้วรับเอกสารจากคนสนิทที่ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลมาอ่าน “เหอะ ไม่เข้าใจพ่อเลยแฮะว่าธุรกิจกาก ๆ แบบนี้มีอะไรน่าสนใจ... หรือไปเหยียบเงาของเขาเข้ากัน” อ่านข้อมูลที่รวบรวมไว้แล้วถึงกับยิ้มเหยียด ‘เบเรอร์’ เป็นองค์กรมาเฟียหน้าใหม่ที่ผุดขึ้นมาในรันเซียได้เพียงหกเดือน ช่วงแรกมีข่าวน่าสนใจเกี่ยวกับเบเรอร์มากมาย เอเวอร์เร็ตต์เองก็คิดอยากจะสนับสนุนคนรุ่นใหม่ที่กล้าผุดองค์กรขึ้นมาท่ามกลางรุ่นพี่มากประสบการณ์ ราวกับแกะน้อยบริสุทธิ์หลงทางมาในดงราชสีห์ที่ห่มหนังแกะรอต้อนรับ
ความมั่นใจที่คิดว่าตนเหนือกว่าจนคนรุ่นเก่าอยากร่วมผูกสัมพันธไมตรี ทำให้ ‘จอห์น เบเรอร์’ ผู้นำอายุน้อยหลงระเริงในความมั่งคั่งและอำนาจที่ถูกป้อนเข้าปาก โดยหารู้ไม่ว่าแกะชราที่ป้อนข้าวนั้นแท้จริงเป็นราชสีห์ที่นึกเอ็นดูอยากเย้าแหย่แกะตัวน้อยก็เท่านั้นเอง
รถเบนซ์ไม่ต่ำกว่าหกคันขับเข้ามาจอดในเขตรกร้างของคอนโดแห่งหนึ่ง ไทกิเปิดประตูให้ผู้เป็นนายแล้วค้อมศีรษะจนกระทั่งโจไซอาห์ลงจากรถเดินเข้าไปข้างใน
“สวัสดีครับคุณชาย!” คนของโรนัลเดลทั้งหมดที่รออยู่ ต่างพากันตั้งแถวแล้วก้มศีรษะเก้าสิบองศาพร้อมตะเบ็งเสียงทักทายอย่างดุดัน โจไซอาห์แค่พยักหน้ารับ ก้าวเดินตรงไปยังโซฟาบุหนังสภาพเก่าแต่ยังใช้งานได้ดีแล้วนั่งลง
“...” นัยน์ตาคู่คมมองไปที่ชายคนหนึ่งซึ่งถูกบังคับให้นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเขา สองมือถูกมัดไพล่หลัง สายตาของมันมองเขาอย่างโกรธแค้น โจไซอาห์แค่ยิ้มแล้วยกขาขึ้นไขว่ห้างก่อนแบมือรอรายงานอีกชุดจากลูกน้อง
“นี่ครับคุณชาย” เอกสารชุดใหม่ถูกวางลงบนฝ่ามือแผ่วเบา เขารับมาแล้วเปิดอ่านสลับมองหน้าของ จอห์น เบเรอร์ จะว่าแล้วพอมองไปนาน ๆ เขาเกิดความรู้สึกคุ้นแปลก ๆ ราวกับรู้จักกันมาก่อน?
“นี่แกจำฉันไม่ได้หรือไงไอ้เวร!” จอห์นตะเบ็งเสียงใส่คนบนโซฟาก่อนถูกเตะเข้าที่สีข้างเพราะบังอาจใช้ถ้อยคำไม่เหมาะสมกับคุณชายของพวกเขา
“ฉันรู้สึกคุ้นกับหน้าแก แต่นึกให้ตายก็นึกไม่ออก” พูดอย่างไม่ใส่ใจนักก่อนโจไซอาห์จะชะงักเมื่อได้ยินชื่อหนึ่งออกจากปาก
“โจน ทิมเบอร์ เพื่อนร่วมชั้นที่เคยนอนกับแกไงไอ้... อึก!” จอห์นถูกเตะอีกครั้งและคราวนี้คนที่เตะคือไทกิ แถมเตะแรงกว่าคนก่อนหน้าจนจอห์นร้องครางอย่างเจ็บปวด
“นี่แกเปลี่ยนชื่อเพื่อวงการนี้เลยหรือไง? ทุ่มทุนไปไหมแต่ก็โง่เหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน” หัวเราะอย่างสมเพชแล้วเปิดหน้ารายงานอ่านต่อ จอห์นกัดฟันก่อนพ่นประโยคต้องห้ามออกไป
“ทั้งแก ทั้งพ่อแก มันก็ระยำทั้งนั้น!”
ผัวะ!
โจไซอาห์ตวัดเท้าเตะเสยเข้าที่ปลายคางจอห์นเต็มแรง ไม่มีสัญญาณใด ๆ เอ่ยเตือน มีเพียงแรงกระแทกอันหนักหน่วงเข้าที่คาง จอห์นสำลักเลือดเล็กน้อยพร้อมกับความเจ็บร้าวราวกับคางแตก เขามึนไปชั่วขณะกลับกันกับโจไซอาห์ที่เริ่มอารมณ์รุนแรงขึ้นทีละนิด
“ปากระดับต่ำแบบแกไม่มีสิทธิ์เอ่ยถึงพ่อฉัน” แม้เขาจะหงุดหงิดบิดาบ่อยครั้ง แต่
โจไซอาห์ก็เคารพรักและนับถือบิดามาก เป็นต้นแบบของเขาเลยก็ว่าได้ เขาโคตรเกลียด เกลียดที่คนระดับต่ำกล้าเอ่ยถึงบิดาต่อหน้าเขา หากเอ่ยอย่างเคารพก็จะไม่ตำหนิ แต่หากเอ่ยถึงด้วยความหยาบคายเขาก็จะตอบกลับด้วยความหยาบคายที่มากกว่าร้อยเท่าพันเท่า“แกจะไม่รับข้อเสนอของฉันใช่ไหม?” โจไซอาห์เอ่ยถามหลังควบคุมอารมณ์ได้แล้ว ข้อเสนอของโจไซอาห์คือองค์กรเบเรอร์จะต้องอยู่ใต้อาณัติของโรนัลเดล แต่ยังใช้ชื่อเบเรอร์ได้เหมือนเดิมหากต้องการ โดยสิ่งตอบแทนที่โจไซอาห์ต้องการคือเปอร์เซ็นต์รายได้จากธุรกิจเพียง 20% เท่านั้น ทว่าสิ่งที่เบเรอร์จะได้รับคือหุ้นส่วนของโรนัลเดลที่แบ่งให้ถึง 10% เปอร์เซ็นต์อาจจะดูน้อยแต่หากตีเป็นมูลค่าเงิน มันมากกว่า 20% จากธุรกิจง่อย ๆ ที่เสนอให้ด้วยซ้ำ
“ฉันไม่มีวันรับข้อเสนอของแก! ดูยังไงทางฉันก็เสียเปรียบชัด ๆ !” จอห์นโวย
“นี่... แกฟังฉันนะไอ้เวร ธุรกิจอันงอกง่อยของแกมันจะพังอยู่แล้วและรายได้ของแกมันก็ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน หากแกยอมเข้ามาเป็นของโรนัลเดล ฉันจะชุบธุรกิจเฮงซวยให้แกและกำไรเพียง 20% ต่อเดือนเท่านั้นที่ฉันต้องการในขณะแกได้ไปเต็ม ๆ 80% แถมยังได้หุ้นจาก
โรนัลเดลที่พวกตาเฒ่าก้มหัวอ้อนวอนแทบตายถึง 10% นอกจากนั้นแกยังได้โรนัลเดลคุ้มกะลาหัว ไม่ว่าใครที่แตะต้องพวกแกก็ถือว่าแตะต้องโรนัลเดล ฉันจะจัดการให้แกอย่างสาสม ตรงไหนกันที่แกเสียเปรียบ?” อธิบายให้อย่างใจเย็นทั้งที่ในใจเริ่มเดือด... อีกแล้ว“นั่นไง! ฉันให้แกตั้งยี่สิบแต่แกให้ฉันแค่สิบเนี่ยนะ?! ไม่เสียเปรียบตรงไหนวะ!” รอบข้างเงียบกริบก่อนพากันถอนหายใจอย่างสมเพช ไทกิได้แต่หลับตากำหมัดแล้วนับแกะในใจหวังให้ความคันเท้าเบาบางลง โจไซอาห์มองหน้าจอห์นก่อนถอนหายใจอย่างสมเพชเวทนาขั้นรุนแรง
“...นี่แกเป็นผู้นำองค์กรเพราะจับไม้สั้นไม้ยาวหรือไง ตอนเรียนก็เหมือนจะฉลาดหรือนั่นก็เพราะโชคช่วย?”
“ใครกันล่ะที่ทำลายชีวิตฉัน” ดูเหมือนจะไม่ตรงคำถามแต่ก็ช่างเถอะ
“แล้วใครใช้ให้แกจริงจังกัน?” โจไซอาห์แค่นยิ้มอย่างสมเพชก่อนพูดต่อ “นอนกันแค่ครั้งเดียวฉันต้องรับผิดชอบชีวิตแกเลยหรือไง แต่ไม่ใช่แกเองเหรอที่ยอมอ้าขาให้ฉันน่ะ?” รอยยิ้มของโจไซอาห์รังแต่จะทำให้จอห์นเจ็บปวดและนึกสมเพชตัวเองมากกว่าเก่า
“ฉันจะให้เวลาแกคิดสามชั่วโมงและอยากจะบอกอะไรแกหน่อย ตัวเลขเปอร์เซ็นต์มันไม่ใช่ตัวตัดสินแต่มูลค่าของมันต่างหากที่คือตัวตัดสินที่ชัดเจนที่สุด กำไรจากธุรกิจเบเรอร์หรือหุ้นจากโรนัลเดล ใช้สมองที่แกครอบครองมายี่สิบแปดปีคิดซะ” ใช้เท้าเตะเบา ๆ ที่แก้มของจอห์นก่อนลุกเดินออกมาแล้วบอกไทกิให้นำบุหรี่มาให้ เขาคิดว่าคุยกับเมอร์ลินเหนื่อยแล้วแต่คุยกับจอห์นเหนื่อยกว่า คนแรกบ้า คนหลังโง่ สินะ
“ติดต่อหาโรมันแล้วถามมันว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน ฉันจะไปที่นั่น” บอกกับไทกิที่ยืนอยู่
ไทกิน้อมรับแล้วแยกตัวออกมาเพื่อติดต่อหาโรมัน ระหว่างนั้นโจไซอาห์ก็ออกคำสั่งลูกน้องให้เฝ้าจอห์นให้ดี หากลูกน้องจอห์นบุกมาเพื่อช่วย ก็ให้เจรจาถ้าเจรจาไม่รู้เรื่องก็อนุญาตให้ฆ่าทิ้งได้ทันที“คุณชายครับ ตอนนี้โรมันกับคุณชายเมอร์ลินอยู่ที่ห้างสรรสินค้าเขตเรนทาวน์” ไทกิมารายงานหลังติดต่อกับโรมันเรียบร้อยแล้ว
“...ไปไกลถึงที่นั่นเลย?” ถึงอำนาจของโรนัลเดลจะไปถึงแต่มันก็ไกลอยู่ดี เดินทางจากที่นี่ก็คงใช้เวลาราวสองชั่วโมง
“โรมันบอกว่าคุณชายเมอร์ลินอยากออกไปไกล ๆ จากสายตาของคุณชายน่ะครับ” ไทกิรายงานตามที่ได้ยิน
“แล้วไปห้างไหนของเรนทาวน์”
“The Car’s mall ครับ” ไทกิหลบสายตาทันทีที่บอกชื่อห้าง
The Car’s mall เป็นห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่สุดในรันเซีย เป็นสถานที่ที่ขายเฉพาะซุปเปอร์คาร์หรือรถยนต์ราคาแพงทั้งนั้น ราคาถูกสุดจะอยู่ที่ 200000[1] ดอลลาร์ ส่วนแพงสุดยังไม่มีจุดตายตัวเพราะรถรุ่นใหม่ที่ออกมามักมีราคาสูงขึ้นทุกปี โดยเฉพาะบูกัตติ, เบนซ์, เฟอร์รารี่, แลมโบกินี่ และอื่น ๆ อีกมากมาย มันถึงได้เป็นห้างที่ใหญ่ที่สุดในรันเซียและโรนัลเดลก็เป็นหุ้นส่วนของห้างสรรพสินค้านั้นถึง 70% ไม่รวมหุ้นจากธุรกิจอื่น ๆ มันเป็นสวรรค์ของคนชอบรถและชอบล้างผลาญเงินโดยเฉพาะ
“ทำไม... ทำไมโรมันถึงไม่ห้ามเมอร์ลิน” โจไซอาห์กัดฟันถามอย่างอดทนอดกลั้น เงินของเขามันจะไปปลิวเข้าที่นั่นจริง ๆ เหรอ? ถึงจะได้กลับมาแต่... รถเนี่ยนะ? แค่รถที่จอดเรียงกันในโรงรถของคฤหาสน์ยังไม่พอหรือไง
“เอ่อ เสียงของโรมันก็เหมือนจะร้องไห้อยู่นะครับ ผมคิดว่าเจ้านั่นมันทำดีที่สุดแล้ว”
“รีบไปที่นั่นเดี๋ยวนี้ แล้วบอกพวกวิลสันให้พาจอห์นกลับไปที่ ‘รูม’ เห็นทีเวลาสามชั่วโมงที่ฉันยื่นให้มันจะต้องยืดออกไปหน่อยแล้ว”
“รับทราบครับคุณชาย” ไทกิรีบน้อมรับแล้วก้าวยาว ๆ ไปหาวิลสันเพื่อแจ้งคำสั่งให้เร็วที่สุด โจไซอาห์ขึ้นรถมาก็เรียกหาบุหรี่อีกมวน ให้ตายสิ ทำไมวันนี้เขาถึงเหนื่อยกว่าทุกวัน
The Car’s mall
เมอร์ลินกำลังอยู่ในสรวงสวรรค์ของคนชอบผลาญเงิน นัยน์ตาคู่สวยกวาดมองรถมากแบบมากราคาที่จอดโชว์อย่างตื่นเต้น ในใจอยากได้คันนั้น อยากได้คันนี้ แบล็กการ์ดในมือมันก็สั่นราวกับบอกให้รีบ ๆ ใช้มันเดี๋ยวนี้ เมอร์ลินก้าวเท้าไปตามทางและเข้าไปดูรถของ
แบรนด์นั้นที แบรนด์นี้ที แถมแต่ละแบรนด์ก็มีรุ่นที่ออกมาแตกต่างกันไป ทั้งรูปลักษณ์ภายนอก ทั้งเครื่องยนต์ ทั้งที่อยู่ภายใต้แบรนด์เดียวกัน แต่ที่เมอร์ลินสนใจมากที่สุดคือ บูกัตติ ลา วัวตูร์ นัวร์ ด้วยรูปลักษณ์ที่ดุดันและสีดำดูน่าเกรงขามแถมเป็นสีที่เขาชอบ คำตอบเดียวแบบไม่ต้องคิดมากให้ปวดหัว“จัดการให้ผมเดี๋ยวนี้ครับ” ส่งแบล็กการ์ดให้ไปทั้งที่สายตายังจับจ้องอยู่ที่บูกัตติคันงาม เขาชอบมันอย่างไม่ต้องสงสัย อยากจะเข้าไปขับแล้วด้วยซ้ำ โรมันมองราคาแล้วได้แต่กลืนน้ำลายพลางปาดเหงื่อที่อยู่ ๆ ก็ผุดขึ้นมา เจ้านายต้องว่าเขาที่ไม่ห้ามปรามแต่ก็คงรู้ว่าตนไม่มีทางห้ามคุณชายเมอร์ลินได้แน่
“ค คุณชาย...”
“หุบปากน่าโรมัน ไม่ต้องคิดมาห้ามฉันเลยจะดีที่สุดเพราะแค่สิบล้านดอลคงไม่ทำให้เจ้านายนายจนลงหรอก ฝากจัดการที่เหลือด้วย ฉันจะไปเดินดูแบรนด์อื่น” พูดจบก็เดินออกจากโชว์รูมของบูกัตติแล้วตรงไปทางแลมโบกินี่ โรมันจำต้องเข้าไปจัดการเอกสารการซื้อรถและเมื่อบอกว่าจะให้ส่งไปที่ไหน โรมันก็แทบไม่ต้องทำอะไรเพราะพนักงานพร้อมใจกันนำเอกสารไปถวายถึงที่ นี่แหละคือความสะดวกสบายของอำนาจและเงิน
“อยากจะเหมาให้หมด...” เมอร์ลินพึมพำกับตัวเองขณะเดินเข้าโชว์รูมแบรนด์นั้นที โชว์รูมแบรนด์นี้ที เมอร์ลินไม่รู้จักคำว่าเหนื่อยเลยเพราะตอนนี้ในหัวมีแต่คำว่า ‘อยากซื้อให้หมดจังเลยนะ’
Rrrrrrrr
ระหว่างนั้นเสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้น เมอร์ลินนำโทรศัพท์ออกมาก่อนกดรับสายแล้วกรอกเสียงลงไปอย่างร่าเริง
“ไงครับคุณสามีเฮงซวย”
(นายอยู่โชว์รูมไหน) เมอร์ลินขมวดคิ้วเล็กน้อยที่โจไซอาห์รู้ว่าเขาอยู่ไหน ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าโรมันที่มากับเขาคงเป็นคนรายงานไป
“ผมกำลังเดินดูแอสตันมาร์ตินครับ จะมาหาหรือไง?” ถามขำ ๆ แต่คำตอบที่ได้มันไม่ขำเท่าไหร่
(ใช่ ฉันเห็นนายแล้ว) สายตัดไปทันทีก่อนเมอร์ลินจะหันหลังไปสบตาเข้ากับคุณสามีโจไซอาห์พอดี เมอร์ลินยิ้มแล้วกวักมือเรียก
“ไหน ๆ ก็มาแล้ว มาดูรถเป็นของขวัญแต่งงานให้ผมสิครับ” กอดแขนทันทีพร้อมกับทำอ้อนก่อนถูกมือหนาดันใบหน้าให้ออกห่าง
“นายได้ไปแล้ว ยังจะเอาอีกหรือไง?” ตอนรู้ราคาก็แอบคิ้วกระตุกเล็กน้อยถึงมากที่สุด ราคาสูงกว่าเบนซ์ที่โรนัลเดลใช้หลายเท่าแถมแพงกว่ารถลูกรักของผู้นำโรนัลเดลเสียอีก เมอร์ลินจะรู้ไหมว่ารถของเอเวอร์เร็ตต์ราคาแค่สองแสนกว่าดอลล่าร์ซึ่งถูกกว่ารถที่เมอร์ลินซื้อหลายเท่าตัวแถมยังใช้งานมานานกว่ายี่สิบปี ไม่มีความคิดที่จะซื้อใหม่เลยสักนิดแต่ตอนนี้ลูกสะใภ้กลับได้ใช้รถที่ราคาเจ็บแสบเป็นที่สุด
“อะไรเนี่ย คุณเป็นถึงโรนัลเดลนะครับ อย่ามาทำตัวขี้เหนียวได้ไหมแล้วเราก็แต่งงานมาห้าปี ผมยังไม่เคยได้ของขวัญจากคุณเลยเหอะ” เมอร์ลินเริ่มมองแรง จากที่อารมณ์ดีก็เริ่มจะขุ่นมัวขึ้นเล็กน้อย
“ได้ไปแล้วนี่กับบูกัตติสิบล้านดอลลาร์ของนาย นั่นน่ะของขวัญ”
“ผมซื้อเองมันจะเป็นของขวัญจากคุณได้ยังไง”
“แต่เงินฉัน”
“เงินคุณก็เหมือนเงินผมเพราะผมเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย คุณแม่อลิซกับคุณแม่อเดลท่านบอกผมมาว่าของของสามีก็คือของของภรรยาเช่นกันแล้วคุณสามีรู้อะไรไหมครับ” เมอร์ลินขยับเข้าใกล้จนระยะห่างเหลือเพียงนิดพร้อมสองมือยกประคองใบหน้าหล่อเหลาที่แสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์ เมอร์ลินยิ้มก่อนรั้งใบหน้าโจไซอาห์เข้ามาจนปลายจมูกแตะกัน
“สิบล้านดอลลาร์ยังไม่ใช่มูลค่าที่แท้จริงของร่างกายนี้เลยนะครับ คุณเองก็รู้ดีนี่ครับเพราะคุณไม่เคยพอในรอบเดียวเลยสักครั้ง” กดริมฝีปากแนบชิดแล้วผละออก เมอร์ลินฮัมเพลงก่อนแกล้งสะดุดล้มนั่งบนกระโปรงหน้ารถแอสตันมาร์ตินที่อยู่ใกล้ที่สุด
“...” โจไซอาห์กัดฟันจนกรามขึ้นเป็นสัน เส้นเลือดตามลำคอปูดขึ้นเต้นตุบ ๆ พอ ๆ กับเส้นเลือดในสมองที่แทบจะแตกตายขณะมองเมอร์ลินที่นั่งหน้ารถราวกับเป็นพรีเซนเตอร์ทั้งที่จงใจล้มเอง
“ทำไงดี ผมล้มลงบนรถเลยทำให้เสียหายเลย... เราซื้...”
“ไม่” โจไซอาห์รีบห้ามแต่ทว่า...
“ซื้อไว้ให้ลูกดีกว่าครับ เด็ก ๆ น่ะโตไวจะตาย เนอะ?” เมอร์ลินยิ้มหวานแล้วหันไปบอกกับพนักงานว่าเขาจะซื้อคันนี้และขอโทษที่ทำให้รถเสียหาย คิดค่าซ่อมไปได้เลยแต่พนักงานนั้นรู้ดีว่ามันไม่ใช่อุบัติเหตุแต่ตัวเขาก็ไม่กล้าขัด โจไซอาห์ที่แย้งไม่ได้ห้ามไม่ฟัง ได้แต่ส่งแบล็กการ์ดที่ได้คืนจากโรมันให้ไป แล้วแอสตันมาร์ตินรุ่นล่าสุดที่เพิ่งจะออกก็ถูกทายาทลำดับที่สองของโรนัลเดลซื้อเรียบร้อย
ส่วนเมอร์ลินก็ดูจะพอใจอย่างมาก ทั้งสองเดินดูรถด้วยกันท่ามกลางเสียงทะเลาะ ไม่สิ ต้องบอกว่าโจไซอาห์หัวเสียเพราะถูกเมอร์ลินแหย่มากกว่า แถมเมอร์ลินยังกล้าทำกล้าพูดอย่างไม่อาย เพื่อจะปิดปากนั่นก็มีแต่ต้องยื่นแบล็กการ์ดให้อย่างเดียว เมอร์ลินหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจก่อนจะดึงโจไซอาห์ที่ขยับหนีเพราะความรำคาญเข้ามาใกล้แล้วกระซิบข้างหูไปว่า
“คืนนี้ผมจะใช้ร่างกายในส่วนสิบล้านดอลลาร์เพื่อคุณสามีนะครับ”
“แล้วส่วนของแปดแสนดอลลาร์นั่นล่ะ?” โจไซอาห์ถามกลับพลางยกยิ้มมุมปากที่เห็นเมอร์ลินขมวดคิ้ว แค่เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เห็นเมอร์ลินอารมณ์เสีย เขาก็มีความสุขราวกับได้ชนะคนทั้งโลกแล้ว
“เออครับ เดี๋ยวทบต้นทบดอกให้จนกว่าจะพอใจเลย!”
“ดีล” พูดจบก็หอมแก้มขาวไปฟอดใหญ่ก่อนจับมือเรียวขึ้นมาแล้ววางแบล็กการ์ดลงไป “อยากใช้เท่าไหร่ก็ตามใจนายเลย” ถึงจะไม่พูดอะไรต่อแต่เมอร์ลินก็รู้ว่าถ้าเขาใช้ เขาก็ต้องตามทบต้นทบดอกที่เพิ่มขึ้นมาน่ะสิ
“ก็ถ้าจะให้ทบต้นทบดอกขนาดนี้ ผมขอใช้เงินไปให้สุดเลยแล้วกัน”
เสียงเครื่องยนต์บูกัตติคันใหม่ดังกระหึ่มทั่วเขตอาศัยของโรนัลเดล ส่วนโจไซอาห์ยืนกอดอกเฝ้าเมอร์ลินไม่ให้ขับไปไหน เขายอมให้ลองเครื่องได้แต่ต้องอยู่ที่เขตของคฤหาสน์เขาเท่านั้น ตามจริงคนเฝ้าไม่ใช่เขาแต่ลูกน้องเอาเมอร์ลินไม่อยู่ เขาถึงต้องมาเฝ้าด้วยตัวเอง ทางเมอร์ลินที่กำลังลองบูกัตติคันงามก็ลองไปพลางหลับตาพริ้มฟังเสียงอันแสนไพเราะของเครื่องยนต์ไป รูปลักษณ์ภายนอกว่าดูสวยงามแล้ว ภายในก็ยิ่งทำให้ใจเมอร์ลินละลาย มันดูหรูหรา ดูสวยงามสมราคา และเขาไม่พลาดที่จะถ่ายรูปอัปลงอินสตราแกรมให้คนทางคาร์ลอฟได้ใส่ใจกันเต็มที่ ตลอดระยะเวลาห้าปีมานี้ เมอร์ลินไม่เคยติดต่อกับทางคาร์ลอฟและไม่รับการติดต่อใด ๆ สิ่งเดียวที่เมอร์ลินทำคืออัปเดตการกินหรูอยู่สบายรวมถึงอวดว่าผู้ชายที่แต่งงานด้วยดูดีขนาดไหนแน่นอนว่าเหล่าพี่น้องร่วมบิดาพร้อมใจกันถล่มไดเรคอินสตราแกรมหาเมอร์ลินกันรัว ๆ ยกเว้นเพียงพี่ชายร่วมสายเลือดที่เงียบหายไปจนไม่รู้ว่ายังอยู่หรือตาย แต่เมอร์ลินก็ไม่ได้สนใจน่ะนะ ส่วนพวกข้อความเมอร์ลินก็แค่อ่านและตอบทุกคำถามด้วยอิโมติค่อนน่ารัก ๆ [olo] แค่นั้นก็รู้เรื่อง...“สดชื่นชะมัด” เมอร์ลินลงจากรถด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข
หยาดเหงื่อผุดซึมตามใบหน้าและร่างกายยามความร้อนของบทรักแผดเผาพวกเขาทีละเล็กทีละน้อย เสียงเครือครางเคล้าคลอร่วมกับเสียงเนื้อที่กระทบกันอย่างหยาบโลนส่งผลให้อุณหภูมิร่างกายพลันสูงขึ้น เมอร์ลินผ่อนลมหายใจครั้งแล้วครั้งเล่ายามส่วนแข็งขืนสอดผสานเข้ากับช่องทาง ซ้ำรีบเร่งกระหน่ำเข้ามาอย่างไม่ลดละ มอบความเสียวซ่านจนสุดจะหยั่งถึงให้กับเขา“ผม อึก อยากได้อีก อ๊ะ ลึกกว่านี้ที อืออ...!” เมอร์ลินกระชับสองแขนที่โอบกอดกายแกร่งพลางจิกปลายนิ้วลงบนแผ่นหลังกว้างแล้วร้องขออย่างที่ตนเองต้องการ โจไซอาห์ได้ยินแบบนั้นก็มีแต่ต้องทำตามความปรารถนาของภรรยา มือหนาทั้งสองข้างจับเข้าที่ต้นขาขาวแล้วดันโน้มมาด้านหน้าจนช่วงสะโพกของคนข้างใต้ลอยขึ้นจากเตียงเล็กน้อย ริมฝีปากหนากดจูบลงบนแก้มขาวพลางไล้เลียลงมาที่ลำคอแล้วเริ่มสอบสะโพกในจังหวะที่หนักหน่วงและเน้นย้ำการเข้าสุดออกสุดทุกครั้งเมอร์ลินครางเสียงกระเส่าด้วยระดับเสียงที่ดังกว่าเดิม ใบหน้าเชิดขึ้นสุดจนเห็นสันกรามและลูกกระเดือกที่ขยับขึ้นลงยามกลืนน้ำลาย สิ่งเหล่านั้นดึงดูดให้โจไซอาห์มาสัมผัส เขาใช้ทั้งริมฝีปาก ใช้ทั้งลิ้นและใช้ทั้งฟันหยอกเย้าเล่นกับลูกกระเดือกและสันกราม
ช่วงสายของวันใหม่ เมอร์ลินเป็นคนแรกที่รู้สึกตัว เขาตื่นขึ้นมาพร้อมกับความหนักที่เอว พอลองก้มดูก็เห็นว่าเป็นแขนของสามีเขาที่หลับอยู่ด้านหลังนี้เอง เมอร์ลินจะปลุกแต่ชะงักมือไว้ทันแล้วตัดสินใจปล่อยให้โจไซอาห์นอนต่อไปเพราะขืนปลุกขึ้นมาคงได้จัดกันแต่หัววันแน่ ๆ เมอร์ลินถอนหายใจแล้วทอดสายตามองออกไปที่ระเบียงขณะที่ปลายนิ้วขยับเขี่ยแหวนแต่งงานบนนิ้วสามีเล่นแก้เบื่อมาคิด ๆ ดูแล้วเมื่อวานก็เล่นหนักเอาเรื่องจนแทบไม่อยากเชื่อว่าวันนี้จะยังตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกสดชื่นได้ ลองนึกภาพเมื่อคืนที่เขากับคนด้านหลังได้ทำลงไป มีชีวิตมาได้นี่เขาก็คงจะแข็งแกร่งเอาเรื่อง แต่ให้ตายสิ... โจไซอาห์ก็ยังทำตัวเหมือนเคยคือไม่ยอมถอดถอนส่วนนั้นออกไป ทั้งที่บอกจนปากจะฉีกว่าช่วยเอามันออกไปก่อนจะนอนด้วย ...แล้วฟังที่ไหนกันล่ะ? แถมขืนเขาขยับตัวล่ะก็ มีหวังปลุกให้ตื่น ทั้งคนทั้งส่วนนั้นแน่‘เริ่มหิวแฮะ’ เมอร์ลินผงกหัวขึ้นจากท่อนแขนที่หนุนแล้วปรายตาไปที่โต๊ะอาหาร แน่นอนว่ามันแทบไม่เหลือแล้วเนื่องจากเขากินมันไปเมื่อคืน แถมกินเยอะจนนึกสงสัยเหมือนกันว่าตนเองใช้พลังงานไปกับเซ็กซ์มากแค่ไหน เมอร์ลินขยับตัวให้เบาที่สุดพลางเอื้อม
“ฉันมีเรื่องจะขออนุญาตนาย” หลังจากจูบกันจนพอใจแล้ว โจไซอาห์ก็ได้เอ่ยขึ้นพร้อมกับมองไปทางด้านหลังของเมอร์ลิน เมอร์ลินจึงหันมองตาม เขาก็เห็นเอกสารมากมายของตัวเองรวมถึงรูปสแกนที่แนบมา มือเรียวรีบหยิบกระดาษเอกสารอื่นปิดทับรูปนั้นทันที“จะขออะไรครับ” ถามกลับทั้งที่ไม่หันมามองหน้า“ฉันจะขอเอาเอกสารสำคัญของนายให้กับหมอคนหนึ่งที่ฉันรู้จัก ...ความพิเศษของนายจะใช้หมอคนไหนก็ได้ไม่ได้เด็ดขาด” เห็นอย่างนี้เขาก็มีพอมีเพื่อนสนิทที่คบอยู่บ้างแม้จะมีคนเดียวก็ตาม เป็นโชคดีที่เพื่อนคนนั้นเป็นหมออยู่ที่โรงพยาบาลในเครือโรนัลเดล มีความสามารถมากพอที่จะรับมือกับความพิเศษของเมอร์ลินได้ และเป็นคนเดียวที่เขาไว้ใจให้เห็นร่างกายเมอร์ลิน ก็เพราะว่าเพื่อนคนนั้นแต่งงานมีครอบครัวเรียบร้อยแล้ว“คุณไม่จำเป็นต้องขอผมก็ได้ครับ”“ถึงฉันจะเป็นสามีนายแต่ฉันไม่มีสิทธิ์เอาข้อมูลสำคัญของนายไปให้ใครก็ได้โดยปราศจากการยินยอม ว่าไง?”“คุณทำแบบนี้มันทำให้ผมรู้สึกแปลก ๆ นะครับ... เฮ้อ แต่เอาเถอะ ถ้าคุณคิดว่ามันดีกับผม ก็เอาไปเถอะครับ” เมอร์ลินละมือออกจากเอกสารแล้วดันอกกว้างให้ถอยห่างก่อนลงจากโต๊ะทำงาน “ขอบัตรหน่อยสิ ผมจะออกไปข้างนอก
ร้านอาหารอิตาเลียนเปิดใหม่ที่ตั้งอยู่ในเมืองหลวงรันเซีย คือสถานที่นัดพบระหว่างสูตินรีแพทย์อิดอน เลสเตอร์ และโจไซอาห์ เดิมทีสถานที่นัดพบของพวกเขาต้องเป็นร้านอาหารที่มีโซนส่วนตัวให้เลือก ทว่ารอบนี้โจไซอาห์ขอเปลี่ยนสถานที่เนื่องจากเหตุผลบางอย่างแต่ไม่ได้บอกมา อิดอนเพียงแต่ตกลงรับนัดของเพื่อนสนิทแล้วหาเวลาว่างที่แทบจะไม่มีมาให้ได้ก็พอแต่นี่... มันจะช้าเกินไปไหม! อะไรทำให้คนที่ตรงต่อเวลาแบบนั้นมันผิดเวลานัดกันวะ!“แกมาสายนะรู้ไหม?” อิดอนเอ่ยถามบุคคลที่เข้ามาด้วยความเคืองใจเล็กน้อย แล้วมองสำรวจเพื่อนที่แทบไม่ได้พบหน้าก่อนดวงตาเขาจะเบิกกว้างเมื่อเห็นแหวนบนนิ้วนางข้างซ้าย โจไซอาห์นั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามแล้ววางกระเป๋าที่ถือมาลงบนโต๊ะ“ฉันติดธุระสำคัญ” นั่นคือคำตอบที่ว่าทำไมเขามาสาย“แกแต่งงานแล้ว?! ตั้งแต่เมื่อไหร่” ความเคืองใจที่มีพลันสลายเมื่อได้เห็นของบางอย่างที่น่าสนใจกว่า เพื่อนเขาเนี่ยนะแต่งงาน? คนตรงหน้าเขาเนี่ยนะ?! อิดอนแทบไม่เชื่อสายตาแต่ความจริงที่ว่าแหวนอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายนั้นเป็นของจริง โจไซอาห์ปรายตามองแหวนบนนิ้วแล้วขยับนิ้วเบา ๆ“มันกะทันหันแต่ฉันแต่งมาห้าปีแล้ว”“ห้าปี?! ไอ
นัยน์ตาสีเทาสะท้อนภาพภรรยาที่ขยับไหวบนกายแกร่ง สีหน้าที่แสดงออกมามันช่างเย้ายวนชวนให้อยากจับกดลงบนเตียงแล้วมองร่างกายขาว ๆ สั่นคลอนไปตามแรงที่โหมใส่ มือเรียววางบนหน้าท้องสามีเพื่อค้ำจุนร่างกายช่วงบนขณะที่ช่วงล่างควบสะโพกกลืนกินตัวตนของโจไซอาห์ เมอร์ลินรู้ดีว่าตอนนี้ในท้องกำลังมีชีวิตเล็ก ๆ แรงควบที่ควรจะขึ้นสุดลงสุดจึงกลายเป็นเพียงความนุ่มนวลแต่กลับลึกล้ำพาให้ช่วงท้องน้อยวาบหวิว“อึก ฮื่ออ...” คิ้วเรียวได้รูปขมวดเข้าหากันอย่างขัดใจเล็กน้อยที่ไม่อาจทำตามความต้องการได้เต็มร้อย เมอร์ลินผ่อนลมหายใจก่อนมองหน้าสามีที่ตอนนี้มุมปากยกยิ้มนิด ๆ “ยิ้มอะไรครับ?” ถลึงตาใส่พร้อมคิ้วที่ขมวดหนักกว่าเดิม“เห็นคนหงุดหงิดแล้วสนุกดี” โจไซอาห์บอกไปตรง ๆ แต่ไม่ใช่แค่เมอร์ลินที่รู้สึกหงุดหงิดอยู่คนเดียว ตัวเขาเองก็เหมือนกัน อยากทำมากกว่านี้ อยากกอดเหมือนอย่างที่เคยแต่โจไซอาห์ก็รู้ว่าในเวลานี้เขาทำไม่ได้ เมอร์ลินที่ได้ยินคำตอบถึงกับหัวเสีย ยกเท้าขึ้นเหยียบบนอกกว้างพลางเม้มริมฝีปากก่อนกัดฟันพูดออกไปอย่างขุ่นเคือง“ผมไม่สนุกด้วยหรอกนะครับ!”“เหรอ?” โจไซอาห์ยิ้มแล้วจับข้อเท้าขาวก่อนยกออกจากอก ดึงข้อเท้าของเมอร์
“น้อยใจที่หนูลินกอดกับแม่อลิซเหรอคะ?” อเดลเอ่ยถามลูกชายด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานพลางเดินเข้ามาหาแล้วมองเสี้ยวหน้าของลูกชาย เธอยิ้มเมื่อสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยบนใบหน้าก่อนแขนเรียวจะเกี่ยวกอดแขนลูกชาย “เดินเล่นเป็นเพื่อนแม่หน่อยแล้วกัน” พูดจบก็เริ่มเดินไปตามทางที่ตรงไปยังสวนดอกไม้ อเดลพาลูกชายเดินมาถึงชิงช้าไม้ก่อนจะนั่งลง โจไซอาห์ยังคงเงียบแต่ก็ขยับกายไปยืนอีกด้านเพื่อบังแดดให้กับมารดา อเดลอดยิ้มไม่ได้ที่ลูกชายแสดงด้านที่อ่อนโยนออกมาให้เห็น“ตอนนี้มีแค่เราสองคนแล้ว ไหนลูกลองบอกแม่ทีว่าตอนนี้ลูกรู้สึกยังไง”“...ผมปกติดีครับ แม่ไม่ต้องเป็นห่วง”“แล้วโจซอธิบายให้แม่ฟังได้ไหมคะว่าเราเดินออกมาทำไม?” อเดลเงยหน้าขึ้นมองลูกชายแต่ให้ตายสิ... รีบหันหน้าหนีเธอทันทีเลย “ถ้าแม่อลิซรู้เข้า โจซคิดว่าแม่เขาจะเสียใจหรือไม่คะ?” อเดลเริ่มแกว่งชิงช้าเบา ๆ พลางมองดอกไม้นานาพันธุ์ขณะรอคำตอบจากลูกชาย“ผมขอโทษครับแม่” โจไซอาห์กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่อเดลสัมผัสถึงความรู้สึกผิดและคำขอโทษที่จริงใจ มือหนาทั้งสองข้างยกขึ้นกุมใบหน้าพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนนัยน์ตาสีเทาจะจ้องแหวนแต่งงานบนนิ้วนางซ้ายของตนเอง
ในที่สุดการแข่งขันเดอร์บี้ก็ดำเนินมาจนถึงรอบสุดท้าย ก่อนเริ่มการแข่งได้มีคนเข้ามาเคลียร์สนาม จัดการเกลี่ยดินให้กลับไปในสภาพเริ่มแรก ระหว่างที่พักสนามเพื่อรอเวลาเริ่มรอบไฟนอล เมอร์ลินนั่งกินไอศกรีมไปแล้วสามถ้วยและคนที่วิ่งซื้อคือไทกิกับโรมันที่สลับกันไปมา โจไซอาห์นั่งมองภรรยากินไอศกรีมด้วยสายตาภูมิใจราวกับเขาเป็นคนทำไอศกรีมเองกับมือ“ฉันขออีกถ้วยสิ” เมื่อถ้วยที่สี่หมดก็ถึงคราวถ้วยที่ห้า ไทกิวิ่งออกไปทันทีที่ได้ยิน “ว่าแต่คุณทิ้งกระดาษที่เด็กตรงทางเข้าให้มาหรือยังครับ” เอ่ยถามสามีขณะที่เอาแต่ดูดช้อนเพื่อเก็บความหวานเข้าปากให้หมด“ไม่แน่ใจแต่น่าจะทิ้งไปแล้ว” เพราะในมือของโจไซอาห์ตอนนี้ไม่มีอะไรอยู่เลยนอกจากแหวนแต่งงานบนนิ้วนางข้างซ้าย เมอร์ลินอยากจะรู้มากเลยว่าในกระดาษใบนั้นคืออะไรถึงได้ยืนแจกอยู่ที่ทางเข้าสนาม“เหมือนเป็นใบโหวตน่ะครับ ถึงจะบอกว่าโหวตแต่จริง ๆ ก็แค่การพนันธรรมดาครับ” โรมันที่ได้ยินค้อมตัวเล็กน้อยก่อนส่งใบที่เขาได้มาให้เมอร์ลินดู เมอร์ลินรับมาแล้วไล่สายตาดูมัน บนกระดาษมีตารางหมายเลขรถของผู้เข้าแข่งและเขียนกำกับไว้ว่าส่งมาจากไหน ช่องถัดมาเป็นช่องว่างขนาดใหญ่ช่องเดียวแต่มีก