เสียงเครื่องยนต์บูกัตติคันใหม่ดังกระหึ่มทั่วเขตอาศัยของโรนัลเดล ส่วนโจไซอาห์ยืนกอดอกเฝ้าเมอร์ลินไม่ให้ขับไปไหน เขายอมให้ลองเครื่องได้แต่ต้องอยู่ที่เขตของคฤหาสน์เขาเท่านั้น ตามจริงคนเฝ้าไม่ใช่เขาแต่ลูกน้องเอาเมอร์ลินไม่อยู่ เขาถึงต้องมาเฝ้าด้วยตัวเอง ทางเมอร์ลินที่กำลังลองบูกัตติคันงามก็ลองไปพลางหลับตาพริ้มฟังเสียงอันแสนไพเราะของเครื่องยนต์ไป รูปลักษณ์ภายนอกว่าดูสวยงามแล้ว ภายในก็ยิ่งทำให้ใจเมอร์ลินละลาย มันดูหรูหรา ดูสวยงามสมราคา และเขาไม่พลาดที่จะถ่ายรูปอัปลงอินสตราแกรมให้คนทางคาร์ลอฟได้ใส่ใจกันเต็มที่ ตลอดระยะเวลาห้าปีมานี้ เมอร์ลินไม่เคยติดต่อกับทางคาร์ลอฟและไม่รับการติดต่อใด ๆ สิ่งเดียวที่เมอร์ลินทำคืออัปเดตการกินหรูอยู่สบายรวมถึงอวดว่าผู้ชายที่แต่งงานด้วยดูดีขนาดไหน
แน่นอนว่าเหล่าพี่น้องร่วมบิดาพร้อมใจกันถล่มไดเรคอินสตราแกรมหาเมอร์ลินกันรัว ๆ ยกเว้นเพียงพี่ชายร่วมสายเลือดที่เงียบหายไปจนไม่รู้ว่ายังอยู่หรือตาย แต่เมอร์ลินก็ไม่ได้สนใจน่ะนะ ส่วนพวกข้อความเมอร์ลินก็แค่อ่านและตอบทุกคำถามด้วยอิโมติค่อนน่ารัก ๆ [olo] แค่นั้นก็รู้เรื่อง...
“สดชื่นชะมัด” เมอร์ลินลงจากรถด้วยใบหน้าเปี่ยมสุขก่อนปิดประตูแล้วเดินมาหา
โจไซอาห์ที่ยืนอยู่ ทั้งสองยืนมองตากันเงียบ ๆ แต่บรรยากาศกลับชวนให้คนรอบข้างอึดอัดเป็นที่สุด ไทกิกับโรมันขยับออกห่างแล้วพากันหันหน้าไปคนละทาง ตั้งแต่รู้จักกับเมอร์ลิน ดูเหมือนพวกเขาจะได้รับสกิลรับรู้ความหายนะล่วงหน้าติดตัวมาแบบไม่ตั้งใจ“มีอะไรจะพูดก็พูดมา” โจไซอาห์เป็นฝ่ายเปิดปากถาม
“เรามาถ่ายรูปคู่กันดีกว่าครับ” สิ่งที่เมอร์ลินพูดออกไปมันเป็นสิ่งที่โจไซอาห์จะไม่ทำเด็ดขาด เมอร์ลินที่เห็นสีหน้าของสามีก็ยิ้มแล้วพูดต่อ “แต่งงานกันแต่ไม่มีรูปคู่สักรูป มันไม่เพอร์เฟกต์เอาเสียเลย” พูดจบก็จับแขนโจไซอาห์แล้วลากมาที่รถ แน่นอนว่าโจไซอาห์ขัดขืนเต็มที่แต่เมอร์ลินก็ไม่ยอมแพ้ กัดฟันลากมาที่รถด้วยความสามารถทั้งหมดที่มีในชีวิต การยื้อยุดฉุดกระชากนั้นร่วมแล้วนานกว่าสิบนาที
“อย่าเล่นตัวได้ไหม! ขอแค่รูปเดียวเองครับ” เมอร์ลินที่เริ่มหอบโวยขึ้นอย่างไม่พอใจ ตามใบหน้าเริ่มมีเม็ดเหงื่อผุดซึม
“ฉันไม่ชอบถ่ายรูปและคู่ฉันกับนายก็ไม่มีความจำเป็นต้องมีรูปคู่เลย ไม่เห็นว่ามันจะมีประโยชน์ตรงไหน!” โจไซอาห์พยายามรั้งตัวให้ถึงที่สุด แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่มีใครเข้ามาช่วยเขาได้ เมอร์ลินที่ได้ยินแบบนั้นก็เห็นด้วยล่ะนะว่ามันไม่มีประโยชน์แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็จะถ่ายให้ได้
“แค่รูปเดียว! แล้วผมจะไม่ถ่ายรูปคุณอีกเลย”
“อย่ามาโกหก ในอินสตราแกรมของนายลงไปกี่สิบรูปแล้ว?”
“อุ้ปส์!” เมอร์ลินยิ้มแล้วหลบสายตาทั้งยังทำเป็นไม่ได้ยิน “แล้วรู้ได้ยังไง...” ไหน
ฝาแฝดบอกว่าคนคนนี้ไม่เล่นพวกโซเชียล เพราะเชื่อถึงได้แอบถ่ายแล้วลงรูปพร้อม # เก๋ ๆ อย่าง #สามีเฮงซวย #แต่รวยมาก แอบเขิน ๆ เหมือนกันนะเนี่ย ในขณะที่เมอร์ลินทำเขิน สีหน้าโจไซอาห์ก็คืออยากจับภรรยาทุ่มมาก เขารู้มาตลอดเพราะเหล่าลูกน้องที่ติดเล่นมือถือติดโซเชียลชอบพล่ามกันในวง แต่มันก็เล็ดรอดออกมาให้เขาได้ยินจนต้องแอบสมัครเข้าไปดู นอกจากรูปเขาก็ลงอวดอย่างอื่นให้พวกคาร์ลอฟดิ้นพล่าน ทว่าพอเป็นรูปของเมอร์ลินทีไรมันก็จะมีหนอนมีแมลงมาตอมแถมตัวเมอร์ลินยังจะไปเย้าแหย่กลับ ทั้งที่ไม่ได้มองเป็นเมียแต่ทำไมถึงโมโหก็ไม่รู้เหมือนกัน“ฉันไม่จำเป็นต้องบอกนาย”
“ถ้าไม่บอกก็ต้องมาถ่าย มา!” เมอร์ลินลากโจไซอาห์มาที่รถจนได้แต่มันก็แลกมากับความเหนื่อยมหาศาลจนเมอร์ลินเริ่มรู้ซึ้งถึงข้อดีของการออกกำลังกาย โจไซอาห์ที่ขี้เกียจเถียงจึงยอมแต่โดยดี เมอร์ลินให้ไทกิมาเป็นช่างภาพให้ แต่การให้คนที่จับแต่ปืนมาจับมือถือถ่ายรูป ภาพมันก็จะออกมาแบบ....
“นายรู้จักคำว่าถ่ายรูปจริง ๆ ไหมไทกิ?” เมอร์ลินถึงกับลบทิ้งทันทีที่เห็น พอให้ถ่ายใหม่ก็ได้แบบเดิม “ทำไมมือสั่นขนาดนั้น” เพราะมือสั่น ภาพที่ได้มาเลยเหมือนภาพถ่ายติดวิญญาณและแน่นอนว่าวิญญาณคือสามีเฮงซวยที่รวยมากของเมอร์ลิน
“คือผม... ผมไม่มีเซ้นส์การถ่ายรูปครับ แต่หากให้กระทืบคนผมถนัดมาก”
“งั้นไปกระทืบคนคนนั้นให้หน่อย” ชี้ไปที่โจไซอาห์ที่มองตาขวาง ไทกิเหงื่อแตกพลั่กแล้วส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากโรมัน ส่วนโรมันหันหนีจนคอแทบหัก
“คือผม...”
“ไหนว่าถนัด?” เมอร์ลินดูสนุกที่ได้แหย่ไทกิแต่โจไซอาห์ไม่สนุกด้วยเท่าไหร่ จะให้สนุกได้ยังไงในเมื่อเมอร์ลินให้คนมากระทืบเขาน่ะ? แถมดูจริงจังจนเชื่อยากว่านั่นแค่เล่นแหย่ไทกิ
“ได้โปรดปล่อยให้ผมมีชีวิตเถอะครับคุณชาย” ไทกิยกธงขาวท่ามกลางเสียงหัวเราะของเมอร์ลิน โจไซอาห์ส่ายหัวเอือม ๆ แล้วตัดปัญหาด้วยการดึงเมอร์ลินประชิดกายแกร่ง แขนข้างหนึ่งยกโอบเอว ส่วนมืออีกข้างก็แย่งมือถือแล้วจัดการถ่ายเซลฟี่คู่กันไปเลย
“ฉันจะนับมันลงไปในดอกเบี้ยที่นายต้องจ่าย คืนนี้เตรียมตัวตายได้เลย” ส่งมือถือคืนแล้วตอกย้ำดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันก่อนจะเรียกไทกิและโรมันไปยังรูมที่อยู่ชั้นใต้ดิน ตอนนี้ถึงเวลาสะสางงานที่ค้างแล้ว เขาเสียเวลาไปกับเมอร์ลินมากและเขาจะไม่ยอมเสียเวลาที่เมอร์ลินต้องคืนดอกเบี้ยแน่นอน
พออยู่คนเดียวแล้ว เมอร์ลินก็ดูภาพที่ถ่ายด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกเท่าไหร่ ในภาพที่แสดงบนจอมือถือ เมอร์ลินมีสีหน้าตกใจเล็กน้อยส่วนโจไซอาห์แม้จะเรียบนิ่งแต่หากสังเกตดี ๆ จะเห็นมุมปากกระตุกยิ้มนิด ๆ นิดเดรยวแบบมาก ๆ แต่จุดโฟกัสของเมอร์ลินดันอยู่ที่ท่อนแขนแข็งแรงที่โอบเอวตน ปกติก็เห็นร่างกายกันทุกส่วนจนเรียกว่าชินก็คงถูก แต่ทำไมวันนี้กลับรู้สึกว่าแขนที่โอบเอวดูแข็งแรงและปลอดภัยกว่าทุกครั้งกันนะ?
“หรือเพราะเพิ่งเคยถูกโอบเอวเป็นครั้งแรก?” เมอร์ขมวดคิ้วอย่างหนักขณะอัปรูปลงไป จะบอกว่าพวกเขาไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน อย่างโอบเอวหรือก็ไม่ กอดแขนก็ไม่เคยยกเว้นตอนเมอร์ลินอยากกวนประสาทและเวลาที่แนบชิดกันมากที่สุดก็แค่ตอนมีเซ็กซ์เท่านั้น เวลานอนปกติคือเว้นระยะห่างกันจนตรงกลางเตะบอลได้เลยมั้ง เมอร์ลินถอนหายใจแล้วเลิกคิดจากนั้นก็ขับบูกัตติลูกรักเข้าไปเก็บก่อนจะกลับขึ้นห้องเพื่อนอนพัก
รูมที่อยู่ชั้นใต้ดินของคฤหาสน์แต่ละหลังนั้น ความจริงแล้วมันก็คือห้องรอเชือดดี ๆ นี่เอง มีไว้สำหรับศัตรูของโรนัลเดลโดยเฉพาะ แต่กับจอห์นที่ถูกพามาไว้ในนี้เพราะโจไซอาห์สละเวลาตามคุมภรรยาและเขาคิดว่าภายในสามชั่วโมงที่ตกลงไว้คงถูกยืดออกไปเป็นแน่ หากจะปล่อยไว้ที่เดิมก็คงถูกบุกรุกเข้าได้ง่าย ๆ แม้จะเชื่อในความแข็งแกร่งของลูกน้องแต่ยังไงก็ยังเป็นเพียงมนุษย์ หากความเหนื่อยล้าถาโถม จากราชสีห์ก็กลายเป็นกระต่ายได้ในพริบตา
“ได้เรื่องอะไรไหม?” เอ่ยถามวิลสันที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องขัง ในห้องขังนั้นมีจอห์นที่นอนอยู่แต่มันไม่ใช่นอนเพราะหมดสติแน่ ๆ “ไอ้เวรนี่มันหลับ?” เสียงกรนที่ดังคลอมานั้นทำ
โจไซอาห์คิ้วกระตุกหนัก จากตอนแรกที่หงุดหงิดเพราะเมอร์ลิน ตอนนี้หงุดหงิดจอห์นเพิ่ม“เอ่อ ผมคิดว่าเป็นแบบนั้นครับคุณชายเพราะอยู่ ๆ เสียงก็เงียบไป ผมเห็นว่ามันไม่ได้โวยวายอะไรแล้วเลยปล่อยมัน” วิลสันรายงานแล้วอยากจะเข้าไปทุบให้ตื่น เขาเองก็เพิ่งเคยเห็นคนที่ทั้งถูกมัด ถูกขัง นอนหลับอย่างสบายใจ “ส่วนเรื่องข้อเสนอ... มันก็ยังมั่นใจว่ามันเสียเปรียบครับ”
“อา... ทำไมฉันต้องเจอทั้งคนบ้าและคนโง่พร้อมกันด้วยวะ” มาดอันเคร่งขรึมถูกละลายเพราะคนบ้าอย่างเมอร์ลินและคนโง่อย่างจอห์น ไม่เคยเลยสักครั้งที่เขาต้องใช้พลังงานมากขนาดนี้ “ปลุกมัน”
“รับทราบครับ” วิลสันค้อมศีรษะก่อนเปิดประตูเข้าไปปลุกจอห์นให้ตื่น จอห์นดูจะชิลล์มากเหลือเกินแถมไม่ได้ดูเกรงกลัวอะไรเลย แต่แอบมีสะดุ้งตอนเห็นไทกิ เห็นทีรสชาติเตะนั้นจะยังไม่จางหาย
“แกแน่ใจใช่ไหมที่จะไม่รับข้อเสนอของฉัน” โจไซอาห์เอ่ยถาม
“เหอะ ใครรับก็โง่แล้ว” จอห์นยิ้มเหยียดก่อนหุบยิ้มเมื่อสบตากับไทกิที่จ้องเขม็ง
“ถ้านั่นเป็นคำตอบของแก... ไทกิ โรมัน พวกแกพาคนไปที่เบเรอร์ ยื่นข้อเสนอไปว่าหากยอมจำนนแต่โดยดี โรนัลเดลจะให้ที่อยู่และให้งานภายใต้การดูแลของฉัน เรื่องเงินเดือนไม่ต้องพูดถึงเพราะขั้นต่ำของเงินเดือนปัจจุบันก็มากกว่าเงินที่ได้รับจากเบเรอร์ ถ้าไม่มีใครขัดขืนก็เข้ารวมเบเรอร์ทันที ถ้ามีคนคิดสู้จงจัดมันอย่างพอเหมาะ ไม่ถึงกับต้องฆ่าเพราะฉันยังอยากได้คนเพิ่ม”
“รับทราบครับคุณชาย!” ไทกิกับโรมันตอบรับ
“แล้วมาดูกันว่าพวกมันจะรักษาชีวิตเพื่ออนาคตที่ดีกว่าหรือโง่เง่าภักดีกับเจ้านายสมองกลวงอย่างแก” มองหน้าจอห์นแล้วพูดเหยียดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่พอจอห์นเห็นแล้วสบถด่าออกมาทันที ความภาคภูมิและเกียรติยศที่สร้างมาอย่างยากลำบากถูกแย่งชิงไปอย่างง่ายดาย “ถ้าแกมีความสามารถมากพอจะเลือกเส้นทางที่มันยากฉันก็ไม่ว่า เพราะหากแกทำได้ดี ฉันก็แพ้ แต่ในเมื่อแกเป็นผู้นำที่ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ สิ่งแรกที่แกควรคำนึงถึงคือชีวิตที่แกรับฝากไว้ ไม่ใช่เงินหรืออำนาจที่จะได้รับ” โจไซอาห์พูดกับจอห์นด้วยน้ำเสียงโทนปกติ ไม่มีการดูถูกหรือเหยียดหยามแม้แต่นิด
“แกเป็นมาเฟียนะโจซ แกไม่ใช่นักบุญ! แกไม่ใช่นักธุรกิจ! ที่แกพูดมามันไร้สาระทั้งนั้น ถ้าไม่มีอำนาจ ไม่มีเงิน ใครมันจะยอมรับใช้แกกันวะ!”
“เห็นฉันเกิดในโรนัลเดลแล้วแกคิดว่าทุกอย่างที่ได้มามันมาจากพ่อเตรียมไว้ให้ฉันหรือไง?” ถอนหายใจอย่างปลงตกกับสมองของจอห์นที่กู่ไม่กลับ ลูก ๆ ของเอเวอร์เร็ตต์ทุกคนไม่ได้รับเส้นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างที่คนภายนอกคิด แต่เป็นเส้นทางที่เต็มไปด้วยหุบเหวและนรกของแท้เลยต่างหาก
มิหนำซ้ำโจไซอาห์ที่เกิดมาเป็นลูกคนที่สี่ เขาตามหลังพี่ ๆ ทั้งสามจนนึกท้อบ่อยครั้ง ทว่าสุดท้ายเขาก็ผ่านมาได้จนเป็น โจไซอาห์ โรนัลเดล อย่างทุกวันนี้ เหอะ พอนึกถึงรอยยิ้มของบิดายามเขาบอกว่าถูกไล่ล่าแล้วอยากจะต่อยใบหน้าที่ดูสนุกนั่นสักครั้ง จริง ๆ ทุกวันนี้ก็ยังแค้นอยู่เลย
“มาเฟียในความหมายของแกนี่คงต้องมีอำนาจและควบคุมลูกน้องด้วยความหวาดกลัวงั้นสิ? เอาเถอะ แกมันกู่ไม่กลับแล้วจริง ๆ ฉันจะทำให้แกได้เห็นเส้นทางที่แกเลือกพลาดเอง” โจไซอาห์หันหลังแล้วเดินกลับขึ้นข้างบนโดยมีวิลสันมองตามหลัง วิลสันเป็นหนึ่งในคนที่เลือกติดตามและภักดีกับโจไซอาห์ตั้งแต่ก้าวแรกที่ไร้ทั้งอำนาจและเงินตรา เช่นเดียวกับไทกิและโรมัน แถมเรื่องครั้งนี้ผู้เป็นนายก็รอจอห์นเปลี่ยนใจ ถึงกับยอมพูดมากกว่าปกติ ยืดเวลาแล้วยืดเวลาอีกแต่ก็ยัง... วิลสันหยุดคิดพลางถอนหายใจก่อนหันมองจอห์นด้วยสายตาสมเพชก่อนพูดออกไปว่า
“เพราะแกเคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นของคุณชาย คุณชายถึงมอบความเมตตาให้แกจนวินาทีสุดท้ายแต่แกก็... ตรง ๆ เลยนะ ฉันไม่เคยเห็นใครโง่เท่าแกเลย แบบเหลือเชื่อจริง ๆ ที่โลกนี้ยังมีคนโง่หลงเหลืออยู่ บราโว่!” ปรบมือแปะ ๆ กวนประสาทจอห์นที่แยกเขี้ยวใส่ พอลองมาคิดตามที่วิลสันบอกแล้ว มันก็จริงแฮะ เดิมทีเขาควรจะถูกฆ่าไปแล้วนี่หรือไม่เบเรอร์ก็ถูกทำให้ย่อยยับแต่แล้วยังไงล่ะ จอห์นก็คิดได้ในเวลาที่สายไปแล้ว
“เสร็จจากจัดการเบเรอร์เมื่อไหร่ ฉันอนุญาตให้พักสามวัน ห้ามติดต่อฉันเด็ดขาดแม้จะเป็นเรื่องสำคัญ ให้ไปรายงานพ่อฉันแทน” กลับขึ้นมาจากชั้นใต้ดินก็ออกคำสั่งที่สองทันที มือหนาปลดเนกไทออกพลางปลดกระดุมคอเสื้อลงขณะเตรียมก้าวขึ้นบันได
“รับทราบครับคุณชาย” ไทกิกับโรมันรู้ดีว่าการพักสามวันนั้นหมายถึงอะไร โจไซอาห์พยักหน้าแล้วขึ้นบันไดตรงไปยังห้องนอนทันที เปิดประตูห้องมาเห็นเมอร์ลินนอนเล่นโทรศัพท์อยู่แถมดูจากที่ใส่เสื้อคลุมอาบน้ำแทนชุดเมื่อเช้า แสดงว่าคงเตรียมพร้อมที่จะทบดอกเบี้ยแล้วสินะ
“เคาะประตูบ้างนะครับ” เมอร์ลินมองแรงแต่ก็ลืมว่าเขาเองก็ไม่เคยเคาะประตูเลยเหมือนกัน
“บอกฉันแล้วตัวนายเคยเคาะสักครั้งไหม?” โดนสวนกลับมาแบบนี้ก็ได้แต่ยิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมอร์ลินวางโทรศัพท์ลงก่อนชันขาขึ้นจนชายเสื้อคลุมล่นลงเผยให้ต้นขาขาวออกมาทักทายสายตาโจไซอาห์ แถมรอยยิ้มที่เมอร์ลินส่งมาให้อีกนั่นก็... “นายยั่วฉันหรือไง?” โจไซอาห์เอ่ยขึ้นขณะถอดชุดสูทที่สวมใส่มันมาทั้งวัน
“ใช่สิครับ เป็นยังไง ผมทำหน้าที่ภรรยาได้ดีเลยใช่ไหมล่ะ”
“เหอะ” อดไม่ได้ที่จะหัวเราะให้กับความมั่นใจนั้น แต่ก็ไม่อยากยอมรับว่าวินาทีที่เห็นต้นขาขาว ๆ นั่น ใจเขามันก็สั่นไหวจนแทบบ้า โจไซอาห์ผ่อนลมหายใจก่อนเข้าห้องน้ำไปชำระคราบเหงื่อไคลที่สะสมมาทั้งวัน เมอร์ลินมองตามแผ่นหลังพลางไหวไหล่อย่างไม่สนใจก่อนเล่นโทรศัพท์ต่อ ตอนแรกก็ตั้งใจจะนอนพักแต่ไป ๆ มา ๆ กลับนอนไม่หลับเลยอาบน้ำเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับทบต้นทบดอกตามที่ตกลงกันไว้ ระหว่างรอโจไซอาห์อาบน้ำ เมอร์ลินก็ไถหน้าจอไปเรื่อย ๆ
‘อีกห้านาทีถ้ายังไม่ออกมา หนีนอนดีกว่า’ คิดในใจขณะมองประตูห้องน้ำสลับกับเวลาบนหน้าจอ แต่เหมือนคนด้านในจะรู้ทัน ประตูห้องน้ำเปิดออกพร้อมโจไซอาห์ที่มีเพียงผ้าขนหนูพันรอบเอวเดินออกมา หยดน้ำที่เกาะพราวตามร่างกายกำยำและรอยสักทำเอา
เมอร์ลินแอบหวั่นไหวเล็กน้อย อะไรเนี่ย ก็เห็นมาตั้งห้าปี ห้าปีเชียวนะ! มันต้องชินแล้วสิ แต่ทำไมตอนนี้กลับรู้สึกแปลก ๆ ไปได้ เมอร์ลินหายใจเข้าหายใจออกช้า ๆ พยายามควบคุมอารมณ์ความรู้สึกที่ไม่รู้จักแล้วตัดมันออกไปหมับ...
“หมดเวลาเล่นของนายแล้ว” โจไซอาห์เดินมาที่เตียงแล้วหยิบมือถือจากมือเมอร์ลินไป กดล็อกหน้าจอแล้ววางมันลงบนโต๊ะหัวเตียง เมอร์ลินเงยหน้ามองคนที่แย่งมือถือไปก่อนหันตัวเข้าหาคว้ามือหนามาจับ ออกแรงดึงจนคุณสามีเสียหลักโถมเข้าใส่ตนเองแต่นั่นคือความตั้งใจของเมอร์ลิน สองแขนเรียวยกโอบรอบคอพร้อมรั้งลงมาให้ริมฝีปากได้แนบชิดจนแทบจะหลอมรวมเข้าด้วยกัน เอวหนาถูกโอบรัดด้วยขาเรียวขาวของภรรยาซ้ำยังขยับพาส่วนกลางกายขนาดพอดีตัวเข้าหา โจไซอาห์จับเอวของคนข้างใต้ด้วยสองมือแล้วยกขึ้นเคลื่อนตัวของเมอร์ลินให้ขยับไปกลางเตียง
เมอร์ลินเริ่มหอบหนักขณะที่ริมฝีปากบดเบียดสลับกัดดึงริมฝีปากของคนด้านบนจนได้รสคาวเลือด แต่เลือดแค่นั้นไม่อาจหยุดความต้องการที่ถูกปลุกปั่นขึ้นมาได้เลย ทันทีที่เรียวลิ้นแนบสัมผัสกัน ลิ้นของคนด้านบนก็เกี่ยวกระหวัดรัดดึงสลับกับเลียส่วนใต้ลิ้นที่พาเมอร์ลินเสียวแปล๊บในปาก
จ๊วบ...!
เสียงน่าอายดังขึ้นเมื่อลิ้นของเมอร์ลินถูกดูดอย่างแรงพาลพาให้เรี่ยวแรงอ่อนลงทันตา สองขาที่ยกโอบเอวหนาเริ่มผ่อนแรงลงจนกระทั่งหล่นตุบลงข้างกายแกร่ง โจไซอาห์เก็บเกี่ยวความหวานและหวังพาเอาความปากดีจากภรรยาตัวแสบด้วยการสูบแรงจากริมฝีปากได้รูป เขาดูดลิ้น เขากัดลิ้น และเขาเลียมัน เขาทำทุกอย่างเพื่อเติมเต็มความต้องการที่เพิ่มพูนทุกขณะ มันเป็นอย่างที่เมอร์ลินเคยพูด เขาไม่เคยพอในรอบเดียวหรือต่อให้มากกว่าหนึ่งรอบ เขาก็ยังต้องการเมอร์ลินมากขึ้น ดังนั้น ทุกครั้งที่ต้องการปลดปล่อยความต้องการ วันเวลาที่
โจไซอาห์ใช้หมกตัวอยู่กับเมอร์ลินคือสามวัน มันเป็นแบบนี้มาตลอดและจะไม่มีทางเพิ่มจำนวนวันขึ้น ไม่เช่นนั้นเขาจะเสียการเสียงานและเสียตำแหน่งผู้สืบทอดก็เป็นได้“แฮ่ก ฮื่ออ... ห้ามทิ้งรอยนะครับ อ๊ะ!” เมอร์ลินรีบบอกยามริมฝีปากหนาไล่ลงมาที่คอขาว แต่ไม่ทันขาดคำก็เจ็บจี๊ดที่คอก่อนมือเรียวจะยกทุบไหล่กว้าง โจไซอาห์ไม่สนใจแรงทุบที่เบาบางนั่น เขาสนใจกับคอขาวที่ไร้สีแต่งแต้มนี้มากกว่า รอยคิสมาร์กที่เกิดจากการดูดเม้มเริ่มเติมเต็มพื้นที่ว่างผสมกับรอยฟันที่ฝากฝังลงไป ในเมื่อบอกแล้วไม่คิดจะทำตาม เมอร์ลินจึงปล่อยให้ทำตามใจแต่แลกมากับรอยเล็บที่เพิ่มขึ้นบนไหล่กว้างทั้งสองข้างรวมถึงท้ายทอยกับแผ่นหลัง
สร้างรอยมา สร้างรอยกลับ แม้จะเป็นรอยที่แตกต่างกันก็ตาม
โจไซอาห์ลากริมฝีปากจากคอขาวมาหน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะการหายใจ เมอร์ลินเลียริมฝีปากที่แห้งผากของตนเองก่อนกัดปากเชิดหน้าขึ้นยามยอดอกถูกปลายลิ้นสัมผัส เขาเสียววูบวาบไปทั้งหน้าอก ยิ่งปลายลิ้นกดคลึงยอดอกสลับกับละเลงลิ้นใส่ระรัวแบบนี้ อีกไม่นานเมอร์ลินต้องหลุดเสียงออกมาแน่ ๆ และนั่นก็เป็นความตั้งใจของโจไซอาห์ที่คอยเหลือบสายตาขึ้นมองอยู่ตลอดเวลา พอเห็นว่าภรรยาตัวแสบดื้อดึงขนาดไหน ปลายนิ้วชี้จึงสะกิดยอดอกอีกข้างซ้ำยังกดปลายเล็บลงแล้วถูคลึงขึ้นลงซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้น
“อ๊า! อืออ มันเจ็บนะครับไอ้...อึก” จะหลุดด่าอยู่แล้วเชียวแต่ทันทีที่ได้ยินคำว่าไอ้จากปากสวย ๆ นั่น โจไซอาห์ก็กัดเข้าที่ยอดอกแล้วดึงอย่างแรงจนเมอร์ลินร้องเสียงดังทั้งยังแอ่นอกขึ้นตามแรงดึง ลมหายใจหอบหนักกว่าเก่าแต่เพียงครู่เดียวเท่านั้น ลมหายใจกลับหยุดชะงักพร้อมกับสองขาที่ขยับกว้างกว่าเดิมเมื่อเรียวนิ้วได้สอดเข้ามาในช่องทางอย่างไม่บอกกล่าว เมอร์ลินกระพริบตามองเพดานก่อนหายใจแรง ๆ แล้วทุบเข้าที่ไหล่กว้างสุดแรงซึ่งแรงกว่ารอบแรกมาก
“คิดว่าฉันหนังหนามากหรือไง” โจไซอาห์เอ่ยถามพลางขมวดคิ้ว ทั้งทุบ ทั้งจิก เขาก็แสบก็เจ็บเป็นนะแต่แค่ไม่พูดเท่านั้น เมอร์ลินไม่ให้คำตอบเพราะขืนอ้าปากไปมันต้องมีเสียงน่าอายหลุดมาแน่ ๆ โจไซอาห์เห็นสายตาอวดดีแล้วก็หมั่นไส้ มันเขี้ยว สอดนิ้วที่สองเข้าไปทันที
“คงไม่ต้องเล้าโลมกันแล้ว” สิ้นคำสองนิ้วนั้นก็ขยับเข้าออกอย่างรัวเร็วแถมยังเข้าสุดออกสุด เมอร์ลินไม่อาจเก็บเสียงได้อีกต่อไป ยิ่งความเร็วและความแรงระดับนี้แล้ว มันมีแต่ความเสียวกระสันที่วิ่งพล่านไปทั้งกาย รู้สึกดีจนปล่อยตัวปล่อยใจให้ไหลไปตามกระแสอารมณ์
“อ๊ะ อ๊ะ แฮ่ก อืมม ลึกกว่านี้หน่อยครับ! อื้ออ” เมอร์ลินไม่อายที่ต้องร้องขอ ในเมื่อทำให้เขารู้สึกดีมาขนาดนี้แล้วและอยู่กันมาห้าปี ขอให้เข้าลึกกว่านี้หรือแรงกว่านี้มันก็ไม่ใช่เรื่องน่าอาย โจไซอาห์ทำตามที่ภรรยาต้องการพลางจับจ้องกายขาวที่บิดเร้าไปตามแรงปรารถนา เสื้อคลุมอาบน้ำที่หลุดลุ่ยช่างเป็นพร็อบที่เสริมให้เมอร์ลินดูเย้ายวนและเซ็กซี่มากขึ้น ใบหน้าที่เขาสะดุดตาแต่แรกเห็นกำลังแสดงสีหน้าออกมาได้เป็นอย่างดี นัยน์ตาคู่สวยฉ่ำเยิ้มด้วยกามอารมณ์ ริมฝีปากได้รูปสั่นเล็กน้อยพร้อมเปล่งเสียงครางคลอมาให้ได้ฟัง เมอร์ลินเลียปากแล้วเหลือบมองสามีที่กำลังมองตนเองอยู่พอหลุบสายตาลงต่ำไปที่กลางลำตัว เขาก็เห็นว่าบางอย่างมันกำลังต้องการพ้นจากผ้าขนหนูจะแย่
“นี่...” เอ่ยเรียกอย่างยากลำบากก่อนยกยิ้มแล้วยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นแนบแก้มของสามี “อยากได้ของใหญ่กว่านี้ อึก รีบ ๆ ใส่มาได้แล้วครับคุณสามี”
หมับ...
โจไซอาห์จับเข้าที่ข้อเท้าแล้วบีบเบา ๆ น่าแปลกที่เขาไม่โกรธแต่กลับรู้สึกบางอย่าง ความรู้สึกที่ตัวเขาเองก็อธิบายไม่ถูก... โจไซอาห์ยิ้มมุมปากแล้วสบตากับเมอร์ลินที่มองมา
“อย่ามาบอกให้ฉันหยุดแล้วกัน” พูดจบก็หันไปเลียฝ่าเท้าแล้วกัดอย่างมันเขี้ยวขณะที่สายตายังคงสอดประสานกัน
ตึกตัก...
ตึกตัก...
เมอร์ลินกำมือแน่นขณะสัมผัสถึงจังหวะหัวใจที่แปลกไป ทั้งที่หัวใจมันก็เต้นอยู่ทุกวัน แต่ทำไมเมื่อครู่มันถึงเต้นในจังหวะที่แปลกจนรู้สึกได้ แล้วทำไมใบหน้าเขาถึงได้เห่อร้อนขนาดนี้กันนะ?
หยาดเหงื่อผุดซึมตามใบหน้าและร่างกายยามความร้อนของบทรักแผดเผาพวกเขาทีละเล็กทีละน้อย เสียงเครือครางเคล้าคลอร่วมกับเสียงเนื้อที่กระทบกันอย่างหยาบโลนส่งผลให้อุณหภูมิร่างกายพลันสูงขึ้น เมอร์ลินผ่อนลมหายใจครั้งแล้วครั้งเล่ายามส่วนแข็งขืนสอดผสานเข้ากับช่องทาง ซ้ำรีบเร่งกระหน่ำเข้ามาอย่างไม่ลดละ มอบความเสียวซ่านจนสุดจะหยั่งถึงให้กับเขา“ผม อึก อยากได้อีก อ๊ะ ลึกกว่านี้ที อืออ...!” เมอร์ลินกระชับสองแขนที่โอบกอดกายแกร่งพลางจิกปลายนิ้วลงบนแผ่นหลังกว้างแล้วร้องขออย่างที่ตนเองต้องการ โจไซอาห์ได้ยินแบบนั้นก็มีแต่ต้องทำตามความปรารถนาของภรรยา มือหนาทั้งสองข้างจับเข้าที่ต้นขาขาวแล้วดันโน้มมาด้านหน้าจนช่วงสะโพกของคนข้างใต้ลอยขึ้นจากเตียงเล็กน้อย ริมฝีปากหนากดจูบลงบนแก้มขาวพลางไล้เลียลงมาที่ลำคอแล้วเริ่มสอบสะโพกในจังหวะที่หนักหน่วงและเน้นย้ำการเข้าสุดออกสุดทุกครั้งเมอร์ลินครางเสียงกระเส่าด้วยระดับเสียงที่ดังกว่าเดิม ใบหน้าเชิดขึ้นสุดจนเห็นสันกรามและลูกกระเดือกที่ขยับขึ้นลงยามกลืนน้ำลาย สิ่งเหล่านั้นดึงดูดให้โจไซอาห์มาสัมผัส เขาใช้ทั้งริมฝีปาก ใช้ทั้งลิ้นและใช้ทั้งฟันหยอกเย้าเล่นกับลูกกระเดือกและสันกราม
ช่วงสายของวันใหม่ เมอร์ลินเป็นคนแรกที่รู้สึกตัว เขาตื่นขึ้นมาพร้อมกับความหนักที่เอว พอลองก้มดูก็เห็นว่าเป็นแขนของสามีเขาที่หลับอยู่ด้านหลังนี้เอง เมอร์ลินจะปลุกแต่ชะงักมือไว้ทันแล้วตัดสินใจปล่อยให้โจไซอาห์นอนต่อไปเพราะขืนปลุกขึ้นมาคงได้จัดกันแต่หัววันแน่ ๆ เมอร์ลินถอนหายใจแล้วทอดสายตามองออกไปที่ระเบียงขณะที่ปลายนิ้วขยับเขี่ยแหวนแต่งงานบนนิ้วสามีเล่นแก้เบื่อมาคิด ๆ ดูแล้วเมื่อวานก็เล่นหนักเอาเรื่องจนแทบไม่อยากเชื่อว่าวันนี้จะยังตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกสดชื่นได้ ลองนึกภาพเมื่อคืนที่เขากับคนด้านหลังได้ทำลงไป มีชีวิตมาได้นี่เขาก็คงจะแข็งแกร่งเอาเรื่อง แต่ให้ตายสิ... โจไซอาห์ก็ยังทำตัวเหมือนเคยคือไม่ยอมถอดถอนส่วนนั้นออกไป ทั้งที่บอกจนปากจะฉีกว่าช่วยเอามันออกไปก่อนจะนอนด้วย ...แล้วฟังที่ไหนกันล่ะ? แถมขืนเขาขยับตัวล่ะก็ มีหวังปลุกให้ตื่น ทั้งคนทั้งส่วนนั้นแน่‘เริ่มหิวแฮะ’ เมอร์ลินผงกหัวขึ้นจากท่อนแขนที่หนุนแล้วปรายตาไปที่โต๊ะอาหาร แน่นอนว่ามันแทบไม่เหลือแล้วเนื่องจากเขากินมันไปเมื่อคืน แถมกินเยอะจนนึกสงสัยเหมือนกันว่าตนเองใช้พลังงานไปกับเซ็กซ์มากแค่ไหน เมอร์ลินขยับตัวให้เบาที่สุดพลางเอื้อม
“ฉันมีเรื่องจะขออนุญาตนาย” หลังจากจูบกันจนพอใจแล้ว โจไซอาห์ก็ได้เอ่ยขึ้นพร้อมกับมองไปทางด้านหลังของเมอร์ลิน เมอร์ลินจึงหันมองตาม เขาก็เห็นเอกสารมากมายของตัวเองรวมถึงรูปสแกนที่แนบมา มือเรียวรีบหยิบกระดาษเอกสารอื่นปิดทับรูปนั้นทันที“จะขออะไรครับ” ถามกลับทั้งที่ไม่หันมามองหน้า“ฉันจะขอเอาเอกสารสำคัญของนายให้กับหมอคนหนึ่งที่ฉันรู้จัก ...ความพิเศษของนายจะใช้หมอคนไหนก็ได้ไม่ได้เด็ดขาด” เห็นอย่างนี้เขาก็มีพอมีเพื่อนสนิทที่คบอยู่บ้างแม้จะมีคนเดียวก็ตาม เป็นโชคดีที่เพื่อนคนนั้นเป็นหมออยู่ที่โรงพยาบาลในเครือโรนัลเดล มีความสามารถมากพอที่จะรับมือกับความพิเศษของเมอร์ลินได้ และเป็นคนเดียวที่เขาไว้ใจให้เห็นร่างกายเมอร์ลิน ก็เพราะว่าเพื่อนคนนั้นแต่งงานมีครอบครัวเรียบร้อยแล้ว“คุณไม่จำเป็นต้องขอผมก็ได้ครับ”“ถึงฉันจะเป็นสามีนายแต่ฉันไม่มีสิทธิ์เอาข้อมูลสำคัญของนายไปให้ใครก็ได้โดยปราศจากการยินยอม ว่าไง?”“คุณทำแบบนี้มันทำให้ผมรู้สึกแปลก ๆ นะครับ... เฮ้อ แต่เอาเถอะ ถ้าคุณคิดว่ามันดีกับผม ก็เอาไปเถอะครับ” เมอร์ลินละมือออกจากเอกสารแล้วดันอกกว้างให้ถอยห่างก่อนลงจากโต๊ะทำงาน “ขอบัตรหน่อยสิ ผมจะออกไปข้างนอก
ร้านอาหารอิตาเลียนเปิดใหม่ที่ตั้งอยู่ในเมืองหลวงรันเซีย คือสถานที่นัดพบระหว่างสูตินรีแพทย์อิดอน เลสเตอร์ และโจไซอาห์ เดิมทีสถานที่นัดพบของพวกเขาต้องเป็นร้านอาหารที่มีโซนส่วนตัวให้เลือก ทว่ารอบนี้โจไซอาห์ขอเปลี่ยนสถานที่เนื่องจากเหตุผลบางอย่างแต่ไม่ได้บอกมา อิดอนเพียงแต่ตกลงรับนัดของเพื่อนสนิทแล้วหาเวลาว่างที่แทบจะไม่มีมาให้ได้ก็พอแต่นี่... มันจะช้าเกินไปไหม! อะไรทำให้คนที่ตรงต่อเวลาแบบนั้นมันผิดเวลานัดกันวะ!“แกมาสายนะรู้ไหม?” อิดอนเอ่ยถามบุคคลที่เข้ามาด้วยความเคืองใจเล็กน้อย แล้วมองสำรวจเพื่อนที่แทบไม่ได้พบหน้าก่อนดวงตาเขาจะเบิกกว้างเมื่อเห็นแหวนบนนิ้วนางข้างซ้าย โจไซอาห์นั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามแล้ววางกระเป๋าที่ถือมาลงบนโต๊ะ“ฉันติดธุระสำคัญ” นั่นคือคำตอบที่ว่าทำไมเขามาสาย“แกแต่งงานแล้ว?! ตั้งแต่เมื่อไหร่” ความเคืองใจที่มีพลันสลายเมื่อได้เห็นของบางอย่างที่น่าสนใจกว่า เพื่อนเขาเนี่ยนะแต่งงาน? คนตรงหน้าเขาเนี่ยนะ?! อิดอนแทบไม่เชื่อสายตาแต่ความจริงที่ว่าแหวนอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายนั้นเป็นของจริง โจไซอาห์ปรายตามองแหวนบนนิ้วแล้วขยับนิ้วเบา ๆ“มันกะทันหันแต่ฉันแต่งมาห้าปีแล้ว”“ห้าปี?! ไอ
นัยน์ตาสีเทาสะท้อนภาพภรรยาที่ขยับไหวบนกายแกร่ง สีหน้าที่แสดงออกมามันช่างเย้ายวนชวนให้อยากจับกดลงบนเตียงแล้วมองร่างกายขาว ๆ สั่นคลอนไปตามแรงที่โหมใส่ มือเรียววางบนหน้าท้องสามีเพื่อค้ำจุนร่างกายช่วงบนขณะที่ช่วงล่างควบสะโพกกลืนกินตัวตนของโจไซอาห์ เมอร์ลินรู้ดีว่าตอนนี้ในท้องกำลังมีชีวิตเล็ก ๆ แรงควบที่ควรจะขึ้นสุดลงสุดจึงกลายเป็นเพียงความนุ่มนวลแต่กลับลึกล้ำพาให้ช่วงท้องน้อยวาบหวิว“อึก ฮื่ออ...” คิ้วเรียวได้รูปขมวดเข้าหากันอย่างขัดใจเล็กน้อยที่ไม่อาจทำตามความต้องการได้เต็มร้อย เมอร์ลินผ่อนลมหายใจก่อนมองหน้าสามีที่ตอนนี้มุมปากยกยิ้มนิด ๆ “ยิ้มอะไรครับ?” ถลึงตาใส่พร้อมคิ้วที่ขมวดหนักกว่าเดิม“เห็นคนหงุดหงิดแล้วสนุกดี” โจไซอาห์บอกไปตรง ๆ แต่ไม่ใช่แค่เมอร์ลินที่รู้สึกหงุดหงิดอยู่คนเดียว ตัวเขาเองก็เหมือนกัน อยากทำมากกว่านี้ อยากกอดเหมือนอย่างที่เคยแต่โจไซอาห์ก็รู้ว่าในเวลานี้เขาทำไม่ได้ เมอร์ลินที่ได้ยินคำตอบถึงกับหัวเสีย ยกเท้าขึ้นเหยียบบนอกกว้างพลางเม้มริมฝีปากก่อนกัดฟันพูดออกไปอย่างขุ่นเคือง“ผมไม่สนุกด้วยหรอกนะครับ!”“เหรอ?” โจไซอาห์ยิ้มแล้วจับข้อเท้าขาวก่อนยกออกจากอก ดึงข้อเท้าของเมอร์
“น้อยใจที่หนูลินกอดกับแม่อลิซเหรอคะ?” อเดลเอ่ยถามลูกชายด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานพลางเดินเข้ามาหาแล้วมองเสี้ยวหน้าของลูกชาย เธอยิ้มเมื่อสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยบนใบหน้าก่อนแขนเรียวจะเกี่ยวกอดแขนลูกชาย “เดินเล่นเป็นเพื่อนแม่หน่อยแล้วกัน” พูดจบก็เริ่มเดินไปตามทางที่ตรงไปยังสวนดอกไม้ อเดลพาลูกชายเดินมาถึงชิงช้าไม้ก่อนจะนั่งลง โจไซอาห์ยังคงเงียบแต่ก็ขยับกายไปยืนอีกด้านเพื่อบังแดดให้กับมารดา อเดลอดยิ้มไม่ได้ที่ลูกชายแสดงด้านที่อ่อนโยนออกมาให้เห็น“ตอนนี้มีแค่เราสองคนแล้ว ไหนลูกลองบอกแม่ทีว่าตอนนี้ลูกรู้สึกยังไง”“...ผมปกติดีครับ แม่ไม่ต้องเป็นห่วง”“แล้วโจซอธิบายให้แม่ฟังได้ไหมคะว่าเราเดินออกมาทำไม?” อเดลเงยหน้าขึ้นมองลูกชายแต่ให้ตายสิ... รีบหันหน้าหนีเธอทันทีเลย “ถ้าแม่อลิซรู้เข้า โจซคิดว่าแม่เขาจะเสียใจหรือไม่คะ?” อเดลเริ่มแกว่งชิงช้าเบา ๆ พลางมองดอกไม้นานาพันธุ์ขณะรอคำตอบจากลูกชาย“ผมขอโทษครับแม่” โจไซอาห์กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่อเดลสัมผัสถึงความรู้สึกผิดและคำขอโทษที่จริงใจ มือหนาทั้งสองข้างยกขึ้นกุมใบหน้าพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนนัยน์ตาสีเทาจะจ้องแหวนแต่งงานบนนิ้วนางซ้ายของตนเอง
ในที่สุดการแข่งขันเดอร์บี้ก็ดำเนินมาจนถึงรอบสุดท้าย ก่อนเริ่มการแข่งได้มีคนเข้ามาเคลียร์สนาม จัดการเกลี่ยดินให้กลับไปในสภาพเริ่มแรก ระหว่างที่พักสนามเพื่อรอเวลาเริ่มรอบไฟนอล เมอร์ลินนั่งกินไอศกรีมไปแล้วสามถ้วยและคนที่วิ่งซื้อคือไทกิกับโรมันที่สลับกันไปมา โจไซอาห์นั่งมองภรรยากินไอศกรีมด้วยสายตาภูมิใจราวกับเขาเป็นคนทำไอศกรีมเองกับมือ“ฉันขออีกถ้วยสิ” เมื่อถ้วยที่สี่หมดก็ถึงคราวถ้วยที่ห้า ไทกิวิ่งออกไปทันทีที่ได้ยิน “ว่าแต่คุณทิ้งกระดาษที่เด็กตรงทางเข้าให้มาหรือยังครับ” เอ่ยถามสามีขณะที่เอาแต่ดูดช้อนเพื่อเก็บความหวานเข้าปากให้หมด“ไม่แน่ใจแต่น่าจะทิ้งไปแล้ว” เพราะในมือของโจไซอาห์ตอนนี้ไม่มีอะไรอยู่เลยนอกจากแหวนแต่งงานบนนิ้วนางข้างซ้าย เมอร์ลินอยากจะรู้มากเลยว่าในกระดาษใบนั้นคืออะไรถึงได้ยืนแจกอยู่ที่ทางเข้าสนาม“เหมือนเป็นใบโหวตน่ะครับ ถึงจะบอกว่าโหวตแต่จริง ๆ ก็แค่การพนันธรรมดาครับ” โรมันที่ได้ยินค้อมตัวเล็กน้อยก่อนส่งใบที่เขาได้มาให้เมอร์ลินดู เมอร์ลินรับมาแล้วไล่สายตาดูมัน บนกระดาษมีตารางหมายเลขรถของผู้เข้าแข่งและเขียนกำกับไว้ว่าส่งมาจากไหน ช่องถัดมาเป็นช่องว่างขนาดใหญ่ช่องเดียวแต่มีก
หลังจากเมอร์ลินถูกพาตัวออกไป โรนัลเดลทั้งหกคนถูกรายล้อมไปด้วยคนของเซอร์นาร์ด คนจากองค์กรอื่น ๆ ที่ไม่อยากมีปัญหากับโรนัลเดลพากันถอยแล้วหาที่หลบแต่ไม่มีใครสักคนหนีกลับเพราะทุกคนที่นี่อยากเห็นประวัติศาสตร์ใหม่ด้วยตาของตนเอง รามิเอลที่ข่มใจมาตลอดนั้นทันทีที่ได้รับคำสั่งจากบิดา สายตาของเขาพลันเปลี่ยนไปพร้อมฝ่าเท้าที่ยกขึ้นถีบเข้าที่พุงกลม ๆ ของเซอร์นาร์ดเต็มแรงเซอร์นาร์ดที่ไม่ทันได้ตั้งตัวล้มก้นจ้ำเบ้าลงบนพื้นด้วยความตกตะลึง นี่เป็นครั้งแรกหลังจากขึ้นเป็นผู้นำของโบนตันซ์ ครั้งแรกที่มีใครกล้าถีบเขา ความช็อกทำให้เซอร์นาร์ดเกิดช่องว่างมากมายแต่รามิเอลยังไม่คิดจะสะสางเพราะคนที่จะคิดบัญชีกับมันคือน้องชาย ไม่ใช่รามิเอล คนของเซอร์นาร์ดที่ยืนอยู่รีบพุ่งมาหารามิเอลหวังจะฝากรอยแผลไว้บนหน้าที่เรียบเฉยนั่น แต่น่าเสียดายกึก...เท้าที่ออกวิ่งหยุดชะงักในระยะที่ห่างจากรามิเอลเพียงไม่ถึงครึ่งเก้า หมัดของมันใกล้จะถึงใบหน้าของรามิเอลอยู่แล้ว ทว่ากระสุนจากทางคฤหาสน์พุ่งเจาะหลังศีรษะอย่างแม่นยำไร้สุ้มเสียงให้รู้ตัว หยาดเลือดสีแดงกระเซ็นใส่ใบหน้าหล่อเหลาของรามิเอล น่าแปลกที่เลือดกลับทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากขึ้