หยาดเหงื่อผุดซึมตามใบหน้าและร่างกายยามความร้อนของบทรักแผดเผาพวกเขาทีละเล็กทีละน้อย เสียงเครือครางเคล้าคลอร่วมกับเสียงเนื้อที่กระทบกันอย่างหยาบโลนส่งผลให้อุณหภูมิร่างกายพลันสูงขึ้น เมอร์ลินผ่อนลมหายใจครั้งแล้วครั้งเล่ายามส่วนแข็งขืนสอดผสานเข้ากับช่องทาง ซ้ำรีบเร่งกระหน่ำเข้ามาอย่างไม่ลดละ มอบความเสียวซ่านจนสุดจะหยั่งถึงให้กับเขา
“ผม อึก อยากได้อีก อ๊ะ ลึกกว่านี้ที อืออ...!” เมอร์ลินกระชับสองแขนที่โอบกอดกายแกร่งพลางจิกปลายนิ้วลงบนแผ่นหลังกว้างแล้วร้องขออย่างที่ตนเองต้องการ โจไซอาห์ได้ยินแบบนั้นก็มีแต่ต้องทำตามความปรารถนาของภรรยา มือหนาทั้งสองข้างจับเข้าที่ต้นขาขาวแล้วดันโน้มมาด้านหน้าจนช่วงสะโพกของคนข้างใต้ลอยขึ้นจากเตียงเล็กน้อย ริมฝีปากหนากดจูบลงบนแก้มขาวพลางไล้เลียลงมาที่ลำคอแล้วเริ่มสอบสะโพกในจังหวะที่หนักหน่วงและเน้นย้ำการเข้าสุดออกสุดทุกครั้ง
เมอร์ลินครางเสียงกระเส่าด้วยระดับเสียงที่ดังกว่าเดิม ใบหน้าเชิดขึ้นสุดจนเห็นสันกรามและลูกกระเดือกที่ขยับขึ้นลงยามกลืนน้ำลาย สิ่งเหล่านั้นดึงดูดให้โจไซอาห์มาสัมผัส เขาใช้ทั้งริมฝีปาก ใช้ทั้งลิ้นและใช้ทั้งฟันหยอกเย้าเล่นกับลูกกระเดือกและสันกรามจนเมอร์ลินคิดว่ามันต้องเต็มไปด้วยรอยคิสมาร์กแล้วแน่นอน
“เฮือก! อือออ....!” นัยน์ตาคู่สวยเบิกกว้างพร้อมมือเรียวยกขึ้นปัดป่ายไปตามหัวเตียงราวกับหาที่ยึดเหนี่ยวยามส่วนแข็งขืนดันเข้ามาทีละนิดอย่างไม่รีบร้อนและแม้มันจะเข้ามาสุดความยาวแล้วแต่โจไซอาห์ก็ยังดึงดันที่จะพามันเข้ามาให้ลึกมากยิ่งขึ้นตามที่เมอร์ลิน
ร้องขอ ความรู้สึกเสียววูบวาบมันวิ่งวุ่นชวนให้เมอร์ลินมวนท้องน้อย “พ พอแล้ว ฮื่ออ ลึกเกินไปแล้วครับ! แฮ่ก” เมอร์ลินร้องบอกขณะนิ้วทั้งห้าจิกกับหัวเตียงจนเจ็บปลายนิ้ว แต่เขาก็หยุดไม่ได้ในเมื่อตอนนี้เมอร์ลินรู้สึกว่าหากเขาปล่อยมือจากหัวเตียงล่ะก็ เขาต้องถูกโจไซอาห์กลืนกินจนหายไปแน่ ๆ“ปากบอกให้พอแต่ร่างกายนายดูจะไม่ต้องการแบบนั้นนะ” โจซกระซิบข้างหูขาวแล้วเกร็งปลายลิ้นแหย่เข้าไปหยอกเย้าในใบหู เมอร์ลินเอียงคอหนีก่อนตวัดสายตาจ้องเขม็ง ทว่าพอสะโพกสอบขยับก็ต้องหลับตาพริ้มรับความกระสันที่ถูกมอบให้อย่างพอใจ เมื่อจังหวะของบทรักเริ่มเบาลงนั่นหมายถึงช่วงเวลาได้พักหายใจ เมอร์ลินค่อย ๆ ละมือออกจากหัวเตียงแล้วเปลี่ยนมาจับไหล่กว้างแทน เขาพลูลมหายใจแล้วมองหน้าสามีที่มองมา
“มองอะไร?” เอ่ยถามเสียงสั่นเพราะอะไร ๆ ที่ยังอยู่ในตัวมันเริ่มจะขยับแล้วแม้จะเล็กน้อยก็ตาม
“มองหน้าเมียหรือมองไม่ได้?” เลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถามก่อนยกยิ้มนิด ๆ แล้วเริ่มสอบสะโพกในจังหวะเนิบ ๆ พร้อมเปลี่ยนให้เมอร์ลินนอนตะแคงหันหน้าไปทางระเบียง ค่อย ๆ พาแขนแข็งแรงข้างขวาสอดช้อนใต้ศีรษะให้เมอร์ลินหนุนแทนหมอน โจไซอาห์กดจูบลงบนท้ายทอยไล่มาที่ต้นแขน เขากัดไปเต็มแรงเพราะอยู่ ๆ ก็มันเขี้ยวขึ้นมาขณะไล้ฝ่ามือไปตามแขนซ้ายของเมอร์ลินก่อนหยุดที่หลังมือ
“อึก อ๊า! อืออ” ทันทีที่เรียวนิ้วของสามีสอดประสานกับภรรยา สะโพกสอบก็หยัดกระแทกในจังหวะที่รัวแรงอย่างไม่ทันให้ได้ตั้งตัว โจไซอาห์ใช้หัวเข่าดันต้นขาขาวให้เปิดออกเพื่อที่เขาจะได้ขยับได้ง่ายขึ้น เมอร์ลินซบหน้าลงบนแขนที่หนุนแทนหมอนแล้วอ้าปากกัดเต็มแรงขณะเลื่อนสายตามองไปยังมือซ้ายที่ประสานกันอยู่ แหวนแต่งงาน... ทั้งเขาและโจไซอาห์ยังคงสวมมันอยู่งั้นเหรอ? ไม่สิ นี่เขาชินกับแหวนแต่งงานราวกับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายไปตั้งแต่เมื่อไหร่?
“มีอะไรน่าสนใจหรือไง?” เอ่ยถามข้างหูแล้วมองตามสายตาของเมอร์ลินไปก่อนพบว่าเมอร์ลินกำลังมองแหวนแต่งงานอยู่ “นายมองแหวนงั้นเหรอ?” เอ่ยถามอีกครั้งด้วยความแปลกใจพลางผ่อนแรงที่สะโพกลง เมอร์ลินเอี้ยวหน้าหันมาแล้วตั้งคำถามกับเขา
“ทำไมคุณยังใส่มันอยู่?”
“นายเองก็ด้วยนี่?” ถามมาถามกลับแล้วมองหน้ากันโดยไร้ซึ่งคำพูดใด โจไซอาห์ถอนหายใจแล้วยกมือซ้ายขึ้นมาทั้งที่ยังประสานนิ้วกันอยู่ เมอร์ลินเลยละสายตามองไปที่มือของเขากับคนด้านหลัง “ถ้าฉันบอกว่าฉันไม่อยากถอดมัน นายจะเชื่อฉันไหม?” เมอร์ลินหันไปหาทันทีแต่ไม่ทันจะได้พูดอะไร ริมฝีปากของคุณสามีก็ทาบทับลงพร้อมกับช่วงล่างที่กระแทก
กระทั้นเข้าใส่อย่างรัวแรงราวกับว่าเมื่อครู่ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เมอร์ลินก็ไม่เร้าหรือถามพร้อมขยับลิ้นตวัดเลียลิ้นของสามีซ้ำยังโยกสะโพกตอบรับส่วนแข็งขืนที่กระหน่ำเข้ามาโจไซอาห์ที่เคยเยือกเย็นเริ่มมีเม็ดเหงื่อผุดซึมพร้อมความต้องการที่มากขึ้นยามคนในอ้อมกอดเริ่มสวนกลับมาด้วยความต้องการที่มากกว่า ยิ่งเมอร์ลินแสดงความต้องการใส่เขา ตัวโจไซอาห์ก็ยิ่งถูกกระตุ้นจนท้ายที่สุดเสียงครางอันทุ้มต่ำก็ดังขึ้นข้างหูพาลให้เมอร์ลินใจสั่น ไม่บ่อยนักที่คนหยิ่งในศักดิ์ศรีอย่างโจไซอาห์จะยอมครางออกมา แม้จะรู้สึกดีมากแค่ไหนก็ตาม มากสุดก็แค่แสดงสีหน้าที่แสนจะเซ็กซี่แทน แม้เจ้าตัวจะปฏิเสธว่าไม่ได้ทำกับสายตาที่ราวกับจะกลืนกินกัน สองสิ่งนั้นคือสิ่งที่เมอร์ลินเห็นมาตลอดห้าปีแต่เมื่อครู่นี้...
“เมื่... อือ!” เมอร์ลินอยากจะถามแต่เหมือนโจไซอาห์จะรู้ทันถึงได้รีบปิดปากภรรยามากคำถามด้วยปากของเขาอีกครั้ง แม้จะหงุดหงิดแต่เมอร์ลินก็ไม่อาจปฏิเสธจูบของคนคนนี้ได้เลย “แฮ่ก นี่... ผมอยากขึ้น อึก ให้ผมขึ้น... เร็ว ๆ” เมอร์ลินเอ่ยขอก่อนโจไซอาห์จะรวบเอวแล้วพลิกตัวนอนหงายโดยมีเมอร์ลินอยู่ด้านบน เมอร์ลินน่ะมีแผนและเขาก็คาดหวังว่ามันจะสำเร็จด้วยดี แผนที่ทำให้สามีคนนี้ครางออกมาไงล่ะ!
โจไซอาห์มองแผ่นหลังขาวที่มีร่องรอยคิสมาร์กแล้วไล่สายตาลงมาที่แก้มก้นซึ่งกำลังเริ่มขยับควบส่วนแข็งขืนของเขา สายตาคู่คมจับจ้องไปยังส่วนที่เชื่อมต่อกัน ยามสะโพกขาวยกขึ้นเขาก็จะเห็นช่องทางที่ครอบครองแล้วหากเมื่อไหร่ที่สะโพกกดตัวลง เมื่อนั้นเมอร์ลินจะกลืนกินตัวตนของเขาเข้าไปจนไม่เหลือให้เขาได้เห็นมัน
ตับ ตับ ตับ
แก้มก้นเด้งเป็นคลื่นยามกระทบกับช่วงหน้าท้องตอนขยับควบขึ้นควบลง เมอร์ลินจุกเล็กน้อยพอต้องมาควบเองแต่เขาก็ไม่หวั่น มือเรียวยกเสยผมที่ชุ่มเหงื่อก่อนเริ่มเร่งจังหวะให้เร็วขึ้น หากเป็นครั้งแรกก็คงเขินอายแต่สำหรับเมอร์ลินที่ผ่านมาห้าปีมันเป็นเพียงเรื่องแสนจะธรรมดา เมอร์ลินกัดฟันยกสะโพกขึ้นสุดจนแกนกายเกือบจะหลุดออกจากช่องทางแต่เพียงอึดใจเดียวก็กดสะโพกลงฮวบกลืนกินตัวตนเข้ามาอีกครั้งแล้วหมุนร่อนสะโพกอย่างเย้ายวนชวนให้มือหนาเข้ามาสัมผัส มือเรียวยกลูบช่วงท้องน้อยที่วูบวาบแล้วเงยหน้ามองเพดานห้องด้วยสายตาที่หวานฉ่ำ
“อ๊ะ อ๊ะ อ๊า อื้ออ อ๊าา!” เมอร์ลินครางเสียงสั่น นัยน์ตาเบิกกว้างพร้อมกับน้ำตาที่เอ่อคลอ เมื่อคนด้านล่างสวนกระแทกขึ้นมาในจังหวะที่เขากดสะโพกลงพอดี ความจุกแล่นแปล๊บขึ้นมาที่อก ริมฝีปากสั่นระริก แต่เมอร์ลินก็ไม่ได้หยุดขยับซ้ำยังเท้ามือทั้งสองข้างลงบนเตียงเพื่อพยุงกาย จากนั้นก็ควบขย่มไปตามที่ใจต้องการ
โจไซอาห์ได้แต่มองก้นขาวที่ขึ้นลงบนกายแกร่งด้วยสายตาพึงพอใจ มีบ้างที่เขาเข้าร่วมอย่างการขยำแก้มก้นเต็มสองมือแล้วฟาดฝ่ามือลงไปด้วยความมันเขี้ยวแต่ก็แลกมากับการโดนภรรยาด่า ด่าทั้งที่ยังครางมันเลยกลายเป็นการด่าที่เซ็กซี่ที่สุด? โจไซอาห์ยิ้มแล้วยันตัวลุกนั่งก่อนกดจูบลงบนแผ่นหลัง
หมับ!
มือหนารวบคว้าแขนเรียวทั้งสองข้างมาด้านหลัง เขาดึงรวบจนหน้าอกของเมอร์ลินแอ่นโค้งโชว์ยอดอกที่ชูชันจากนั้นสะโพกสอบก็เริ่มหยัดกระแทกเน้น ๆ ทีละครั้งแต่ครั้งนึงก็เล่นเมอร์ลินจุกจนครางไม่ออก
“คุณมัน อึก บ้าฉิบหายเลย! อื๊ออ!” พ่นคำหยาบออกไปเมื่อไม่พอใจที่ตนเองถูกแกล้งแต่เมอร์ลินก็ต้องโดนโจไซอาห์สวนกลับมาด้วยความจุกที่หนักหน่วงมากกว่าเดิม พลันสองแขนที่ถูกรวบก็ถูกปล่อยให้เป็นอิสระแต่เอวเขากลับถูกช่วงชิงด้วยแขนแข็งแรงแล้วทันทีที่สามีทิ้งตัวลงนอน สะโพกสอบก็ขยับกระแทกเสยถี่ยิบไม่เว้นช่องว่างให้ได้พักหายใจหายคอ
ตับ ๆ ๆ ๆ ๆ !
“อ๊ะ อ๊ะ ไอ้...! แฮ่ก อ๊า อ๊ะ มันจุกจะตายแล้ว! ฮื่ออ” การซอยสะโพกแสนถี่ยิบที่ตัวเมอร์ลินได้รับมันมาพร้อมกับเสียงอันหยาบโลนที่จักจี้หู ส่วนแข็งขืนขนาดพอดีตัวกำลังดีดเด้งไปตามจังหวะที่คนด้านล่างมอบให้ ส่วนหัวของมันเริ่มมีหยาดน้ำกามสีขุ่นไหลซึมออกมาแล้วดีดเป็นเส้นสายยามแกนกายโบกสะบัด เมอร์ลินจะเสร็จทั้งที่ยังไม่ได้สัมผัสแต่มันก็ไม่ใช่ครั้งแรก ทว่ามันน่าอายจะตายที่เขาเสร็จจากด้านหลัง
“ฮื่ออ อ๊าา ผ ผม มันจะออกแล้ว...!” เมอร์ลินคว้าท่อนแขนที่รัดเอวเขาแล้วจิกแน่นก่อนร่างกายจะกระตุกยามถึงปลายทางของความสุขสม เมอร์ลินหลุบสายตาลงต่ำมอง
แกนกายของตนที่ยังสะบัดพร้อมกับที่มันปลดปล่อยน้ำกามออกมามากมายเช่นเดียวกับช่องทางที่ตอดรัดโจไซอาห์ เมอร์ลินหอบหนักแล้วผ่อนลมหายใจก่อนขมิบช่องทางรัดส่วนแข็งขืนให้แน่นที่สุดแล้วยกสะโพกควบขึ้นลงเล่นเอาโจไซอาห์เสียววาบไปทั้งแกนกายปับ!
เขาเลยกระแทกสวนขึ้นพลันสองแขนโอบกระชับเอวภรรยาให้แน่นจากนั้นโจไซอาห์ก็ได้ซอยสะโพกเข้าใส่ในจังหวะที่ถี่ยิบยิ่งกว่าเคย เมอร์ลินนอนบิดเร้าอย่างเสียวซ่านบนกายแกร่ง ริมฝีปากส่งเสียงครางไม่หยุดพร้อมกับมือเรียวที่เปลี่ยนจากจิกแขนมาจิกคอสามีและในท้ายที่สุดของห้วงอารมณ์ เสียงครางทุ้มต่ำได้ดังขึ้นข้างหู ส่วนแข็งขืนกระแทกเข้ามาเป็นครั้งสุดท้ายแถมยังลึกกว่าที่คิดไว้
“ฮึ่มม อ่าห์...”
“อึก...” เมอร์ลินแตะหน้าท้องแล้วกดเบา ๆ ยามรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ไหลเข้ามา นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาให้โจไซอาห์ปล่อยข้างในแต่มันก็เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ ในตอนแรก
โจไซอาห์ก็ลังเลเหมือนกันว่าควรจะปล่อยนอกหรือปล่อยในแต่ในเมื่อเมอร์ลินไม่ได้ห้ามปรามอะไร เขาจึงเลือกปล่อยมันเข้าไปข้างในตัวของเมอร์ลิน ทั้งคู่หอบหายใจแต่เพียงหนึ่งนาทีต่อมาก็เริ่มบทรักรอบต่อไปทันทีห้องครัวถูกใช้งานอย่างขันแข็งแถมยังอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของอาหารหลากหลายเมนู เอมี่และแม่ครัวคนอื่นลงมือทำอาหารสำหรับเจ้านายทั้งสองคนที่ใช้เวลาอยู่ในห้องนอน การทำอาหารจำนวนมากและยกขึ้นไปจัดโต๊ะที่ห้องนอนกลายเป็นหน้าที่สำคัญและแทบจะเป็นธรรมเนียมของคฤหาสน์หลังนี้ เมื่อไหร่ที่มือขวาคนสนิทอย่างไทกิประกาศว่าห้ามรบกวนนายท่านและคุณชายเมอร์ลินเป็นเวลาสามวัน เมื่อนั้นห้องครัวจะกลายเป็นสถานที่สำคัญที่ทำงานหนักกว่าใคร
“อย่าลืมของหวานด้วยนะคะ คุณชายเมอร์ลินชอบกินขนมหวานมากและตลอดสามวันนี้ห้ามขาดของหวานแม้แต่วันเดียวค่ะ” เอมี่ที่ดูแลและสนิทกับเมอร์ลินมากกว่าใครได้บอกกับเหล่าแม่ครัวทั้งชายและหญิง ผู้ชายที่เข้าครัวในสามวันนี้เป็นปาติซีเย่เสียส่วนมากและพวกเขาก็ต้องทำขนมหวานที่ดีที่สุดออกมาเพื่อแลกกับความพึงพอใจของเมอร์ลินบวกด้วยค่าตอบแทนหลายหลัก
“ว้าว เทศกาลสัตว์ป่าเริ่มแล้วหรือไง?” น้ำเสียงทะเล้นของบุตรชายคนที่สามอย่าง พอร์ช โรนัลเดล พี่ชายของโจไซอาห์ดังขึ้นพร้อมกับเดินเข้ามาหยิบขนมในจานเข้าปาก “อืม อร่อยแฮะ” พอร์ชพยักหน้าอย่างพอใจแล้วเตรียมหยิบชิ้นที่สอง ทว่า
เพียะ...
“ขนมจานนี้เป็นของคุณชายเมอร์ลินค่ะคุณชายพอร์ช ห้ามแตะต้องเด็ดขาดแม้เป็นคุณชายก็ตาม” เอมี่ตีมือข้างนั้นเสียก่อนพร้อมกับพูดบอกอย่างไม่เกรงกลัว “แล้วก็เลิกพูดว่าเทศกาลสัตว์ป่าเสียทีค่ะ นายท่านกับคุณชายเมอร์ลินไม่ใช่สัตว์ป่านะคะ” เป็นแบบนี้ทุกครั้งที่พอร์ชมักจะมองว่าการใช้เวลาอยู่ร่วมกันในห้องถึงสามวันนั้นไม่ต่างอะไรกับสัตว์ป่าที่เข้าฤดูผสมพันธุ์
“เธอนี่น้า ภักดีกับน้องชายผมมากเกินไปแล้วแต่ก็ถูกใจผมเป็นบ้าเลย” และเหตุผลที่พอร์ชมาที่นี่ก็เพราะเขาอยากมาเจอเอมี่ หญิงสาวที่ขโมยหัวใจของเขาไปตั้งแต่แรกเห็น แต่ด้วยสถานะที่ต่างกันมาก เอมี่จึงไม่คิดจะคบค้าหรือแม้แต่เปิดใจให้เขาก็ไม่เลยสักนิด ส่วนอีกเหตุผลที่เลือกมาในวันนี้ก็เพราะน้องชายกำลังกกเมีย หากมาในวันที่โจไซอาห์อยู่ เขาคงโดนด่าที่มาวุ่นวายกับคนในความปกครองของตน
“ได้โปรดเลิกพูดอะไรที่ชวนให้เข้าใจผิดทีค่ะ”
“เสียใจนะเนี่ย” พูดยิ้ม ๆ แล้วหยิบขนมในจานเข้าปากก่อนหัวเราะแล้วรีบเดินออกจากครัวไป เอมี่ได้แต่ถอนหายใจก่อนขอให้ปาติซีเย่ทำเพิ่มแล้วเริ่มยกอาหารไปวางบนรถเข็น
หมับ...!
เมอร์ลินคว้าหัวเตียงพลางทิ้งหน้าผากลงบนหมอนใบโตขณะที่สะโพกยกสูงให้
โจไซอาห์โหมกระหน่ำพาส่วนแข็งขืนเข้าใส่ช่องทางที่ฉ่ำไปด้วยน้ำกามจากรอบก่อนหน้าอย่างดุดันและเน้นหนักจนเมอร์ลินสมองขาวโพลนไร้ซึ่งความคิดใด ๆ นอกจากความอยากที่ทะลุปรอทแตก โจไซอาห์มองแผ่นหลังที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อแล้วก้มจูบพลางเลียไปตามร่องกลางหลังแล้วค่อย ๆ กดสะโพกพาแกนกายเข้าไปในช่องทางให้ลึกอีกนิด“พ พอก่อน แฮ่ก หยุดเข้ามาลึก ๆ สักที! อืออ~” แม้ตอนแรกจะชอบมากแต่หลัง ๆ ไม่อยากได้แล้ว มันเสียวท้องเกินไปแต่แน่นอนว่าคนอย่างโจไซอาห์ไม่ฟังใคร อยากทำอะไรก็ทำ อยากจะเข้ามาลึกแค่ไหนก็เข้าหรือพูดง่าย ๆ ว่าเป็นคนประเภทที่แรก ๆ ตามใจเมียแต่หลัง ๆ ตามใจตัวเอง
“ฉันอยากเข้าไปในตัวนายให้มากกว่านี้... ไม่ได้หรือไง?” เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่าแล้วกดริมฝีปากลงบนแก้มขาว ทั้งจูบ ทั้งเลีย ทั้งกัด จนแก้มเมอร์ลินใกล้จะช้ำอยู่แล้ว
“แต่คุณเข้ามาห้าปีแล้วนะ! ไม่เบื่อบ้างหรือไงเล่า” เมอร์ลินเงยหัวขึ้นจากหมอนแล้วหันหน้าถามคนด้านหลัง โจไซอาห์ยกยิ้มก่อนรวบแขนเรียวกดลงบนเตียงพร้อมสะโพกสอบที่หยุดขยับ
“ถ้างั้นนายก็พาตัวนายเข้ามาหาฉันแทนสิ” สิ้นเสียงของเขา เมอร์ลินก็ถอนหายใจก่อนทิ้งศีรษะลงบนหมอนตามเดิมพลันเริ่มขยับสะโพกเข้าออกด้วยตัวเอง เสียงครางแผ่วเบาดังคลอมาเล็กน้อยก่อนนัยน์ตาคู่คมจะเบิกกว้างกับภาพตรงหน้า เมอร์ลินที่ตะแคงเสี้ยวหน้าลงบนหมอนได้ขยับเข้ามากดจูบบนข้อมือของเขาแล้วไหนจะลิ้นสีสดที่แลบออกมาเลียตามข้อมือแผ่วเบาอย่างยั่วยวนนั่นอีก
กึด...
เมอร์ลินกัดข้อมือของสามีแล้วปรายตามองพลันกระตุกยิ้มที่มุมปาก โจไซอาห์ไม่ทนอีกต่อไป เขาเร่งเร้าสะโพกเข้าใส่จนคนใต้ร่างสั่นคลอนตามแรงกระแทก เสียงครางดังขึ้นอย่างน่าตกใจพร้อมด้วยบทรักที่เริ่มแผดเผาอุณภูมิห้องอีกครั้ง...
ก๊อก ๆ
“เอมี่เองค่ะ ขออนุญาตเข้าไปจัดโต๊ะอาหารนะคะนายท่าน คุณชายเมอร์ลิน”
“เข้ามา” โจไซอาห์อนุญาตแล้วเอนหลังพิงหัวเตียงขณะแขนข้างหนึ่งโอบตัวคนหลับไว้ก่อนมืออีกข้างจะคว้าผ้าห่มมาคลุมกายเขากับเมอร์ลิน เมอร์ลินเพิ่งหลับไปไม่กี่นาทีหลังจากพวกเขาสองคนสุขสมแต่ส่วนแข็งขืนยังคงอยู่ในช่องทาง เขาไม่ได้เอาออกแต่อย่างใด เมื่อประตูถูกเปิดออก โจไซอาห์เลื่อนมือขึ้นมาวางบนศีรษะของเมอร์ลินแล้วกดรั้งลงให้ซบกับไหล่เขามากขึ้น จริง ๆ แล้วเมื่อรู้ว่าจะมีคนอื่นเข้ามาในห้อง มือเขามันก็ขยับไปเองโดยที่เขาก็ไม่รู้ตัวว่านั่นคือปฏิกิริยาของการหวงแหน
ในเวลานี้ โจไซอาห์ไม่อยากให้ใครเห็นแม้แต่เส้นผมของเมอร์ลินเลยด้วยซ้ำ
เอมี่เข้ามาจัดโต๊ะอาหารพร้อมกับเม็ดเหงื่อที่เริ่มผุดซึมตามใบหน้า ทำไมเจ้านายถึงจ้องเธอด้วยสายตาแบบนั้น? ทั้งที่เธอก็เข้ามาทำหน้าที่นี้ตั้งแต่ครั้งแรกจนถึงปัจจุบันแท้ ๆ แค่เข้ามาจัดโต๊ะอาหารให้นะ ไม่ได้เข้ามาแย่งคุณชายเมอร์ลินเสียหน่อย... เอมี่แอบตัดพ้อในใจก่อนสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเสียงของเจ้านายดังขึ้น
“ต่อไปไม่ต้องเข้ามา ไว้หน้าห้องนั่นล่ะฉันจะเอาเข้ามาเอง”
“รับทราบค่ะนายท่าน” เอมี่ค้อมศีรษะก่อนเดินออกไปแล้วปิดประตูอย่างเบามือที่สุด ประตูห้องในช่วงสามวันนี้จะไม่ถูกล็อกเพราะต้องให้เหล่าสาวใช้นำอาหารเข้ามาพร้อมกับจัดโต๊ะให้ ช่วงแรกนั้นโจไซอาห์ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าใครจะมองเมอร์ลินที่ไร้อาภรณ์ จนกระทั่งเมื่อครู่ที่ความรู้สึกเปลี่ยนไป มันเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? เขาเริ่มหวงเมอร์ลิน... จริง ๆ งั้นเหรอ?
11:20 P.M.
เมอร์ลินตื่นขึ้นมาแล้วคิ้วกระตุกทันทีที่รู้ว่าโจไซอาห์ไม่ได้เอาสิ่งนั้นออกไปแถมเขายังหลับในอ้อมกอดของสามีอีก อยากจะด่านะแต่เขาหิวมากกว่าเลยยันมือกับอกกว้างเพื่อดันตัวออกแล้วถอนหายใจออกมาเมื่อเห็นว่าสามีของเขายังไม่หลับ มิหนำซ้ำยังจ้องหน้าเขาอยู่ก่อนแล้วด้วย
“อะไรครับ”
“หลับสบายไหม?” ถามเสียงประชดแต่แขนที่โอบเมอร์ลินก็ไม่ได้ขยับออกแต่อย่างใด
“ก็คิดเอาว่าสบายไหม แล้วทำไมไม่เอาออกครับ” เมอร์ลินเอ่ยถาม
“ฉันไม่อยากเอาออก นายจะทำไม?” เลิกคิ้วขึ้นอย่างท้าทาย เมอร์ลินเห็นแบบนั้นเลยคว้าหมับเข้าที่หูของโจไซอาห์แล้วดึงอย่างแรงแต่เมอร์ลินก็ลืมไปว่าสามีของตนนั้นเจาะหูด้วยเช่นกัน ด้วยความที่ดึงอย่างแรงพาลทำให้กระชากเอาต่างหูออกมาด้วยและมันก็ทำให้หูของโจไซอาห์เลือดเล็กน้อย
“เมอร์ลิน!”
“ทำไมครับ?! เรียกทำไมล่ะ?!” เมอร์ลินเลิกคิ้วขึ้นอย่างท้าทายบ้างก่อนเริ่มเห็นว่าที่มือของตนมีเลือดติด “เอ๊ะ นี่คุณเจาะหูด้วยเหรอ?” เอ่ยถามอย่างง ๆ ส่วนคนโดนถามถึงกับกุมขมับ เมอร์ลินดึงผ้าห่มขึ้นมาก่อนซับเลือดที่ใบหูให้
“ไม่ต้องสนใจ ปล่อยมัน” แต่เขาไม่ได้เจ็บอะไรเลยดันมือที่กำลังเช็ดเลือดออก
“อยู่เฉย ๆ เถอะครับ” มองดุ ๆ ไปทีแต่เอาจริง ไม่ได้ดูดุเลยสักนิด เมอร์ลินตั้งใจเช็ดเลือดให้สามีมากและยังมองหาต่างหูที่หลุดออกไปหวังจะเก็บมันมาคืน “ผมเกือบทำหูคุณขาด” พูดขึ้นอย่างไม่ปิดบังแล้วซับ ๆ หู แตะ ๆ ดูว่าเลือดหมดหรือยัง
“แล้วขาดไหม?”
“ไม่ แต่มันก็เป็นแผลยาวอยู่” เมอร์ลินปล่อยผ้าห่มออกจากมือก่อนมองหน้าสามีที่มองเขาอยู่ก่อนแล้ว “...ไม่ขอโทษนะครับเพราะคุณเริ่มก่อน” เบือนหน้าหนีแต่โจไซอาห์เห็นแก้มขาวที่ดูแดงขึ้นเล็กน้อยเขาก็พอจะรู้ว่าเมอร์ลินอยากขอโทษแต่ก็ไม่กล้าพูดออกมาเพราะศักดิ์ศรีที่ค้ำคอ ก็เหมือนกับเขานั่นล่ะนะ
“ทุกทีก็ไม่เคยขอโทษฉันนะ?”
“เคย! แต่คุณไม่ได้ยินต่างหาก”
“ถ้านายขอโทษฉัน ป่านนี้โลกถล่มไปแล้ว”
“จะโอเวอร์เกินไปไหมครับคุณสามี?” แล้วสองคนก็เอาแต่เถียงกันไปเถียงกันมา กว่าจะได้กินอาหารที่เย็นชืดก็ปาไปเที่ยงคืนกว่าแล้ว เมอร์ลินจะกินเยอะทุกครั้งเวลาที่ได้ใช้พลังงานไปกับเซ็กซ์ กินขนมหวานตบท้ายไปพร้อม ส่วนโจไซอาห์กินแค่ไม่กี่อย่างและไม่แตะขนมหวานเลยแม้แต่ชิ้นเดียว
“กินสักคำสิครับ” แล้วก็เหมือนทุกครั้งที่เมอร์ลินชอบเอาขนมหวานมาให้เขากิน
“...กินไป”
“ผมอยากเห็นคุณกินของหวาน เร็วสิครับ” แต่มีเหรอที่จะยอมแพ้ง่าย ๆ
“เมอร์ลิน”
“ครับคุณโจซ?” เจ้าของชื่อถึงกับปลงกับชีวิตแล้วลุกจากเตียงเตรียมไปเข้าห้องน้ำแต่เมอร์ลินคว้ามือไว้ได้ทัน “ถ้างั้นกินจากปากผมเป็นไง?” คาบขนมไว้ในปาก มองหน้าสามีอย่างมีหวัง โจไซอาห์ก้มลงมาแล้วใช้ลิ้นดันขนมชิ้นนั้นเข้าไปในปากก่อนสอดลิ้นตามเข้าไปทวงขนมคืน เมอร์ลินเลียปากที่เลอะครีมแล้วมองคนตรงหน้าที่เคี้ยวขนม แม้สีหน้าจะดูบิดเบี้ยวไปบ้างแต่ก็ยอมกินจนหมด
“พอใจแล้วใช่ไหม?”
“ยังครับ ปากคุณเปื้อนน่ะ” เมอร์ลินลุกยืนบนเตียงเลยทำให้สูงกว่า สองมือประคองใบหน้าของโจไซอาห์แล้วจับให้เงยขึ้นพลางก้มลงมาเลียครีมที่เลอะปากให้ โจไซอาห์รวบตัวเมอร์ลินแล้วอุ้มพาเข้าห้องน้ำไปทั้ง ๆ อย่างนั้น เพียงไม่นานเสียงครวญครางก็ดังรอดออกมาจากห้องน้ำที่ไม่ได้ปิดประตู บทรักรอบใหม่ได้เริ่มขึ้นพร้อมกับสถานที่เดิมแต่ความรู้สึกนั้นของใหม่ ไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้เรียกว่าอะไร แต่สามีภรรยาคู่นี้รู้เพียงแค่ว่า ช่วงเวลานี้พวกเขามีความสุขสุด ๆ เลย
ช่วงสายของวันใหม่ เมอร์ลินเป็นคนแรกที่รู้สึกตัว เขาตื่นขึ้นมาพร้อมกับความหนักที่เอว พอลองก้มดูก็เห็นว่าเป็นแขนของสามีเขาที่หลับอยู่ด้านหลังนี้เอง เมอร์ลินจะปลุกแต่ชะงักมือไว้ทันแล้วตัดสินใจปล่อยให้โจไซอาห์นอนต่อไปเพราะขืนปลุกขึ้นมาคงได้จัดกันแต่หัววันแน่ ๆ เมอร์ลินถอนหายใจแล้วทอดสายตามองออกไปที่ระเบียงขณะที่ปลายนิ้วขยับเขี่ยแหวนแต่งงานบนนิ้วสามีเล่นแก้เบื่อมาคิด ๆ ดูแล้วเมื่อวานก็เล่นหนักเอาเรื่องจนแทบไม่อยากเชื่อว่าวันนี้จะยังตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกสดชื่นได้ ลองนึกภาพเมื่อคืนที่เขากับคนด้านหลังได้ทำลงไป มีชีวิตมาได้นี่เขาก็คงจะแข็งแกร่งเอาเรื่อง แต่ให้ตายสิ... โจไซอาห์ก็ยังทำตัวเหมือนเคยคือไม่ยอมถอดถอนส่วนนั้นออกไป ทั้งที่บอกจนปากจะฉีกว่าช่วยเอามันออกไปก่อนจะนอนด้วย ...แล้วฟังที่ไหนกันล่ะ? แถมขืนเขาขยับตัวล่ะก็ มีหวังปลุกให้ตื่น ทั้งคนทั้งส่วนนั้นแน่‘เริ่มหิวแฮะ’ เมอร์ลินผงกหัวขึ้นจากท่อนแขนที่หนุนแล้วปรายตาไปที่โต๊ะอาหาร แน่นอนว่ามันแทบไม่เหลือแล้วเนื่องจากเขากินมันไปเมื่อคืน แถมกินเยอะจนนึกสงสัยเหมือนกันว่าตนเองใช้พลังงานไปกับเซ็กซ์มากแค่ไหน เมอร์ลินขยับตัวให้เบาที่สุดพลางเอื้อม
“ฉันมีเรื่องจะขออนุญาตนาย” หลังจากจูบกันจนพอใจแล้ว โจไซอาห์ก็ได้เอ่ยขึ้นพร้อมกับมองไปทางด้านหลังของเมอร์ลิน เมอร์ลินจึงหันมองตาม เขาก็เห็นเอกสารมากมายของตัวเองรวมถึงรูปสแกนที่แนบมา มือเรียวรีบหยิบกระดาษเอกสารอื่นปิดทับรูปนั้นทันที“จะขออะไรครับ” ถามกลับทั้งที่ไม่หันมามองหน้า“ฉันจะขอเอาเอกสารสำคัญของนายให้กับหมอคนหนึ่งที่ฉันรู้จัก ...ความพิเศษของนายจะใช้หมอคนไหนก็ได้ไม่ได้เด็ดขาด” เห็นอย่างนี้เขาก็มีพอมีเพื่อนสนิทที่คบอยู่บ้างแม้จะมีคนเดียวก็ตาม เป็นโชคดีที่เพื่อนคนนั้นเป็นหมออยู่ที่โรงพยาบาลในเครือโรนัลเดล มีความสามารถมากพอที่จะรับมือกับความพิเศษของเมอร์ลินได้ และเป็นคนเดียวที่เขาไว้ใจให้เห็นร่างกายเมอร์ลิน ก็เพราะว่าเพื่อนคนนั้นแต่งงานมีครอบครัวเรียบร้อยแล้ว“คุณไม่จำเป็นต้องขอผมก็ได้ครับ”“ถึงฉันจะเป็นสามีนายแต่ฉันไม่มีสิทธิ์เอาข้อมูลสำคัญของนายไปให้ใครก็ได้โดยปราศจากการยินยอม ว่าไง?”“คุณทำแบบนี้มันทำให้ผมรู้สึกแปลก ๆ นะครับ... เฮ้อ แต่เอาเถอะ ถ้าคุณคิดว่ามันดีกับผม ก็เอาไปเถอะครับ” เมอร์ลินละมือออกจากเอกสารแล้วดันอกกว้างให้ถอยห่างก่อนลงจากโต๊ะทำงาน “ขอบัตรหน่อยสิ ผมจะออกไปข้างนอก
ร้านอาหารอิตาเลียนเปิดใหม่ที่ตั้งอยู่ในเมืองหลวงรันเซีย คือสถานที่นัดพบระหว่างสูตินรีแพทย์อิดอน เลสเตอร์ และโจไซอาห์ เดิมทีสถานที่นัดพบของพวกเขาต้องเป็นร้านอาหารที่มีโซนส่วนตัวให้เลือก ทว่ารอบนี้โจไซอาห์ขอเปลี่ยนสถานที่เนื่องจากเหตุผลบางอย่างแต่ไม่ได้บอกมา อิดอนเพียงแต่ตกลงรับนัดของเพื่อนสนิทแล้วหาเวลาว่างที่แทบจะไม่มีมาให้ได้ก็พอแต่นี่... มันจะช้าเกินไปไหม! อะไรทำให้คนที่ตรงต่อเวลาแบบนั้นมันผิดเวลานัดกันวะ!“แกมาสายนะรู้ไหม?” อิดอนเอ่ยถามบุคคลที่เข้ามาด้วยความเคืองใจเล็กน้อย แล้วมองสำรวจเพื่อนที่แทบไม่ได้พบหน้าก่อนดวงตาเขาจะเบิกกว้างเมื่อเห็นแหวนบนนิ้วนางข้างซ้าย โจไซอาห์นั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามแล้ววางกระเป๋าที่ถือมาลงบนโต๊ะ“ฉันติดธุระสำคัญ” นั่นคือคำตอบที่ว่าทำไมเขามาสาย“แกแต่งงานแล้ว?! ตั้งแต่เมื่อไหร่” ความเคืองใจที่มีพลันสลายเมื่อได้เห็นของบางอย่างที่น่าสนใจกว่า เพื่อนเขาเนี่ยนะแต่งงาน? คนตรงหน้าเขาเนี่ยนะ?! อิดอนแทบไม่เชื่อสายตาแต่ความจริงที่ว่าแหวนอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายนั้นเป็นของจริง โจไซอาห์ปรายตามองแหวนบนนิ้วแล้วขยับนิ้วเบา ๆ“มันกะทันหันแต่ฉันแต่งมาห้าปีแล้ว”“ห้าปี?! ไอ
นัยน์ตาสีเทาสะท้อนภาพภรรยาที่ขยับไหวบนกายแกร่ง สีหน้าที่แสดงออกมามันช่างเย้ายวนชวนให้อยากจับกดลงบนเตียงแล้วมองร่างกายขาว ๆ สั่นคลอนไปตามแรงที่โหมใส่ มือเรียววางบนหน้าท้องสามีเพื่อค้ำจุนร่างกายช่วงบนขณะที่ช่วงล่างควบสะโพกกลืนกินตัวตนของโจไซอาห์ เมอร์ลินรู้ดีว่าตอนนี้ในท้องกำลังมีชีวิตเล็ก ๆ แรงควบที่ควรจะขึ้นสุดลงสุดจึงกลายเป็นเพียงความนุ่มนวลแต่กลับลึกล้ำพาให้ช่วงท้องน้อยวาบหวิว“อึก ฮื่ออ...” คิ้วเรียวได้รูปขมวดเข้าหากันอย่างขัดใจเล็กน้อยที่ไม่อาจทำตามความต้องการได้เต็มร้อย เมอร์ลินผ่อนลมหายใจก่อนมองหน้าสามีที่ตอนนี้มุมปากยกยิ้มนิด ๆ “ยิ้มอะไรครับ?” ถลึงตาใส่พร้อมคิ้วที่ขมวดหนักกว่าเดิม“เห็นคนหงุดหงิดแล้วสนุกดี” โจไซอาห์บอกไปตรง ๆ แต่ไม่ใช่แค่เมอร์ลินที่รู้สึกหงุดหงิดอยู่คนเดียว ตัวเขาเองก็เหมือนกัน อยากทำมากกว่านี้ อยากกอดเหมือนอย่างที่เคยแต่โจไซอาห์ก็รู้ว่าในเวลานี้เขาทำไม่ได้ เมอร์ลินที่ได้ยินคำตอบถึงกับหัวเสีย ยกเท้าขึ้นเหยียบบนอกกว้างพลางเม้มริมฝีปากก่อนกัดฟันพูดออกไปอย่างขุ่นเคือง“ผมไม่สนุกด้วยหรอกนะครับ!”“เหรอ?” โจไซอาห์ยิ้มแล้วจับข้อเท้าขาวก่อนยกออกจากอก ดึงข้อเท้าของเมอร์
“น้อยใจที่หนูลินกอดกับแม่อลิซเหรอคะ?” อเดลเอ่ยถามลูกชายด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานพลางเดินเข้ามาหาแล้วมองเสี้ยวหน้าของลูกชาย เธอยิ้มเมื่อสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยบนใบหน้าก่อนแขนเรียวจะเกี่ยวกอดแขนลูกชาย “เดินเล่นเป็นเพื่อนแม่หน่อยแล้วกัน” พูดจบก็เริ่มเดินไปตามทางที่ตรงไปยังสวนดอกไม้ อเดลพาลูกชายเดินมาถึงชิงช้าไม้ก่อนจะนั่งลง โจไซอาห์ยังคงเงียบแต่ก็ขยับกายไปยืนอีกด้านเพื่อบังแดดให้กับมารดา อเดลอดยิ้มไม่ได้ที่ลูกชายแสดงด้านที่อ่อนโยนออกมาให้เห็น“ตอนนี้มีแค่เราสองคนแล้ว ไหนลูกลองบอกแม่ทีว่าตอนนี้ลูกรู้สึกยังไง”“...ผมปกติดีครับ แม่ไม่ต้องเป็นห่วง”“แล้วโจซอธิบายให้แม่ฟังได้ไหมคะว่าเราเดินออกมาทำไม?” อเดลเงยหน้าขึ้นมองลูกชายแต่ให้ตายสิ... รีบหันหน้าหนีเธอทันทีเลย “ถ้าแม่อลิซรู้เข้า โจซคิดว่าแม่เขาจะเสียใจหรือไม่คะ?” อเดลเริ่มแกว่งชิงช้าเบา ๆ พลางมองดอกไม้นานาพันธุ์ขณะรอคำตอบจากลูกชาย“ผมขอโทษครับแม่” โจไซอาห์กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่อเดลสัมผัสถึงความรู้สึกผิดและคำขอโทษที่จริงใจ มือหนาทั้งสองข้างยกขึ้นกุมใบหน้าพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนนัยน์ตาสีเทาจะจ้องแหวนแต่งงานบนนิ้วนางซ้ายของตนเอง
ในที่สุดการแข่งขันเดอร์บี้ก็ดำเนินมาจนถึงรอบสุดท้าย ก่อนเริ่มการแข่งได้มีคนเข้ามาเคลียร์สนาม จัดการเกลี่ยดินให้กลับไปในสภาพเริ่มแรก ระหว่างที่พักสนามเพื่อรอเวลาเริ่มรอบไฟนอล เมอร์ลินนั่งกินไอศกรีมไปแล้วสามถ้วยและคนที่วิ่งซื้อคือไทกิกับโรมันที่สลับกันไปมา โจไซอาห์นั่งมองภรรยากินไอศกรีมด้วยสายตาภูมิใจราวกับเขาเป็นคนทำไอศกรีมเองกับมือ“ฉันขออีกถ้วยสิ” เมื่อถ้วยที่สี่หมดก็ถึงคราวถ้วยที่ห้า ไทกิวิ่งออกไปทันทีที่ได้ยิน “ว่าแต่คุณทิ้งกระดาษที่เด็กตรงทางเข้าให้มาหรือยังครับ” เอ่ยถามสามีขณะที่เอาแต่ดูดช้อนเพื่อเก็บความหวานเข้าปากให้หมด“ไม่แน่ใจแต่น่าจะทิ้งไปแล้ว” เพราะในมือของโจไซอาห์ตอนนี้ไม่มีอะไรอยู่เลยนอกจากแหวนแต่งงานบนนิ้วนางข้างซ้าย เมอร์ลินอยากจะรู้มากเลยว่าในกระดาษใบนั้นคืออะไรถึงได้ยืนแจกอยู่ที่ทางเข้าสนาม“เหมือนเป็นใบโหวตน่ะครับ ถึงจะบอกว่าโหวตแต่จริง ๆ ก็แค่การพนันธรรมดาครับ” โรมันที่ได้ยินค้อมตัวเล็กน้อยก่อนส่งใบที่เขาได้มาให้เมอร์ลินดู เมอร์ลินรับมาแล้วไล่สายตาดูมัน บนกระดาษมีตารางหมายเลขรถของผู้เข้าแข่งและเขียนกำกับไว้ว่าส่งมาจากไหน ช่องถัดมาเป็นช่องว่างขนาดใหญ่ช่องเดียวแต่มีก
หลังจากเมอร์ลินถูกพาตัวออกไป โรนัลเดลทั้งหกคนถูกรายล้อมไปด้วยคนของเซอร์นาร์ด คนจากองค์กรอื่น ๆ ที่ไม่อยากมีปัญหากับโรนัลเดลพากันถอยแล้วหาที่หลบแต่ไม่มีใครสักคนหนีกลับเพราะทุกคนที่นี่อยากเห็นประวัติศาสตร์ใหม่ด้วยตาของตนเอง รามิเอลที่ข่มใจมาตลอดนั้นทันทีที่ได้รับคำสั่งจากบิดา สายตาของเขาพลันเปลี่ยนไปพร้อมฝ่าเท้าที่ยกขึ้นถีบเข้าที่พุงกลม ๆ ของเซอร์นาร์ดเต็มแรงเซอร์นาร์ดที่ไม่ทันได้ตั้งตัวล้มก้นจ้ำเบ้าลงบนพื้นด้วยความตกตะลึง นี่เป็นครั้งแรกหลังจากขึ้นเป็นผู้นำของโบนตันซ์ ครั้งแรกที่มีใครกล้าถีบเขา ความช็อกทำให้เซอร์นาร์ดเกิดช่องว่างมากมายแต่รามิเอลยังไม่คิดจะสะสางเพราะคนที่จะคิดบัญชีกับมันคือน้องชาย ไม่ใช่รามิเอล คนของเซอร์นาร์ดที่ยืนอยู่รีบพุ่งมาหารามิเอลหวังจะฝากรอยแผลไว้บนหน้าที่เรียบเฉยนั่น แต่น่าเสียดายกึก...เท้าที่ออกวิ่งหยุดชะงักในระยะที่ห่างจากรามิเอลเพียงไม่ถึงครึ่งเก้า หมัดของมันใกล้จะถึงใบหน้าของรามิเอลอยู่แล้ว ทว่ากระสุนจากทางคฤหาสน์พุ่งเจาะหลังศีรษะอย่างแม่นยำไร้สุ้มเสียงให้รู้ตัว หยาดเลือดสีแดงกระเซ็นใส่ใบหน้าหล่อเหลาของรามิเอล น่าแปลกที่เลือดกลับทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากขึ้
ความหรูหราแสนโออ่าของห้องน้ำยังคงสมราคาต่อหนึ่งคืนที่ไม่ต่ำกว่าหลักแสนดอลลาร์ หน้ากระจกทรงกลมขนาดใหญ่สะท้อนภาพของสามีภรรยาที่กำลังโหมโรงบทรักกันอย่างนุ่มนวลไร้ซึ่งความรุนแรง มันเป็นครั้งแรกที่เมอร์ลินถูกโอบกอดด้วยความอ่อนโยนแต่กลับเต็มไปด้วยสัมผัสแสนหวือหวาชวนให้หัวใจสั่นกระเส่า ริมฝีปากอวบอิ่มเผยอครางเสียงแผ่วยามฝ่ามือของสามีลูบไล้ไปตามร่างกาย โจไซอาห์ลากพาริมฝีปากสัมผัสไปตามแนวลาดไหล่ขาวแล้วขึ้นมาแนวลำคอ ผิวขาว ๆ เย้ายวนชวนให้เขากัดฝากฝังรอยฟันไว้อย่างเด่นชัดสลับกับดูดเม้มทิ้งคิสมาร์กไว้เมอร์ลินเอียงศีรษะเล็กน้อยให้สามีได้เคล้าคลอกับคอของตนอย่างสะดวก แขนทางขวายกโอบรอบคอสามีพลางเลื่อนพาฝ่ามือสอดเข้ากลุ่มผมของโจไซอาห์ นิ้วทั้งห้ากดคลึงสลับกับจิกทึ้งยามลิ้นสามีแตะลงบนคอ ไม่อยากจะยอมรับแต่เมอร์ลินชอบสัมผัสยามที่โจไซอาห์พาลิ้นไปตามร่างกายของตน“คุณจะกัดบ่อยเกินไปแล้วนะครับ” เมอร์ลินเอ่ยขึ้นเมื่อความเจ็บจี๊ดที่คอเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ต้องส่องกระจกก็รู้ได้เลยว่าตอนนี้คอของเขาคงมีแต่รอยฟันและคิสมาร์กเติมเต็มไปหมดแน่ ๆ โจไซอาห์ไม่ได้ตอบอะไรภรรยาเพราะปากของเขากำลังฝากรอยลงบนผิวขาวอย