“ฉันมีเรื่องจะขออนุญาตนาย” หลังจากจูบกันจนพอใจแล้ว โจไซอาห์ก็ได้เอ่ยขึ้นพร้อมกับมองไปทางด้านหลังของเมอร์ลิน เมอร์ลินจึงหันมองตาม เขาก็เห็นเอกสารมากมายของตัวเองรวมถึงรูปสแกนที่แนบมา มือเรียวรีบหยิบกระดาษเอกสารอื่นปิดทับรูปนั้นทันที“จะขออะไรครับ” ถามกลับทั้งที่ไม่หันมามองหน้า“ฉันจะขอเอาเอกสารสำคัญของนายให้กับหมอคนหนึ่งที่ฉันรู้จัก ...ความพิเศษของนายจะใช้หมอคนไหนก็ได้ไม่ได้เด็ดขาด” เห็นอย่างนี้เขาก็มีพอมีเพื่อนสนิทที่คบอยู่บ้างแม้จะมีคนเดียวก็ตาม เป็นโชคดีที่เพื่อนคนนั้นเป็นหมออยู่ที่โรงพยาบาลในเครือโรนัลเดล มีความสามารถมากพอที่จะรับมือกับความพิเศษของเมอร์ลินได้ และเป็นคนเดียวที่เขาไว้ใจให้เห็นร่างกายเมอร์ลิน ก็เพราะว่าเพื่อนคนนั้นแต่งงานมีครอบครัวเรียบร้อยแล้ว“คุณไม่จำเป็นต้องขอผมก็ได้ครับ”“ถึงฉันจะเป็นสามีนายแต่ฉันไม่มีสิทธิ์เอาข้อมูลสำคัญของนายไปให้ใครก็ได้โดยปราศจากการยินยอม ว่าไง?”“คุณทำแบบนี้มันทำให้ผมรู้สึกแปลก ๆ นะครับ... เฮ้อ แต่เอาเถอะ ถ้าคุณคิดว่ามันดีกับผม ก็เอาไปเถอะครับ” เมอร์ลินละมือออกจากเอกสารแล้วดันอกกว้างให้ถอยห่างก่อนลงจากโต๊ะทำงาน “ขอบัตรหน่อยสิ ผมจะออกไปข้างนอก
ร้านอาหารอิตาเลียนเปิดใหม่ที่ตั้งอยู่ในเมืองหลวงรันเซีย คือสถานที่นัดพบระหว่างสูตินรีแพทย์อิดอน เลสเตอร์ และโจไซอาห์ เดิมทีสถานที่นัดพบของพวกเขาต้องเป็นร้านอาหารที่มีโซนส่วนตัวให้เลือก ทว่ารอบนี้โจไซอาห์ขอเปลี่ยนสถานที่เนื่องจากเหตุผลบางอย่างแต่ไม่ได้บอกมา อิดอนเพียงแต่ตกลงรับนัดของเพื่อนสนิทแล้วหาเวลาว่างที่แทบจะไม่มีมาให้ได้ก็พอแต่นี่... มันจะช้าเกินไปไหม! อะไรทำให้คนที่ตรงต่อเวลาแบบนั้นมันผิดเวลานัดกันวะ!“แกมาสายนะรู้ไหม?” อิดอนเอ่ยถามบุคคลที่เข้ามาด้วยความเคืองใจเล็กน้อย แล้วมองสำรวจเพื่อนที่แทบไม่ได้พบหน้าก่อนดวงตาเขาจะเบิกกว้างเมื่อเห็นแหวนบนนิ้วนางข้างซ้าย โจไซอาห์นั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามแล้ววางกระเป๋าที่ถือมาลงบนโต๊ะ“ฉันติดธุระสำคัญ” นั่นคือคำตอบที่ว่าทำไมเขามาสาย“แกแต่งงานแล้ว?! ตั้งแต่เมื่อไหร่” ความเคืองใจที่มีพลันสลายเมื่อได้เห็นของบางอย่างที่น่าสนใจกว่า เพื่อนเขาเนี่ยนะแต่งงาน? คนตรงหน้าเขาเนี่ยนะ?! อิดอนแทบไม่เชื่อสายตาแต่ความจริงที่ว่าแหวนอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายนั้นเป็นของจริง โจไซอาห์ปรายตามองแหวนบนนิ้วแล้วขยับนิ้วเบา ๆ“มันกะทันหันแต่ฉันแต่งมาห้าปีแล้ว”“ห้าปี?! ไอ
นัยน์ตาสีเทาสะท้อนภาพภรรยาที่ขยับไหวบนกายแกร่ง สีหน้าที่แสดงออกมามันช่างเย้ายวนชวนให้อยากจับกดลงบนเตียงแล้วมองร่างกายขาว ๆ สั่นคลอนไปตามแรงที่โหมใส่ มือเรียววางบนหน้าท้องสามีเพื่อค้ำจุนร่างกายช่วงบนขณะที่ช่วงล่างควบสะโพกกลืนกินตัวตนของโจไซอาห์ เมอร์ลินรู้ดีว่าตอนนี้ในท้องกำลังมีชีวิตเล็ก ๆ แรงควบที่ควรจะขึ้นสุดลงสุดจึงกลายเป็นเพียงความนุ่มนวลแต่กลับลึกล้ำพาให้ช่วงท้องน้อยวาบหวิว“อึก ฮื่ออ...” คิ้วเรียวได้รูปขมวดเข้าหากันอย่างขัดใจเล็กน้อยที่ไม่อาจทำตามความต้องการได้เต็มร้อย เมอร์ลินผ่อนลมหายใจก่อนมองหน้าสามีที่ตอนนี้มุมปากยกยิ้มนิด ๆ “ยิ้มอะไรครับ?” ถลึงตาใส่พร้อมคิ้วที่ขมวดหนักกว่าเดิม“เห็นคนหงุดหงิดแล้วสนุกดี” โจไซอาห์บอกไปตรง ๆ แต่ไม่ใช่แค่เมอร์ลินที่รู้สึกหงุดหงิดอยู่คนเดียว ตัวเขาเองก็เหมือนกัน อยากทำมากกว่านี้ อยากกอดเหมือนอย่างที่เคยแต่โจไซอาห์ก็รู้ว่าในเวลานี้เขาทำไม่ได้ เมอร์ลินที่ได้ยินคำตอบถึงกับหัวเสีย ยกเท้าขึ้นเหยียบบนอกกว้างพลางเม้มริมฝีปากก่อนกัดฟันพูดออกไปอย่างขุ่นเคือง“ผมไม่สนุกด้วยหรอกนะครับ!”“เหรอ?” โจไซอาห์ยิ้มแล้วจับข้อเท้าขาวก่อนยกออกจากอก ดึงข้อเท้าของเมอร์
“น้อยใจที่หนูลินกอดกับแม่อลิซเหรอคะ?” อเดลเอ่ยถามลูกชายด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานพลางเดินเข้ามาหาแล้วมองเสี้ยวหน้าของลูกชาย เธอยิ้มเมื่อสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยบนใบหน้าก่อนแขนเรียวจะเกี่ยวกอดแขนลูกชาย “เดินเล่นเป็นเพื่อนแม่หน่อยแล้วกัน” พูดจบก็เริ่มเดินไปตามทางที่ตรงไปยังสวนดอกไม้ อเดลพาลูกชายเดินมาถึงชิงช้าไม้ก่อนจะนั่งลง โจไซอาห์ยังคงเงียบแต่ก็ขยับกายไปยืนอีกด้านเพื่อบังแดดให้กับมารดา อเดลอดยิ้มไม่ได้ที่ลูกชายแสดงด้านที่อ่อนโยนออกมาให้เห็น“ตอนนี้มีแค่เราสองคนแล้ว ไหนลูกลองบอกแม่ทีว่าตอนนี้ลูกรู้สึกยังไง”“...ผมปกติดีครับ แม่ไม่ต้องเป็นห่วง”“แล้วโจซอธิบายให้แม่ฟังได้ไหมคะว่าเราเดินออกมาทำไม?” อเดลเงยหน้าขึ้นมองลูกชายแต่ให้ตายสิ... รีบหันหน้าหนีเธอทันทีเลย “ถ้าแม่อลิซรู้เข้า โจซคิดว่าแม่เขาจะเสียใจหรือไม่คะ?” อเดลเริ่มแกว่งชิงช้าเบา ๆ พลางมองดอกไม้นานาพันธุ์ขณะรอคำตอบจากลูกชาย“ผมขอโทษครับแม่” โจไซอาห์กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่อเดลสัมผัสถึงความรู้สึกผิดและคำขอโทษที่จริงใจ มือหนาทั้งสองข้างยกขึ้นกุมใบหน้าพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนนัยน์ตาสีเทาจะจ้องแหวนแต่งงานบนนิ้วนางซ้ายของตนเอง
ในที่สุดการแข่งขันเดอร์บี้ก็ดำเนินมาจนถึงรอบสุดท้าย ก่อนเริ่มการแข่งได้มีคนเข้ามาเคลียร์สนาม จัดการเกลี่ยดินให้กลับไปในสภาพเริ่มแรก ระหว่างที่พักสนามเพื่อรอเวลาเริ่มรอบไฟนอล เมอร์ลินนั่งกินไอศกรีมไปแล้วสามถ้วยและคนที่วิ่งซื้อคือไทกิกับโรมันที่สลับกันไปมา โจไซอาห์นั่งมองภรรยากินไอศกรีมด้วยสายตาภูมิใจราวกับเขาเป็นคนทำไอศกรีมเองกับมือ“ฉันขออีกถ้วยสิ” เมื่อถ้วยที่สี่หมดก็ถึงคราวถ้วยที่ห้า ไทกิวิ่งออกไปทันทีที่ได้ยิน “ว่าแต่คุณทิ้งกระดาษที่เด็กตรงทางเข้าให้มาหรือยังครับ” เอ่ยถามสามีขณะที่เอาแต่ดูดช้อนเพื่อเก็บความหวานเข้าปากให้หมด“ไม่แน่ใจแต่น่าจะทิ้งไปแล้ว” เพราะในมือของโจไซอาห์ตอนนี้ไม่มีอะไรอยู่เลยนอกจากแหวนแต่งงานบนนิ้วนางข้างซ้าย เมอร์ลินอยากจะรู้มากเลยว่าในกระดาษใบนั้นคืออะไรถึงได้ยืนแจกอยู่ที่ทางเข้าสนาม“เหมือนเป็นใบโหวตน่ะครับ ถึงจะบอกว่าโหวตแต่จริง ๆ ก็แค่การพนันธรรมดาครับ” โรมันที่ได้ยินค้อมตัวเล็กน้อยก่อนส่งใบที่เขาได้มาให้เมอร์ลินดู เมอร์ลินรับมาแล้วไล่สายตาดูมัน บนกระดาษมีตารางหมายเลขรถของผู้เข้าแข่งและเขียนกำกับไว้ว่าส่งมาจากไหน ช่องถัดมาเป็นช่องว่างขนาดใหญ่ช่องเดียวแต่มีก
หลังจากเมอร์ลินถูกพาตัวออกไป โรนัลเดลทั้งหกคนถูกรายล้อมไปด้วยคนของเซอร์นาร์ด คนจากองค์กรอื่น ๆ ที่ไม่อยากมีปัญหากับโรนัลเดลพากันถอยแล้วหาที่หลบแต่ไม่มีใครสักคนหนีกลับเพราะทุกคนที่นี่อยากเห็นประวัติศาสตร์ใหม่ด้วยตาของตนเอง รามิเอลที่ข่มใจมาตลอดนั้นทันทีที่ได้รับคำสั่งจากบิดา สายตาของเขาพลันเปลี่ยนไปพร้อมฝ่าเท้าที่ยกขึ้นถีบเข้าที่พุงกลม ๆ ของเซอร์นาร์ดเต็มแรงเซอร์นาร์ดที่ไม่ทันได้ตั้งตัวล้มก้นจ้ำเบ้าลงบนพื้นด้วยความตกตะลึง นี่เป็นครั้งแรกหลังจากขึ้นเป็นผู้นำของโบนตันซ์ ครั้งแรกที่มีใครกล้าถีบเขา ความช็อกทำให้เซอร์นาร์ดเกิดช่องว่างมากมายแต่รามิเอลยังไม่คิดจะสะสางเพราะคนที่จะคิดบัญชีกับมันคือน้องชาย ไม่ใช่รามิเอล คนของเซอร์นาร์ดที่ยืนอยู่รีบพุ่งมาหารามิเอลหวังจะฝากรอยแผลไว้บนหน้าที่เรียบเฉยนั่น แต่น่าเสียดายกึก...เท้าที่ออกวิ่งหยุดชะงักในระยะที่ห่างจากรามิเอลเพียงไม่ถึงครึ่งเก้า หมัดของมันใกล้จะถึงใบหน้าของรามิเอลอยู่แล้ว ทว่ากระสุนจากทางคฤหาสน์พุ่งเจาะหลังศีรษะอย่างแม่นยำไร้สุ้มเสียงให้รู้ตัว หยาดเลือดสีแดงกระเซ็นใส่ใบหน้าหล่อเหลาของรามิเอล น่าแปลกที่เลือดกลับทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากขึ้
ความหรูหราแสนโออ่าของห้องน้ำยังคงสมราคาต่อหนึ่งคืนที่ไม่ต่ำกว่าหลักแสนดอลลาร์ หน้ากระจกทรงกลมขนาดใหญ่สะท้อนภาพของสามีภรรยาที่กำลังโหมโรงบทรักกันอย่างนุ่มนวลไร้ซึ่งความรุนแรง มันเป็นครั้งแรกที่เมอร์ลินถูกโอบกอดด้วยความอ่อนโยนแต่กลับเต็มไปด้วยสัมผัสแสนหวือหวาชวนให้หัวใจสั่นกระเส่า ริมฝีปากอวบอิ่มเผยอครางเสียงแผ่วยามฝ่ามือของสามีลูบไล้ไปตามร่างกาย โจไซอาห์ลากพาริมฝีปากสัมผัสไปตามแนวลาดไหล่ขาวแล้วขึ้นมาแนวลำคอ ผิวขาว ๆ เย้ายวนชวนให้เขากัดฝากฝังรอยฟันไว้อย่างเด่นชัดสลับกับดูดเม้มทิ้งคิสมาร์กไว้เมอร์ลินเอียงศีรษะเล็กน้อยให้สามีได้เคล้าคลอกับคอของตนอย่างสะดวก แขนทางขวายกโอบรอบคอสามีพลางเลื่อนพาฝ่ามือสอดเข้ากลุ่มผมของโจไซอาห์ นิ้วทั้งห้ากดคลึงสลับกับจิกทึ้งยามลิ้นสามีแตะลงบนคอ ไม่อยากจะยอมรับแต่เมอร์ลินชอบสัมผัสยามที่โจไซอาห์พาลิ้นไปตามร่างกายของตน“คุณจะกัดบ่อยเกินไปแล้วนะครับ” เมอร์ลินเอ่ยขึ้นเมื่อความเจ็บจี๊ดที่คอเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ต้องส่องกระจกก็รู้ได้เลยว่าตอนนี้คอของเขาคงมีแต่รอยฟันและคิสมาร์กเติมเต็มไปหมดแน่ ๆ โจไซอาห์ไม่ได้ตอบอะไรภรรยาเพราะปากของเขากำลังฝากรอยลงบนผิวขาวอย
ระหว่างที่โจไซอาห์พาเมอร์ลินไปโรงพยาบาลตามนัด ทางด้านเอเวอร์เร็ตต์กลับได้รับรายงานที่ไม่คาดคิด แถมทางนั้นยังเป็นฝ่ายติดต่อมาหาหลังได้รับรายงานแค่สามนาที เอเวอร์เร็ตต์รู้จัก เอดิสัน คาร์ลอฟ เป็นอย่างดี แม้เบื้องหน้าจะเป็นนักธุรกิจระดับมหาเศรษฐีแต่เบื้องหลังกลับกอบกุมอำนาจไว้มากมาย การทะเยอทะยานของเอดิสันมันมากกว่าเขาหลายล้านเท่า ทว่า คนที่ติดต่อเขาเข้ามากลับไม่ใช่เอดิสัน แต่เป็น มาเวอริค คาร์ลอฟ ลูกชายคนโตและยังเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของเมอร์ลินหรือถ้าพูดให้เข้าใจง่าย มาเวอริคเป็นพี่ชายที่เกิดจากพ่อแม่เดียวกันส่วนเรื่องระยะห่างของอายุ เอเวอร์เร็ตต์ยังไม่ทราบแน่ชัด“ทางนั้นติดต่อมาว่ายังไงคะ?” อลิซเอ่ยถามสามีก่อนเดินอ้อมมาด้านหลังแล้วโอบคอสามีด้วยความเป็นห่วง ส่วนอเดลยกกาแฟกับขนมทานเล่นเข้ามาให้“เกี่ยวกับหนูลินหรือเปล่าคะ?” มือเรียวยกแก้วกาแฟออกจากถาด แล้ววางลงบนโต๊ะทำงานสามีพร้อมกับเอ่ยถามด้วยความเป็นกังวล“อา ทางนั้นบอกว่าจะเข้ามาเยี่ยมหนูเมอร์ลินในอีกสามวัน” เอเวอร์เร็ตต์ตอบภรรยาแล้วยกแก้วกาแฟขึ้นจรดริมฝีปากรับรสกาแฟดำของโปรดก่อนจะพูดต่อ “ถ้าคนมาคือเอดิสัน ผมยังพอจะรับมือได้ แต่ส่งลูกชายคน