ระหว่างที่โจไซอาห์พาเมอร์ลินไปโรงพยาบาลตามนัด ทางด้านเอเวอร์เร็ตต์กลับได้รับรายงานที่ไม่คาดคิด แถมทางนั้นยังเป็นฝ่ายติดต่อมาหาหลังได้รับรายงานแค่สามนาที เอเวอร์เร็ตต์รู้จัก เอดิสัน คาร์ลอฟ เป็นอย่างดี แม้เบื้องหน้าจะเป็นนักธุรกิจระดับมหาเศรษฐีแต่เบื้องหลังกลับกอบกุมอำนาจไว้มากมาย การทะเยอทะยานของเอดิสันมันมากกว่าเขาหลายล้านเท่า ทว่า คนที่ติดต่อเขาเข้ามากลับไม่ใช่เอดิสัน แต่เป็น มาเวอริค คาร์ลอฟ ลูกชายคนโตและยังเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของเมอร์ลินหรือถ้าพูดให้เข้าใจง่าย มาเวอริคเป็นพี่ชายที่เกิดจากพ่อแม่เดียวกันส่วนเรื่องระยะห่างของอายุ เอเวอร์เร็ตต์ยังไม่ทราบแน่ชัด“ทางนั้นติดต่อมาว่ายังไงคะ?” อลิซเอ่ยถามสามีก่อนเดินอ้อมมาด้านหลังแล้วโอบคอสามีด้วยความเป็นห่วง ส่วนอเดลยกกาแฟกับขนมทานเล่นเข้ามาให้“เกี่ยวกับหนูลินหรือเปล่าคะ?” มือเรียวยกแก้วกาแฟออกจากถาด แล้ววางลงบนโต๊ะทำงานสามีพร้อมกับเอ่ยถามด้วยความเป็นกังวล“อา ทางนั้นบอกว่าจะเข้ามาเยี่ยมหนูเมอร์ลินในอีกสามวัน” เอเวอร์เร็ตต์ตอบภรรยาแล้วยกแก้วกาแฟขึ้นจรดริมฝีปากรับรสกาแฟดำของโปรดก่อนจะพูดต่อ “ถ้าคนมาคือเอดิสัน ผมยังพอจะรับมือได้ แต่ส่งลูกชายคน
“น หน้าของท่าน...” อิวานแทบไม่อยากเชื่อสายตาว่าใบหน้าของผู้เป็นนายที่แสนเพอร์เฟกต์คนนี้จะมีบาดแผลกลับออกมา อิวานยังคงช็อกแม้ตอนนี้เจ้านายเขาจะขึ้นมาบนรถแล้ว มาเวอริคไม่สนใจอิวาน เขาถอดเสื้อโค้ทโยนไปทางที่นั่งว่างด้านข้างพร้อมเสื้อสเวทเตอร์ที่ถูกถอดตามหลัง ทำให้ร่างกายกำยำท่อนบนไร้อาภรณ์ปกปิด“ในรถมีขวดน้ำไหม?” เอ่ยถามเสียงเรียบก่อนอิวานจะรีบส่งขวดน้ำขวดใหม่พร้อมเปิดฝาให้ผู้เป็นนาย มาเวอริครับมาแล้วเงยหน้าราดน้ำล้างคราบเหนียวของนมและเลือดที่เริ่มแห้งกรัง อิวานมองน้ำที่ไหลออกจากปากขวดลงบนใบหน้าของเจ้านายผ่านกระจกหลัง สายตาของเขาไม่อาจละจากภาพตรงหน้าได้เลยยิ่งเห็นธารน้ำไหลลงมาตามแนวลำคอล่ำสัน ผ่านลูกกระเดือกที่ขยับขึ้นลงจนมาที่ร่างกายท่อนบน บวกกับหยาดน้ำที่เกาะติดตามรอยสักงูพันมังกรนั่น อิวานเริ่มเข้าใจเพื่อนร่วมงานอย่างฟินน์ทันทีว่าทำไมถึงได้ยอมให้คนคนนี้มากนัก“ให้ตายสิ เมอร์ลินมือหนักขนาดนี้เลยหรือไง” พอล้างคราบเหนียวและคราบเลือดออก มาเวอริคจึงยกมือแตะที่แผลแล้วพึมพำขึ้นมา จะว่าไปเขาก็ภูมิใจที่อย่างน้อยน้องชายเขาไม่ได้เติบโตมาอย่างอ่อนแอและลองคิดดู หากตอนนี้เมอร์ลินอยู่ที่คาร์ลอฟ จะถู
At Ronaldel Villa(ย้อนกลับมาเล็กน้อย หลังงานสังสรรค์องค์กรผ่านไป 3 วัน)เอเวอร์เร็ตต์ได้รับการติดต่อจาก มาเวอริค คาร์ลอฟ อย่างกะทันหันแถมเป็นการติดต่อเข้ามาแบบส่วนตัวโดยที่เอเวอร์เร็ตต์ได้แต่ชื่นชมในความสามารถและตอบรับการนัดพบเพื่อพูดคุยครั้งนี้ สถานที่คือ Lilly Dell Hotel โรงแรมเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างจากเหมืองหลวงพอสมควร ซึ่งการเดินทางคงใช้เวลามากกว่าห้าชั่วโมงอย่างต่ำไม่รวมตอนกลับ เอเวอร์เร็ตต์ตั้งใจจะพาเหล่าลูกชายไปด้วยเพราะทางมาเวอริคก็ขอให้พามาเพื่อรับฟัง แต่ว่าโจไซอาห์คงไม่ได้ไปเนื่องจากช่วงนี้ลูกสะใภ้ติดหนักเมอร์ลินเริ่มติดสามีไม่ห่างก็หลังกลับจากงานสังสรรค์องค์กร เอเวอร์เร็ตต์พอรู้เรื่องราวจากลูก ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่อลิซกับอเดลมีความเห็นต่างเล็กน้อยตรงที่ นั่นอาจจะเป็นการแพ้ท้องของเมอร์ลิน จะติดสามีหรือเหม็นหน้าสามีก็ได้ทั้งนั้นเหมือนครั้งที่อลิซและอเดลเคยเป็นอลิซตอนท้องพอร์ชมีอาการเหม็นหน้าสามีนานไปหลายเดือนอเดลตอนท้องโจไซอาห์ก็เป็นเหมือนกับพี่สาวแต่หนักกว่ามากเอเวอร์เร็ตต์จึงรู้สึกอิจฉาลูกชายในใจที่เมียติดหนักและติดถึงขั้นที่ขยับไปไหนทีก็ลำบากแต่เป็นความลำบากที่เขาอิจฉาจากใจ
ภาพที่โจไซอาห์อุ้มเมอร์ลินเดินมาตามทางย่อมถูกมองเป็นธรรมดา ใครหลายคนภูมิใจที่เจ้านายและภรรยาของเขาพัฒนาความสัมพันธ์ไปในทางที่ดีขึ้นอย่างก้าวกระโดด เห็นความกระหนุงกระหนิงของทั้งคู่แล้วก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเหมาะสมกันแค่ไหน ทว่า ไทกิสังเกตเห็นความเร็วของการก้าวขาของผู้เป็นนาย บวกกับดูสีหน้าของคุณชายเมอร์ลิน เขาก็รู้ได้ทันทีว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากถึงห้อง แต่ก็หวังว่าจะระวังกันสักหน่อยเพราะตอนนี้ คุณหนูหรือนายน้อยของพวกเขายังคงอ่อนแออยู่ในท้องของคุณชายเมอร์ลิน“คุณหนูแน่ ๆ” โรมันที่มองตามผู้เป็นนายโพล่งขึ้นก่อนถูกเพื่อนสนิทอย่างไทกิมองด้วยสายตาเอือมระอา“แกเป็นอะไรกับคุณหนูนักหนาวะ”“ก็อยากได้คุณหนู แกดูหน้าชั่ว ๆ ของพวกเราและพวกนั้นสิ ตอนนี้ต้องมีแต่ความสดใสและความน่ารักของคุณหนูเข้าแทรกเท่านั้น โรนัลเดลถึงจะสมดุล เข้าใจ๊?” โรมันบอกแล้วละสายตาไปทางสวนดอกไม้มากมายที่มีก่อนจะกล่าวต่อ “แล้วคฤหาสน์ของโรนัลเดลส่วนมากก็มีสวนดอกไม้เต็มไปหมด นึกภาพคุณหนูวิ่งกลางสวนดอกไม้สิ คนสวนคงได้รับพลังงานและมีกระจิตกระใจทำงานเหมือนพวกเรานั่นแหละ” เพราะโรมันคิดเสมอว่าเด็ก ๆ น่ารักคือพลังงานบวกที่แสนสดใส แน่นอ
แม้จะยังไม่ถึงวันครบรอบแต่งงานปีที่ 6 แต่บรรยากาศโดยรอบของโจไซอาห์และเมอร์ลินก็ได้ยกระดับจากเดิมมาก ๆ จากสามีภรรยาจำเป็นสู่สามีภรรยาที่แท้จริง ต้องขอบคุณการเปลี่ยนแหวนและขอบคุณโจไซอาห์ที่กล้าแสดงความรู้สึกของตนเองออกมาก่อนใคร ยอมลดให้ภรรยาในหลาย ๆ เรื่อง เมอร์ลินเองก็เช่นกัน แต่มีเรื่องเดียวที่เมอร์ลินไม่ยอม นั่นก็คือเรื่องงาน ถึงช่วงนี้จะถูกเอเวอร์เร็ตต์สั่งงดงานทุกอย่าง แต่หากเป็นงานเอกสารง่าย ๆ ที่ค้างเป็นกอง เมอร์ลินก็อยากให้สามีทำมันให้เสร็จ ด้วยเหตุนั้น โต๊ะทำงานของโจไซอาห์ จึงถูกขนย้ายมาอยู่ที่ห้องนอนชั่วคราว“เหมือนเท้าผมบวมเลยแฮะ” เมอร์ลินเปรยขึ้นขณะมองเท้าทั้งสองข้างของตนเอง“หาหมอไหม?” คนที่ทำงานอยู่ชะงักมือแล้วเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารพร้อมเอ่ยถาม“ไม่ครับ มันเรื่องปกติของคนท้องน่ะ ตกใจเหรอครับ? ขอโทษนะ” เมอร์ลินหันมองหน้าสามีพลางยิ้มแห้ง ส่วนตัวแล้วเมอร์ลินคิดว่าในขณะที่ท้องจะเอาแต่พึ่งพาหมอทุกเรื่องก็ไม่ได้ เขาเลยนั่งหาข้อมูลเกี่ยวกับคนท้องว่ามีอะไรบ้าง อาการในแต่ละเดือนเป็นยังไง อะไรจะเกิดขึ้นในระหว่างตั้งท้องบ้าง นั่งหานั่งอ่านจนเพลิน ส่วนหน้าอกที่ไม่ได้มีเหมือนผู้หญิง แ
การประชุมใหญ่ของโรนัลเดลจะเริ่มเมื่ออาเรียกลับมา ส่วนวันนี้เป็นเพียงการประชุมคร่าว ๆ เท่านั้น เมอร์ลินเองก็นั่งฟังด้วยเช่นกัน แต่แน่นอนว่าในใจของเมอร์ลินมันอยู่ไม่สุข คิดอยู่ตลอดเวลาว่ามาเวอริคจะเป็นอะไรมากหรือเปล่า“ฉันบอกก่อนว่าอันดับแรกที่ฉันจะทำ ไม่ใช่การใช้กำลังแต่มันคือการเจรจา หากเป็นไปได้ก็อยากจบที่การเจรจา เพราะฉันไม่อยากสูญเสียคนของเราไปสักคนเดียว แค่คนเดียวก็ไม่เข้าใจใช่ไหม?” เอเวอร์เร็ตต์กล่าวขึ้น แม้เขาจะมั่นใจในฝีมือของลูกน้อง แต่เขาก็มั่นใจว่าทางนั้นไม่ใช่ของเคี้ยวง่ายเหมือนองค์กรในรันเซีย หากในรันเซียโรนัลเดลคือที่หนึ่ง ที่อื่นก็ได้แค่ยืนอยู่หน้าสตาร์ทไลน์เท่านั้น “คิดว่าเป็นไปได้ไหมหนูเมอร์ลิน?” หันถามเมอร์ลินที่นั่งอยู่ คนถูกถามสะดุ้งก่อนไล่สายตามองทุกคนที่มองมาแล้วตอบคำถามนั้น“น่าจะยากนะครับ เพราะถ้าคุณพ่ออยากจบที่การเจรจาโดยไม่สูญเสียคนของเราไป เอดิสันต้องยื่นข้อเสนอมากมายที่ทางโรนัลเดลเสียประโยชน์แน่นอน” เมอร์ลินตอบไปตามจริงที่อาจจะเกิดขึ้น และมันมากถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์เชียวล่ะ “เอดิสันเป็นผู้ชายที่กระหายอำนาจทุกอย่างบนโลกใบนี้ แค่การเจรจาพูดคุยกันมันน่าจะเป็นเร
การเจรจาถูกยุติลงอย่างรวดเร็วเพราะทางคาร์ลอฟไม่ได้คิดจะเจรจามาตั้งแต่แรก เอเวอร์เร็ตต์รู้สึกโกรธพอสมควรแต่เขาแสดงมันออกมาไม่ได้ เขาเป็นคนบอกให้ทุกคนสุขุม เขาเป็นคนบอกให้ทุกคนเยือกเย็น แต่คนที่บอกจะมาเสียความสุขุมหรือเสียความเยือกเย็นเองนั้น ไม่ได้เด็ดขาดเลย“การเดินทางอาจจะต้องเลื่อนออกไปในอีกสามวันครับนายท่าน” คริมป์เดินเข้ามากระซิบบอกกับเอเวอร์เร็ตต์ “ผมติดต่อกับสนามบินของอิงเกรเซียนเพื่อเช่าพื้นที่จอดเครื่องบินของเราแล้วครับ แต่ปัญหามันติดตรงที่...”“ทำไม คาร์ลอฟมันขัดขวางงั้นเหรอ?” เอเวอร์เร็ตต์เอ่ยถามก่อนที่คริมป์จะพูดจบ“เปล่าครับ แต่ติดตรงที่ทางเครื่องบินขนส่งของรันเซียมีว่างเพียงหนึ่งลำ เราต้องใช้จำนวนสามลำเพื่อเคลื่อนย้ายรถของเราครับ” คริมป์อธิบายเนื่องจากครั้งนี้พวกเขาต้องไปต่างประเทศที่เป็นถิ่นของศัตรู แน่นอนว่ามันไม่มีรถมารอรับพวกเขาถึงที่หรอก ดังนั้น การเคลื่อนไหวเดียวที่พวกเขาทำได้ก็มีแค่ต้องนำรถของพวกเขาไปเอง เอเวอร์เร็ตต์จึงได้ให้คริมป์สอบถามสนามบินรันเซียถึงเครื่องบินขนส่ง ด้วยจำนวนคนที่ขนไปมากกว่าหนึ่งร้อย รถที่ต้องใช้เลยมีจำนวนมากกว่ายี่สิบคัน“แต่จะพร้อมในอีกสามว
(ก่อนหน้านี้ที่พักของ พอร์ช โรนัลเดล)พอร์ชนั่งหอบอยู่ข้างศพหลังจากฆ่าคนสุดท้ายของคาร์ลอฟสำเร็จ หลุยส์ที่เป็นคนสนิทไม่ได้อยู่ด้วยเพราะรายนั้นลงไปสั่งงานกับลูกน้องคนอื่น ๆ แต่ไม่คาดคิดว่าจะถูกบุกมาเร็วขนาดนี้ พอร์ชยกเท้าถีบเอวร่างไร้วิญญาณก่อนเอนหลังนอนแผ่ลงบนพื้นแล้วมองเพดานห้อง การต่อสู้ที่เน้นหนักเรื่องพละกำลังและเทคนิคแบบนี้ เขาไม่ถนัดเอาเสียเลย ไม่ถนัดจริง ๆ พอร์ชยกมือเช็ดเลือดที่มุมปากก่อนหลับตาลงแม้ตอนนี้ตัวเขาจะลำบากแต่ในใจกลับเป็นห่วงหญิงสาวที่เขารัก เอมี่จะปลอดภัยดีหรือเปล่า? เอมี่จะไม่เป็นอะไรใช่ไหม? คิดแล้วก็เกิดความกังวลขึ้นมาแต่ก่อนที่พอร์ชจะได้ขยับตัว หลุยส์ก็เดินผ่านประตูที่เปิดกว้างเข้ามาข้างใน หลุยส์เดินมาหยุดข้างเจ้านายที่นอนใกล้ศพก่อนพูดชมจากใจ“ทำได้ดีนี่ครับคุณชาย” หลุยส์มองไปรอบ ๆ หลังพูดจบ เขารู้ว่าเจ้านายของเขาไม่ใช่สายบู๊แบบคุณชายเจฟรีย์ คุณชายรามิเอลและคุณชายโจไซอาห์ แต่ทำได้ดีขนาดนี้ก็ถือว่าสมแล้วที่เป็นโรนัลเดลเหมือนกัน พอร์ชมองคนเข้ามาใหม่ก่อนชี้นิ้วไปที่ห้องครัว“เอาน้ำมาให้ฉันที”“ครับ ๆ” หลุยส์เดินผ่านศพที่ระเกะระกะเข้าไปยังห้องครัว เขาเปิดตู้เย็นแล้ว