แม้จะยังไม่ถึงวันครบรอบแต่งงานปีที่ 6 แต่บรรยากาศโดยรอบของโจไซอาห์และเมอร์ลินก็ได้ยกระดับจากเดิมมาก ๆ จากสามีภรรยาจำเป็นสู่สามีภรรยาที่แท้จริง ต้องขอบคุณการเปลี่ยนแหวนและขอบคุณโจไซอาห์ที่กล้าแสดงความรู้สึกของตนเองออกมาก่อนใคร ยอมลดให้ภรรยาในหลาย ๆ เรื่อง เมอร์ลินเองก็เช่นกัน แต่มีเรื่องเดียวที่เมอร์ลินไม่ยอม นั่นก็คือเรื่องงาน ถึงช่วงนี้จะถูกเอเวอร์เร็ตต์สั่งงดงานทุกอย่าง แต่หากเป็นงานเอกสารง่าย ๆ ที่ค้างเป็นกอง เมอร์ลินก็อยากให้สามีทำมันให้เสร็จ ด้วยเหตุนั้น โต๊ะทำงานของโจไซอาห์ จึงถูกขนย้ายมาอยู่ที่ห้องนอนชั่วคราว“เหมือนเท้าผมบวมเลยแฮะ” เมอร์ลินเปรยขึ้นขณะมองเท้าทั้งสองข้างของตนเอง“หาหมอไหม?” คนที่ทำงานอยู่ชะงักมือแล้วเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารพร้อมเอ่ยถาม“ไม่ครับ มันเรื่องปกติของคนท้องน่ะ ตกใจเหรอครับ? ขอโทษนะ” เมอร์ลินหันมองหน้าสามีพลางยิ้มแห้ง ส่วนตัวแล้วเมอร์ลินคิดว่าในขณะที่ท้องจะเอาแต่พึ่งพาหมอทุกเรื่องก็ไม่ได้ เขาเลยนั่งหาข้อมูลเกี่ยวกับคนท้องว่ามีอะไรบ้าง อาการในแต่ละเดือนเป็นยังไง อะไรจะเกิดขึ้นในระหว่างตั้งท้องบ้าง นั่งหานั่งอ่านจนเพลิน ส่วนหน้าอกที่ไม่ได้มีเหมือนผู้หญิง แ
การประชุมใหญ่ของโรนัลเดลจะเริ่มเมื่ออาเรียกลับมา ส่วนวันนี้เป็นเพียงการประชุมคร่าว ๆ เท่านั้น เมอร์ลินเองก็นั่งฟังด้วยเช่นกัน แต่แน่นอนว่าในใจของเมอร์ลินมันอยู่ไม่สุข คิดอยู่ตลอดเวลาว่ามาเวอริคจะเป็นอะไรมากหรือเปล่า“ฉันบอกก่อนว่าอันดับแรกที่ฉันจะทำ ไม่ใช่การใช้กำลังแต่มันคือการเจรจา หากเป็นไปได้ก็อยากจบที่การเจรจา เพราะฉันไม่อยากสูญเสียคนของเราไปสักคนเดียว แค่คนเดียวก็ไม่เข้าใจใช่ไหม?” เอเวอร์เร็ตต์กล่าวขึ้น แม้เขาจะมั่นใจในฝีมือของลูกน้อง แต่เขาก็มั่นใจว่าทางนั้นไม่ใช่ของเคี้ยวง่ายเหมือนองค์กรในรันเซีย หากในรันเซียโรนัลเดลคือที่หนึ่ง ที่อื่นก็ได้แค่ยืนอยู่หน้าสตาร์ทไลน์เท่านั้น “คิดว่าเป็นไปได้ไหมหนูเมอร์ลิน?” หันถามเมอร์ลินที่นั่งอยู่ คนถูกถามสะดุ้งก่อนไล่สายตามองทุกคนที่มองมาแล้วตอบคำถามนั้น“น่าจะยากนะครับ เพราะถ้าคุณพ่ออยากจบที่การเจรจาโดยไม่สูญเสียคนของเราไป เอดิสันต้องยื่นข้อเสนอมากมายที่ทางโรนัลเดลเสียประโยชน์แน่นอน” เมอร์ลินตอบไปตามจริงที่อาจจะเกิดขึ้น และมันมากถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์เชียวล่ะ “เอดิสันเป็นผู้ชายที่กระหายอำนาจทุกอย่างบนโลกใบนี้ แค่การเจรจาพูดคุยกันมันน่าจะเป็นเร
การเจรจาถูกยุติลงอย่างรวดเร็วเพราะทางคาร์ลอฟไม่ได้คิดจะเจรจามาตั้งแต่แรก เอเวอร์เร็ตต์รู้สึกโกรธพอสมควรแต่เขาแสดงมันออกมาไม่ได้ เขาเป็นคนบอกให้ทุกคนสุขุม เขาเป็นคนบอกให้ทุกคนเยือกเย็น แต่คนที่บอกจะมาเสียความสุขุมหรือเสียความเยือกเย็นเองนั้น ไม่ได้เด็ดขาดเลย“การเดินทางอาจจะต้องเลื่อนออกไปในอีกสามวันครับนายท่าน” คริมป์เดินเข้ามากระซิบบอกกับเอเวอร์เร็ตต์ “ผมติดต่อกับสนามบินของอิงเกรเซียนเพื่อเช่าพื้นที่จอดเครื่องบินของเราแล้วครับ แต่ปัญหามันติดตรงที่...”“ทำไม คาร์ลอฟมันขัดขวางงั้นเหรอ?” เอเวอร์เร็ตต์เอ่ยถามก่อนที่คริมป์จะพูดจบ“เปล่าครับ แต่ติดตรงที่ทางเครื่องบินขนส่งของรันเซียมีว่างเพียงหนึ่งลำ เราต้องใช้จำนวนสามลำเพื่อเคลื่อนย้ายรถของเราครับ” คริมป์อธิบายเนื่องจากครั้งนี้พวกเขาต้องไปต่างประเทศที่เป็นถิ่นของศัตรู แน่นอนว่ามันไม่มีรถมารอรับพวกเขาถึงที่หรอก ดังนั้น การเคลื่อนไหวเดียวที่พวกเขาทำได้ก็มีแค่ต้องนำรถของพวกเขาไปเอง เอเวอร์เร็ตต์จึงได้ให้คริมป์สอบถามสนามบินรันเซียถึงเครื่องบินขนส่ง ด้วยจำนวนคนที่ขนไปมากกว่าหนึ่งร้อย รถที่ต้องใช้เลยมีจำนวนมากกว่ายี่สิบคัน“แต่จะพร้อมในอีกสามว
(ก่อนหน้านี้ที่พักของ พอร์ช โรนัลเดล)พอร์ชนั่งหอบอยู่ข้างศพหลังจากฆ่าคนสุดท้ายของคาร์ลอฟสำเร็จ หลุยส์ที่เป็นคนสนิทไม่ได้อยู่ด้วยเพราะรายนั้นลงไปสั่งงานกับลูกน้องคนอื่น ๆ แต่ไม่คาดคิดว่าจะถูกบุกมาเร็วขนาดนี้ พอร์ชยกเท้าถีบเอวร่างไร้วิญญาณก่อนเอนหลังนอนแผ่ลงบนพื้นแล้วมองเพดานห้อง การต่อสู้ที่เน้นหนักเรื่องพละกำลังและเทคนิคแบบนี้ เขาไม่ถนัดเอาเสียเลย ไม่ถนัดจริง ๆ พอร์ชยกมือเช็ดเลือดที่มุมปากก่อนหลับตาลงแม้ตอนนี้ตัวเขาจะลำบากแต่ในใจกลับเป็นห่วงหญิงสาวที่เขารัก เอมี่จะปลอดภัยดีหรือเปล่า? เอมี่จะไม่เป็นอะไรใช่ไหม? คิดแล้วก็เกิดความกังวลขึ้นมาแต่ก่อนที่พอร์ชจะได้ขยับตัว หลุยส์ก็เดินผ่านประตูที่เปิดกว้างเข้ามาข้างใน หลุยส์เดินมาหยุดข้างเจ้านายที่นอนใกล้ศพก่อนพูดชมจากใจ“ทำได้ดีนี่ครับคุณชาย” หลุยส์มองไปรอบ ๆ หลังพูดจบ เขารู้ว่าเจ้านายของเขาไม่ใช่สายบู๊แบบคุณชายเจฟรีย์ คุณชายรามิเอลและคุณชายโจไซอาห์ แต่ทำได้ดีขนาดนี้ก็ถือว่าสมแล้วที่เป็นโรนัลเดลเหมือนกัน พอร์ชมองคนเข้ามาใหม่ก่อนชี้นิ้วไปที่ห้องครัว“เอาน้ำมาให้ฉันที”“ครับ ๆ” หลุยส์เดินผ่านศพที่ระเกะระกะเข้าไปยังห้องครัว เขาเปิดตู้เย็นแล้ว
ณ ด้านหน้าประตูบานใหญ่ของคฤหาสน์คาร์ลอฟ มีรถเบนซ์จำนวนหลายสิบคันจอดอยู่ เอเวอร์เร็ตต์ โรนัลเดล ผู้ปกครองสูงสุดเดินลงจากรถพร้อมด้วยลูกสาวฝาแฝดที่มาในชุดวอร์มสีดำและสีเทาเพื่อการเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่ว เอเวอร์เร็ตต์ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณว่าให้เหล่ามือสไนเปอร์หยุดการยิง เมื่อได้รับการยืนยันว่าสไนเปอร์หยุดแล้ว เอเวอร์เร็ตต์จึงเดินมาหยุดที่หน้าประตูบานใหญ่“ฉันเอเวอร์เร็ตต์ ต้องการพบเอดิสันเพื่อเจรจาอีกครั้ง” เอเวอร์เร็ตต์กล่าวไปตามตรง ตั้งแต่เหยียบแผ่นดินของประเทศนี้ เขาและคนของเขาไม่ได้พักผ่อนเลยแม้แต่วินาทีเดียว การปะทะมันเริ่มขึ้นทันทีที่เช็กอินเข้าโรงแรมได้เพียงสิบนาที เป็นค่ำคืนที่ยาวนานและสูญเสียคนของเขาไปมาก เอเวอร์เร็ตต์ที่เสียคนไปหลายคนและเป็นการสูญเสียที่ไม่ต้องการ มันทำให้เขาอยากจบเรื่องนี้ให้ดีที่สุด จบโดยที่ไม่มีการสูญเสียเพิ่มขึ้น[ฉันไม่มีความจำเป็นต้องเจรจากับแก] เสียงที่ดังออกมาจากคฤหาสน์คือเสียงของเอดิสัน เอเวอร์เร็ตต์มองไปรอบ ๆ ก่อนเห็นกล้องวงจรปิดที่ส่องมาทางเขา เขาจึงหันหน้าไปแล้วมองเข้าไปในกล้องราวกับสบตากับเอดิสันที่มองจออยู่“ฉันคิดว่าการสูญเสียที่เกิดตอนนี้มันสมควรพอ
(ย้อนกลับไปตอนที่การปะทะจบลง)ซีเจสกับปีเตอร์เดินลงจากดาดฟ้าหลังทำภารกิจสำเร็จ ความเงียบปกคลุมบรรยากาศระหว่างพวกเขาทั้งคู่ ซีเจสเองก็เห็นเหตุการณ์ผ่านจากกล้องส่องทางไกล แน่นอนว่าในใจเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ทว่าเขาไม่อาจย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรได้ หากเอดิสันยอมเจรจาด้วยดีแต่แรกมันก็คงไม่เกิดการสูญเสียที่หนักหน่วงขนาดนี้ ปีเตอร์เองก็เช่นกัน เขาเป็นคนเหนี่ยวไกและที่ไม่ได้ใส่ที่เก็บเสียงก็เพราะเขาอยากให้ลูกรักเป็นคนปิดฉากสงครามนี้ แต่กลับกลายเป็นอเล็กซานเดอร์ที่เป็นคนจบมัน“เฮ้อ...” ทั้งสองถอนหายใจออกมาพร้อมกัน หันมองหน้ากันแล้วหัวเราะเบา ๆ พอเดินมาหยุดหน้าลิฟต์ก็ต้องชะงักก่อนหันไปทางมุมที่พัก ที่จัดไว้สำหรับให้ลูกค้านั่งพักผ่อนระหว่างรอลิฟต์มา พวกเขาเห็นเอ็มมานูเอลนอนหลับอยู่บนโซฟา ขาข้างหนึ่งยกพาดบนพนักพิง ส่วนขาอีกข้างเหยียดยาว มือข้างหนึ่งที่ตกลงบนพื้นคีบบุหรี่ที่ยังไม่ดับ ส่วนมืออีกข้างพาดอยู่บนอกพร้อมกล้องส่องทางไกล‘ลอบฆ่าดีไหมหัวหน้า?’ ปีเตอร์กระซิบถามก่อนถูกซีเจสตบหัวไปหนึ่งที โทษฐานพูดอะไรไม่คิด ถึงเอ็มมานูเอลจะนอนอยู่แต่ซีเจสมองไม่เห็นช่องว่างให้ทำแบบนั้นเลย กลับกันปล่อยไปจะด
สมาชิกโรนัลเดลถูกเข็นเข้าโรงพยาบาลเป็นว่าเล่นท่ามกลางความตกใจและความสนใจของใครหลายคน รวมถึงตัวเอเวอร์เร็ตต์และเหล่าทายาทที่เดินเข้ามาพร้อมกัน อิดอนที่กำลังจะออกเวรถูกเรียกตัวกะทันหัน เขาลังเลเพราะมีนัดกับภรรยาแต่อิดอนก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ เขาส่งข้อความไปบอกกับภรรยาว่าจะกลับช้าจากที่บอกไว้เล็กน้อย จากนั้นอิดอนก็ถูกส่งไปรักษาคนของโรนัลเดล ส่วนผู้นำตระกูลกับเหล่าทายาทถูกเหล่าแพทย์ตำแหน่งสูงแย่งกันรักษาเพื่อเอาหน้า‘ไปตีกับใครที่ไหนมาล่ะนั่น’ อิดอนคิดในใจขณะไล่สายตามองคนที่นอนเรียงรายอยู่บนเตียง อิดอนดูคนที่สาหัสก่อนแล้วสอบถามประวัติคร่าว ๆ จากนั้นตามด้วยตรวจร่างกายและสอบถามที่มาของบาดแผล อิดอนทำหน้าที่ของตนอย่างดีแต่ในใจกลับเป็นกังวลว่าตอนนี้ภรรยาเขาจะหัวเสียแค่ไหน มันเป็นนัดที่เขารับปากกับภรรยาว่าจะรีบกลับบ้านแล้วช่วงสายของวันจะออกไปข้างนอกด้วยกันทั้งครอบครัว ก็เหมือนกับเที่ยวพักผ่อนนั่นแหละนะอิดอนถอนหายใจก่อนเร่งมือให้เร็วที่สุดแต่ต่อให้พยายามรีบเร่งยังไง อิดอนก็ไม่สามารถตรวจคนห้าสิบกว่าคนครบได้ภายในหนึ่งชั่วโมง ทุก ๆ การตรวจต้องตรวจอย่างละเอียดเพื่อตัวคนไข้เอเวอร์เร็ตต์ให้เหล่าลูก ๆ
(ก่อนพิธีฝังศพ 3 วัน)ห้องทำงานของเอดิสันในตอนนี้ได้กลายเป็นห้องทำงานของมาเวอริคชั่วคราว เขาลงมือเคลียร์เอกสารที่บิดาทำค้างไว้จนเสร็จภายในเวลาสิบกว่าชั่วโมง เรียกว่าไม่ได้หยุดพักเลยก็ว่าได้ มาเวอริคกินยาแก้ปวดเข้าไปก่อนนั่งรอเหล่าน้องชายและน้องสาวที่เขาบอกให้มาหา มาเวอริคไม่รู้ว่าจะพอคุยกันรู้เรื่องไหม โดยเฉพาะเอ็มมานูเอลที่ไม่คิดจะฟังใครนอกจากตัวเองนั้น เป็นน้องตัวปัญหามากที่สุดสำหรับเขาก๊อก ๆประตูห้องถูกเคาะก่อนมันจะเปิดเข้ามาพร้อมแวนด้า อูรีเอล อิการาชิและเอ็มมานูเอลที่หน้าตาไม่รับแขกเท่าไหร่ มาเวอริคมองลงไปที่เท้าของเอ็มมานูเอลก็พบว่าทำแผลเรียบร้อยแล้ว ทั้งสี่คนเดินเข้ามาแล้วหามุมนั่งของตัวเองแต่ไม่ได้ไกลจนฟังพี่ชายไม่รู้เรื่อง มาเวอริคไล่สายตาหน้าน้องทีละคนแล้วถอนหายใจ พอมาคิดว่าต้องทำหน้าที่พี่ชายบ้าง มันก็น่าปวดหัวจริง ๆ“เนวิตาคุยกับนายแล้วใช่ไหม?” เอ่ยถามน้องเล็กเป็นคนแรก“ครับ แม่บอกผมแล้วว่าพี่จะพาผมไปรันเซียด้วย เอ่อ ขอบคุณครับพี่!” อูรีเอลยืนตัวตรงแล้วก้มหัวขอบคุณพี่ชาย ภาพลักษณ์ที่เห็นเป็นเด็กชอบกร่างหายไปจากหัวมาเวอริคทันที“แต่แกต้องกลับไปเรียนไฮสคูลใหม่หรือจะสอบเที