เมอร์ลินได้เข้าร่วมรับประทานอาหารมื้อเย็นกับครอบครัวโรนัลเดลที่มากันอย่างพร้อมหน้า เขานั่งข้างโจไซอาห์ที่เป็นว่าที่สามีแต่ตรงข้ามกลับมีเหล่าพี่ชายที่เกิดจากภรรยาแฝดพี่นั่งมองมาที่เขา สายตาอยากรู้อยากเห็นนั่นทำเมอร์ลินอึดอัดพอสมควร
“คนนี้น่ะเหรอที่จะแต่งงานกับพี่ชาย” เวโรนิก้าพูดขึ้นขณะเท้าคางมองหน้าว่าที่พี่สะใภ้อย่างเมอร์ลินด้วยรอยยิ้ม เมอร์ลินมองหน้าเธอด้วยความไม่พอใจก่อนหันมอง
โจไซอาห์ที่เอาแต่นั่งเงียบ“คุณช่วยพูดอะไรหน่อยสิครับ” แอบสะกิดใต้โต๊ะแต่โจไซอาห์ก็ไม่สนใจ เมินเขาที่ต้องการความช่วยเหลือก็เลยแปะโป้งไว้ในใจว่านี่จะเป็นจุดเริ่มต้นของการแก้แค้น
“แต่ดูดีอยู่นะ ดูดีกว่าผู้ชายที่พี่โจซเคยควง” เอมมิเลียพูดต่อแต่เมอร์ลินกำหมัดแน่น กล้าดียังไงถึงเอาเขาไปเปรียบเทียบกับผู้ชายระดับนั้นกัน
“ขอโทษนะครับเลดี้ ผมว่าเหล่าเลดี้คงเข้าใจอะไรผิดไป ระดับผมน่ะเหนือกว่าผู้ชายที่คุณคนนี้ควงราวฟ้ากับเหว ได้โปรดอย่าเอาไปเปรียบเทียบให้ผมดูต่ำแบบนั้นสิครับ” พูดจบเมอร์ลินก็ยิ้มจนตาเป็นสระอิแต่นั่นดูยังไงก็เป็นยิ้มที่ส่งสารมาบอกว่าขืนเอาไปเปรียบอีกครั้ง ผมฆ่าพวกเธอแน่
“เฮ้! ผู้ชายที่ฉันควงมันก็อยู่ระดับเดียวกับนายทั้งนั้น” แต่พอพาดพิงถึงเหล่าคู่ขาก็เหมือนจะไปทำให้โจไซอาห์ไม่พอใจ เขาไม่ได้โกรธเพราะคู่ขาถูกเปรียบเทียบแต่โจไซอาห์รู้สึกว่าตนเองกำลังถูกเมอร์ลินด่าว่าไม่มีปัญญาหาได้ดีกว่านี้
“จริงเหรอ? เทียบเท่าผมที่มาจากคาร์ลอฟได้จริง ๆ น่ะเหรอ? เห~ ทำเอาอยากเจอเลยนะเนี่ย ผมขอพบได้หรือเปล่าครับ คน ระ ดับ เดียว กับ ผม นั่นน่ะ” เมอร์ลินหันมองหน้าโจไซอาห์แล้วยิ้มให้ ทางโจไซอาห์ถึงกับคิ้วกระตุกที่ถูกกระตุกหนวดแบบนี้ แต่เขาก็เถียงไม่ออกว่าคนที่เขาควงอยู่ระดับเดียวกับเมอร์ลิน แต่พอเห็นความมั่นนั่นแล้วมันก็ชวนให้เขาอารมณ์เสียชอบกล
“เอาล่ะ เริ่มทานกันได้แล้ว คุยไปทานไปแล้วกัน” และคนปิดศึกที่กำลังจะเริ่มก็คือนายเหนือหัวของโรนัลเดล เอเวอร์เร็ตต์ โรนัลเดล เขาดูหนุ่มกว่าอายุทั้งที่มีเมียสองและลูกหก แต่พอนึกภาพพ่อตัวเอง... ก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่แต่ทางนั้นจะดูมีอายุมากกว่าทางนี้เล็กน้อยถึงปานกลาง(?)
มื้อเย็นของโรนัลเดลที่มีสมาชิกใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว เมอร์ลินปะทะฝีปากกับว่าที่สามีโจไซอาห์บ่อยครั้งรวมถึงฝาแฝดเวโรนิก้าและเอมมิเลีย ส่วนเหล่าพี่ชายทั้งสามเพียงแค่มองดูเท่านั้น ทว่าสายตาที่มองเมอร์ลินมันเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นกับผู้ชายที่สามารถตั้งท้องได้ มองราวกับเขาเป็นตัวประหลาดซึ่งไม่ต่างจากสายตาของคนในคาร์ลอฟเลยสักนิด
“เหล่าคุณชายมีอะไรอยากถามหรือเปล่าครับ?” เมอร์ลินวางช้อนวางส้อมในมือแล้วดื่มน้ำ เช็ดปาก ก่อนเอ่ยถามเหล่าพี่ใหญ่ที่นั่งตรงข้าม
“เอ่อ...” เป็นรามิเอลที่รู้สึกตัวว่าเขาเสียมารยาทต่อเมอร์ลิน แต่ไม่ทันที่จะได้เอ่ย
ขอโทษ เมอร์ลินก็พูดขึ้นมาก่อน“หากสงสัยว่าผมเป็นผู้ชายที่สามารถท้องได้จริง ๆ หรือไม่ รอวันเข้าหอแล้วกันครับแล้วถ้าน้องชายของคุณชายมีน้ำยามากพอ คงติดในเร็ววัน ผมขออนุญาตลุกจากโต๊ะอาหารนะครับท่านเอเวอร์เร็ตต์” เมอร์ลินลุกขึ้นแล้วโค้งให้ก่อนเดินออกกมาท่ามกลางสายตาหลายสิบคู่ พอเมอร์ลินออกไปแล้ว เอเวอร์เร็ตต์ก็ถอนหายใจก่อนตำหนิลูกชายทั้งสามคน
“พวกลูกเสียมารยาทต่อเมอร์ลินเกินไปแล้ว มองเขาด้วยสายตาแบบนั้นมันก็ไม่ต่างจากที่คาร์ลอฟเลยน่ะสิ” เอเวอร์เร็ตต์พอรู้สถานการณ์ของเมอร์ลินมาบ้าง แล้วที่เขาส่งเอกสารขอแต่งงานก็เพื่อช่วยเมอร์ลินเท่านั้น ไม่ได้สนใจเรื่องที่ว่าเมอร์ลินท้องได้เลยสักนิด
“ขอโทษครับพ่อ” รามิเอล เจฟรีย์ พอร์ช เอ่ยขอโทษขึ้นมาพร้อมกัน
“คนที่ลูกต้องขอโทษคือเมอร์ลิน ไม่ใช่พ่อ”
โจไซอาห์เพียงฟังอย่างเงียบ ๆ แล้วทานอาหารตรงหน้าจนอิ่มก่อนจะขอตัวกลับคฤหาสน์ของตนเอง ระหว่างที่เดินออกมาก็ได้ยินเสียงของเมอร์ลินยืนตีกับการ์ดของพ่อเขาอยู่ ทั้งที่ความสูงห่างจากการ์ดหลายสิบเซนติเมตรแต่ก็ไม่มีความเกรงกลัวอยู่เลย
“ฉันพูดเป็นสิบ ๆ รอบแล้วว่าอยากกลับห้อง! หูพวกนายมันหนวกหรือไงถึงมาทำขวางทางกันแบบนี้น่ะไอ้พวกเวรนี่!”
“...”
“หลบไปสิไอ้พวกยักษ์รันเซีย!”
“ที่พวกเขาไม่หลบนายก็เพราะนายมากับฉันก็ต้องกลับพร้อมฉัน” โจไซอาห์เดินเข้ามา เหล่าการ์ดพากันค้อมศีรษะให้แล้วหลบทาง เมอร์ลินรีบก้าวยาว ๆ ไปตามถนนอย่างหัวเสีย ตามจริงเขาควรขึ้นรถกอล์ฟที่จอดรออยู่แต่เมอร์ลินอยากจะเดินย่อยอาหารไปในตัว
“..ดูมันสิ” เมอร์ลินพึมพำหลังเห็นรถกอล์ฟที่โจไซอาห์นั่งวิ่งผ่านไป ไม่คิดจะรับเลยสินะหรือต่อให้รับจริง ๆ แล้วเขาปฏิเสธก็ตามแต่อย่างน้อยก็มีมารยาทถามไถ่กันบ้างสิ
เมอร์ลินถอนหายใจแล้วมองดูดอกไม้ข้างทาง ดอกไม้นานาพันธุ์ถูกปลูกเรียงตามข้างทางเดินดูสวยงามและราคาของสายพันธุ์พวกนี้ก็คงจะแพงไม่ต่างกัน เป็นถึงโรนัลเดลเลยนะ คงไม่มีอะไรที่ราคาธรรมดาอยู่แล้ว คิดว่านะ พอกลับมาถึงห้องก็ล็อกประตูแล้วอาบน้ำแต่งกายเข้านอนทันที จนกว่าจะถึงวันแต่งงาน เมอร์ลินตั้งใจจะขังตัวเองอยู่แต่ในห้องนี้เท่านั้นวันแต่งงาน
3 วันที่หมกตัวอยู่แต่ในห้องผ่านไปไวจนเมอร์ลินตั้งตัวไม่ทัน วันนี้มีทั้งช่างแต่งหน้า ช่างทำผม ชุดแต่งงานที่ถึงแม้จะเป็นสูทสีขาวแต่ก็ต้องมีคนมาแต่งให้ ทุกอย่างนี้ถูกจัดการโดยแม่ของโจไซอาห์ทั้งสิ้น เธอดีกับเมอร์ลินมาก ๆ ดีจนเมอร์ลินเอาไปเปรียบเทียบกับแม่แท้ ๆ ของตนเองบ่อยครั้งและทุกครั้ง แม่ของโจไซอาห์ก็ชนะหมดทุกยก
“ผิวหน้าดีมากเลยนะคะเนี่ย ไม่ทราบว่าคุณชายใช้ครีมตัวไหนอยู่หรือคะ” ช่างแต่งหน้าเอ่ยถามอย่างสนอกสนใจ
“ไม่ครับ ผมไม่ใช้” เมอร์ลินตอบตามจริง เขาเกลียดการทาครีมเพราะเคยทาหน้าแล้วมันเหนอะ ๆ ชอบกล จากนั้นมาก็แค่ล้างหน้า เช็ดหน้าให้แห้ง แค่นี้ก็พอ อ้อ กินอาหารเสริมที่มันมีคุณสมบัติบำรุงผิวเข้าไปด้วย แต่เขาก็กินแบบไม่หวังผลแต่เหมือนมันจะดีกว่าที่คิดแฮะ “รบกวนช่วยเร่งมือด้วยนะครับ ผมอยากแต่งให้มันจบ ๆ ไปสักที” คำพูดที่ตรงไปตรงมาของเมอร์ลินทำเอาบรรยากาศรอบข้างเงียบกริบและไร้ซึ่งเสียงพูดคุยใด ๆ
ใบหน้าของเมอร์ลินถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางมีราคา แต่พอเมอร์ลินเห็นหน้าตาของตัวเองในกระจก... “แต่งใหม่ด้วยครับ แต่งแรงขนาดนี้ทั้งที่ใส่สูทขาว สูทนะครับ ไม่ใช่ชุดแต่งงานกระโปรงยาวเป็นกิโลและผมเป็นผู้ชาย ถ้าแต่งยากก็ไม่ต้องแต่ง หน้าสดผมก็ดูดีกว่าตอนนี้เสียอีก” เขาไม่ชอบเลยที่แต่งหน้าเขาราวกับเขาเป็นผู้หญิง ผู้ชายก็ควรแต่งหน้าบาง ๆ เท่านั้นหรือไม่ก็ไม่ต้องแต่งมัน ช่างแต่งหน้ารีบทำตามที่เมอร์ลินต้องการและการแต่งหน้าในรอบที่สองก็พึงพอใจมาก ง่าย ๆ คือแทบมองไม่ออกว่าแต่งหรือไม่แต่ง
ต่อไปเป็นหน้าที่ของช่างทำผม เดิมทีเมอร์ลินมีผมทรงคอมม่าที่ปล่อยผมปรกหน้าอยู่เสมอ ตอนนี้ส่วนนั้นถูกจัดเซ็ตขึ้นอย่างเรียบร้อยเปิดเผยเครื่องหน้าทั้งหมดให้ผู้คนได้เชยชม เมอร์ลินมีใบหน้าที่หล่อเหลาและออกสวยหากมองดูอย่างตั้งใจ แต่เมื่อไหร่ที่มีคนชมว่าเขาสวย หมัดหนัก ๆ ตามฉบับคาร์ลอฟจะพุ่งตรงแบบไม่ให้ได้ตั้งตัวกันเลยเชียว
“อา อึดอัดเป็นบ้า” พึมพำกับตัวเองหลังจากใส่สูทแต่งงานสีขาวเรียบร้อยแล้ว คนที่คอยช่วยแต่งตัวถึงกับทำสีหน้าไม่ถูกเมื่อได้ยินเมอร์ลินพูดแบบนั้น แต่ก็ไม่กล้าอ้าปากถามว่าอยากให้แก้อะไรไหม เมอร์ลินมองตัวเองในกระจกพลางเบ้ปาก นี่ฉันต้องแต่งงานจริง ๆ เหรอเนี่ย เมอร์ลินคิดในใจขณะมองเงาของตนเองที่สะท้อนมา
“ได้เวลาแล้วครับคุณชายเมอร์ลิน” ไทกิเป็นคนมาตามเมื่อใกล้ถึงเวลา เมอร์ลินเดิน
ออกจากห้องไปโดยมีไทกิเดินตามหลัง ไทกิมองแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยความมั่นใจพลางคิดว่าคนคนนี้ช่างเหมาะสมกับเจ้านายของเขา จากการที่กล้าเผชิญหน้าโดยไร้ซึ่งความหวาดกลัว แต่ไทกิก็กังวลว่าความมั่นใจนั้นจะสร้างเรื่องให้พวกเขาหรือเปล่า... อาจจะไม่ใช่ในเร็ว ๆ นี้แต่หมายถึงในอนาคตน่ะนะสถานที่จัดงานแต่งมันช่างเรียบง่ายและมีแขกไม่มาก แขกส่วนใหญ่เป็นผู้นำตระกูลอื่น ๆ ที่เชื่อมสัมพันธไมตรีกับโรนัลเดลและคาร์ลอฟ ส่วนสถานที่ก็เป็นสนามหน้าคฤหาสน์หลักของโรนัลเดลที่มีความกว้างพอจัดงานแต่ง จริง ๆ จะจัดให้ยิ่งใหญ่สมเกียรติก็ย่อมได้แต่โจไซอาห์กับเมอร์ลินไม่ต้องการ เมื่อนั่งรถกอล์ฟมาถึงสถานที่จัดงานแล้ว ต่อไปคือเดินไปตามพรมแดงที่ปลายทางนั้นมีโจไซอาห์ยืนอยู่
“ทำไมเจ้านายนายถึงใส่สูทดำแล้วฉันใส่สีขาวล่ะ” ถามไทกิที่เดินมาหยุดข้างหลัง
“เอ่อ พอดีสีดำเป็นสีโปรดของคุณชาย”
“เฮ้ ฉันก็ชอบสีดำนะแต่ทำไมต้องเอาชุดสีขาวมาให้ฉัน?” หันมองไทกิอย่างไม่พอใจและแน่นอนว่าไทกิที่ไม่รู้เรื่องกลายเป็นสนามอารมณ์แบบงง ๆ เมอร์ลินถอนหายใจก่อนเตรียมก้าวไปตามพรมแดงที่โรยด้วยดอกกุหลาบ
“นี่ค่ะ” แต่ก่อนจะได้ขยับกายก็มีเด็กผู้หญิงผมบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้า เดินเข้ามาพร้อมยื่นช่อดอกไม้ให้ เมอร์ลินมองช่อดอกไม้สลับกับหน้าสวย ๆ ของเด็กน้อยก่อนเอ่ยถามไปว่า
“แต่งกับมาเฟียทั้งทีไม่ได้ถือปืนหรอกหรือไง? เผื่อเจ้าบ่าวทำตัวไม่สบอารมณ์จะได้ยิงทิ้ง” พูดจบก็ยิ้มหวานพร้อมทำมือรูปปืนยิงเข้าที่ขมับของตนเอง เด็กน้อยเริ่มเบะเพราะต่อให้เมอร์ลินจะยิ้มแต่สายตาไม่ได้ยิ้มเลย เมอร์ลินรีบรับช่อดอกไม้มาก่อนที่เด็กน้อยจะร้องไห้ ไทกิกุมขมับก่อนพาเด็กน้อยคนนี้หนีไป แน่นอนว่าประโยคที่เมอร์ลินพูดย่อมได้ยินกันทั้งงาน ก็นะ ไม่ได้เบาเสียงเลยนี่นา
“ผมถูกใจลูกสะใภ้คนแรกของเราแฮะ” เอเวอร์เรตต์กระซิบกับภรรยาทั้งสองและแน่นอนว่าพวกเธอก็ชอบเมอร์ลินมากเช่นกัน
“น้องคิดว่าหนูลินต้องเอาโจซอยู่แน่ค่ะ” อเดล ภรรยาแฝดน้องพูดขึ้นอย่างภาคภูมิขณะมองเมอร์ลินและลูกชายที่ยืนหันหน้าเข้าหากัน ตามจริงทั้งสองต้องจับมือแต่เหมือนจะไม่อยากโดนตัวกันมาก ช่อดอกไม้ในมือเลยกลายเป็นสะพานให้พวกเขา เมอร์ลินจับทาง
โจไซอาห์จับทาง แถมยังมองหน้ากันราวกับจะฆ่าจะแกงกัน“แต่พี่คิดว่าคฤหาสน์ลูกโจซแตกแน่ ๆ จ้ะ” อลิซ ภรรยาแฝดพี่ตอบน้องสาว พอได้ภรรยาว่าแบบนั้น เอเวอร์เร็ตต์ก็หัวเราะแล้วมองดูสถานการณ์ต่อไป เขาชอบใจกับประโยคนั้นของเมอร์ลินมาก แต่งกับมาเฟียทั้งทีไม่ได้ถือปืนหรอกหรือไง? เผื่อเจ้าบ่าวทำตัวไม่สบอารมณ์จะได้ยิงทิ้ง ช่างเหมาะสมกับโจไซอาห์จริง ๆ เหล่าพี่ชายและน้องสาวก็พากันหัวเราะเหมือนกันตอนได้ยินแล้วพอมองหน้าโจไซอาห์ สีหน้าหงุดหงิดนั่นทำพวกเขาสนุกมากขึ้นไปอีก
“เป็น...”
“รับครับ / รับครับ” บาทหลวงที่ต้องทำหน้าที่เพิ่งเปล่งเสียงออกมาไม่ถึงหนึ่งประโยค คู่บ่าวสาวตรงหน้าก็ตอบรับกันไปแล้ว ส่วนบาทหลวงก็ลนลานทำอะไรไม่ถูกเพราะเมอร์ลินและโจไซอาห์ตอบรับกันอย่างรวดเร็วทั้งที่ตนยังไม่ได้เอ่ยอะไรเลย แหวนแต่งงานที่ต้องผลัดกันสวมนั้นถูกหยิบออกมาจากกล่องกำมะหยี่ โจไซอาห์หยิบแหวนแล้วสวมลงบนนิ้วของเมอร์ลินแต่แค่ตรงปลายเล็บเท่านั้น เมอร์ลินหมุนควงนิ้วพอให้แหวนไหลลงมาก่อนจะจับดันลงจนสุดโคนนิ้ว พอต้องสวมแหวนให้โจไซอาห์ เมอร์ลินก็ทำแบบเดียวกัน
“จ จูบกันได้!” ในเมื่อข้ามพิธีกันอย่างรวดเร็วและมาถึงขั้นต่อไปอย่างไม่ทันตั้งตัว บาทหลวงก็ไม่ยอมให้ทั้งสองแย่งหน้าที่อีกแล้ว แต่ทว่าทั้งคู่กลับยืนนิ่ง มองหน้ากันท่ามกลางความเงียบที่ค่อย ๆ ปกคลุม ในตอนนั้นเองที่โจไซอาห์เป็นคนทำลายความเงียบของงาน
“ฉันจะไม่เสียศักดิ์ศรีจูบผู้ชายที่หน้าตาขี้เหร่เด็ดขาด” พูดจบก็หมุนตัวหันหลังให้เตรียมเดินออกจากงาน เมอร์ลินที่ได้ยินถึงกับสติขาดผึง ช่อดอกไม้ในมือที่เหล่าสาว ๆ ต่างรอคอย ถูกขว้างออกไปด้วยแรงทั้งหมดที่มี
ผัวะ!
และมันก็เข้าเต็ม ๆ ที่ศีรษะของโจไซอาห์พร้อมด้วยถ้อยคำหยาบคายที่ตวาดออกมาอย่างโกรธเคือง
“คุณหล่อตายล่ะไอ้ฉิบหาย! หน้าตาก็หาได้ตามข้างทางยังจะมั่นหน้าอีกนะครับ! ไปสิ ไปจูบกับคู่ขาระดับล่างแล้วติดเชื้อตายไปเลยไอ้สามีเฮงซวย!” เมอร์ลินโกรธจนหน้าแดง นอกจากจะไม่ชอบให้ใครบอกว่าสวยแล้ว เมอร์ลินก็ไม่ชอบให้ใครมาว่าเขาขี้เหร่ด้วยเช่นกัน
“ค ค คุณชายเมอร์ลินครับ จ ใจเย็น ๆ ก่อนนะครับ” การ์ดที่ทำหน้าที่อารักขารีบเข้ามาห้ามเมอร์ลินแต่กลับซวยโดนด่าไปด้วย ไทกิกับโรมันผู้เป็นมือซ้ายรีบขยับเข้าไปประชิดตัวเจ้านายเผื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน บรรยากาศรอบข้างตอนนี้เงียบสงัดมีเพียงเสียงกร่นด่าของ
เมอร์ลินและเสียงกลั้นขำของเหล่าทายาทโรนัลเดล แม้แต่เอเวอร์เร็ตต์ยังเสียความเยือกเย็นยามเห็นฉากหายากที่สามารถเรียกได้ว่า ตำนานงานแต่งของทายาทโรนัลเดล อย่างเต็มปาก น่าเสียดายที่ไม่ได้จ้างช่างภาพมา จะหาตอนนี้ก็พลาดฉากเด็ดไปแล้วด้วยสิ“...เพิ่งจบพิธีไม่ถึงห้านาที นายก็อยากตายแล้วหรือไง!” โจไซอาห์หมุนตัวกลับมาอย่างรวดเร็วแล้วพุ่งเข้าไปหาเมอร์ลินแต่ไทกิกับโรมันเข้าล็อกแขนไว้ได้ทัน ทว่าเมอร์ลินกลับยกขาขึ้นพร้อมขยับปลายเท้าชี้หน้าสามีป้ายแดง
“คิดว่ากลัวหรือไง เข้ามาสิครับคุณสามี เข้ามาเลย ภรรยาป้ายแดงคนนี้จะศัลยกรรมหน้าให้ใหม่เอง” กระดิกเท้ายิก ๆ แล้วเชิดหน้าขึ้นอย่างหยิ่งยโส ริมฝีปากยกยิ้ม สายตาเหยียดหยาม โจไซอาห์ได้แต่กัดฟันกรอดแล้วพยายามดิ้นให้หลุดจากไทกิและโรมัน
“อึก ค คุณชายครับ ได้โปรดใจเย็นก่อน” ไทกิเริ่มจะจับไม่อยู่จึงหวังให้เจ้านายเขาใจเย็นลง
“ฉันโดนเหยียบย่ำขนาดนั้นแกยังจะให้ฉันใจเย็นอยู่อีกเหรอวะ!” ตวาดใส่มือขวาคนสนิทก่อนตวัดสายตามองเมอร์ลินที่ยังใช้สายตาเหยียดหยามมองมาที่เขา
“เอาล่ะ พอกันได้แล้ว” เอเวอร์เร็ตต์ที่ถูกภรรยาไล่ให้มาหยุดสงครามของสามีภรรยาป้ายแดงกล่าวขึ้นแล้วเดินมาหยุดตรงกลางระหว่างเมอร์ลินและลูกชาย “ขอจบงานแต่งแต่เพียงเท่านี้ เชิญแขกผู้มีเกียรติทุกท่านดื่มด่ำกับอาหารที่ทางโรนัลเดลจัดเตรียมไว้ให้ ส่วนเจ้าบ่าวทั้งสองคนก็แยกย้ายไปสงบสติอารมณ์เสียเถอะ” เอเวอร์เร็ตต์แทบหลุดขำตอนเห็นหน้าลูกชาย เมอร์ลินชูนิ้วกลางให้สามีแล้วเดินออกจากงานไปโดยมีการ์ดสามคนวิ่งตามหลัง
“ผมอยากย้ายคฤหาสน์ ขอหลังใหม่ให้ผม” โจไซอาห์กัดฟันบอกกับบิดาที่ยืนมองหน้าเขายิ้ม ๆ หงุดหงิดเมอร์ลินไม่พอยังต้องมาหงุดหงิดคนตรงหน้าที่เอาแต่ยิ้มไม่หยุด สนุกหรือไงที่เห็นลูกชายถูกเหยียดหยามแบบนี้
“ไม่เอาน่า สามีภรรยาไม่ควรแยกกันอยู่ ยิ่งแต่งงานใหม่ ๆ รสชาติของข้าวใหม่ปลามันก็ยังไม่ได้ลิ้มลองกันเลย”
“พ่อดูจะสนุกนะครับที่เห็นลูกชายโดนดูถูกขนาดนี้! แล้วข้าวใหม่ปลามันอะไรของพ่อ?” โจไซอาห์สะบัดแขนเชิงบอกให้ไทกิกับโรมันปล่อย ทั้งสองผละออกก่อนค้อมศีรษะให้แล้วแยกตัวออกไปให้พ่อลูกได้คุยกัน
“คู่แต่งงานใหม่ก็แบบนี้ล่ะนะ รสชาติอันหอมหวาน น่าคิดถึงจริง ๆ”
“พ่ออย่าเอางานแต่งของตัวเองมาเทียบกับงานห่วย ๆ นี่นะครับ”
“พอเข้าห้องหอเดี๋ยวแกก็รู้เอง” เอเวอร์เร็ตต์ตบไหล่ลูกชายเบา ๆ แล้วเดินไปหาภรรยาก่อนจะโอบเอวพากลับเข้าไปในคฤหาสน์เพื่อไปพบปะกับเหล่าแขกผู้มีเกียรติ โจไซอาห์พ่นลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิดก่อนมองเหล่าพี่ชายและน้องสาวที่พากันหัวเราะทันทีที่สบตา เขาจะไม่มีวันลืมความอัปยศในวันนี้เด็ดขาด ไม่มีวัน
และหลังจากที่ถึงเวลาเข้าห้องหอ พวกเขาก็ได้สร้างวีรกรรมห้องหอรอหมอมารักษา ไม่รู้ว่าทะเลาะกันท่าไหนถึงได้เลือดตกยางออก ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน โจไซอาห์และเมอร์ลินก็ได้มีคืนแรกด้วยกันและแน่นอนว่าเกิดจากความสมยอมของทั้งสองคน
สามีก็อยาก ภรรยาก็อยาก
แม้จะผ่านมาหนึ่งเดือนหลังแต่งงานก็ตาม ห้องหอก็ได้ทำหน้าที่ของมันเสียทีและยังยาวนานถึงสามวันราวกับว่าความต้องการที่อัดอั้นมาตลอดได้ถูกปลดปล่อยในสามวันนั้น นอกจากนั้นแล้วเมอร์ลินยังรู้สึกแปลกใจที่หลังจากแต่งงาน
โจไซอาห์ก็ไม่ได้ไปนอนกับคู่ขาคนไหน เมอร์ลินไม่สนใจด้วยซ้ำถ้าสามีจะไปนอนกับใครเพราะไม่คิดจะมีอะไรกันอยู่แล้ว ถึงท้ายที่สุดจะใช้ห้องหอคุ้มก็ตามน่ะนะ แต่ถึงจะเร่าร้อนกันมาตลอดสามวัน... วันที่สี่ก็กลับมาตีกันจนห้องหอกลายเป็นสนามรบอีกครั้ง... ใช่แล้วล่ะ
สงครามระหว่างสามี โจไซอาห์ โรนัลเดล และภรรยา เมอร์ลิน โรนัลเดล ก็ได้ดำเนินมาตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ได้แต่งงานกันมา...
ปัจจุบัน
แต่งงานกันมาได้ 5 ปีแล้วและแม้จะนอนห้องเดียวกันมาตลอด สงครามระหว่างสามีภรรยาก็ไม่เคยลดลง นับวันมีแต่จะเพิ่มขึ้นแถมบางครั้งก็เลือดตกยางออก แต่ก็น่าแปลกที่คนได้เลือดกลับเป็นสามีเพียงคนเดียว ส่วนทางคนภรรยาอย่างมากก็แค่รอยช้ำเขียวหรือรอยนิ้วมือตามแขนและขา บ้างก็รอยฟันกัด บ้างก็ริมฝีปากที่เลือดซิบ ในตอนเริ่มแรกของสงคราม มันย่อมเป็นเรื่องที่น่าตกใจสำหรับคนในคฤหาสน์ แต่เพียง 1 ปีเท่านั้น แค่ 1 ปี... พวกเขาก็ชาชินและคอยซื้ออุปกรณ์ทำแผลกับยามาเติมทุกครั้งไป
“น่าเบื่อเกินไปแล้ว... นี่คุณมีแพลนจะพาผมไปเที่ยวบ้างไหมครับ?” เมอร์ลินบ่นแล้วเอ่ยถามคนข้างกายที่เอาแต่อ่านเอกสารงาน ไถจอไอแพดดูหุ้นที่แสนน่าเบื่อ
“ฉันไม่ได้มีหน้าที่พานายเที่ยว” โจไซอาห์ตอบกลับ
“ลืมไปครับว่าคุณสามีแสนเฮงซวยมีหน้าที่เอาผมอย่างเดียว” ส่งยิ้มหวาน ๆ ไปให้ก่อนลุกขึ้นนั่งแล้วคว้าแผงยาคุมที่วางอยู่มา ก่อนแกะเม็ดยาโยนเข้าปาก เมอร์ลินเคี้ยวยาราวกับมันเป็นขนมแต่ก็เคี้ยวได้ทีสองทีก่อนกลืนมันลงไป โจไซอาห์ปรายตามองแผงยาคุมในมือเมอร์ลินแล้วเลื่อนสายตากลับมองเอกสารในมือตามเดิม
เรื่องที่ว่าเมอร์ลินท้องได้จริงหรือไม่นั่น ตอนนี้ก็ยังไม่มีใครเชื่อ ไม่สิ ต้องบอกว่าไม่สนใจเลยจะถูกกว่า ทุกคนล้วนคิดว่าคาร์ลอฟบ้าและยังเห็นเมอร์ลินเป็นตัวตลกตอนประกาศกร้าวให้เอายาคุมมาให้ ในตอนที่ไม่มีใครสนใจเรื่องยาคุม คนที่ซวยโดนพาลก็คือเขา แต่ที่ติดใจคงเป็นสีหน้าที่ดูหวาดกลัวและริมฝีปากได้รูปที่เอาแต่พร่ำขอยาคุมอยู่ตลอดเวลา เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นมุมอ่อนแอของเมอร์ลิน
แต่เวลามันก็ผ่านมา 5 ปีแล้ว เมอร์ลินยังไม่หยุดกินยาคุมในทุกครั้งที่มีเซ็กซ์กัน เขาเคยแอบเจาะถุงยางเพราะอยากจะรู้ว่าจะท้องจริงหรือไม่แต่เมอร์ลินดันตรวจถุงยางทันทีที่สุขสม พอรู้ว่าเขาเจาะถุงยางก็โวยวายและตีกันจนได้ โจไซอาห์เลยไม่ได้พิสูจน์สักทีว่าสรุปแล้วมันเรื่องจริงหรือเรื่องหลอกกันแน่
“นายท้องได้จริง ๆ น่ะเหรอ?” อยู่ ๆ ก็ถามออกไปแบบไม่ทันให้เมอร์ลินตั้งตัว
“...จริงสิ พวกคุณไม่เชื่อใช่ไหมครับ”
“มันน่าเหลือเชื่อเกินไปที่ผู้ชายอย่างนายจะท้องได้เหมือนกับผู้หญิง”
“เพราะงั้นตอนผมขอยาคุมถึงได้มองผมเป็นตัวตลกกันสินะครับ” เมอร์ลินหัวเราะแล้วมองแผงยาคุมในมือก่อนจะโยนลงพื้นห้อง เขาหันมองหน้าคนข้างกายพร้อมยิ้มให้แล้วพูดออกไปด้วยน้ำเสียงมั่นใจว่า “เอางี้ไหมครับ ไหน ๆ ผมกับคุณก็แต่งงานกันมาห้าปี เรามามีลูกกันสักคนดีไหม?”
“...ว่าไงนะ?” โจไซอาห์มองหน้าเมอร์ลินด้วยความตกใจ
“จากนี้เป็นต้นไปผมจะไม่กินยาคุม คุณห้ามใส่ถุงยาง ห้ามปล่อยนอก ต้องปล่อยในทุกครั้งแล้วมาดูกันว่าผู้ชายตรงหน้าคุณมันท้องได้จริงหรือไม่จริง” พูดจบก็ลงจากเตียงทั้งที่ไร้อาภรณ์สวมใส่ก่อนหายเข้าไปในห้องน้ำ โจไซอาห์ไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน เขาหลุบสายตาลงมองแผงยาคุมบนพื้นห้องแล้วดึงสายตากลับมองไปยังประตูห้องน้ำที่ปิดสนิท สีหน้าและน้ำเสียงของเมอร์ลินเมื่อครู่ ทำไมดูจริงจังจนเขาแอบขนลุกกันนะ
‘จากนี้เป็นต้นไปผมจะไม่กินยาคุม คุณห้ามใส่ถุงยาง ห้ามปล่อยนอก ต้องปล่อยในทุกครั้งแล้วมาดูกันว่าผู้ชายตรงหน้าคุณมันท้องได้จริงหรือไม่จริง’“เวรเอ้ย นี่ฉันพล่ามบ้าอะไรออกไปวะ” เมอร์ลินกุมขมับอย่างเคร่งเครียดยามนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ แค่คนพวกนั้นไม่เชื่อ แค่โจไซอาห์ไม่เชื่อ เขาจำเป็นต้องลงทุนทำให้เชื่อด้วยหรือไง? ไม่เลย ใครจะไม่เชื่อก็ช่างหัวมันสิ แค่เชื่อในตัวเองว่าเขามันแปลกประหลาดแค่นั้นก็น่าจะเพียงพอแล้ว “ยกเลิกดีไหม...” พึมพำอย่างหมดหวังแล้วปล่อยตัวให้ไหลจมลงก้นอ่างอาบน้ำ ทางโจไซอาห์ที่นั่งมองแผงยาคุมบนพื้นห้องสลับกับประตูห้องน้ำก็พลันคิด หากเมอร์ลินท้องขึ้นมาจริง ๆ เขาควรจะทำยังไง?“น่ารำคาญจริง” ลงจากเตียงแล้วสวมกางเกงก่อนออกจากห้องนอนมาที่ห้องทำงาน ติดต่อหาบิดาของตนที่คฤหาสน์หลักเพื่อถามอะไรบางอย่าง“ผมอยากรู้ว่าทางคาร์ลอฟได้ส่งเอกสารยืนยันเรื่องที่เมอร์ลินท้องได้มาหรือเปล่าครับ” ถามบิดาที่อยู่ปลายสายแล้วนั่งลงบนเก้าอี้บุหนังพลางเอนหลังพิงพนัก สองขายกขึ้นพาดบนโต๊ะ(มาถามเอาอะไรตอนนี้?)“แค่บอกผมว่ามีหรือไม่มี”(ไม่มี)“ฮะ? แต่พ่อก็ทำเชื่อแล้วส่งเอกสารขอแต่งงานไปน่ะนะ? น
เสียงเครื่องยนต์บูกัตติคันใหม่ดังกระหึ่มทั่วเขตอาศัยของโรนัลเดล ส่วนโจไซอาห์ยืนกอดอกเฝ้าเมอร์ลินไม่ให้ขับไปไหน เขายอมให้ลองเครื่องได้แต่ต้องอยู่ที่เขตของคฤหาสน์เขาเท่านั้น ตามจริงคนเฝ้าไม่ใช่เขาแต่ลูกน้องเอาเมอร์ลินไม่อยู่ เขาถึงต้องมาเฝ้าด้วยตัวเอง ทางเมอร์ลินที่กำลังลองบูกัตติคันงามก็ลองไปพลางหลับตาพริ้มฟังเสียงอันแสนไพเราะของเครื่องยนต์ไป รูปลักษณ์ภายนอกว่าดูสวยงามแล้ว ภายในก็ยิ่งทำให้ใจเมอร์ลินละลาย มันดูหรูหรา ดูสวยงามสมราคา และเขาไม่พลาดที่จะถ่ายรูปอัปลงอินสตราแกรมให้คนทางคาร์ลอฟได้ใส่ใจกันเต็มที่ ตลอดระยะเวลาห้าปีมานี้ เมอร์ลินไม่เคยติดต่อกับทางคาร์ลอฟและไม่รับการติดต่อใด ๆ สิ่งเดียวที่เมอร์ลินทำคืออัปเดตการกินหรูอยู่สบายรวมถึงอวดว่าผู้ชายที่แต่งงานด้วยดูดีขนาดไหนแน่นอนว่าเหล่าพี่น้องร่วมบิดาพร้อมใจกันถล่มไดเรคอินสตราแกรมหาเมอร์ลินกันรัว ๆ ยกเว้นเพียงพี่ชายร่วมสายเลือดที่เงียบหายไปจนไม่รู้ว่ายังอยู่หรือตาย แต่เมอร์ลินก็ไม่ได้สนใจน่ะนะ ส่วนพวกข้อความเมอร์ลินก็แค่อ่านและตอบทุกคำถามด้วยอิโมติค่อนน่ารัก ๆ [olo] แค่นั้นก็รู้เรื่อง...“สดชื่นชะมัด” เมอร์ลินลงจากรถด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข
หยาดเหงื่อผุดซึมตามใบหน้าและร่างกายยามความร้อนของบทรักแผดเผาพวกเขาทีละเล็กทีละน้อย เสียงเครือครางเคล้าคลอร่วมกับเสียงเนื้อที่กระทบกันอย่างหยาบโลนส่งผลให้อุณหภูมิร่างกายพลันสูงขึ้น เมอร์ลินผ่อนลมหายใจครั้งแล้วครั้งเล่ายามส่วนแข็งขืนสอดผสานเข้ากับช่องทาง ซ้ำรีบเร่งกระหน่ำเข้ามาอย่างไม่ลดละ มอบความเสียวซ่านจนสุดจะหยั่งถึงให้กับเขา“ผม อึก อยากได้อีก อ๊ะ ลึกกว่านี้ที อืออ...!” เมอร์ลินกระชับสองแขนที่โอบกอดกายแกร่งพลางจิกปลายนิ้วลงบนแผ่นหลังกว้างแล้วร้องขออย่างที่ตนเองต้องการ โจไซอาห์ได้ยินแบบนั้นก็มีแต่ต้องทำตามความปรารถนาของภรรยา มือหนาทั้งสองข้างจับเข้าที่ต้นขาขาวแล้วดันโน้มมาด้านหน้าจนช่วงสะโพกของคนข้างใต้ลอยขึ้นจากเตียงเล็กน้อย ริมฝีปากหนากดจูบลงบนแก้มขาวพลางไล้เลียลงมาที่ลำคอแล้วเริ่มสอบสะโพกในจังหวะที่หนักหน่วงและเน้นย้ำการเข้าสุดออกสุดทุกครั้งเมอร์ลินครางเสียงกระเส่าด้วยระดับเสียงที่ดังกว่าเดิม ใบหน้าเชิดขึ้นสุดจนเห็นสันกรามและลูกกระเดือกที่ขยับขึ้นลงยามกลืนน้ำลาย สิ่งเหล่านั้นดึงดูดให้โจไซอาห์มาสัมผัส เขาใช้ทั้งริมฝีปาก ใช้ทั้งลิ้นและใช้ทั้งฟันหยอกเย้าเล่นกับลูกกระเดือกและสันกราม
ช่วงสายของวันใหม่ เมอร์ลินเป็นคนแรกที่รู้สึกตัว เขาตื่นขึ้นมาพร้อมกับความหนักที่เอว พอลองก้มดูก็เห็นว่าเป็นแขนของสามีเขาที่หลับอยู่ด้านหลังนี้เอง เมอร์ลินจะปลุกแต่ชะงักมือไว้ทันแล้วตัดสินใจปล่อยให้โจไซอาห์นอนต่อไปเพราะขืนปลุกขึ้นมาคงได้จัดกันแต่หัววันแน่ ๆ เมอร์ลินถอนหายใจแล้วทอดสายตามองออกไปที่ระเบียงขณะที่ปลายนิ้วขยับเขี่ยแหวนแต่งงานบนนิ้วสามีเล่นแก้เบื่อมาคิด ๆ ดูแล้วเมื่อวานก็เล่นหนักเอาเรื่องจนแทบไม่อยากเชื่อว่าวันนี้จะยังตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกสดชื่นได้ ลองนึกภาพเมื่อคืนที่เขากับคนด้านหลังได้ทำลงไป มีชีวิตมาได้นี่เขาก็คงจะแข็งแกร่งเอาเรื่อง แต่ให้ตายสิ... โจไซอาห์ก็ยังทำตัวเหมือนเคยคือไม่ยอมถอดถอนส่วนนั้นออกไป ทั้งที่บอกจนปากจะฉีกว่าช่วยเอามันออกไปก่อนจะนอนด้วย ...แล้วฟังที่ไหนกันล่ะ? แถมขืนเขาขยับตัวล่ะก็ มีหวังปลุกให้ตื่น ทั้งคนทั้งส่วนนั้นแน่‘เริ่มหิวแฮะ’ เมอร์ลินผงกหัวขึ้นจากท่อนแขนที่หนุนแล้วปรายตาไปที่โต๊ะอาหาร แน่นอนว่ามันแทบไม่เหลือแล้วเนื่องจากเขากินมันไปเมื่อคืน แถมกินเยอะจนนึกสงสัยเหมือนกันว่าตนเองใช้พลังงานไปกับเซ็กซ์มากแค่ไหน เมอร์ลินขยับตัวให้เบาที่สุดพลางเอื้อม
“ฉันมีเรื่องจะขออนุญาตนาย” หลังจากจูบกันจนพอใจแล้ว โจไซอาห์ก็ได้เอ่ยขึ้นพร้อมกับมองไปทางด้านหลังของเมอร์ลิน เมอร์ลินจึงหันมองตาม เขาก็เห็นเอกสารมากมายของตัวเองรวมถึงรูปสแกนที่แนบมา มือเรียวรีบหยิบกระดาษเอกสารอื่นปิดทับรูปนั้นทันที“จะขออะไรครับ” ถามกลับทั้งที่ไม่หันมามองหน้า“ฉันจะขอเอาเอกสารสำคัญของนายให้กับหมอคนหนึ่งที่ฉันรู้จัก ...ความพิเศษของนายจะใช้หมอคนไหนก็ได้ไม่ได้เด็ดขาด” เห็นอย่างนี้เขาก็มีพอมีเพื่อนสนิทที่คบอยู่บ้างแม้จะมีคนเดียวก็ตาม เป็นโชคดีที่เพื่อนคนนั้นเป็นหมออยู่ที่โรงพยาบาลในเครือโรนัลเดล มีความสามารถมากพอที่จะรับมือกับความพิเศษของเมอร์ลินได้ และเป็นคนเดียวที่เขาไว้ใจให้เห็นร่างกายเมอร์ลิน ก็เพราะว่าเพื่อนคนนั้นแต่งงานมีครอบครัวเรียบร้อยแล้ว“คุณไม่จำเป็นต้องขอผมก็ได้ครับ”“ถึงฉันจะเป็นสามีนายแต่ฉันไม่มีสิทธิ์เอาข้อมูลสำคัญของนายไปให้ใครก็ได้โดยปราศจากการยินยอม ว่าไง?”“คุณทำแบบนี้มันทำให้ผมรู้สึกแปลก ๆ นะครับ... เฮ้อ แต่เอาเถอะ ถ้าคุณคิดว่ามันดีกับผม ก็เอาไปเถอะครับ” เมอร์ลินละมือออกจากเอกสารแล้วดันอกกว้างให้ถอยห่างก่อนลงจากโต๊ะทำงาน “ขอบัตรหน่อยสิ ผมจะออกไปข้างนอก
ร้านอาหารอิตาเลียนเปิดใหม่ที่ตั้งอยู่ในเมืองหลวงรันเซีย คือสถานที่นัดพบระหว่างสูตินรีแพทย์อิดอน เลสเตอร์ และโจไซอาห์ เดิมทีสถานที่นัดพบของพวกเขาต้องเป็นร้านอาหารที่มีโซนส่วนตัวให้เลือก ทว่ารอบนี้โจไซอาห์ขอเปลี่ยนสถานที่เนื่องจากเหตุผลบางอย่างแต่ไม่ได้บอกมา อิดอนเพียงแต่ตกลงรับนัดของเพื่อนสนิทแล้วหาเวลาว่างที่แทบจะไม่มีมาให้ได้ก็พอแต่นี่... มันจะช้าเกินไปไหม! อะไรทำให้คนที่ตรงต่อเวลาแบบนั้นมันผิดเวลานัดกันวะ!“แกมาสายนะรู้ไหม?” อิดอนเอ่ยถามบุคคลที่เข้ามาด้วยความเคืองใจเล็กน้อย แล้วมองสำรวจเพื่อนที่แทบไม่ได้พบหน้าก่อนดวงตาเขาจะเบิกกว้างเมื่อเห็นแหวนบนนิ้วนางข้างซ้าย โจไซอาห์นั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามแล้ววางกระเป๋าที่ถือมาลงบนโต๊ะ“ฉันติดธุระสำคัญ” นั่นคือคำตอบที่ว่าทำไมเขามาสาย“แกแต่งงานแล้ว?! ตั้งแต่เมื่อไหร่” ความเคืองใจที่มีพลันสลายเมื่อได้เห็นของบางอย่างที่น่าสนใจกว่า เพื่อนเขาเนี่ยนะแต่งงาน? คนตรงหน้าเขาเนี่ยนะ?! อิดอนแทบไม่เชื่อสายตาแต่ความจริงที่ว่าแหวนอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายนั้นเป็นของจริง โจไซอาห์ปรายตามองแหวนบนนิ้วแล้วขยับนิ้วเบา ๆ“มันกะทันหันแต่ฉันแต่งมาห้าปีแล้ว”“ห้าปี?! ไอ
นัยน์ตาสีเทาสะท้อนภาพภรรยาที่ขยับไหวบนกายแกร่ง สีหน้าที่แสดงออกมามันช่างเย้ายวนชวนให้อยากจับกดลงบนเตียงแล้วมองร่างกายขาว ๆ สั่นคลอนไปตามแรงที่โหมใส่ มือเรียววางบนหน้าท้องสามีเพื่อค้ำจุนร่างกายช่วงบนขณะที่ช่วงล่างควบสะโพกกลืนกินตัวตนของโจไซอาห์ เมอร์ลินรู้ดีว่าตอนนี้ในท้องกำลังมีชีวิตเล็ก ๆ แรงควบที่ควรจะขึ้นสุดลงสุดจึงกลายเป็นเพียงความนุ่มนวลแต่กลับลึกล้ำพาให้ช่วงท้องน้อยวาบหวิว“อึก ฮื่ออ...” คิ้วเรียวได้รูปขมวดเข้าหากันอย่างขัดใจเล็กน้อยที่ไม่อาจทำตามความต้องการได้เต็มร้อย เมอร์ลินผ่อนลมหายใจก่อนมองหน้าสามีที่ตอนนี้มุมปากยกยิ้มนิด ๆ “ยิ้มอะไรครับ?” ถลึงตาใส่พร้อมคิ้วที่ขมวดหนักกว่าเดิม“เห็นคนหงุดหงิดแล้วสนุกดี” โจไซอาห์บอกไปตรง ๆ แต่ไม่ใช่แค่เมอร์ลินที่รู้สึกหงุดหงิดอยู่คนเดียว ตัวเขาเองก็เหมือนกัน อยากทำมากกว่านี้ อยากกอดเหมือนอย่างที่เคยแต่โจไซอาห์ก็รู้ว่าในเวลานี้เขาทำไม่ได้ เมอร์ลินที่ได้ยินคำตอบถึงกับหัวเสีย ยกเท้าขึ้นเหยียบบนอกกว้างพลางเม้มริมฝีปากก่อนกัดฟันพูดออกไปอย่างขุ่นเคือง“ผมไม่สนุกด้วยหรอกนะครับ!”“เหรอ?” โจไซอาห์ยิ้มแล้วจับข้อเท้าขาวก่อนยกออกจากอก ดึงข้อเท้าของเมอร์
“น้อยใจที่หนูลินกอดกับแม่อลิซเหรอคะ?” อเดลเอ่ยถามลูกชายด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานพลางเดินเข้ามาหาแล้วมองเสี้ยวหน้าของลูกชาย เธอยิ้มเมื่อสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยบนใบหน้าก่อนแขนเรียวจะเกี่ยวกอดแขนลูกชาย “เดินเล่นเป็นเพื่อนแม่หน่อยแล้วกัน” พูดจบก็เริ่มเดินไปตามทางที่ตรงไปยังสวนดอกไม้ อเดลพาลูกชายเดินมาถึงชิงช้าไม้ก่อนจะนั่งลง โจไซอาห์ยังคงเงียบแต่ก็ขยับกายไปยืนอีกด้านเพื่อบังแดดให้กับมารดา อเดลอดยิ้มไม่ได้ที่ลูกชายแสดงด้านที่อ่อนโยนออกมาให้เห็น“ตอนนี้มีแค่เราสองคนแล้ว ไหนลูกลองบอกแม่ทีว่าตอนนี้ลูกรู้สึกยังไง”“...ผมปกติดีครับ แม่ไม่ต้องเป็นห่วง”“แล้วโจซอธิบายให้แม่ฟังได้ไหมคะว่าเราเดินออกมาทำไม?” อเดลเงยหน้าขึ้นมองลูกชายแต่ให้ตายสิ... รีบหันหน้าหนีเธอทันทีเลย “ถ้าแม่อลิซรู้เข้า โจซคิดว่าแม่เขาจะเสียใจหรือไม่คะ?” อเดลเริ่มแกว่งชิงช้าเบา ๆ พลางมองดอกไม้นานาพันธุ์ขณะรอคำตอบจากลูกชาย“ผมขอโทษครับแม่” โจไซอาห์กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่อเดลสัมผัสถึงความรู้สึกผิดและคำขอโทษที่จริงใจ มือหนาทั้งสองข้างยกขึ้นกุมใบหน้าพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนนัยน์ตาสีเทาจะจ้องแหวนแต่งงานบนนิ้วนางซ้ายของตนเอง