@มหาวิทยาลัย A
พอลงจากรถฉันก็เหลือบไปเห็น นนท์กับน้องผู้หญิงสองคนเมื่อวาน นั่งคุยกันอยู่ที่ม้าหินอ่อนใต้ตึกบริหาร ฉันเลยเดินตรงไปหาพวกเขาทันที เพราะไม่รู้จะไปหาใคร รู้จักแค่นนท์คนเดียว
“พี่โรส มาพอดีเลย นั่งๆ” มิณทักขึ้นทันทีที่เห็นฉันก่อนจะตบมือลงที่ม้าหินข้างตัวเองเป็นเชิงให้ฉันนั่งตามคำบอกของเธอ ฉันส่งยิ้มไปทักทายพวกเขาแล้วหย่อนก้นลงนั่งข้างๆ มิณ ส่วนนนท์เอาแต่ก้มหน้าอยู่กับจอมือถือ เสียบหูฟังทั้งสองข้าง มือไม่มีว่างกดยิกๆ ที่หน้าจอ คิ้วชนกันยิ่งกว่าสอบมิดเทอม คงเดาไม่ยากว่าเขากำลังทำอะไร
“คุยอะไรกันอยู่เหรอ” ฉันละสายตาจากนนท์หันไปหาสองสาวนั่นทันที เพราะดูแล้วตอนนี้นนท์น่าจะไม่ได้อยู่ในโลกของความเป็นจริงสักเท่าไหร่
“เย็นนี้เราจะมีงานเลี้ยง” มิณพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงและท่าทางตื่นเต้นสุดๆ ต้องมีอะไรพิเศษแน่ๆ ไม่งั้นคงไม่ตื่นเต้นขนาดนี้
“งานเลี้ยง?”
“ช่าย วันเกิดเพลินเอง พี่โรสไปด้วยกันนะ จะได้เปิดหูเปิดตาไปด้วยไง นะ..นะ” พอฉันถามย้ำออกไปเพลินก็ตอบกลับทันควันพร้อมกับเอ่ยชวน มิณเองก็พยักหน้าทำตาปริบๆ แล้วฉันก็เป็นคนปฏิเสธคนไม่เก่งด้วยสิ เลยได้แต่พยักหน้าตอบรับกลับไป ก็ดีเหมือนกันได้ไปเที่ยวเล่นบ้างจะได้ไม่ฟุ้งซ่านแต่เรื่องของผู้ชายคนนั้น ว่าแต่พวกเขาจะไปกินที่ไหนกัน
“ที่ไหนเหรอ”
“เดี๋ยวเพลินไปรับก็ได้ พี่โรสพักอยู่ไหนอะ” เพลินรีบเสนอออกไปแบบทันควันคล้ายกับกลัวว่าฉันจะเปลี่ยนใจ
“คอนโด G” พอฉันบอกที่อยู่ไปมิณก็รีบโพล่งขึ้นมาทันที
“เห่ย คอนโดเดียวกับมิณเลย ผับเฮียดินอยู่ก่อนถึงคอนโดสองซอยเอง ชื่อ So Say Pub”
“เฮียดิน?” ฉันได้ยินชัดแหละ ว่ามิณบอกว่าผับเฮียดิน แต่ที่ฉันทวนชื่อเพราะคิดว่าน่าจะเป็นดินเดียวกับที่ฉันรู้จักแน่ๆ วันนั้นพวกเธอนั่งอยู่กับธามแสดงว่าก็ต้องเป็นดิน เพื่อนฉันอยู่แล้ว แต่ทำไมดินถึงมาเปิดผับที่นี่ ผ่านมาสี่ปี อะไรๆ เปลี่ยนแปลงไปเยอะเลยเนอะ
“อืม อ่อพี่โรสยังไม่เคยเจอเฮียดินนี้เนอะ เดี๋ยวคืนนี้มิณพาไปแนะนำ อยู่ที่นี่รู้จักเฮียเขาไว้ก็ดี จะได้ไม่มีใครกล้ามาวุ่นวาย” มิณพูดบอกฉันด้วยความที่ไม่รู้ว่าฉันกับดินเรารู้จักกันมาก่อนแล้ว แสดงว่าดินนี่ต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ ถึงกับไม่มีให้กล้ามาวุ่นวายเลยเหรอ ฉันได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆ ไปให้มิณ ถ้าน้องรู้ว่าฉันกับดินเป็นเพื่อนสนิทกัน น้องจะทำหน้ายังไงนะ
“ไปก่อนนะคะ สามทุ่มเจอกัน” เพลินยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาแล้วบอกลาฉันกับนนท์พร้อมกับลุกขึ้นจากเก้าอี้และมิณก็ลุกขึ้นไปตามๆ กัน
“เคๆ เจอกัน” นนท์เงยหน้าขึ้นจากจอมือถือยกมือโบกให้น้องทั้งสองและก้มหน้าไปที่มือถือต่อ เคร่งเครียดน่าดู คิ้วขมวดยุ่งกับการตีป้อมของเขานั่น ก่อนที่เพลินและมิณจะหันหลังกำลังจะเดินออกไป แต่ฉันนึกอะไรได้พอดีเลยเรียกไว้ซะก่อน
“เพลิน”
“คะ?” เพลินหยุดฝีเท้าแล้วหันกลับมาขานรับฉันอย่างไว
“ไม่ต้องมารับพี่ก็ได้ พี่ว่าพี่ไปถูก เหมือนจะเห็นแวบๆ” น้องจะได้ไม่ต้องลำบากมารับฉัน ถ้ามันอยู่ก่อนถึงคอนโดนิดเดียวก็ไม่ใช่เรื่องยาก คิดว่าน่าจะไปถูก เพลินพยักหน้าให้ฉันหงึกๆ ก่อนจะหันเดินกลับออกไปพร้อมเพื่อนของตัวเอง สองสาวนี่ดูน่ารัก น่าคบหาดีนะแล้วอีกอย่างธามและดินไม่ได้สนิทกับใครง่ายๆ แสดงว่าสองสาวนี่ต้องนิสัยดีระดับหนึ่งเลยแหละ
…
ช่วงบ่ายของวัน….
ฉันพยายามเดินสำรวจไปรอบๆ บริเวณมหาวิทยาลัย จนมาถึงห้องสมุด เท้าเรียวเล็กก้าวเข้าไปข้างในอย่างไม่ลังเลเลย กว้างขวาง ใหญ่โต สมกับเป็นห้องสมุดของมหาวิทยาลัยชั้นนำจริงๆ ฉันเดินลัดเลาะมาเรื่อยๆ จนมาเจอมุมที่ฉันโปรดปราน ไขปริศนา สืบสวน ลี้ลับ แนวนี้แหละ ฉันอ่านได้ทั้งวี่ทั้งวัน นิ้วเล็กกรีดไล่ดูสันหนังสือไปเรื่อย เท่าที่ดูฉันอ่านมันมาแทบหมดแล้ว
อ๊ะ!
ฉันผงะถอยพลางเอามือขึ้นลูบหน้าผากตัวเองเมื่อชนเข้ากับแผนหลังของใครก็ไม่รู้อย่างจัง เพราะมัวแต่ก้มหน้าก้มตาดูหนังสือบนชั้นจนไม่เห็นว่ามีคนยืนอยู่
“ขอโทษนะคะ พอดะ..” ฉันรีบเอ่ยขอโทษขอโพยคนตรงหน้าทันที แต่ยังไม่ทันได้อธิบายว่าทำไมฉันถึงชนเขา ร่างหนาก็หันกลับมาเผชิญหน้ากับฉัน และคำพูดต่างๆ นานา ก็เลือนหายไปจนหมด ใจเต้นโครมครามไม่หยุด แต่พอคนตรงหน้าเห็นว่าเป็นฉัน เขาก็รีบหันหลังและกำลังจะก้าวเท้าออกไป
“ธาม” ฉันรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีเอ่ยเรียกชื่อเขา ชื่อที่ฉันไม่ได้เรียกมาตั้งนาน ชื่อของคนที่ฉันโคตรจะคิดถึงเขา แต่ทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ ร่างหนาหยุดฝีเท้าแต่ยังคงยืนหันหลังให้ฉันอยู่แบบนั้นและไม่มีคำพูดใดออกมาจากปากเขาเหมือนเดิม
“โรสขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม” สิ้นเสียงฉันเขาก็เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับมาเสียงเรียบแล้วเดินออกไปแบบไม่ไยดีสักนิด
“ขอโทษนะ ฉันไม่รู้จักเธอ”
คำตอบของเขาทำเอาใจฉันแตกสลายแบบไม่มีชิ้นดี ชาวาบไปทั้งตัว สมองไม่ตอบสนองหรือประมวลผลอะไรได้ทั้งนั้น มันอื้อไปหมด ลมตีขึ้นมาจุกอยู่ที่อกจนพูดไม่ออก ฉันทำได้แค่กลั้นน้ำตาที่มันเอ่อล้นออกมาเอาไว้ แล้วมองตามแผ่นหลังกว้างที่ค่อยๆ ห่างออกไป...ห่างออกไปจนสุดสายตา ไกลจนฉันไม่อาจเอื้อมถึงอีกแล้ว สมควรแล้วไหม...สมน้ำหน้า อยากทิ้งเขาไปเอง แค่นี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำ
ฉันยืนป้ำๆ เป๋อๆ อยู่หน้าผับ ฉันเลื่อนสายตาขึ้นมองป้ายไฟด้านหน้า ก็น่าจะเป็นที่นี่แหละ...ไม่ผิดแน่ แต่ทำไมไม่เจอใครเลย หันมองซ้ายมองขวาอย่างลุกลี้ลุกลนเพราะนี้มันสามทุ่มกว่าแล้ว ฉันอุตส่าห์มารอก่อนเวลา...แล้วแถมไม่มีเบอร์ใครสักคนเลยด้วย สะเพร่าจริงๆ เล๊ย“โรส” ฉันหันกลับไปตามเสียงเรียกปรากฏร่างหนาของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทฉันและเป็นเจ้าของที่นี่ด้วย และนั่นทำให้ฉันยิ้มออกในทันที“มาทำไรตรงนี้ แล้วมากับใคร” ดินเลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย“เรามารอเพลินกับมิณอะ น้องเขาชวนมาวันเกิด” ฉันตอบกลับไปแบบยิ้มๆ เพราะรู้ว่าถ้าเอ่ยชื่อสองคนนี้ ดินต้องรู้จักอยู่แล้ว“สองคนนั้นอยู่ข้างในแล้ว” นั่นไง...โชคดีนะที่เจอดิน อย่างน้อยก็ไม่ต้องมายืนรอโดยไร้จุดหมายแบบนี้“อ้าวเหรอ งั้นดินพาเราไปหน่อยดิ”ดินพยักหน้าตอบรับก่อนจะหมุนตัวไปดันประตูแต่ยังไม่ทันเปิดเข้าไป เขาก็เหมือนนึกอะไรออกแล้วหันมาหาฉันอีกรอบ"เออ!" มือหนาล้วงกระเป๋ากางเกงตัวเองหยิบมือถือออกมาสแกนนิ้วปลดล็อกก่อนจะยื่นมาให้ฉัน“เอาไลน์มาดิ”“อ่อๆ” ฉันก็งงนิดๆ ก่อนจะรับมือถือมากดเข้าไปในแอพเพิ่มเพื่อนตามคำบอกของเพื่อนตัวเอง แล้วส่งมือถือคืนเจ้า
Tanin Talkผมมองตามแผ่นหลังเล็กที่เพิ่งเดินออกจากห้องไป ใจหนึ่งก็อยากคว้าเธอเข้ามากอด อีกใจมันก็ยังไม่พร้อมจะกลับไปเจ็บแบบนั้นอีกแล้ว ผมยกมือขึ้นขยี้ผมตัวเองอย่างหัวเสีย ก่อนจะเดินกลับไปทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาอย่างแรงและไอ้พวกที่เผือกกันอยู่ข้างนอกก็ตามเข้ามานั่งประจำที่ตัวเองสายตาทุกคู่จับจ้องมาที่ผมอย่างเอาเป็นเอาตาย โดยเฉพาะไอ้เหี้ยดิน ตัวดีเลยไอ้ห่าเนี่ย เสือกไม่เข้าเรื่อง มันคงอยากจะให้ผมกับโรสปรับความเข้าใจกัน แล้วเป็นไงล่ะทีนี้แย่กว่าเดิมเข้าไปอีก น่าตบให้กระบาลแยกจริงๆ“กูคิดดีแล้ว” ผมพูดดักคอขึ้นทันทีที่เห็นว่าไอ้ดินกำลังจะอ้าปาก ทำให้มันเม้มปากเข้าหากันแน่นและหันหน้าหนีไปอีกทาง ผมถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่และยกแก้วเหล้าขึ้นกระดกทีเดียวจนหมดผมจะไม่ให้โอกาสผู้หญิงใจดำคนนั้นอีกแล้ว เพราะผมให้เธอมาตั้งสี่ปี...สี่ปีที่เธอไม่เคยคิดจะติดต่อกลับมาอธิบายให้ผมฟัง ว่าสาเหตุที่เธอทิ้งผมไปอย่างไร้เยื่อใยแบบนั้นมันคืออะไร จนกระทั่งวันนี้เธอก็ยังไม่คิดที่จะพูดมันออกมา ทั้งที่ผมให้โอกาสเธอแล้ว ไม่อยากได้ยินคำว่าขอโทษ คำว่ารัก หรือคำว่าคิดถึง แค่อยากรู้ว่าทำไมทิ้งกันไปแบบนั้นต่างหากบรรยากาศตึงเครี
“ธามมม~ โรสเจ็บ ม่ายช่ายตรงนั้น แต่มันเป็นตรงนี้ต่างหาก อึก”ผมเงยหน้าขึ้นมองร่างบางที่พูดด้วยเสียงออดอ้อนราวกับเด็กน้อยก็ไม่ป่านพร้อมกับมือข้างขวาที่ทาบอยู่บนอกข้างซ้าย ก่อนจะค่อยๆ โน้มหน้าลงมาหาผม นัยน์ตาสั่นระริกแดงก่ำที่ไม่รู้จากฤทธิ์แอลกอฮอล์หรือจากการที่เธอร้องไห้กันแน่ แต่ที่แน่ๆ คือผมเงาเห็นตัวเองสะท้อนออกมาอย่างชัดเจน ใจผมที่มันแทบจะหยุดเต้นไปแล้วเมื่อสี่ปีที่ผ่านมา แต่เธอทำให้มันกลับมาเต้นแรงอีกครั้ง เอาจริงๆ คือผมโคตรคิดถึงผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าผมตอนนี้เลย อยากกอด อยากหอม แล้วดูชุดที่ใส่ตอนนี้ดิ บวกกับตาหวานเยิ้มคู่นั้นอีก มันน่าไหม นี่เธอไม่ได้ยั่วผมอยู่ใช่ไหมปึกกกก“โอ๊ยย!! เจ็บๆๆ”ยัยตัวเล็กร้องออกมาพลางเอามือขึ้นลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ เมื่อหัวทุยเล็กโยกไปมาและมาจบที่หน้าผากผมอย่างแรงด้วยความเจ็บ ในขณะเดียวกับที่ผมไม่ทันตั้งตัวก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้นอย่างจังโดยมียัยขี้เมาตัวแสบหล่นลงมานั่งเอนไปเอนมาอยู่บนตักผม หมดกันความคิดเมื่อครู่ เจ็บฉิบ...หัวแข็งจังวะ“ไหนดูดิ” ผมจับมือเล็กออกจากหน้าผากพร้อมกับมืออีกข้างเลื่อนโอบเอวบางไว้หลวมๆ แล้วถามออกไปด้วยความเป็นห่วง ขนาดผมยังเจ็บเล
ผมโน้มตัวลงไปกดจูบบนหน้าผากมนด้วยความโหยหา คิดถึง...คิดถึงมากเหลือเกิน ก่อนจะผละออกและดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้ร่างกายเธอ แล้วลุกขึ้นเดินสำรวจไปรอบห้องอย่างถือวิสาสะ รูปคู่ของเราที่ถูกวางไว้หลายจุดในห้องทำให้ผมหลุดยิ้มน้อยๆ ออกมา เธอยังรักผมเหมือนอย่างที่ปากพร่ำบอกจริงๆ แต่อะไรคือสาเหตุที่เธอทิ้งผมไปล่ะใจผมหล่นวูบหุบยิ้มลงทันทีที่เหลือบไปเห็นรูปคุณน้ารัน ผู้เป็นมารดาของเจ้าของห้องวางอยู่บนหัวเตียง เธอคงจะเสียใจและเจ็บปวดไม่น้อยที่ต้องสูญเสียมารดาและญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวที่ดูแลเธอมาตลอดไป ถ้าผมได้เป็นคนปลอบเธอในเวลาแบบนั้นก็คงจะดีไม่น้อย ซึ่งผู้เป็นบิดาที่เธอมาอยู่ด้วยในตอนนี้ผมไม่เคยเห็นหน้าท่านด้วยซ้ำตั้งแต่วันที่ คุณน้ารันกับโรสย้ายเข้ามาอยู่บ้านใกล้ผมเมื่อสิบกว่าปีก่อนตอนผมอายุประมาณเจ็ดขวบรักครั้งแรกของผมเกิดขึ้นในตอนนั้น ผมหันกลับไปมองร่างบอบบางบนเตียงอีกครั้ง แล้วนึกถึงเด็กผู้หญิงตัวเล็กนั่งร้องไห้ฟูมฟายอยู่ที่ชิงช้าสวนสาธารณะในหมู่บ้านเพราะคิดถึงพ่อ ผมรู้สึกอยากปกป้องเธอตั้งแต่วันนั้นมาจนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีผู้หญิงคนไหนเปลี่ยนความคิดผมได้ เวลาต้องการปลดปล่อยก็แค่บอกไอ้ดินมันก็จ
@ สนามบินเชียงใหม่ฉันเดินเข็นรถกระเป๋าสัมภาระออกมาหยุดอยู่ตรงหน้า Gate ก่อนจะล้วงมือถือในกระเป๋าสะพายตัวเองออกมากดเปิดเครื่องและต่อสายไปยังผู้เป็นญาติเพียงคนเดียวของฉันทันทีตืดดด...ตืดด“โรสถึงแล้วนะคะ คุณพ่อ”ฉันเอ่ยบอกปลายสายเสียงหวานทันทีที่ปลายสายกดรับ[พ่อให้คนเอารถไปให้ที่สนามบินแล้ว ลูกลองมองหาเขาดู]ฉันทำตามคำสั่งของผู้เป็นพ่อ กวาดสายตามองหาป้ายชื่อตัวเอง ไหนหว่า...อ๋อนั่น“เจอแล้วค่ะ”[ลูกจะเข้ามาหาพ่อก่อนไหม หรือไปคอนโดเลย]“ไปคอนโดเลยดีกว่าค่ะ”[งั้นก็ตามใจละกัน ถ้าว่างแล้วพ่อจะไปหานะ]“ค่ะ”ติ๊ด…ฉันกดวางสายก่อนจะเก็บมือถือลงกระเป๋าแล้วถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่ สาวเท้าเล็กไปหาคนที่ชูป้ายชื่อฉันอยู่ตรงทางออก ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากไปหาพ่อหรือไม่คิดถึงพ่อหรอกนะ แต่ท่านมีครอบครัวใหม่แล้ว ฉันไม่อยากวุ่นวายกับท่านไปมากกว่านี้ แค่นี้ก็ถือว่ารบกวนท่านมากเกินไปแล้ว“สวัสดีค่ะ ฉัน...รังศิตาค่ะ”“สวัสดีครับ นี่ครับของคุณหนู” คนของคุณพ่อโค้งน้อยๆ ให้ฉันก่อนจะยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลมาให้ ฉันรับมันมาเปิดดู พบว่าข้างในมีครบทุกอย่างที่ท่านเตรียมไว้ให้ฉัน กุญแจรถ คีย์การ์ดคอนโด ที่อยู่คอนโด บัตรเ
THE HEARTLESS : 01@มหาวิทยาลัย Aฉันนั่งสูดหายใจเข้าลึกๆ อยู่หลังพวงมาลัยหลังจากที่รถเคลื่อนมาจอดลานหน้าตึกคณะบริหารได้เพียงชั่วครู่ การเข้าเรียนแบบไม่ธรรมดาของฉันเป็นจุดสนใจไม่มากก็น้อยและฉันต้องยอมรับเสียงซุบซิบนินทาพวกนั้นให้ได้นิ่งไว้...ไม่กี่อาทิตย์พวกเขาก็จะลืมไปเองลมหายใจถูกพ่นออกจากปากฟู่ใหญ่ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดประตูลงจากรถและปิดมันลงอย่างเบามือ นั่นไง...ยังไม่ทันได้ก้าวขาเลย เสียงนกเสียงกาก็กระทบเข้าโซนประสาทหูทันที‘คนนี้ไงมึง ที่เข้ามากลางเทอม’‘ก็พ่อเป็นถึงท่านทูต จะเข้าตอนไหนก็ได้ปะวะ’‘เออ นั่นดิเนอะ’‘เห็นว่าโอนมาจากเมกาด้วยนะมึง’บลาบลาบลา~~ฉันทำเป็นหูทวนลมแล้วเดินไปนั่งม้าหินอ่อนที่ว่างอยู่ใต้ตึกบริหาร ก่อนจะหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าพร้อมกับหูฟังที่เตรียมไว้เพื่องานนี้โดยเฉพาะ กดเข้าแอปฟังเพลงโปรดแล้วเปิดเพลงที่ชอบดังลั่นใส่หูระหว่างที่ฉันนั่งฮัมเพลงอย่างสบายใจ ก็มีผู้ชายตัวสูงรูปร่างสันทัดและใบหน้าที่หล่อเหลาที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนหย่อนก้นลงนั่งม้าหินอ่อนตัวตรงข้ามอย่างถือวิสาสะ พร้อมกับรอยยิ้มกว้างที่แสดงถึงความจริงใจมาให้...ให้ฉันเหรอ ไม่น่าใช่ฉันหันมองซ้าย มอง
Tanin Talkผมถอนหายใจยาวพร้อมกับปิดหนังสือลง ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วหันไปบอกเพื่อนซี้จอมกวนที่ลากผมมานั่งเฝ้าเมียตัวเองได้ทุกวี่ทุกวัน“กูกลับก่อนนะ”สิ้นเสียงผม ไอ้ยูมันหันมาพยักหน้าให้ทีหนึ่งก่อนจะหันกลับไปจ้องรุ่นน้องที่ชื่อนนท์คนนั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย มันสองคนฟัดกันตั้งไม่รู้กี่รอบก็เรื่อง มิณ ผู้หญิงที่กุมหัวใจเสืออย่างไอ้ยูไว้ได้อยู่หมัดเนี่ยแหละ ผมเองก็เพิ่งเข้าใจว่าที่เขาพูดกัน คนเจ้าชู้มักจะหวงเมียมาก.. มันคือเรื่องจริง แต่สำหรับไอ้ยูเน้นเลยว่า หวงและหึงมากผมเดินออกมาจากโต๊ะอาหารนั่นแล้วตรงไปยังลานจอดรถหน้าตึกวิศวะทันที แต่ยังไม่ทันถึงจุดหมายก็ต้องหยุดฝีเท้าลงซะก่อนเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นหญิงสาวที่ฟุบหน้าลงกับพวงมาลัยเนื้อตัวสั่นเทาอยู่ภายในรถสปอร์ตสีขาวคันหรู เพียงแค่แวบเดียวผมก็รู้ทันทีว่าคือเธอเธอคนที่ทิ้งผมไปโดยไม่ร่ำลาสักคำ เธอคนที่ทำให้ผมเจ็บปวดเจียนตาย เธอคนที่หายไปจากชีวิตผมถึงสี่ปีไม่มีแม้แต่จะติดต่อกลับมา ทั้งที่ช่องทางการติดต่อของผมไม่ได้เปลี่ยนแปลงแม้แต่อย่างเดียว และผมจะไม่มีวันกลับไปเจ็บแบบนั้นอีก ไม่มีทาง…‘โรสรักธามนะ และจะรักตลอดไปด้วย’เพ้อเจ้อฉิบห
เฮือกกก!!!ฉันเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เหงื่อผุดออกเต็มใบหน้า หัวใจกระหน่ำเต้นโครมๆ จนแทบจะหลุดออกมา ลำคอแห้งผาก ตัวชาไปทั้งตัวจนแทบขยับเขยื้อนไม่ได้ ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเรียกสติสัมปชัญญะที่มีอันน้อยนิดกลับมา ฝันร้าย...มันแค่ฝันร้ายที่ผ่านมาแล้วเท่านั้นมือเล็กถูกยกขึ้นเช็ดเหงื่อตามกรอบหน้าพร้อมกับพยุงตัวขึ้นนั่งก่อนจะเงยหน้ามองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังห้อง ตื่นก่อนเวลาเหมือนทุกๆ วันอีกตามเคย ฝันบ้าบออะไรได้ทุกวี่ทุกวัน...ไม่เข้าใจ ฉันลุกขึ้นจากที่นอนขนาดคิงไซซ์ที่ถูกตกแต่งด้วยผ้าปูสีโรสตามสไตล์ที่ฉันชอบ และหยิบผ้าขนหนูเข้าห้องน้ำไปทันทีทุกอย่างในห้องถูกตกแต่งได้ตามที่ฉันต้องการทุกอย่าง สุดท้ายแล้วคุณพ่อก็ยังเอาใจใส่ฉันอย่างละเอียดอ่อนในทุกเรื่องเหมือนเดิม เหมือนที่ท่านพยายามทำมาตลอดเวลาที่ฉันอยู่กับแม่ ท่านมักจะมีของขวัญที่ถูกใจส่งให้ฉันตลอดทุกๆ เดือน ไม่เคยขาดจนไม่มีที่จะเก็บ จะมีก็แต่ระยะเวลาสี่ปีที่ผ่านมาเพราะฉันไม่ได้ติดต่อกลับมาหาใครสักคนเลยลมหายใจถูกพ่นออกมาจากปากฟู่ใหญ่เพื่อคลายความกังวลใจอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ ก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพายใบโปรด กุญแจรถและคีย์การ์ดเปิดประตูออกม
ผมโน้มตัวลงไปกดจูบบนหน้าผากมนด้วยความโหยหา คิดถึง...คิดถึงมากเหลือเกิน ก่อนจะผละออกและดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้ร่างกายเธอ แล้วลุกขึ้นเดินสำรวจไปรอบห้องอย่างถือวิสาสะ รูปคู่ของเราที่ถูกวางไว้หลายจุดในห้องทำให้ผมหลุดยิ้มน้อยๆ ออกมา เธอยังรักผมเหมือนอย่างที่ปากพร่ำบอกจริงๆ แต่อะไรคือสาเหตุที่เธอทิ้งผมไปล่ะใจผมหล่นวูบหุบยิ้มลงทันทีที่เหลือบไปเห็นรูปคุณน้ารัน ผู้เป็นมารดาของเจ้าของห้องวางอยู่บนหัวเตียง เธอคงจะเสียใจและเจ็บปวดไม่น้อยที่ต้องสูญเสียมารดาและญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวที่ดูแลเธอมาตลอดไป ถ้าผมได้เป็นคนปลอบเธอในเวลาแบบนั้นก็คงจะดีไม่น้อย ซึ่งผู้เป็นบิดาที่เธอมาอยู่ด้วยในตอนนี้ผมไม่เคยเห็นหน้าท่านด้วยซ้ำตั้งแต่วันที่ คุณน้ารันกับโรสย้ายเข้ามาอยู่บ้านใกล้ผมเมื่อสิบกว่าปีก่อนตอนผมอายุประมาณเจ็ดขวบรักครั้งแรกของผมเกิดขึ้นในตอนนั้น ผมหันกลับไปมองร่างบอบบางบนเตียงอีกครั้ง แล้วนึกถึงเด็กผู้หญิงตัวเล็กนั่งร้องไห้ฟูมฟายอยู่ที่ชิงช้าสวนสาธารณะในหมู่บ้านเพราะคิดถึงพ่อ ผมรู้สึกอยากปกป้องเธอตั้งแต่วันนั้นมาจนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีผู้หญิงคนไหนเปลี่ยนความคิดผมได้ เวลาต้องการปลดปล่อยก็แค่บอกไอ้ดินมันก็จ
“ธามมม~ โรสเจ็บ ม่ายช่ายตรงนั้น แต่มันเป็นตรงนี้ต่างหาก อึก”ผมเงยหน้าขึ้นมองร่างบางที่พูดด้วยเสียงออดอ้อนราวกับเด็กน้อยก็ไม่ป่านพร้อมกับมือข้างขวาที่ทาบอยู่บนอกข้างซ้าย ก่อนจะค่อยๆ โน้มหน้าลงมาหาผม นัยน์ตาสั่นระริกแดงก่ำที่ไม่รู้จากฤทธิ์แอลกอฮอล์หรือจากการที่เธอร้องไห้กันแน่ แต่ที่แน่ๆ คือผมเงาเห็นตัวเองสะท้อนออกมาอย่างชัดเจน ใจผมที่มันแทบจะหยุดเต้นไปแล้วเมื่อสี่ปีที่ผ่านมา แต่เธอทำให้มันกลับมาเต้นแรงอีกครั้ง เอาจริงๆ คือผมโคตรคิดถึงผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าผมตอนนี้เลย อยากกอด อยากหอม แล้วดูชุดที่ใส่ตอนนี้ดิ บวกกับตาหวานเยิ้มคู่นั้นอีก มันน่าไหม นี่เธอไม่ได้ยั่วผมอยู่ใช่ไหมปึกกกก“โอ๊ยย!! เจ็บๆๆ”ยัยตัวเล็กร้องออกมาพลางเอามือขึ้นลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ เมื่อหัวทุยเล็กโยกไปมาและมาจบที่หน้าผากผมอย่างแรงด้วยความเจ็บ ในขณะเดียวกับที่ผมไม่ทันตั้งตัวก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้นอย่างจังโดยมียัยขี้เมาตัวแสบหล่นลงมานั่งเอนไปเอนมาอยู่บนตักผม หมดกันความคิดเมื่อครู่ เจ็บฉิบ...หัวแข็งจังวะ“ไหนดูดิ” ผมจับมือเล็กออกจากหน้าผากพร้อมกับมืออีกข้างเลื่อนโอบเอวบางไว้หลวมๆ แล้วถามออกไปด้วยความเป็นห่วง ขนาดผมยังเจ็บเล
Tanin Talkผมมองตามแผ่นหลังเล็กที่เพิ่งเดินออกจากห้องไป ใจหนึ่งก็อยากคว้าเธอเข้ามากอด อีกใจมันก็ยังไม่พร้อมจะกลับไปเจ็บแบบนั้นอีกแล้ว ผมยกมือขึ้นขยี้ผมตัวเองอย่างหัวเสีย ก่อนจะเดินกลับไปทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาอย่างแรงและไอ้พวกที่เผือกกันอยู่ข้างนอกก็ตามเข้ามานั่งประจำที่ตัวเองสายตาทุกคู่จับจ้องมาที่ผมอย่างเอาเป็นเอาตาย โดยเฉพาะไอ้เหี้ยดิน ตัวดีเลยไอ้ห่าเนี่ย เสือกไม่เข้าเรื่อง มันคงอยากจะให้ผมกับโรสปรับความเข้าใจกัน แล้วเป็นไงล่ะทีนี้แย่กว่าเดิมเข้าไปอีก น่าตบให้กระบาลแยกจริงๆ“กูคิดดีแล้ว” ผมพูดดักคอขึ้นทันทีที่เห็นว่าไอ้ดินกำลังจะอ้าปาก ทำให้มันเม้มปากเข้าหากันแน่นและหันหน้าหนีไปอีกทาง ผมถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่และยกแก้วเหล้าขึ้นกระดกทีเดียวจนหมดผมจะไม่ให้โอกาสผู้หญิงใจดำคนนั้นอีกแล้ว เพราะผมให้เธอมาตั้งสี่ปี...สี่ปีที่เธอไม่เคยคิดจะติดต่อกลับมาอธิบายให้ผมฟัง ว่าสาเหตุที่เธอทิ้งผมไปอย่างไร้เยื่อใยแบบนั้นมันคืออะไร จนกระทั่งวันนี้เธอก็ยังไม่คิดที่จะพูดมันออกมา ทั้งที่ผมให้โอกาสเธอแล้ว ไม่อยากได้ยินคำว่าขอโทษ คำว่ารัก หรือคำว่าคิดถึง แค่อยากรู้ว่าทำไมทิ้งกันไปแบบนั้นต่างหากบรรยากาศตึงเครี
ฉันยืนป้ำๆ เป๋อๆ อยู่หน้าผับ ฉันเลื่อนสายตาขึ้นมองป้ายไฟด้านหน้า ก็น่าจะเป็นที่นี่แหละ...ไม่ผิดแน่ แต่ทำไมไม่เจอใครเลย หันมองซ้ายมองขวาอย่างลุกลี้ลุกลนเพราะนี้มันสามทุ่มกว่าแล้ว ฉันอุตส่าห์มารอก่อนเวลา...แล้วแถมไม่มีเบอร์ใครสักคนเลยด้วย สะเพร่าจริงๆ เล๊ย“โรส” ฉันหันกลับไปตามเสียงเรียกปรากฏร่างหนาของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทฉันและเป็นเจ้าของที่นี่ด้วย และนั่นทำให้ฉันยิ้มออกในทันที“มาทำไรตรงนี้ แล้วมากับใคร” ดินเลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย“เรามารอเพลินกับมิณอะ น้องเขาชวนมาวันเกิด” ฉันตอบกลับไปแบบยิ้มๆ เพราะรู้ว่าถ้าเอ่ยชื่อสองคนนี้ ดินต้องรู้จักอยู่แล้ว“สองคนนั้นอยู่ข้างในแล้ว” นั่นไง...โชคดีนะที่เจอดิน อย่างน้อยก็ไม่ต้องมายืนรอโดยไร้จุดหมายแบบนี้“อ้าวเหรอ งั้นดินพาเราไปหน่อยดิ”ดินพยักหน้าตอบรับก่อนจะหมุนตัวไปดันประตูแต่ยังไม่ทันเปิดเข้าไป เขาก็เหมือนนึกอะไรออกแล้วหันมาหาฉันอีกรอบ"เออ!" มือหนาล้วงกระเป๋ากางเกงตัวเองหยิบมือถือออกมาสแกนนิ้วปลดล็อกก่อนจะยื่นมาให้ฉัน“เอาไลน์มาดิ”“อ่อๆ” ฉันก็งงนิดๆ ก่อนจะรับมือถือมากดเข้าไปในแอพเพิ่มเพื่อนตามคำบอกของเพื่อนตัวเอง แล้วส่งมือถือคืนเจ้า
@มหาวิทยาลัย Aพอลงจากรถฉันก็เหลือบไปเห็น นนท์กับน้องผู้หญิงสองคนเมื่อวาน นั่งคุยกันอยู่ที่ม้าหินอ่อนใต้ตึกบริหาร ฉันเลยเดินตรงไปหาพวกเขาทันที เพราะไม่รู้จะไปหาใคร รู้จักแค่นนท์คนเดียว“พี่โรส มาพอดีเลย นั่งๆ” มิณทักขึ้นทันทีที่เห็นฉันก่อนจะตบมือลงที่ม้าหินข้างตัวเองเป็นเชิงให้ฉันนั่งตามคำบอกของเธอ ฉันส่งยิ้มไปทักทายพวกเขาแล้วหย่อนก้นลงนั่งข้างๆ มิณ ส่วนนนท์เอาแต่ก้มหน้าอยู่กับจอมือถือ เสียบหูฟังทั้งสองข้าง มือไม่มีว่างกดยิกๆ ที่หน้าจอ คิ้วชนกันยิ่งกว่าสอบมิดเทอม คงเดาไม่ยากว่าเขากำลังทำอะไร“คุยอะไรกันอยู่เหรอ” ฉันละสายตาจากนนท์หันไปหาสองสาวนั่นทันที เพราะดูแล้วตอนนี้นนท์น่าจะไม่ได้อยู่ในโลกของความเป็นจริงสักเท่าไหร่“เย็นนี้เราจะมีงานเลี้ยง” มิณพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงและท่าทางตื่นเต้นสุดๆ ต้องมีอะไรพิเศษแน่ๆ ไม่งั้นคงไม่ตื่นเต้นขนาดนี้“งานเลี้ยง?”“ช่าย วันเกิดเพลินเอง พี่โรสไปด้วยกันนะ จะได้เปิดหูเปิดตาไปด้วยไง นะ..นะ” พอฉันถามย้ำออกไปเพลินก็ตอบกลับทันควันพร้อมกับเอ่ยชวน มิณเองก็พยักหน้าทำตาปริบๆ แล้วฉันก็เป็นคนปฏิเสธคนไม่เก่งด้วยสิ เลยได้แต่พยักหน้าตอบรับกลับไป ก็ดีเหมือนกันได้ไปเที่
เฮือกกก!!!ฉันเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เหงื่อผุดออกเต็มใบหน้า หัวใจกระหน่ำเต้นโครมๆ จนแทบจะหลุดออกมา ลำคอแห้งผาก ตัวชาไปทั้งตัวจนแทบขยับเขยื้อนไม่ได้ ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเรียกสติสัมปชัญญะที่มีอันน้อยนิดกลับมา ฝันร้าย...มันแค่ฝันร้ายที่ผ่านมาแล้วเท่านั้นมือเล็กถูกยกขึ้นเช็ดเหงื่อตามกรอบหน้าพร้อมกับพยุงตัวขึ้นนั่งก่อนจะเงยหน้ามองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังห้อง ตื่นก่อนเวลาเหมือนทุกๆ วันอีกตามเคย ฝันบ้าบออะไรได้ทุกวี่ทุกวัน...ไม่เข้าใจ ฉันลุกขึ้นจากที่นอนขนาดคิงไซซ์ที่ถูกตกแต่งด้วยผ้าปูสีโรสตามสไตล์ที่ฉันชอบ และหยิบผ้าขนหนูเข้าห้องน้ำไปทันทีทุกอย่างในห้องถูกตกแต่งได้ตามที่ฉันต้องการทุกอย่าง สุดท้ายแล้วคุณพ่อก็ยังเอาใจใส่ฉันอย่างละเอียดอ่อนในทุกเรื่องเหมือนเดิม เหมือนที่ท่านพยายามทำมาตลอดเวลาที่ฉันอยู่กับแม่ ท่านมักจะมีของขวัญที่ถูกใจส่งให้ฉันตลอดทุกๆ เดือน ไม่เคยขาดจนไม่มีที่จะเก็บ จะมีก็แต่ระยะเวลาสี่ปีที่ผ่านมาเพราะฉันไม่ได้ติดต่อกลับมาหาใครสักคนเลยลมหายใจถูกพ่นออกมาจากปากฟู่ใหญ่เพื่อคลายความกังวลใจอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ ก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพายใบโปรด กุญแจรถและคีย์การ์ดเปิดประตูออกม
Tanin Talkผมถอนหายใจยาวพร้อมกับปิดหนังสือลง ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วหันไปบอกเพื่อนซี้จอมกวนที่ลากผมมานั่งเฝ้าเมียตัวเองได้ทุกวี่ทุกวัน“กูกลับก่อนนะ”สิ้นเสียงผม ไอ้ยูมันหันมาพยักหน้าให้ทีหนึ่งก่อนจะหันกลับไปจ้องรุ่นน้องที่ชื่อนนท์คนนั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย มันสองคนฟัดกันตั้งไม่รู้กี่รอบก็เรื่อง มิณ ผู้หญิงที่กุมหัวใจเสืออย่างไอ้ยูไว้ได้อยู่หมัดเนี่ยแหละ ผมเองก็เพิ่งเข้าใจว่าที่เขาพูดกัน คนเจ้าชู้มักจะหวงเมียมาก.. มันคือเรื่องจริง แต่สำหรับไอ้ยูเน้นเลยว่า หวงและหึงมากผมเดินออกมาจากโต๊ะอาหารนั่นแล้วตรงไปยังลานจอดรถหน้าตึกวิศวะทันที แต่ยังไม่ทันถึงจุดหมายก็ต้องหยุดฝีเท้าลงซะก่อนเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นหญิงสาวที่ฟุบหน้าลงกับพวงมาลัยเนื้อตัวสั่นเทาอยู่ภายในรถสปอร์ตสีขาวคันหรู เพียงแค่แวบเดียวผมก็รู้ทันทีว่าคือเธอเธอคนที่ทิ้งผมไปโดยไม่ร่ำลาสักคำ เธอคนที่ทำให้ผมเจ็บปวดเจียนตาย เธอคนที่หายไปจากชีวิตผมถึงสี่ปีไม่มีแม้แต่จะติดต่อกลับมา ทั้งที่ช่องทางการติดต่อของผมไม่ได้เปลี่ยนแปลงแม้แต่อย่างเดียว และผมจะไม่มีวันกลับไปเจ็บแบบนั้นอีก ไม่มีทาง…‘โรสรักธามนะ และจะรักตลอดไปด้วย’เพ้อเจ้อฉิบห
THE HEARTLESS : 01@มหาวิทยาลัย Aฉันนั่งสูดหายใจเข้าลึกๆ อยู่หลังพวงมาลัยหลังจากที่รถเคลื่อนมาจอดลานหน้าตึกคณะบริหารได้เพียงชั่วครู่ การเข้าเรียนแบบไม่ธรรมดาของฉันเป็นจุดสนใจไม่มากก็น้อยและฉันต้องยอมรับเสียงซุบซิบนินทาพวกนั้นให้ได้นิ่งไว้...ไม่กี่อาทิตย์พวกเขาก็จะลืมไปเองลมหายใจถูกพ่นออกจากปากฟู่ใหญ่ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดประตูลงจากรถและปิดมันลงอย่างเบามือ นั่นไง...ยังไม่ทันได้ก้าวขาเลย เสียงนกเสียงกาก็กระทบเข้าโซนประสาทหูทันที‘คนนี้ไงมึง ที่เข้ามากลางเทอม’‘ก็พ่อเป็นถึงท่านทูต จะเข้าตอนไหนก็ได้ปะวะ’‘เออ นั่นดิเนอะ’‘เห็นว่าโอนมาจากเมกาด้วยนะมึง’บลาบลาบลา~~ฉันทำเป็นหูทวนลมแล้วเดินไปนั่งม้าหินอ่อนที่ว่างอยู่ใต้ตึกบริหาร ก่อนจะหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าพร้อมกับหูฟังที่เตรียมไว้เพื่องานนี้โดยเฉพาะ กดเข้าแอปฟังเพลงโปรดแล้วเปิดเพลงที่ชอบดังลั่นใส่หูระหว่างที่ฉันนั่งฮัมเพลงอย่างสบายใจ ก็มีผู้ชายตัวสูงรูปร่างสันทัดและใบหน้าที่หล่อเหลาที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนหย่อนก้นลงนั่งม้าหินอ่อนตัวตรงข้ามอย่างถือวิสาสะ พร้อมกับรอยยิ้มกว้างที่แสดงถึงความจริงใจมาให้...ให้ฉันเหรอ ไม่น่าใช่ฉันหันมองซ้าย มอง
@ สนามบินเชียงใหม่ฉันเดินเข็นรถกระเป๋าสัมภาระออกมาหยุดอยู่ตรงหน้า Gate ก่อนจะล้วงมือถือในกระเป๋าสะพายตัวเองออกมากดเปิดเครื่องและต่อสายไปยังผู้เป็นญาติเพียงคนเดียวของฉันทันทีตืดดด...ตืดด“โรสถึงแล้วนะคะ คุณพ่อ”ฉันเอ่ยบอกปลายสายเสียงหวานทันทีที่ปลายสายกดรับ[พ่อให้คนเอารถไปให้ที่สนามบินแล้ว ลูกลองมองหาเขาดู]ฉันทำตามคำสั่งของผู้เป็นพ่อ กวาดสายตามองหาป้ายชื่อตัวเอง ไหนหว่า...อ๋อนั่น“เจอแล้วค่ะ”[ลูกจะเข้ามาหาพ่อก่อนไหม หรือไปคอนโดเลย]“ไปคอนโดเลยดีกว่าค่ะ”[งั้นก็ตามใจละกัน ถ้าว่างแล้วพ่อจะไปหานะ]“ค่ะ”ติ๊ด…ฉันกดวางสายก่อนจะเก็บมือถือลงกระเป๋าแล้วถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่ สาวเท้าเล็กไปหาคนที่ชูป้ายชื่อฉันอยู่ตรงทางออก ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากไปหาพ่อหรือไม่คิดถึงพ่อหรอกนะ แต่ท่านมีครอบครัวใหม่แล้ว ฉันไม่อยากวุ่นวายกับท่านไปมากกว่านี้ แค่นี้ก็ถือว่ารบกวนท่านมากเกินไปแล้ว“สวัสดีค่ะ ฉัน...รังศิตาค่ะ”“สวัสดีครับ นี่ครับของคุณหนู” คนของคุณพ่อโค้งน้อยๆ ให้ฉันก่อนจะยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลมาให้ ฉันรับมันมาเปิดดู พบว่าข้างในมีครบทุกอย่างที่ท่านเตรียมไว้ให้ฉัน กุญแจรถ คีย์การ์ดคอนโด ที่อยู่คอนโด บัตรเ