เฮือกกก!!!
ฉันเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เหงื่อผุดออกเต็มใบหน้า หัวใจกระหน่ำเต้นโครมๆ จนแทบจะหลุดออกมา ลำคอแห้งผาก ตัวชาไปทั้งตัวจนแทบขยับเขยื้อนไม่ได้ ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเรียกสติสัมปชัญญะที่มีอันน้อยนิดกลับมา ฝันร้าย...มันแค่ฝันร้ายที่ผ่านมาแล้วเท่านั้น
มือเล็กถูกยกขึ้นเช็ดเหงื่อตามกรอบหน้าพร้อมกับพยุงตัวขึ้นนั่งก่อนจะเงยหน้ามองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังห้อง ตื่นก่อนเวลาเหมือนทุกๆ วันอีกตามเคย ฝันบ้าบออะไรได้ทุกวี่ทุกวัน...ไม่เข้าใจ ฉันลุกขึ้นจากที่นอนขนาดคิงไซซ์ที่ถูกตกแต่งด้วยผ้าปูสีโรสตามสไตล์ที่ฉันชอบ และหยิบผ้าขนหนูเข้าห้องน้ำไปทันที
ทุกอย่างในห้องถูกตกแต่งได้ตามที่ฉันต้องการทุกอย่าง สุดท้ายแล้วคุณพ่อก็ยังเอาใจใส่ฉันอย่างละเอียดอ่อนในทุกเรื่องเหมือนเดิม เหมือนที่ท่านพยายามทำมาตลอดเวลาที่ฉันอยู่กับแม่ ท่านมักจะมีของขวัญที่ถูกใจส่งให้ฉันตลอดทุกๆ เดือน ไม่เคยขาดจนไม่มีที่จะเก็บ จะมีก็แต่ระยะเวลาสี่ปีที่ผ่านมาเพราะฉันไม่ได้ติดต่อกลับมาหาใครสักคนเลย
ลมหายใจถูกพ่นออกมาจากปากฟู่ใหญ่เพื่อคลายความกังวลใจอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ ก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพายใบโปรด กุญแจรถและคีย์การ์ดเปิดประตูออกมาจากห้องตรงไปกดลิฟต์ทันที
ติงงง
“ดิน! /โรส!!”
พอประตูลิฟต์เปิดออก ฉันก็หลุดเรียกชื่อคนข้างในออกมาเสียงดังด้วยความตกใจในขณะเดียวกัน คนข้างในก็ตกใจเรียกชื่อฉันเสียงดังไม่แพ้กัน นี่มันอะไรกัน พวกเขามาอยู่ที่นี่กันหมดเลยเหรอ ดินเป็นเพื่อนสนิทอีกคนของฉัน ธาม ดิน และฉัน พวกเราโตมาด้วยกันทั้งสามคน และดินรู้ทุกเรื่องของฉันกับธาม แต่เดี๋ยวนะ...ทำไมดินถึงดูตกใจขนาดนั้น พวกเขาไม่คุยกันรึไงนะ หรือธามไม่พูดถึงฉันให้ดินฟังเลยยังงั้นเหรอ ทำไมใจร้าย...
ระหว่างที่ฉันกำลังประมวลผลภาพเหตุการณ์หลายๆ อย่างที่ผ่านมาสองสามวันนี้อยู่ ซึ่งฉันไม่รู้เลยว่าเพราะอะไรเขาทั้งสองคนถึงมาอยู่ที่นี่ ร่างฉันก็ถูกดันเข้ามาในลิฟต์ด้วยแผงอกของคนตัวโตที่ฉันคุ้นเคยเป็นอย่างดี ไม่ใช่สิ...เขาไม่ได้ดันฉันเข้ามาแต่เพราะฉันยืนเกะกะขวางทางอยู่ต่างหากเหมือนเขาเดินชนเศษผงเศษฝุ่นอะไรสักอย่างยังไงยังงั้น...ฮึก เจ็บปวด
สายตาที่ไม่มีแม้แต่เงาของฉันอยู่ มือที่ไม่แม้แต่อยากสัมผัสแตะต้องฉัน ก่อนที่เขาจะหันหลังไปกดปุ่มที่ผนังพร้อมกับประตูลิฟต์ค่อยๆ เลื่อนปิดเข้าหากัน ฉันได้แต่ยืนมองแผ่นหลังของเขาผ่านกระจกเงาบานใหญ่ภายในลิฟต์ด้วยนัยน์ตาสั่นไหว
“นึกว่าตายไปแล้วซะอีก” เสียงของดินปลุกฉันให้ตื่นจากภวังค์และหันหน้ากลับมาทางประตูลิฟต์ ฉันเหลือบตามองคนพูดที่ตอนนี้ยืนเอาข้างลำตัวพิงลิฟต์มองฉันด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา เขาคงมีคำถามเต็มหัวไปหมด ไม่ต่างจากฉัน แต่ประโยคแรกที่หลุดออกมาก็กัดฉันซะล่ะ นี่แหละคือนายปฐพี เดชาพิพักษ์ อย่างไม่มีข้อสงสัย ปากเสียเป็นเอกลักษณ์ ตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม
“สาบานว่านั่นปาก”
“หึ...แล้วทำไมถึงมาโผล่อยู่นี่” ดินยกยิ้มให้ฉันแบบกวนๆ ก่อนจะถามขึ้นเสียงเรียบ ไม่ใช่แค่ดินหรอก ฉันเองก็อยากถามคำถามนี้เหมือนกัน
“คือ...แม่รันเสียแล้ว เราก็เลยต้องกลับมาอยู่กับคุณพ่อที่นี่” ฉันพูดขึ้นเสียงอ่อยอย่างหดหู่ ฉันอยู่กับแม่แค่สองคนมาตลอด พอไม่มีทางแล้วมันก็เหมือนตัวคนเดียวบนโลกยังไงก็ไม่รู้
“คุณน้ารันเสียแล้ว?” ดินยืดตัวยืนตรงและหันมาถามย้ำฉันด้วยน้ำเสียงและสีหน้าตื่นตระหนกไม่น้อย ดีที่เขายังมีความรู้สึกต่างกับอีกคนที่ยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติง สายตาเหลือบมองแผ่นหลังของธามเป็นระยะๆ ฉันแอบหวังว่าเขาจะตกใจหรือไม่ก็หันมามองฉันบ้าง แต่ก็ไม่เลย...
“อืม เมื่อสองเดือนก่อน”
“เสียใจด้วยนะ แล้วเป็นยังไงบ้าง อยู่ดีๆ ก็หายไป ทำไมไม่ติดต่อกลับมาเลย พวกฉันแทบจะพลิกแผ่นดินหา รู้ไหมว่าไอ้ธะ”
“เงียบ! รำคาญ”
ดินยังไม่ทันพูดจบประโยค คนที่ยืนเงียบมาตั้งนานก็ตวาดขัดขึ้นมา จนฉันถึงกับสะดุ้งโหยงไม่กล้าพูดอะไรต่อ ดินเองก็เหมือนกันเม้มปากเข้าหากันแน่นจนเป็นเส้นตรง ฉันเพิ่งได้ยินเสียงเขาในรอบสี่ปี เสียงที่ฉันโคตรจะคิดถึง แต่กลับกลายเป็นเสียงที่สั่งให้ฉันหยุดพูด เขาคงไม่อยากได้ยินแม้แต่เสียงฉันสินะ เขายอมใช้อากาศร่วมกับแกก็ดีแล้วไหมโรส..
แต่ก็ไม่รู้เคราะห์ซ้ำกรรมซัดอะไรของฉัน นี่ฟ้าแกล้งฉันไปถึงไหน พื้นที่ประเทศไทยตั้งกว้างใหญ่ กลับต้องมาอยู่จังหวัดเดียวกัน มหาวิทยาลัยเดียวกัน คอนโดเดียวกันและที่ยิ่งไปกว่านั้นอยู่ชั้นเดียวกัน เหอะ...เอาอีกเซ่...แน่จริงเอามาอยู่ห้องตรงข้ามกันเลยดิ เอาให้มันเจ็บหนักๆ ไปเลย สวรรค์หนอสวรรค์ ไม่เข้าข้างฉันเลยสักนิด ฉันเจ็บปวดนะรู้ไหม
ติ้งงง
พอประตูลิฟต์เปิดออกดินก็เดินออกเป็นคนแรกและตามด้วยธาม มือเล็กยกขึ้นอยากจะคว้าเขาเอาไว้แต่ก็ทำได้แค่กำอากาศที่อยู่รอบตัวเขาเท่านั้นและดึงมันกลับมาแนบข้างลำตัวเหมือนเดิม ฉันมีสิทธิ์อะไรไปแตะต้องเขา...บ้าจริง ร่างหนาตรงหน้าก็ดูเหมือนชะงักไปนิดหนึ่งก่อนจะเร่งฝีเท้าตามเพื่อนรักตัวเองไป
ฉันถอนหายใจพรืดใหญ่ก่อนจะก้าวเท้าออกจากลิฟต์และชะงักไปเหมือนธามเมื่อกี้นี้เลย เพราะภาพตรงหน้าคือเงาสะท้อนของตัวเองชัดแจ๋วในกระจกบานใหญ่ที่ติดกับผนังตรงข้ามลิฟต์พอดิบพอดี ฉันกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ธามต้องเห็นแน่ๆ ว่าฉันกำลังจะทำอะไร โอ๊ย...เกลียดกระจกบานนี้ ทุบทิ้งไปเลยได้ไหมเนี่ย
@มหาวิทยาลัย Aพอลงจากรถฉันก็เหลือบไปเห็น นนท์กับน้องผู้หญิงสองคนเมื่อวาน นั่งคุยกันอยู่ที่ม้าหินอ่อนใต้ตึกบริหาร ฉันเลยเดินตรงไปหาพวกเขาทันที เพราะไม่รู้จะไปหาใคร รู้จักแค่นนท์คนเดียว“พี่โรส มาพอดีเลย นั่งๆ” มิณทักขึ้นทันทีที่เห็นฉันก่อนจะตบมือลงที่ม้าหินข้างตัวเองเป็นเชิงให้ฉันนั่งตามคำบอกของเธอ ฉันส่งยิ้มไปทักทายพวกเขาแล้วหย่อนก้นลงนั่งข้างๆ มิณ ส่วนนนท์เอาแต่ก้มหน้าอยู่กับจอมือถือ เสียบหูฟังทั้งสองข้าง มือไม่มีว่างกดยิกๆ ที่หน้าจอ คิ้วชนกันยิ่งกว่าสอบมิดเทอม คงเดาไม่ยากว่าเขากำลังทำอะไร“คุยอะไรกันอยู่เหรอ” ฉันละสายตาจากนนท์หันไปหาสองสาวนั่นทันที เพราะดูแล้วตอนนี้นนท์น่าจะไม่ได้อยู่ในโลกของความเป็นจริงสักเท่าไหร่“เย็นนี้เราจะมีงานเลี้ยง” มิณพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงและท่าทางตื่นเต้นสุดๆ ต้องมีอะไรพิเศษแน่ๆ ไม่งั้นคงไม่ตื่นเต้นขนาดนี้“งานเลี้ยง?”“ช่าย วันเกิดเพลินเอง พี่โรสไปด้วยกันนะ จะได้เปิดหูเปิดตาไปด้วยไง นะ..นะ” พอฉันถามย้ำออกไปเพลินก็ตอบกลับทันควันพร้อมกับเอ่ยชวน มิณเองก็พยักหน้าทำตาปริบๆ แล้วฉันก็เป็นคนปฏิเสธคนไม่เก่งด้วยสิ เลยได้แต่พยักหน้าตอบรับกลับไป ก็ดีเหมือนกันได้ไปเที่
ฉันยืนป้ำๆ เป๋อๆ อยู่หน้าผับ ฉันเลื่อนสายตาขึ้นมองป้ายไฟด้านหน้า ก็น่าจะเป็นที่นี่แหละ...ไม่ผิดแน่ แต่ทำไมไม่เจอใครเลย หันมองซ้ายมองขวาอย่างลุกลี้ลุกลนเพราะนี้มันสามทุ่มกว่าแล้ว ฉันอุตส่าห์มารอก่อนเวลา...แล้วแถมไม่มีเบอร์ใครสักคนเลยด้วย สะเพร่าจริงๆ เล๊ย“โรส” ฉันหันกลับไปตามเสียงเรียกปรากฏร่างหนาของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทฉันและเป็นเจ้าของที่นี่ด้วย และนั่นทำให้ฉันยิ้มออกในทันที“มาทำไรตรงนี้ แล้วมากับใคร” ดินเลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย“เรามารอเพลินกับมิณอะ น้องเขาชวนมาวันเกิด” ฉันตอบกลับไปแบบยิ้มๆ เพราะรู้ว่าถ้าเอ่ยชื่อสองคนนี้ ดินต้องรู้จักอยู่แล้ว“สองคนนั้นอยู่ข้างในแล้ว” นั่นไง...โชคดีนะที่เจอดิน อย่างน้อยก็ไม่ต้องมายืนรอโดยไร้จุดหมายแบบนี้“อ้าวเหรอ งั้นดินพาเราไปหน่อยดิ”ดินพยักหน้าตอบรับก่อนจะหมุนตัวไปดันประตูแต่ยังไม่ทันเปิดเข้าไป เขาก็เหมือนนึกอะไรออกแล้วหันมาหาฉันอีกรอบ"เออ!" มือหนาล้วงกระเป๋ากางเกงตัวเองหยิบมือถือออกมาสแกนนิ้วปลดล็อกก่อนจะยื่นมาให้ฉัน“เอาไลน์มาดิ”“อ่อๆ” ฉันก็งงนิดๆ ก่อนจะรับมือถือมากดเข้าไปในแอพเพิ่มเพื่อนตามคำบอกของเพื่อนตัวเอง แล้วส่งมือถือคืนเจ้า
Tanin Talkผมมองตามแผ่นหลังเล็กที่เพิ่งเดินออกจากห้องไป ใจหนึ่งก็อยากคว้าเธอเข้ามากอด อีกใจมันก็ยังไม่พร้อมจะกลับไปเจ็บแบบนั้นอีกแล้ว ผมยกมือขึ้นขยี้ผมตัวเองอย่างหัวเสีย ก่อนจะเดินกลับไปทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาอย่างแรงและไอ้พวกที่เผือกกันอยู่ข้างนอกก็ตามเข้ามานั่งประจำที่ตัวเองสายตาทุกคู่จับจ้องมาที่ผมอย่างเอาเป็นเอาตาย โดยเฉพาะไอ้เหี้ยดิน ตัวดีเลยไอ้ห่าเนี่ย เสือกไม่เข้าเรื่อง มันคงอยากจะให้ผมกับโรสปรับความเข้าใจกัน แล้วเป็นไงล่ะทีนี้แย่กว่าเดิมเข้าไปอีก น่าตบให้กระบาลแยกจริงๆ“กูคิดดีแล้ว” ผมพูดดักคอขึ้นทันทีที่เห็นว่าไอ้ดินกำลังจะอ้าปาก ทำให้มันเม้มปากเข้าหากันแน่นและหันหน้าหนีไปอีกทาง ผมถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่และยกแก้วเหล้าขึ้นกระดกทีเดียวจนหมดผมจะไม่ให้โอกาสผู้หญิงใจดำคนนั้นอีกแล้ว เพราะผมให้เธอมาตั้งสี่ปี...สี่ปีที่เธอไม่เคยคิดจะติดต่อกลับมาอธิบายให้ผมฟัง ว่าสาเหตุที่เธอทิ้งผมไปอย่างไร้เยื่อใยแบบนั้นมันคืออะไร จนกระทั่งวันนี้เธอก็ยังไม่คิดที่จะพูดมันออกมา ทั้งที่ผมให้โอกาสเธอแล้ว ไม่อยากได้ยินคำว่าขอโทษ คำว่ารัก หรือคำว่าคิดถึง แค่อยากรู้ว่าทำไมทิ้งกันไปแบบนั้นต่างหากบรรยากาศตึงเครี
“ธามมม~ โรสเจ็บ ม่ายช่ายตรงนั้น แต่มันเป็นตรงนี้ต่างหาก อึก”ผมเงยหน้าขึ้นมองร่างบางที่พูดด้วยเสียงออดอ้อนราวกับเด็กน้อยก็ไม่ป่านพร้อมกับมือข้างขวาที่ทาบอยู่บนอกข้างซ้าย ก่อนจะค่อยๆ โน้มหน้าลงมาหาผม นัยน์ตาสั่นระริกแดงก่ำที่ไม่รู้จากฤทธิ์แอลกอฮอล์หรือจากการที่เธอร้องไห้กันแน่ แต่ที่แน่ๆ คือผมเงาเห็นตัวเองสะท้อนออกมาอย่างชัดเจน ใจผมที่มันแทบจะหยุดเต้นไปแล้วเมื่อสี่ปีที่ผ่านมา แต่เธอทำให้มันกลับมาเต้นแรงอีกครั้ง เอาจริงๆ คือผมโคตรคิดถึงผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าผมตอนนี้เลย อยากกอด อยากหอม แล้วดูชุดที่ใส่ตอนนี้ดิ บวกกับตาหวานเยิ้มคู่นั้นอีก มันน่าไหม นี่เธอไม่ได้ยั่วผมอยู่ใช่ไหมปึกกกก“โอ๊ยย!! เจ็บๆๆ”ยัยตัวเล็กร้องออกมาพลางเอามือขึ้นลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ เมื่อหัวทุยเล็กโยกไปมาและมาจบที่หน้าผากผมอย่างแรงด้วยความเจ็บ ในขณะเดียวกับที่ผมไม่ทันตั้งตัวก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้นอย่างจังโดยมียัยขี้เมาตัวแสบหล่นลงมานั่งเอนไปเอนมาอยู่บนตักผม หมดกันความคิดเมื่อครู่ เจ็บฉิบ...หัวแข็งจังวะ“ไหนดูดิ” ผมจับมือเล็กออกจากหน้าผากพร้อมกับมืออีกข้างเลื่อนโอบเอวบางไว้หลวมๆ แล้วถามออกไปด้วยความเป็นห่วง ขนาดผมยังเจ็บเล
ผมโน้มตัวลงไปกดจูบบนหน้าผากมนด้วยความโหยหา คิดถึง...คิดถึงมากเหลือเกิน ก่อนจะผละออกและดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้ร่างกายเธอ แล้วลุกขึ้นเดินสำรวจไปรอบห้องอย่างถือวิสาสะ รูปคู่ของเราที่ถูกวางไว้หลายจุดในห้องทำให้ผมหลุดยิ้มน้อยๆ ออกมา เธอยังรักผมเหมือนอย่างที่ปากพร่ำบอกจริงๆ แต่อะไรคือสาเหตุที่เธอทิ้งผมไปล่ะใจผมหล่นวูบหุบยิ้มลงทันทีที่เหลือบไปเห็นรูปคุณน้ารัน ผู้เป็นมารดาของเจ้าของห้องวางอยู่บนหัวเตียง เธอคงจะเสียใจและเจ็บปวดไม่น้อยที่ต้องสูญเสียมารดาและญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวที่ดูแลเธอมาตลอดไป ถ้าผมได้เป็นคนปลอบเธอในเวลาแบบนั้นก็คงจะดีไม่น้อย ซึ่งผู้เป็นบิดาที่เธอมาอยู่ด้วยในตอนนี้ผมไม่เคยเห็นหน้าท่านด้วยซ้ำตั้งแต่วันที่ คุณน้ารันกับโรสย้ายเข้ามาอยู่บ้านใกล้ผมเมื่อสิบกว่าปีก่อนตอนผมอายุประมาณเจ็ดขวบรักครั้งแรกของผมเกิดขึ้นในตอนนั้น ผมหันกลับไปมองร่างบอบบางบนเตียงอีกครั้ง แล้วนึกถึงเด็กผู้หญิงตัวเล็กนั่งร้องไห้ฟูมฟายอยู่ที่ชิงช้าสวนสาธารณะในหมู่บ้านเพราะคิดถึงพ่อ ผมรู้สึกอยากปกป้องเธอตั้งแต่วันนั้นมาจนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีผู้หญิงคนไหนเปลี่ยนความคิดผมได้ เวลาต้องการปลดปล่อยก็แค่บอกไอ้ดินมันก็จ
@ สนามบินเชียงใหม่ฉันเดินเข็นรถกระเป๋าสัมภาระออกมาหยุดอยู่ตรงหน้า Gate ก่อนจะล้วงมือถือในกระเป๋าสะพายตัวเองออกมากดเปิดเครื่องและต่อสายไปยังผู้เป็นญาติเพียงคนเดียวของฉันทันทีตืดดด...ตืดด“โรสถึงแล้วนะคะ คุณพ่อ”ฉันเอ่ยบอกปลายสายเสียงหวานทันทีที่ปลายสายกดรับ[พ่อให้คนเอารถไปให้ที่สนามบินแล้ว ลูกลองมองหาเขาดู]ฉันทำตามคำสั่งของผู้เป็นพ่อ กวาดสายตามองหาป้ายชื่อตัวเอง ไหนหว่า...อ๋อนั่น“เจอแล้วค่ะ”[ลูกจะเข้ามาหาพ่อก่อนไหม หรือไปคอนโดเลย]“ไปคอนโดเลยดีกว่าค่ะ”[งั้นก็ตามใจละกัน ถ้าว่างแล้วพ่อจะไปหานะ]“ค่ะ”ติ๊ด…ฉันกดวางสายก่อนจะเก็บมือถือลงกระเป๋าแล้วถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่ สาวเท้าเล็กไปหาคนที่ชูป้ายชื่อฉันอยู่ตรงทางออก ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากไปหาพ่อหรือไม่คิดถึงพ่อหรอกนะ แต่ท่านมีครอบครัวใหม่แล้ว ฉันไม่อยากวุ่นวายกับท่านไปมากกว่านี้ แค่นี้ก็ถือว่ารบกวนท่านมากเกินไปแล้ว“สวัสดีค่ะ ฉัน...รังศิตาค่ะ”“สวัสดีครับ นี่ครับของคุณหนู” คนของคุณพ่อโค้งน้อยๆ ให้ฉันก่อนจะยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลมาให้ ฉันรับมันมาเปิดดู พบว่าข้างในมีครบทุกอย่างที่ท่านเตรียมไว้ให้ฉัน กุญแจรถ คีย์การ์ดคอนโด ที่อยู่คอนโด บัตรเ
THE HEARTLESS : 01@มหาวิทยาลัย Aฉันนั่งสูดหายใจเข้าลึกๆ อยู่หลังพวงมาลัยหลังจากที่รถเคลื่อนมาจอดลานหน้าตึกคณะบริหารได้เพียงชั่วครู่ การเข้าเรียนแบบไม่ธรรมดาของฉันเป็นจุดสนใจไม่มากก็น้อยและฉันต้องยอมรับเสียงซุบซิบนินทาพวกนั้นให้ได้นิ่งไว้...ไม่กี่อาทิตย์พวกเขาก็จะลืมไปเองลมหายใจถูกพ่นออกจากปากฟู่ใหญ่ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดประตูลงจากรถและปิดมันลงอย่างเบามือ นั่นไง...ยังไม่ทันได้ก้าวขาเลย เสียงนกเสียงกาก็กระทบเข้าโซนประสาทหูทันที‘คนนี้ไงมึง ที่เข้ามากลางเทอม’‘ก็พ่อเป็นถึงท่านทูต จะเข้าตอนไหนก็ได้ปะวะ’‘เออ นั่นดิเนอะ’‘เห็นว่าโอนมาจากเมกาด้วยนะมึง’บลาบลาบลา~~ฉันทำเป็นหูทวนลมแล้วเดินไปนั่งม้าหินอ่อนที่ว่างอยู่ใต้ตึกบริหาร ก่อนจะหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าพร้อมกับหูฟังที่เตรียมไว้เพื่องานนี้โดยเฉพาะ กดเข้าแอปฟังเพลงโปรดแล้วเปิดเพลงที่ชอบดังลั่นใส่หูระหว่างที่ฉันนั่งฮัมเพลงอย่างสบายใจ ก็มีผู้ชายตัวสูงรูปร่างสันทัดและใบหน้าที่หล่อเหลาที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนหย่อนก้นลงนั่งม้าหินอ่อนตัวตรงข้ามอย่างถือวิสาสะ พร้อมกับรอยยิ้มกว้างที่แสดงถึงความจริงใจมาให้...ให้ฉันเหรอ ไม่น่าใช่ฉันหันมองซ้าย มอง
Tanin Talkผมถอนหายใจยาวพร้อมกับปิดหนังสือลง ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วหันไปบอกเพื่อนซี้จอมกวนที่ลากผมมานั่งเฝ้าเมียตัวเองได้ทุกวี่ทุกวัน“กูกลับก่อนนะ”สิ้นเสียงผม ไอ้ยูมันหันมาพยักหน้าให้ทีหนึ่งก่อนจะหันกลับไปจ้องรุ่นน้องที่ชื่อนนท์คนนั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย มันสองคนฟัดกันตั้งไม่รู้กี่รอบก็เรื่อง มิณ ผู้หญิงที่กุมหัวใจเสืออย่างไอ้ยูไว้ได้อยู่หมัดเนี่ยแหละ ผมเองก็เพิ่งเข้าใจว่าที่เขาพูดกัน คนเจ้าชู้มักจะหวงเมียมาก.. มันคือเรื่องจริง แต่สำหรับไอ้ยูเน้นเลยว่า หวงและหึงมากผมเดินออกมาจากโต๊ะอาหารนั่นแล้วตรงไปยังลานจอดรถหน้าตึกวิศวะทันที แต่ยังไม่ทันถึงจุดหมายก็ต้องหยุดฝีเท้าลงซะก่อนเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นหญิงสาวที่ฟุบหน้าลงกับพวงมาลัยเนื้อตัวสั่นเทาอยู่ภายในรถสปอร์ตสีขาวคันหรู เพียงแค่แวบเดียวผมก็รู้ทันทีว่าคือเธอเธอคนที่ทิ้งผมไปโดยไม่ร่ำลาสักคำ เธอคนที่ทำให้ผมเจ็บปวดเจียนตาย เธอคนที่หายไปจากชีวิตผมถึงสี่ปีไม่มีแม้แต่จะติดต่อกลับมา ทั้งที่ช่องทางการติดต่อของผมไม่ได้เปลี่ยนแปลงแม้แต่อย่างเดียว และผมจะไม่มีวันกลับไปเจ็บแบบนั้นอีก ไม่มีทาง…‘โรสรักธามนะ และจะรักตลอดไปด้วย’เพ้อเจ้อฉิบห
ผมโน้มตัวลงไปกดจูบบนหน้าผากมนด้วยความโหยหา คิดถึง...คิดถึงมากเหลือเกิน ก่อนจะผละออกและดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้ร่างกายเธอ แล้วลุกขึ้นเดินสำรวจไปรอบห้องอย่างถือวิสาสะ รูปคู่ของเราที่ถูกวางไว้หลายจุดในห้องทำให้ผมหลุดยิ้มน้อยๆ ออกมา เธอยังรักผมเหมือนอย่างที่ปากพร่ำบอกจริงๆ แต่อะไรคือสาเหตุที่เธอทิ้งผมไปล่ะใจผมหล่นวูบหุบยิ้มลงทันทีที่เหลือบไปเห็นรูปคุณน้ารัน ผู้เป็นมารดาของเจ้าของห้องวางอยู่บนหัวเตียง เธอคงจะเสียใจและเจ็บปวดไม่น้อยที่ต้องสูญเสียมารดาและญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวที่ดูแลเธอมาตลอดไป ถ้าผมได้เป็นคนปลอบเธอในเวลาแบบนั้นก็คงจะดีไม่น้อย ซึ่งผู้เป็นบิดาที่เธอมาอยู่ด้วยในตอนนี้ผมไม่เคยเห็นหน้าท่านด้วยซ้ำตั้งแต่วันที่ คุณน้ารันกับโรสย้ายเข้ามาอยู่บ้านใกล้ผมเมื่อสิบกว่าปีก่อนตอนผมอายุประมาณเจ็ดขวบรักครั้งแรกของผมเกิดขึ้นในตอนนั้น ผมหันกลับไปมองร่างบอบบางบนเตียงอีกครั้ง แล้วนึกถึงเด็กผู้หญิงตัวเล็กนั่งร้องไห้ฟูมฟายอยู่ที่ชิงช้าสวนสาธารณะในหมู่บ้านเพราะคิดถึงพ่อ ผมรู้สึกอยากปกป้องเธอตั้งแต่วันนั้นมาจนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีผู้หญิงคนไหนเปลี่ยนความคิดผมได้ เวลาต้องการปลดปล่อยก็แค่บอกไอ้ดินมันก็จ
“ธามมม~ โรสเจ็บ ม่ายช่ายตรงนั้น แต่มันเป็นตรงนี้ต่างหาก อึก”ผมเงยหน้าขึ้นมองร่างบางที่พูดด้วยเสียงออดอ้อนราวกับเด็กน้อยก็ไม่ป่านพร้อมกับมือข้างขวาที่ทาบอยู่บนอกข้างซ้าย ก่อนจะค่อยๆ โน้มหน้าลงมาหาผม นัยน์ตาสั่นระริกแดงก่ำที่ไม่รู้จากฤทธิ์แอลกอฮอล์หรือจากการที่เธอร้องไห้กันแน่ แต่ที่แน่ๆ คือผมเงาเห็นตัวเองสะท้อนออกมาอย่างชัดเจน ใจผมที่มันแทบจะหยุดเต้นไปแล้วเมื่อสี่ปีที่ผ่านมา แต่เธอทำให้มันกลับมาเต้นแรงอีกครั้ง เอาจริงๆ คือผมโคตรคิดถึงผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าผมตอนนี้เลย อยากกอด อยากหอม แล้วดูชุดที่ใส่ตอนนี้ดิ บวกกับตาหวานเยิ้มคู่นั้นอีก มันน่าไหม นี่เธอไม่ได้ยั่วผมอยู่ใช่ไหมปึกกกก“โอ๊ยย!! เจ็บๆๆ”ยัยตัวเล็กร้องออกมาพลางเอามือขึ้นลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ เมื่อหัวทุยเล็กโยกไปมาและมาจบที่หน้าผากผมอย่างแรงด้วยความเจ็บ ในขณะเดียวกับที่ผมไม่ทันตั้งตัวก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้นอย่างจังโดยมียัยขี้เมาตัวแสบหล่นลงมานั่งเอนไปเอนมาอยู่บนตักผม หมดกันความคิดเมื่อครู่ เจ็บฉิบ...หัวแข็งจังวะ“ไหนดูดิ” ผมจับมือเล็กออกจากหน้าผากพร้อมกับมืออีกข้างเลื่อนโอบเอวบางไว้หลวมๆ แล้วถามออกไปด้วยความเป็นห่วง ขนาดผมยังเจ็บเล
Tanin Talkผมมองตามแผ่นหลังเล็กที่เพิ่งเดินออกจากห้องไป ใจหนึ่งก็อยากคว้าเธอเข้ามากอด อีกใจมันก็ยังไม่พร้อมจะกลับไปเจ็บแบบนั้นอีกแล้ว ผมยกมือขึ้นขยี้ผมตัวเองอย่างหัวเสีย ก่อนจะเดินกลับไปทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาอย่างแรงและไอ้พวกที่เผือกกันอยู่ข้างนอกก็ตามเข้ามานั่งประจำที่ตัวเองสายตาทุกคู่จับจ้องมาที่ผมอย่างเอาเป็นเอาตาย โดยเฉพาะไอ้เหี้ยดิน ตัวดีเลยไอ้ห่าเนี่ย เสือกไม่เข้าเรื่อง มันคงอยากจะให้ผมกับโรสปรับความเข้าใจกัน แล้วเป็นไงล่ะทีนี้แย่กว่าเดิมเข้าไปอีก น่าตบให้กระบาลแยกจริงๆ“กูคิดดีแล้ว” ผมพูดดักคอขึ้นทันทีที่เห็นว่าไอ้ดินกำลังจะอ้าปาก ทำให้มันเม้มปากเข้าหากันแน่นและหันหน้าหนีไปอีกทาง ผมถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่และยกแก้วเหล้าขึ้นกระดกทีเดียวจนหมดผมจะไม่ให้โอกาสผู้หญิงใจดำคนนั้นอีกแล้ว เพราะผมให้เธอมาตั้งสี่ปี...สี่ปีที่เธอไม่เคยคิดจะติดต่อกลับมาอธิบายให้ผมฟัง ว่าสาเหตุที่เธอทิ้งผมไปอย่างไร้เยื่อใยแบบนั้นมันคืออะไร จนกระทั่งวันนี้เธอก็ยังไม่คิดที่จะพูดมันออกมา ทั้งที่ผมให้โอกาสเธอแล้ว ไม่อยากได้ยินคำว่าขอโทษ คำว่ารัก หรือคำว่าคิดถึง แค่อยากรู้ว่าทำไมทิ้งกันไปแบบนั้นต่างหากบรรยากาศตึงเครี
ฉันยืนป้ำๆ เป๋อๆ อยู่หน้าผับ ฉันเลื่อนสายตาขึ้นมองป้ายไฟด้านหน้า ก็น่าจะเป็นที่นี่แหละ...ไม่ผิดแน่ แต่ทำไมไม่เจอใครเลย หันมองซ้ายมองขวาอย่างลุกลี้ลุกลนเพราะนี้มันสามทุ่มกว่าแล้ว ฉันอุตส่าห์มารอก่อนเวลา...แล้วแถมไม่มีเบอร์ใครสักคนเลยด้วย สะเพร่าจริงๆ เล๊ย“โรส” ฉันหันกลับไปตามเสียงเรียกปรากฏร่างหนาของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทฉันและเป็นเจ้าของที่นี่ด้วย และนั่นทำให้ฉันยิ้มออกในทันที“มาทำไรตรงนี้ แล้วมากับใคร” ดินเลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย“เรามารอเพลินกับมิณอะ น้องเขาชวนมาวันเกิด” ฉันตอบกลับไปแบบยิ้มๆ เพราะรู้ว่าถ้าเอ่ยชื่อสองคนนี้ ดินต้องรู้จักอยู่แล้ว“สองคนนั้นอยู่ข้างในแล้ว” นั่นไง...โชคดีนะที่เจอดิน อย่างน้อยก็ไม่ต้องมายืนรอโดยไร้จุดหมายแบบนี้“อ้าวเหรอ งั้นดินพาเราไปหน่อยดิ”ดินพยักหน้าตอบรับก่อนจะหมุนตัวไปดันประตูแต่ยังไม่ทันเปิดเข้าไป เขาก็เหมือนนึกอะไรออกแล้วหันมาหาฉันอีกรอบ"เออ!" มือหนาล้วงกระเป๋ากางเกงตัวเองหยิบมือถือออกมาสแกนนิ้วปลดล็อกก่อนจะยื่นมาให้ฉัน“เอาไลน์มาดิ”“อ่อๆ” ฉันก็งงนิดๆ ก่อนจะรับมือถือมากดเข้าไปในแอพเพิ่มเพื่อนตามคำบอกของเพื่อนตัวเอง แล้วส่งมือถือคืนเจ้า
@มหาวิทยาลัย Aพอลงจากรถฉันก็เหลือบไปเห็น นนท์กับน้องผู้หญิงสองคนเมื่อวาน นั่งคุยกันอยู่ที่ม้าหินอ่อนใต้ตึกบริหาร ฉันเลยเดินตรงไปหาพวกเขาทันที เพราะไม่รู้จะไปหาใคร รู้จักแค่นนท์คนเดียว“พี่โรส มาพอดีเลย นั่งๆ” มิณทักขึ้นทันทีที่เห็นฉันก่อนจะตบมือลงที่ม้าหินข้างตัวเองเป็นเชิงให้ฉันนั่งตามคำบอกของเธอ ฉันส่งยิ้มไปทักทายพวกเขาแล้วหย่อนก้นลงนั่งข้างๆ มิณ ส่วนนนท์เอาแต่ก้มหน้าอยู่กับจอมือถือ เสียบหูฟังทั้งสองข้าง มือไม่มีว่างกดยิกๆ ที่หน้าจอ คิ้วชนกันยิ่งกว่าสอบมิดเทอม คงเดาไม่ยากว่าเขากำลังทำอะไร“คุยอะไรกันอยู่เหรอ” ฉันละสายตาจากนนท์หันไปหาสองสาวนั่นทันที เพราะดูแล้วตอนนี้นนท์น่าจะไม่ได้อยู่ในโลกของความเป็นจริงสักเท่าไหร่“เย็นนี้เราจะมีงานเลี้ยง” มิณพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงและท่าทางตื่นเต้นสุดๆ ต้องมีอะไรพิเศษแน่ๆ ไม่งั้นคงไม่ตื่นเต้นขนาดนี้“งานเลี้ยง?”“ช่าย วันเกิดเพลินเอง พี่โรสไปด้วยกันนะ จะได้เปิดหูเปิดตาไปด้วยไง นะ..นะ” พอฉันถามย้ำออกไปเพลินก็ตอบกลับทันควันพร้อมกับเอ่ยชวน มิณเองก็พยักหน้าทำตาปริบๆ แล้วฉันก็เป็นคนปฏิเสธคนไม่เก่งด้วยสิ เลยได้แต่พยักหน้าตอบรับกลับไป ก็ดีเหมือนกันได้ไปเที่
เฮือกกก!!!ฉันเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เหงื่อผุดออกเต็มใบหน้า หัวใจกระหน่ำเต้นโครมๆ จนแทบจะหลุดออกมา ลำคอแห้งผาก ตัวชาไปทั้งตัวจนแทบขยับเขยื้อนไม่ได้ ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเรียกสติสัมปชัญญะที่มีอันน้อยนิดกลับมา ฝันร้าย...มันแค่ฝันร้ายที่ผ่านมาแล้วเท่านั้นมือเล็กถูกยกขึ้นเช็ดเหงื่อตามกรอบหน้าพร้อมกับพยุงตัวขึ้นนั่งก่อนจะเงยหน้ามองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังห้อง ตื่นก่อนเวลาเหมือนทุกๆ วันอีกตามเคย ฝันบ้าบออะไรได้ทุกวี่ทุกวัน...ไม่เข้าใจ ฉันลุกขึ้นจากที่นอนขนาดคิงไซซ์ที่ถูกตกแต่งด้วยผ้าปูสีโรสตามสไตล์ที่ฉันชอบ และหยิบผ้าขนหนูเข้าห้องน้ำไปทันทีทุกอย่างในห้องถูกตกแต่งได้ตามที่ฉันต้องการทุกอย่าง สุดท้ายแล้วคุณพ่อก็ยังเอาใจใส่ฉันอย่างละเอียดอ่อนในทุกเรื่องเหมือนเดิม เหมือนที่ท่านพยายามทำมาตลอดเวลาที่ฉันอยู่กับแม่ ท่านมักจะมีของขวัญที่ถูกใจส่งให้ฉันตลอดทุกๆ เดือน ไม่เคยขาดจนไม่มีที่จะเก็บ จะมีก็แต่ระยะเวลาสี่ปีที่ผ่านมาเพราะฉันไม่ได้ติดต่อกลับมาหาใครสักคนเลยลมหายใจถูกพ่นออกมาจากปากฟู่ใหญ่เพื่อคลายความกังวลใจอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ ก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพายใบโปรด กุญแจรถและคีย์การ์ดเปิดประตูออกม
Tanin Talkผมถอนหายใจยาวพร้อมกับปิดหนังสือลง ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วหันไปบอกเพื่อนซี้จอมกวนที่ลากผมมานั่งเฝ้าเมียตัวเองได้ทุกวี่ทุกวัน“กูกลับก่อนนะ”สิ้นเสียงผม ไอ้ยูมันหันมาพยักหน้าให้ทีหนึ่งก่อนจะหันกลับไปจ้องรุ่นน้องที่ชื่อนนท์คนนั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย มันสองคนฟัดกันตั้งไม่รู้กี่รอบก็เรื่อง มิณ ผู้หญิงที่กุมหัวใจเสืออย่างไอ้ยูไว้ได้อยู่หมัดเนี่ยแหละ ผมเองก็เพิ่งเข้าใจว่าที่เขาพูดกัน คนเจ้าชู้มักจะหวงเมียมาก.. มันคือเรื่องจริง แต่สำหรับไอ้ยูเน้นเลยว่า หวงและหึงมากผมเดินออกมาจากโต๊ะอาหารนั่นแล้วตรงไปยังลานจอดรถหน้าตึกวิศวะทันที แต่ยังไม่ทันถึงจุดหมายก็ต้องหยุดฝีเท้าลงซะก่อนเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นหญิงสาวที่ฟุบหน้าลงกับพวงมาลัยเนื้อตัวสั่นเทาอยู่ภายในรถสปอร์ตสีขาวคันหรู เพียงแค่แวบเดียวผมก็รู้ทันทีว่าคือเธอเธอคนที่ทิ้งผมไปโดยไม่ร่ำลาสักคำ เธอคนที่ทำให้ผมเจ็บปวดเจียนตาย เธอคนที่หายไปจากชีวิตผมถึงสี่ปีไม่มีแม้แต่จะติดต่อกลับมา ทั้งที่ช่องทางการติดต่อของผมไม่ได้เปลี่ยนแปลงแม้แต่อย่างเดียว และผมจะไม่มีวันกลับไปเจ็บแบบนั้นอีก ไม่มีทาง…‘โรสรักธามนะ และจะรักตลอดไปด้วย’เพ้อเจ้อฉิบห
THE HEARTLESS : 01@มหาวิทยาลัย Aฉันนั่งสูดหายใจเข้าลึกๆ อยู่หลังพวงมาลัยหลังจากที่รถเคลื่อนมาจอดลานหน้าตึกคณะบริหารได้เพียงชั่วครู่ การเข้าเรียนแบบไม่ธรรมดาของฉันเป็นจุดสนใจไม่มากก็น้อยและฉันต้องยอมรับเสียงซุบซิบนินทาพวกนั้นให้ได้นิ่งไว้...ไม่กี่อาทิตย์พวกเขาก็จะลืมไปเองลมหายใจถูกพ่นออกจากปากฟู่ใหญ่ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดประตูลงจากรถและปิดมันลงอย่างเบามือ นั่นไง...ยังไม่ทันได้ก้าวขาเลย เสียงนกเสียงกาก็กระทบเข้าโซนประสาทหูทันที‘คนนี้ไงมึง ที่เข้ามากลางเทอม’‘ก็พ่อเป็นถึงท่านทูต จะเข้าตอนไหนก็ได้ปะวะ’‘เออ นั่นดิเนอะ’‘เห็นว่าโอนมาจากเมกาด้วยนะมึง’บลาบลาบลา~~ฉันทำเป็นหูทวนลมแล้วเดินไปนั่งม้าหินอ่อนที่ว่างอยู่ใต้ตึกบริหาร ก่อนจะหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าพร้อมกับหูฟังที่เตรียมไว้เพื่องานนี้โดยเฉพาะ กดเข้าแอปฟังเพลงโปรดแล้วเปิดเพลงที่ชอบดังลั่นใส่หูระหว่างที่ฉันนั่งฮัมเพลงอย่างสบายใจ ก็มีผู้ชายตัวสูงรูปร่างสันทัดและใบหน้าที่หล่อเหลาที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนหย่อนก้นลงนั่งม้าหินอ่อนตัวตรงข้ามอย่างถือวิสาสะ พร้อมกับรอยยิ้มกว้างที่แสดงถึงความจริงใจมาให้...ให้ฉันเหรอ ไม่น่าใช่ฉันหันมองซ้าย มอง
@ สนามบินเชียงใหม่ฉันเดินเข็นรถกระเป๋าสัมภาระออกมาหยุดอยู่ตรงหน้า Gate ก่อนจะล้วงมือถือในกระเป๋าสะพายตัวเองออกมากดเปิดเครื่องและต่อสายไปยังผู้เป็นญาติเพียงคนเดียวของฉันทันทีตืดดด...ตืดด“โรสถึงแล้วนะคะ คุณพ่อ”ฉันเอ่ยบอกปลายสายเสียงหวานทันทีที่ปลายสายกดรับ[พ่อให้คนเอารถไปให้ที่สนามบินแล้ว ลูกลองมองหาเขาดู]ฉันทำตามคำสั่งของผู้เป็นพ่อ กวาดสายตามองหาป้ายชื่อตัวเอง ไหนหว่า...อ๋อนั่น“เจอแล้วค่ะ”[ลูกจะเข้ามาหาพ่อก่อนไหม หรือไปคอนโดเลย]“ไปคอนโดเลยดีกว่าค่ะ”[งั้นก็ตามใจละกัน ถ้าว่างแล้วพ่อจะไปหานะ]“ค่ะ”ติ๊ด…ฉันกดวางสายก่อนจะเก็บมือถือลงกระเป๋าแล้วถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่ สาวเท้าเล็กไปหาคนที่ชูป้ายชื่อฉันอยู่ตรงทางออก ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากไปหาพ่อหรือไม่คิดถึงพ่อหรอกนะ แต่ท่านมีครอบครัวใหม่แล้ว ฉันไม่อยากวุ่นวายกับท่านไปมากกว่านี้ แค่นี้ก็ถือว่ารบกวนท่านมากเกินไปแล้ว“สวัสดีค่ะ ฉัน...รังศิตาค่ะ”“สวัสดีครับ นี่ครับของคุณหนู” คนของคุณพ่อโค้งน้อยๆ ให้ฉันก่อนจะยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลมาให้ ฉันรับมันมาเปิดดู พบว่าข้างในมีครบทุกอย่างที่ท่านเตรียมไว้ให้ฉัน กุญแจรถ คีย์การ์ดคอนโด ที่อยู่คอนโด บัตรเ