"ดาวเคียงเดือน หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าพระจันทร์ยิ้มไง ปืนรู้จักใช่ไหม เมื่อกี้เค้าอ่านเจอในเฟซบุ๊ก บอกว่าค่ำวันนี้จะมี เค้าอยากดูมากกกก" ผมพยักหน้า ร้องอ๋อ แล้วเอนตัวไปข้างหน้ามองดูท้องฟ้าที่เริ่มถูกความมืดกลืนกินด้วยความสนใจ "แล้วเราจะเห็นปรากฏการณ์นั้นได้ตอนกี่โมงอะดื้อ" "ตามที่ข่าวบอก เราจะเห็นกันช่วงหัวค่ำ กินเวลาไม่นาน" "งั้นก็ต้องจับตาดูให้ดี" "ใช่ แต่ปืนจ๋า ช่วยพาเค้าไปส่งที่หอเลยได้ไหมอะ เค้าไม่อยากแวะที่ไหนอีกแล้ว" เสียงอ้อนอ่อนหวานเรียกปืนจ๋าของสาวตาใสแจ๋วและปากจู๋ ๆ ของเธอเรียกรอยยิ้มจากผม อดใจไม่ไหวต้องยื่นมือออกไปประคองซีกแก้มเนียนนุ่มไม่ต่างจากผิวเด็กทารกแรกเกิด ผมเกลี่ยคลึงเบา ๆ ด้วยปลายนิ้วหัวแม่มือ เล่นนุ่มนิ่มซะขนาดนี้จะไม่ให้อยากทะนุถนอมได้ยังไง "แต่ปืนยังไม่อยากแยกกับดื้อเลย ทำไงดีล่ะ" ผมพูดเสียงเบา ก้มหน้าลงไล้ปลายจมูกเชิดรั้นอย่างหยอกล้อ ขณะเดียวกันก็ซึมซับกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากร่างบางไปด้วย พอได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันผมก็เกิดความโลภ อยากยืดเวลาออกไปอีก อยากให้วันนึงมีมากกว่า 24 ชั่วโมงด้วยซ้ำ
더 보기คนรีบที่บอกอีกหนึ่งชั่วโมงเจอกันมาถึงหน้าหอฉันก่อนเวลานัดตั้งสิบห้านาที เดินฝ่าแดดเปรี้ยง ๆ ออกมาจากประตูรั้วก็เห็น BMW คันเดิมของปืนจอดเด่นเป็นสง่าอยู่ริมฟุตบาธในฝั่งตรงข้าม ใครสัญจรผ่านไปมาเห็นล้วนเหลียวมองความงามซ้ำสองกันทั้งนั้น กลับกัน ถ้าเป็นฉันที่ไม่รู้จักกับคนในรถฉันก็ชื่นชม และคงมีความคิดที่อยากจะเห็นโฉมหน้าผู้เป็นเจ้าของเหมือนสาว ๆ กลุ่มที่เพิ่งเดินผ่านไปเหมือนกันแหละกระจกฝั่งคนนั่งเปิดลงเมื่อฉันข้ามถนนมา ปืนชะโงกหน้าบอกให้ฉันรีบขึ้นรถเพราะอากาศข้างนอกมันร้อนจัด ภาวนาอยู่นี่ ขอให้คำพยากรณ์ที่กรมอุตุฯ ออกประกาศไว้เมื่อสองวันก่อนเป็นความจริง ที่ว่ากรุงเทพฯ จะหนาว อุณหภูมิจะลดลงเหลือสิบกว่าองศาในช่วงเดือนธันวาคม ซึ่งเหลืออีกเดือนกว่า ๆ เหมือนจะไม่นานแต่ ก็นานอยู่ดี “หือ”“ใจเราตรงกัน” ปืนคงเดาได้ว่าฉันจะพูดอะไร ซึ่งฉันก็ไม่เถียง“นั่นน่ะสิ” ก่อนออกจากห้องมาฉันเปลี่ยนจากเสื้อยืดกลางเก่ากลางใหม่ มาใส่เสื้อโปโลสีขาวเพื่อไม่ให้ตัวเองดูหม่นหมองเกินไปเมื่อเดินกับปืน พ่อหนุ่มออร่าฟุ้ง กางเกงก็ขาสั้นสีขาวตัวเดิม ตัวนี้เพิ่งซื้อ ใส่ครั้งนี้ครั้งที่สองเอง รองเท้าก็เลือกใส่รองเท้าผ้าใบ
“เมื่อคืนปืนขับรถกลับคอนโดฯ เอง”“ทำไมประมาทแบบนั้นล่ะปืน” ฉันถามเสียงเข้มออกไปทันที ไปตั้งแต่สามทุ่มกลับถึงห้องตอนตีสามกว่าเนี่ยนะ ถ้าเป็นอย่างนี้ ทุกวันตับคงแข็งตายก่อนวัยอันควร อยากจะถามจริง ๆ ว่าเขารักตัวเองบ้างไหม“ประมาทยังไง” ยังจะกล้าถามฉันอีกว่าประมาทยังไง“ดื่มแอลกอฮอล์แล้วขับรถกลับที่พักตอนตีสามตีสี่ไม่เรียกประมาทได้ยังไงล่ะ เมาด้วยรึเปล่าก็ไม่รู้” ฉันว่าพลางถลึงตาดุใส่ คนหน้าเป็นปืนหันมายิ้มแล้วยื่นนิ้วมาจิ้มแก้มฉัน ซึ่งนาทีนี้ฉันไม่อยู่ในอารมณ์อยากจะเล่นเลยปัดมือเขาออกอย่างไม่ไยดี ฉันรู้ตัวนะว่าไม่ควรเสียงแข็งใส่ปืน หรือแสดงความไม่พอใจอะไรออกมามากเกินควร เพราะนั่นคือชีวิตเขา แต่ฉันห้ามอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ ฉันอินเรื่องอุบัติเหตุมากก็เพราะเสพข่าวทุกวัน ฉันเป็นห่วงปืน เป็นห่วงความปลอดภัยของผู้ชายคนนี้มากจนน่าตกใจ ทั้งที่เขากับฉันเราเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน และไม่รู้ว่าเมื่อไรด้วยเหมือนกันที่เขาเริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตชนิดที่ฉันคาดไม่ถึง กับเพื่อนคนอื่น ๆ ฉันยังไม่เคยรู้สึกวิตกอะไรขนาดนี้เลยเอาจริง ๆ “เมื่อคืนปืนไม่เมา เหล้าแทบไม่ได้แตะสาบานได้”ฉันมุ่นคิ้ว ส่งผ่านคำว่าจริง
หลังลงไปผจญกับความร้อนเปรี้ยงแบบเปรี้ยงจริง ๆ ในฤดูหนาวที่ไม่ค่อยหนาวของประเทศกรุงเทพฯ แยกย้ายกับน้องโทน ในลิฟต์ฉันก็กลับเข้ามาตากแอร์อยู่ในห้องตามเดิม เพิ่มเติมคือเปิดหนังเรื่อง After หนังรักวัยรุ่นที่กำลังเป็นที่กล่าวขานถึงของกลุ่มสาว ๆ จากช่อง Netflix ดูระหว่างนี้ก็แกะกล่องข้าวผัดไก่เกาหลีกลิ่นหอมฉุย กับเปิด ฝากระปุกกิมจิไซซ์เล็กที่คว้ามาจากตู้แช่ในเซเว่นที่เหลือเพียงแค่สามกระปุกสุดท้าย เพราะสต็อกใหม่พนักงานยังไม่เติม เห็นแล้วมันอดใจไม่ไหวต้องซื้อมากินบ่อยครั้งไป และจริง ๆ ความอยากนี้มันมีที่มา ที่ไปแหละ ด้วยความที่เปิดดูยูทูปเกี่ยวกับช่องเกาหลีมากไปหน่อย เห็นคนที่นั่นกินอะไรก็ตามต้องมีกิมจิ ผักดองขึ้นโต๊ะอาหารเสมอ เลยซึมซับพฤติกรรมการกินของเขามาฉันใช้เวลาในการกินไม่ถึงสิบห้านาทีก็เป็นอันจบมื้อเช้ารวบมื้อกลางวัน ทีแรกก็เพลินอยู่กับการหวีดพระเอกในหนังอยู่หรอก แต่พอโทรศัพท์ดังทำลายโสตประสาท หน้าจอปรากฏชื่อของคนทำลายความสุขเท่านั้น สายตาและใจของฉันมันก็ไม่อาจจดจ่ออยู่ที่จอทีวีได้อีกต่อไป เพราะความน่าสนใจมันดันมาตกอยู่ที่ใบหน้าใส ๆ ผมยุ่ง ๆ ของคนที่ปรากฏอยู่ในหน้าจอมือถือแทนพ่อพระเ
วันหยุดสุดสัปดาห์ของใครจะเป็นยังไงไม่รู้ แต่สำหรับฉัน คนบ้านไกลที่ไม่ได้กลับบ้าน เพราะกลับไปก็ไม่เจอใคร พ่อแม่ไปทำบุญต่างจังหวัดกับญาติ ๆ ส่วนน้องชายสุดหล่อขวัญใจเพื่อน ๆ ฉันไปเข้าค่ายธรรมะกับทางโรงเรียน จึงปรารถนาที่จะนอนโง่ ๆ กลิ้งเกลือกตัวไปมาอยู่บนเตียง ทำตัวเกียจคร้านให้สมกับที่อยากทำมาตลอดทั้งสัปดาห์ เมื่อคืนกว่าจะได้นอนจริง ๆ จัง ๆ ก็เที่ยงคืนกว่า คุยกับยัยเบลยัยแจนยาว อ้อ ปืนส่งไลน์มาบอกฉันด้วยว่าถึงร้านที่เขากับเพื่อนนัดเจอกันโดยสวัสดิภาพ แล้วหลังจากนั้นเราก็ไม่ได้คุย กันอีกโครกคราก โครกคราก“เฮ้อ”เนี่ยต่อให้อยากทำตัวขี้เกียจมากแค่ไหน ความหิวก็ห้ามไม่ได้ สองครั้งแล้วที่ท้องร้องประท้วง เสบียงในห้องตอนนี้นอกจากมาม่ากับน้ำเปล่าแล้วไม่มีอะไรให้หยิบมากินรองท้องได้เลย วันนี้ไม่ว่ายังไงฉันก็ต้องออกไปซูเปอร์มาร์เก็ตเพื่อเลือกซื้อของกินของใช้ที่ทยอยหมดลงทีละอย่างสองอย่างมาเติมเข้าห้องหลังจากโดนโรคเลื่อนเข้าไปเพราะมีนัดกะทันหันกับปืนเมื่อวาน แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้หรอกที่ฉันจะไป กะว่าจะนอนดูหนังสักเรื่องก่อน ตอนบ่ายค่อยไปส่วนตอนนี้น่ะเหรอ ? ฉันต้องงัดตัวเองออกมาจากที่นอนเพื่อไปอาบน้ำ ล
[ Special Puen Talks ]ตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มสิบนาทีแล้ว บรรยากาศในร้าน นั่งเล่า ร้านของพี่คิว หนึ่งในรุ่นพี่ที่สนิทกำลังคึกคักได้ที่ พี่มันเพิ่งเรียนจบไปเมื่อปลายปีที่แล้วนี่เอง ลูกค้าที่มาอุดหนุนครึ่งหนึ่งของที่นี่ก็เป็น พวกรุ่นพี่รุ่นน้องในคณะ ในสาขา ส่วนอีกครึ่งก็เป็นพวกเด็กต่างคณะ และคนทั่วไป“โน่”“พี่โน่”“ว้าย”“กรี๊ดดดดดดดด”ดนตรีสดบนเวทีที่เพิ่งเริ่มทำการแสดงไปได้ไม่ถึงสองนาทีเรียกเสียงกรีดร้องแสบแก้วหูจากพวกสาว ๆ ไม่ขาดสาย สาเหตุเพราะนักร้องนำ และเพื่อนร่วมวงหน้าตาดี โบกไม้โบกมือทีก็ได้รับเสียงตอบรับท้วมท้น ซึ่งบางทีก็น่ารำคาญเกินไป“มาร้านเหล้าแต่เสือกพกนมกล่องมา มันยังไงกันวะ”“พกมาไม่ว่าแต่มันเอาแต่จ้องนมในมือ เหี้ยหรือมึงเมานมวะ” ไอ้เป้ทำหน้าตกใจ ยกมือทาบอก ยิ้มยียวนกวนประสาทเมื่อผมปรายตามองหน้ามัน“หรือตาพร่าเห็นนมกล่องในมือเป็นนมสาวขาวอวบอมชมพูน่าลูบไล้ น่าขยำขยี้งี้เหรอ โรคจิตสัสเลยว่ะเพื่อนปืนของกู” ไอ้เข้มทำมือบีบขยำกลางอากาศ ทำท่าประกอบความคิดสัปดนให้เห็นภาพ สันดานหมาอย่างมันโรคจิตกว่าผมอีกผมปรายตามองหน้าไอ้พวกปากดีทีละคน ก่อนจะขยับปากพูดกับพวกมันเรียบเรื่อย พลางบ
ฉันเองที่ถูกนินทาแบบน่ารัก ๆ ยังอดยิ้มขำไม่ได้เลยแล้วฉันก็หยุดขำ ยิ้มหวานเมื่อปืนเอียงคอมอง“เราไม่กล้ากินอะไรแล้วล่ะเดี๋ยวพุงป่อง” ยิ้มเขินพลางลูบท้องที่ยังคงแบนราบให้ใจชื้นเล่น วันนี้ฉันกินหมูย่างไปเยอะมาก พอกินอิ่มแล้วก็ดันมารู้สึกผิดกับตัวเองยังไงไม่รู้“อยากเห็นเหมือนกันว่าท้องดื้อจะกลมป่องได้สักแค่ไหน” ปืนหลุบตามองพุงฉันด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม ก่อนจะโยนกล่องนมที่ฉันเพิ่งกินหมดลงถังขยะอย่างแม่นยำ “อยากเห็นดื้ออ้วน สงสัยต้องพาไปขุนของอร่อยบ่อย ๆ แล้ว” ใครเขาอยากอ้วนกันเล่า!พลันฉันร้องอ๋อนัยน์ตาสว่างวาบ เม้มปากเม้มคอเขม่นวายร้ายหน้าตาหล่อเหลาที่หลอกล่อฉันด้วยของอร่อยมากมายในวันนี้ หรือที่ขยันป้อนสารพัดสิ่งอย่างใส่ปากตอนกินปิ้งย่างกันเพราะอยากให้น้ำหนักฉันพุ่งไว ๆ หน็อยแน่ ช่างกล้าที่ฉันคิดมโนเอาเองจะจริงไม่จริงไม่รู้แหละ แต่พอคิดแล้วก็อดเคืองย้อนหลังไม่ได้ อยากเห็นว่าฉันพุงฉันจะกลมป่องได้ขนาดไหนงี้ อยากเห็นฉันอ้วนงี้ “เราไม่ใช่แม่หมู แม่วัวนะปืน ไม่จำเป็นต้องขุนอาหารให้ตัวอ้วนพี” ฉันหน้าง้ำ ตวัดค้อนขวับ ๆ“คิดไปนั่นนะดื้อ” เขาส่ายหน้าประมาณว่ามโนเก่ง แล้วยกมือยีผมฉันจนยุ่งก่อนจ
“ขอบคุณนะคะที่มาส่งจนถึงที่หมายโดยปลอดภัย”สิ้นเสียงฉันคำว่า “อืม” ที่ฟังดูนุ่มนวลก็ดังเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากสวย“ไม่มีอะไรแล้วงั้นเราไปก่อนนะ เธอก็ขับรถกลับ ๆ ดี ถึงแล้วบอกด้วย” ฉันยิ้มเขิน ปลดเบลท์ คล้องสายกระเป๋าที่วางบนตักที่หัวไหล่ งงตัวเองเหมือนกัน ไม่รู้จะเขินอะไร จะว่าไม่มีสาเหตุก็ไม่เชิง แต่เขินอะคือเขินแน่ ๆ ฉันส่ายหน้าให้ตัวเองอย่างอ่อนใจพลางเปิดประตู เหวี่ยงขาลงเหยียบพื้นถนน พลันเสียงร้อง “อ๊ะ” เบา ๆ ก็ดังหลุดลอดออกมาด้วยความตกใจเมื่อข้อมือถูกดึงกึ่งกระชากเอาไว้จากคนด้านหลัง ซึ่งก็คือเจ้าของรถราคาแพงคันนี้ฉันหันกลับไปมองด้วยสายตาตั้งคำถามกึ่งตำหนิจะคุยก็เรียกดี ๆ ก็ได้ ไม่เห็นต้องกระชากเลย ฉันบ่นในใจ “ร้านนั้นอร่อย ไว้วันหลังเราไปกินกันอีกดีไหม จะเปลี่ยนร้านก็ได้” ปืนตีหน้านิ่งตอนพูด แต่ในความนิ่งนั้นฉันสัมผัสได้ถึงความเว้าวอนในน้ำเสียงที่ถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูด ได้ฟังแบบนี้แล้วก็โกรธไม่ลง “ตกลง ไว้เราไปหาร้านอร่อย ๆ กินกันอีก”“ดี”“อื้อ ดี” ฉันพูดเลียนแบบ อมยิ้มจนแก้มตุ่ย ปืนเองก็ยิ้มออก และจับข้อมือฉันอยู่อย่างนั้นไม่ยอมปล่อย ไม่รู้ลืมตัวหรือยังไง ตัวฉันก็อยู่ในท่าที
“อะ” ปืนคีบหมูย่างที่สุกแล้วมาจ่อปากโดยที่ฉันยังไม่ทันเอื้อมแขนไปฉกชิง สองตาของฉันนาทีนี้มองหมูสามชั้นมันเยิ้มสลับกับมองผู้ชายตรงหน้าที่ดูมีความตั้งใจจริงที่จะป้อน รู้สึกได้เลยว่าปากกำลังสั่นและปากกำลังจะอ้า แต่สุดท้ายฉันก็ขบปากแน่นเพราะฉันเขินเกินกว่าจะเอาหมูชิ้นตรงหน้าเข้าปากตัวเองได้“ทำไม ?”ฉันพ่นลมหายใจเบา ๆ ให้กับคำว่าทำไมของปืน “เธอกินเถอะ เดี๋ยวเรากินของเราเอง” พอฉันให้เหตุผลไปแบบนั้นแทนที่เขาจะเข้าใจและเอาเข้าปากตัวเอง เคี้ยวแล้วกลืนให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไป เปล่าเลยจ้ะ ยังยื่นตะเกียบค้างอยู่ท่าเดิม เพิ่มเติมคือสีหน้าที่เริ่มจะไม่ปกติ (อีกแล้ว) คิ้วขมวดนิด ๆ ตานี่จ้องหน้าฉันเขม็งนี่คือการบังคับ ? ฉันกลอกตา เอียงคอ และข่มความเขินอาย ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปงับหมูย่างฉ่ำ ๆ ส่งกลิ่นยั่วน้ำลายจากตะเกียบในมือปืน วินาทีที่ลิ้นสัมผัสรับรสชาติแสนอร่อยก็ทำฉันไม่อยากสนใจอะไรแล้วนอกจากจะกินอีก “เอาอีก” ฉันชี้นิ้วสั่งอย่างลืมตัว คิดได้คำที่สองก็มาจ่อที่ปาก “ขอบคุณนะ แต่เธอกินของเธอเถอะ” ฉันพูดเสียงอุบอิบ เกาแก้มเบา ๆ ทั้งที่ไม่ได้คันอะไรเลย แบบมือไม้มันไปเอง จะว่าทำเพราะแก้เขินก็ไม่ผิดนักห
“อันยองฮาเซโย...”ฉันยิ้มให้พนักงานต้อนรับที่ใส่ชุดฮันบกสีชมพูสดใสมายืนกล่าวทักทายลูกค้าเป็นภาษาเกาหลีอยู่หน้าร้านแล้วกวาดสายตามองหาที่นั่งเหมาะ ๆ ตอนนี้เกือบจะหกโมงเย็นแล้ว ลูกค้าในร้านดูเนืองแน่น แต่ก็ยังพอมีที่ว่างให้เลือกนั่ง“ฮ้า นั่นไง” ฉันเหลือบไปเห็นโต๊ะติดริมกระจกว่างหนึ่งโต๊ะเข้าพอดีจึงรีบสับขายาว ๆ ตรงดิ่งมาจับจองพื้นที่ที่เล็งไว้ด้วยความมุ่งมั่น แล้วฉันก็ชนะ ปืนเดินตามเข้ามาทีหลังยังไม่ยอมนั่ง เขายืนจ้องหน้าฉันแบบที่เดาความคิดไม่ออก แต่สิ่งหนึ่งที่หลุดออกมาให้เห็นคืออาการเม้มปากนิด ๆแล้วเขาก็นั่งลงในฝั่งตรงข้ามด้วยท่าทีมึนตึง กดมือถือเล่น ไม่สนใจเงยหน้ามองฉันที่มาด้วยกันสักนิด จะว่าเย็นชา สร้างโลกส่วนตัวขึ้นมาปิดกั้นฉันมันก็ไม่เข้าข่ายนั้นซะทีเดียว เหมือนอาการคนกำลังงอนมากกว่างอนเหรอ ? ฉันเลิกคิ้วพลางเท้าคางมองปืนอย่างใช้ความคิด“ขออนุญาตค่ะลูกค้า”ฉันลากสายตาจากคนที่คิดว่ากำลังงอนมาที่พนักงานหญิงรูปร่างสันทัดที่นำแผ่นเมนูแนะนำมาเสนอพร้อมกับเมนูหลักเล่มใหญ่ ฉันเลยขออนุญาตเลิกสนใจคนปั้นปึ่งใส่ชั่วคราว ตอนนี้ปากท้องสำคัญกว่า ร้านอาหารร้านนี้เพิ่งเปิดได้ปีกว่า และฉันเคยมา
“สวัสดี...เราชื่อปืน”ฉันขมวดคิ้ว ร้องหืมในลำคอแล้วรีบเงยหน้า ละสายตาจากหนังสือที่เปิดกางทิ้งไว้ด้วยความงงงวยถึงขีดสุด คือที่เงยหน้าเนี่ยต้องการจะมองให้แน่ใจว่าตัวเองคือคนที่ถูกใครก็ไม่รู้พูดสวัสดีใส่พร้อมทั้งบอกชื่อที่เดาว่าคงเป็นชื่อเล่นของเขาคนนั้นจริง ๆ ใช่ไหม ผลปรากฏว่าใช่จริง ๆ นั่นแหละเขาพูดกับฉันว่ะ เพราะตรงนี้นอกจากฉันกับผู้ชายที่บอกว่าตัวเองชื่อปืนก็ไม่มีใครแล้วล่ะ แต่ก็ใช่ว่าจะร้างผู้คนไปซะทีเดียว เพื่อนนักศึกษาร่วมสถาบันคนอื่น ๆ ที่มาอาศัยนั่งอ่านตำรา ค้นข้อมูล ประกอบการทำการบ้าน ทำรายงาน ใช้บริการหอสมุด ณ บริเวณโซนชั้นสามเวลานี้ต่างเลือกที่จะนั่งโต๊ะที่อยู่ห่างกันออกไปเพื่อความเป็นส่วนตัวกันแทบทั้งนั้น รวมถึงตัวฉันเองด้วยที่ต้องการความสงบในการค้นตำราเปิดหาข้อมูลทำรายงานส่งอาจารย์อิทตย์หน้า ซึ่งถ้าเป็นช่วงตอนพีคอย่างตอนกลางวันน่ะเหรอ แค่มีที่ว่างให้อาศัยนั่งหลบร้อนระหว่างรอเรียนช่วงบ่ายบ้างก็นับว่าดีแล้วและคำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวหลังลอบสำรวจอยู่เงียบ ๆ คือเราเคยรู้จักกันไหมนะ ?เคยรึเปล่า ?ฉันมุ่นคิ้วพลางเอียงคอเล็กน้อยเพื่อมองผู้ชายรูปร่างสูงโปร่งออร่าฟุ้งกระจาย ล...
댓글