แล้วคือระหว่างที่ฉันกำลังนั่งชั่งใจ ลังเลว่าควรจะทำยังไงดี รับหรือไม่รับ ปืนก็ไม่มีทีท่าจะถอดใจ สายตัดไปเขาก็โทรกลับมาใหม่เดี๋ยวนั้นเลย เป็นแบบนี้อยู่ราว ๆ สามถึงสี่ครั้ง จนฉันต้องขอยกธงขาวยอมแพ้ในความพยายาม และขณะเดียวกันก็สงสัยด้วยว่าเพราะอะไรถึงต้องการจะคุยแบบเห็นหน้า ที่พิมพ์แชตมาคิดว่าแค่อยากแกล้ง ฉันให้หัวร้อนเล่นซะอีก แต่นี่ นี่มันเหนือความคาดหมายเกินไป จับต้นชนปลายไม่ถูกฉันกลอกตามองเพดาน พลางสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ก่อนจะตัดสินใจสไลด์ปลายนิ้วรับสาย และสิ่งแรกที่ฉันเห็นเต็มจอคือใบหน้าหล่อเหลาสุดแสนจะเรียบเฉยอันเป็นเอกลักษณ์ของปืนรออยู่ เขาไม่ยิ้มไม่แย้ม ฉันเองก็ไม่ได้ฉีกยิ้มใส่เหมือนกัน ซึ่งฉันก็เรียนรู้มาจากตัวเขานั่นแหละ แต่ภายในใจนี่อีกเรื่องหนึ่งเลยนะ มันมีความตื่นเต้นซ่อนอยู่คนไม่คุ้นเคยกัน จู่ ๆ มามองหน้ากันผ่านกล้อง ไม่รู้สึกแปลกก็ให้มันรู้ไป และด้วยความช่างสังเกตที่มี มองแป๊บเดียวฉันก็รู้ได้ในทันทีเลยว่าสถานที่ที่ปืนยืนอยู่ไม่น่าจะใช่ที่พักอาศัย เดาสุ่มว่าน่าจะเป็นร้านเหล้าร้านใดร้านหนึ่ง ล่าสุดแอบได้ยินเสียงนักร้องพูดใส่ไมค์คุยกับลูกค้า เลยสรุปได้ว่าฉันเดาถูกนั่นเอ
“…”ฉันว่าฉันได้ยินเสียงแทรกเข้ามานะ“สัสเข้ม” หูฉันไม่ได้แว่วแล้วล่ะแบบนี้ปืนสถบด่าคำว่าสัสเน้น ๆ ก่อนจะเอี้ยวคอหันหน้าไปตามเสียงเรียกกระโชกโฮกฮากของคนที่เขาเรียกว่าเข้มด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าที่ควร ฉันเดาว่าเพื่อนเขาน่าจะออกมาตามแหละ คงหายมานานจนต้องส่งใครสักคนมาดู“มีเหี้ยไร” “ทำห่าไรนานฉิบหายเลย อ้าวนั่นมึงคุยโทรศัพท์อยู่เหรอวะ”ฉันแอบสะดุ้งกับประโยคสุดท้ายขึ้นมาซะงั้น“คุยไม่คุยก็เรื่องของกู มึงอย่าเสือกสิเข้ม”อา...ตอบได้ดี ฉันพยักหน้า“อ้าวไอ้เหี้ยนิ กูถามมึงดี ๆ ไหม กวนตีนเกินเรื่องเลยนะมึง”หนนี้ฉันนิ่วหน้า“มึงกลับเข้าไปก่อนไป”“กูยังไม่เข้า มึงจะทำไมไอ้ปืน ดูมีลับลมคมในเหี้ย ๆ”ฉันได้ยินเสียงปืนถอนหายใจแหละ“ขอปืนคุยกับตัวเหี้ยน่ารำคาญแป๊บนึง เธออย่าเพิ่งวางสายนะ” เขากระซิบกลับมาโดยที่ไม่ให้โอกาสฉันได้พูดอะไร ก่อนที่ภาพบรรยากาศรอบตัวเขาจะหายไป เหลือแต่ความมืดมิด มองไม่เห็นอะไร เดาว่าเขาน่าจะยัดมือถือลงไปในกระเป๋ากางเกง ฉันขมวดคิ้วขัดใจ พลันร้องอุทานเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ถ้าหูไม่ฝาด ฉันว่าฉันได้ยินเขาแทนตัวเองว่าปืนกับฉันนะ“มีเหี้ยไรก็รีบพูดมา”“ก็มึงออกมานาน กูก็
เอี๊ยด!พรึ่บแควก...เฮ้ย!ฉันร้องอุทานด้วยความตกใจพร้อมกับรีบก้มหน้าลงมองกระโปรงนักศึกษาของตัวเองหลังก้าวเท้าลงมายืนหน้าแห้งบนทางเท้าตรงบริเวณป้ายรถประจำทางฝั่งตรงข้ามมหาวิทยาลัยเป็นที่เรียบร้อย พลางยกมือตบหน้าผากเสียงดังแป๊ะเมื่อเห็นชิ้นงานที่ไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้นเต็มสายตาทั้งที่ระวังแล้วแต่ก็...พลาด!ฉันเบะปากมองแนวตะเข็บด้านข้างที่ผ่า มันขาดยาวขึ้นมา จนเห็นขากางเกงซับในตัวสั้น ก็คือถ้าไม่มีซับพอร์ตไว้ก็โป๊ ใส่ชุดนิสิตจนก้าวเข้าสู่ปีที่สามไม่เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ดีที่เผื่อเวลา ทุกครั้ง ถ้ามาแบบฉิวเฉียดใกล้เวลาเรียนไม่อยากจะคิดว่าจะยุ่งยากมากแค่ไหนนี่ก็กำลังคิดอยู่ว่าจะเดินตรง มุ่งไปยังโซนร้านขายเสื้อผ้านักศึกษาที่อยู่ห่างจากหน้ามอไปค่อนข้างไกลด้วยการเอากระเป๋า ปิดไปดีไหม หรือจะวานให้เพื่อนคนใดคนหนึ่งช่วยเหลือดี ไปเองก็คิดว่าน่าจะใช้เวลานาน และทุลักทุเลพอสมควร เพราะต้องคอยระวัง กลัวว่ามันจะแหวกไปถึงไหนต่อไหนให้คนมองไม่ดีอีก มีกางเกงซับในช่วยป้องกันโป๊อีกชั้นก็ใช่ว่าจะห้ามสายตาใครต่อใครได้ เอาเป็นว่าขอพึ่งเพื่อนละกันตัดสินใจได้แล้วฉันก็เดินหนีบขามาทรุดตัวลงนั่งตรงป้ายรถ
เสียงทุ้มออกจะเนือย ๆ แสนจะคุ้นหูดังขึ้นบริเวณเหนือหัวทำเอาฉันที่กำลังเพลินไปกับความคิดสะดุ้ง พลางเงยหน้าเอียงคอมองสบตาผู้ชายร่างสูงในเสื้อช็อปสีกรมที่จู่ ๆ ก็โผล่หน้ามาแสดงตัวถึงความมีตัวตนพร้อมโยนข้อกล่าวหาในแบบเดิม ๆ ให้ฉันอีกครั้ง คือไม่คิดจะทักกันด้วยคำอื่น ประโยคอื่นบ้างเลยหรือยังไง เอะอะคิดว่า ฉันจ้องแต่จะหลบ “มาแบบนี้เราตกใจนะ” “โทษกันแบบนี้ก็ได้ด้วย” คนเดินมาเงียบ ๆ เลิกคิ้ว “ที่ว่าตกใจน่ะไม่ใช่ว่าเธอขวัญอ่อนเองหรอกเหรอ” ฉันเบิกตากว้างก่อนจะตวัดค้อนงาม ๆ ให้ทันทีที่คำตอบนี้หลุดออกมาจากปากคนหน้านิ่งที่อัพเลเวลยักคิ้วยียวนใส่ฉันด้วยมาดสุดกวน เห็นแล้วอยากยื่นมือไปบิดพุงให้เจ็บจี๊ด “ล้อเล่นนิดเดียวทำไมต้องทำหน้าตูมด้วยเนี่ย” ยังแหย่ไม่เลิก “ก็กวนอะ” ฉันบอกพลางทำปากยื่น “กวนตีน ?” “พูดเองนะ” แล้วเขาก็หัวเราะ เป็นครั้งแรกเลยนะที่ฉันเห็นเขาหัวเราะเปิดปากแบบนี้ เหมือนได้เปิดโลกใหม่ยังไงไม่รู้ น่ารักดี และใช่ ฉันก้มหน้าซ่อนรอยยิ้ม เรื่องอะไรจะให้เห็น “เลิกเรียนวิชาแรกของวันแล้วเพื่อนมันชวนข้ามฝั่งมาหาอะไรกินหน้ามอ เบื่อโรงอาหารกับหลังมอ พวกมันอยากเปลี่ยนบรรยากาศเปลี่ยนส
ฉันอยากหัวเราะให้กับความคิดประหนึ่งเด็กน้อย และคำสารภาพแบบหมดเปลือกของเขานะ แต่ดันเปล่งเสียงหัวเราะไม่ออกน่ะสิ เห็นบุคลิกภายนอกดูนิ่ง ๆ หยิ่ง ๆ กร้าวใจสาวน้อย สาวใหญ่ ชะนี เก้ง กวางแบบนี้ แต่ใครจะล่วงรู้ว่าภายในใจแอบซ่อนความเจ้าคิดเจ้าแค้นเอาไว้แน่น ขนาดเรื่องเล็กนิดเดียวคุณเขายังเอาคืนฉันเดี๋ยวนั้น นี่ถ้าเป็นเรื่องใหญ่จะขนาดไหนเหรอ“แต่เราบอกเธอไปแล้วนี่นาว่าไม่ได้หลบ” ฉันสบตาเขานิ่ง ก่อนจะอธิบายต่อ เพราะไหน ๆ ก็พูดถึงเรื่องนั้นขึ้นมาแล้ว “และเหตุผลที่เห็นแล้วไม่ทักเป็นเพราะเราไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นทักเธอยังไงอีกนั่นแหละ อีกอย่างเพื่อนเธอก็นั่งกันเต็มโต๊ะขนาดนั้น เราไม่กล้าพอที่จะเดินเข้าไปทักหรอก ไม่อยากถูกแซว เพราะคิดว่าคงรับมือลำบาก”ปืนฟังฉันเงียบ ๆ พยักหน้าช้า ๆ เหตุผลที่ฉันให้ไปเขาคงเข้าใจได้ไม่ยาก แต่ส่วนตัวก็ยังสงสัยอยู่ดีว่าเพราะอะไรเขาถึงดูแคร์เรื่องอะไรแบบนี้ ทั้งที่เขาดูไม่น่าจะใช่คนคิดเล็กคิดน้อย ออกแนวไม่สนใจความเป็นไปของโลกด้วยซ้ำ แปลกจริง “ขอโทษครับ”“ขอโทษ ?” ฉันเลิกคิ้วและก่อนที่ฉันจะถามปืนก็ชิงขยายความซะก่อน “ขอโทษที่ไม่มีเหตุผล พริกหวานยกโทษให้ปืนนะ...นะครับ” เข
กระโปรงตัวใหม่ที่ปืนลงทุนเดินไปซื้อมาให้เปลี่ยนเป็นกระโปรงพลีทความยาวเลยเข่าลงมานิดหน่อย เขาบอกใส่แบบนี้ดีกว่าแบบเดิมเป็นไหน ๆ เรื่องนี้ฉันไม่เถียงหรอกเพราะก็รู้อยู่แก่ใจว่า ใส่แบบไหนสะดวกสบายกว่ากัน แต่บางทีฉันก็อยากใส่ทรงเอบ้างอะไรบ้างไง จะสั้นยาวก็ว่ากันไป อารมณ์ผู้หญิงอะเนอะ ถึงจะต้องแต่งเครื่องแบบซ้ำซากตลอดห้าวันหกวันแต่ก็ขอให้ได้มิกซ์แอนด์แมทต์ ซึ่งจุดนี้ผู้ชายอาจไม่เข้าใจ แล้วที่ทำฉันอึ้งจนตาโต อ้าปากค้างก็ตอนเขายื่นถุงอ้วน ๆ ให้ตอนฉันเดินกลับมานั่งที่เดิมหลังเปลี่ยนกระโปรงเรียบร้อยแล้ว นี่แหละ คือเขาไม่ได้ซื้อมาให้แค่ตัวเดียวอย่างที่เข้าใจไง ขนซื้อมา ตั้งห้าตัว แถมยังเหมือนกันเป๊ะ“ไม่ต้องกลัวขาด แต่ต้องระวังเวลามีลม”“...”“รู้งี้เอาตัวที่ยาวกว่านี้มาก็ดี”ปืนขมวดคิ้วแน่น ส่วนฉันฟังแล้วต้องเลิกคิ้วหันมามองตา ยัยแจนกับยัยเบลแบบไร้ซึ่งคำพูด ดูออกแหละว่าผู้ชายหนึ่งเดียวท่ามกลางหญิงสาวอย่างพวกเรามีอารมณ์หงุดหงิดเจือจาง ถ้าเดาไม่ผิดคงไม่พ้นเรื่องกระโปรงฉัน เพราะเมื่อกี้เขาเพิ่งจะบ่นไปว่าน่าจะเอาตัวที่ยาวกว่านี้มาให้ฉัน ซึ่งที่เขาซื้อมานี่มันยังไม่ยาวอีกเหรอ ปกติฉัน ก็ใส่ทรงพลีทคว
จีบ ?ฉันมุ่นคิ้วคิดเรื่องนี้มันก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่มันก็อาจไม่เป็นอย่างที่คิดเหรียญยังมีสองด้าน นับประสาอะไรกับความคิดในใจคนเดายากไม่อยากเข้าข้างตัวเองด้วย “ไม่รู้สิ”“ไม่รู้หรือไม่อยากพูด”“เขาก็ปกติ ไม่ได้มีท่าทีอะไรน่าสงสัย แกอย่าคิดแทนเขาสิ”แน่ล่ะว่าฉันโกหก ขืนพูดไปรับรองถูกซักฟอกจนขาวซีดแน่“แต่ฉันว่ามันทะแม่ง ๆ อยู่นะแก” ยัยเบลยังไม่เลิกสงสัย “ตอนนี้ยังไม่มีอะไร โอเคนะ” ฉันตัดบท“ตอนนี้ยัง แสดงว่าอนาคตไม่แน่” ยัยคนขี้สงสัยหรี่ตาเล็กแคบ“อนาคตก็คืออนาคต”“นึกว่านางเอกเบอร์หนึ่งมาตอบคำถามผู้สื่อข่าวจอมซอกแซก อนาคตก็คืออนาคต หมั่นไส้อะ อิจฉาด้วย” ยัยแจนทำปากยื่นยาว “ทีเมื่อวานล่ะยังกับหนังคนละม้วนกับวันนี้เลย” มันก็จริงอย่างแจนว่า ตัวฉันเองก็ยังงงไม่หาย และยังไม่ทันได้ถามว่าเพราะอะไรถึงอยากจะเสวนากับฉันถึงขนาดยอมละลายพฤติกรรมประหนึ่งน้ำแข็งของตัวเองลง“แล้วฉันจะบอกเขาให้”“บอกอะไรยะ” ยัยแจนทำหน้างงหนักมาก“ก็บอกในสิ่งที่แกบ่นไง”“แกอยากให้ฉันถูกแช่แข็งตายเหรอพริกหวาน”“เว่อร์แล้ว”“จ้า... ฉันมันเว่อร์จ้า คิดเยอะไปเองด้วย สายตาที่ปืนมองแกไม่มีเหลียวแลมาทางฉันสองคนเลย
วันนี้ตลอดทั้งวันฉันมีเรียนแค่คลาสเดียวก็จริง แต่ก็เป็นอีกคลาสที่เรียนหนักหน่วงเอาการสำหรับเด็กเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศอย่างฉันและเพื่อนร่วมเซคกว่าสองร้อยยี่สิบชีวิตกับวิชาเฉพาะ กฎหมายธุรกิจ ผู้สอนคืออาจารย์หฤทัย วินัยเที่ยงตรง ฉายาอาจารย์สาวโสดวัยดึกจอมเนี้ยบที่ได้รับการแต่งตั้งมาจากพวกรุ่นพี่ แกเนี้ยบ แกเป๊ะ แกเคร่งครัดเน้นหนักในทุกเรื่อง คะแนนเก็บคะแนนสอบฟังจากเสียงเล่าลือเขาก็ว่าได้ยากแสนยาก ที่จำเป็นต้องลงเรียนกับแกก็เพราะลงกับอาจารย์อีกท่านไม่ทัน เลิกคลาสวิชานี้ทีไรจึงอ่อนเปลี้ยเพลียแรง สมองเบลอกันเป็นแถว “เนื้อหาของอาจารย์เล่นเอามึนไปหมด”“เออ เห็นหน้าเพื่อนแต่ละคนแล้วไม่ต้องพูดก็เข้าใจความรู้สึกดูเบลอ ๆ ง่วง ๆ ท่าทางการเดินเอื่อยเฉื่อยเหมือนเพิ่งโดนซอมบี้กัดคอ แล้วนี่นะ ฉันไม่อยากจะคิดถึงตอนสอบเลยพวกแก เราต้องท่องหนังสือกันจนหัวฟูแน่ เพราะรุ่นพี่เคยแย๊บมาว่าอาจารย์แกไม่บอกแนวข้อสอบ”“คณะเรานี่มีแต่อาจารย์โหด ๆ เนอะ”“ที่สุดอะ”ตั้งใจว่าพอเลิกเรียนแล้วจะกลับห้องไปนอนสักตื่นเพื่อให้สมองมันปลอดโปร่งแล้วค่อยออกไปซื้อของใช้จำเป็นที่กำลังจะหมดลงในวันสองวันนี้ที่ห้างฯ แต
“หงุดหงิดอะไร ห้ามตอบว่าเปล่านะปืน” ดักทางไว้เลย“ดื้อแม่ง” ทำหน้าง้ำแล้วมองฉันอย่างไม่สบอารมณ์“เราทำไมพูดมาเลย” พอฉันเริ่มรวนนิด ๆ อีกคนก็ถอนหายใจ“ช่างมันเถอะ” บอกปัดแล้วตกข้าวกินต่อด้วยมือข้างเดียว เพราะอีกข้างจับมือฉันไม่ยอมปล่อย ฉันแค่นเสียงร้องเหอะ สะบัดมือหวังให้หลุด แต่นอกจากจะไม่หลุดแล้ว ยังบีบมือฉันแน่นยิ่งขึ้นไปอีก“พอไม่อยากตอบอะไรชอบพูดช่างมันเถอะตลอด”“อือ”“ยังจะอืออีก” ฉันส่งเสียงฮึมฮำขัดใจ “ปืนไปเรียนก่อนนะดื้อ โทรหาก็รับสายด้วย แชตก็ตอบด้วย” เรากินข้าวอิ่มกันได้สักสิบนาทีแล้ว จึงสมควรแก่เวลาที่ปืนจะไปเรียน ฝ่ามือหนาวางลงบนกลุ่มผมฉัน เขาลูบก่อนจะโยกหัวฉันเบา ๆ วิศวฯ ที่ใครต่อใครว่าดุ ห้าวเป้ง และเป็นสายเถื่อนสุดจี๊ดตัวพ่อประจำมหาวิทยาลัย ฉันว่าเหมารวมหมดทุกคนไม่ได้หรอก ฉันสัมผัสมาแล้ว กับคนนี้ไง หรือฉันอาจยังไม่เห็นมุมดาร์กแบบขั้นสุดของเขาไม่รู้นะ แต่ไม่รู้แหละกับคนอื่นเขาจะเป็นอย่างไร อันนั้นอีกเรื่องหนึ่ง สำหรับฉันปืนไม่ได้เลวร้ายอะไร ออกจะดีมากด้วยซ้ำ อ้อ! ยกเว้นเรื่องที่เขาเขม่นใส่รุ่นน้องฉันนะ“จะรับสาย และตอบแชต โอเคนะคะ”“เด็กดี”“บ๊ายบายจ้าปืน” แจนโบกมือก่อ
“หวัดดีปืน”“หวัดดีแจน” อย่างน้อยเขาก็ทักเพื่อนฉันกลับแหละนะ“หิวเหรอแก” ฉันทักยิ้ม ๆ ยัยนี่มาทีหลังใครเพื่อนเลยนะ แต่นางซื้อข้าวมานั่งกินก่อนฉันกับปืนอีก และพอฉันทักแม่เพื่อนรักก็ทำมายกไหล่ขวากวนประสาทพลางตักข้าวราดแกงเข้าปากต่อ สองมาตรฐานเห็น ๆ ฉันเลิกสนใจเพื่อนแล้วหันมาสนใจคนข้างตัวแทน “รีบกินเลยปืนเดี๋ยวเข้าเรียนไม่ทันแปดโมงแล้วเนี่ย เอาน้ำอะไรเดี๋ยวเราไปซื้อให้” จากโรงอาหารนี้ไปคณะวิศวฯ มันไม่ใกล้เลยถ้าเดินเท้าก็ใช้เวลาร่วมสิบนาที พวกฉันน่ะไม่รีบหรอก เพราะกว่าจะเรียนก็ตอนเก้าโมง“กินก่อนค่อยไปซื้อทีหลังน้ำอะ หรือดื้อหิวเดี๋ยวปืนเดินไปซื้อให้ก่อน วิชานี้เข้าเลทได้สิบห้านาที มีเวลาเหลือเฟือ ยังไงก็ทัน ปืนกินเร็วแค่ไหนดื้อก็รู้” เขาบอกพลางกระตุกมือฉันให้ลงนั่ง ส่วนเขาจะลุกแทนเมื่อก้นฉันแตะม้านั่ง แต่ฉันยื้อเอาไว้ก่อน“อื้อรู้ว่ากินเร็ว แต่ยังไม่ต้องซื้อหรอก ค่อยซื้อทีเดียวแล้วกัน” เขาหลุดคำว่าอืมแล้วตักข้าวพอดีคำขึ้นมาแล้วเด่ช้อนมาตรงปากฉันด้วยสายตากึ่งบังคับ รู้สึกอะไรบ้างไหมเพื่อนฉันนั่งจ้องจน ไม่กิน ไม่ทำอะไรกันแล้วเนี่ย แล้วไหนจะรุ่นน้อง ไหนจะสายตา ของคนรอบ ๆ ตัวอีก “ปืน ไม่เอ
ตอนระหว่างที่ฉันกำลังเดินมาที่โรงอาหารปืนไลน์มาถามว่าอยู่ไหน ถึงมหา’ลัยยัง พอฉันบอกถึงแล้วเขาก็แค่ส่งสติ๊กเกอร์รับรู้ ไม่ได้บอกสักคำว่าจะแวะมาหาก่อนเข้าเรียน อันที่จริงเมื่อเช้าปืนก็จะไปรับฉันมาเรียนพร้อมกันนั่นแหละ แต่ฉันปฏิเสธ บอกไม่ให้ไปรับเพราะวันนี้ปืนมีเรียนตอนแปดโมงครึ่ง ถึงหอฉันจะใกล้แต่ถ้าแวะเข้ามารับ กลับออกไปรถดันติดขึ้นมากลัวว่าเขาจะเข้าเรียนไม่ทัน ทีแรกเขาก็ไม่ฟังฉันหรอกดึงดันจะมาให้ได้ แต่ฉันยืนยันเสียงแข็งว่าเจอกันตอนหลังเลิกเรียนทีเดียวเลย นี่ยังไม่ทันจะเริ่มเรียนก็มาเจอกันซะละ“กินข้าวยัง” ถามเมื่อเขาเดินมาถึงตัว แต่เขาดูไม่ได้สนใจคำถามฉันเท่าไรเมื่อเห็นน้องโทนเดินถือจานข้าวขาหมูมาหยุดยืนตรงหัวโต๊ะแล้วยิ้มให้ฉันจาง ๆ ยัยเบลตบมือเรียกแปะ ๆ เป็นการส่งสัญญาณว่าให้น้องไปนั่งข้าง ๆ“น้องโทนมานั่งข้างพี่นี่มา พี่เหงา”“ฮะ” น้องก็ว่าง่ายนะ เดินไปหย่อนกายลงข้างยัยเบล “ปืน ถามทำไมไม่ตอบ” ฉันกระตุกมือดึงความสนใจ“งอแงอะไรคะดื้อ” ก้มหน้าลงมอง ฉันเลยตวัดค้อนเข้าให้“เปล่างอแงสักหน่อย ถามว่ากินข้าวยังก็ไม่ตอบ เอาแต่จ้องหน้าน้องเขาอยู่ได้ น้องคงเกร็งเธอไปหมดแล้วป่านนี้” ว่าเชิงบ่
“พี่พริกหวานดังใหญ่แล้วนะฮะ”“มันเป็นความดังที่พี่ไม่ทันได้ตั้งตัวด้วยสิ” ฉันพูดติดตลก กรอกตาเล็กน้อย เข้าใจความนัยของประโยคนั้นของน้องดี ทั้งที่มันไม่มีอะไรเลยนะ มันเป็นรูปฉันตอนเผลอแค่นั้นเอง ดึงดูดแค่เป็นปืน ที่เป็นมือโพสต์ แล้วมือโพสต์คนดีก็ไม่ได้เข้ามาตอบโต้คอมเมนต์ใครเลยสักคนยกเว้นฉันคืนนั้นเขาโทรหาฉันหลังหายต๋อมไปทำธุระกับแม่มาเขาบอกรูปนั้นสวยดีเลยอยากลงจริง ๆ เรื่องนี้ก็ผ่านมาได้สองวันแล้วแหละ แต่คนที่รู้จักอย่างคนในคณะฉันเนี่ยยังแซวอยู่เลย เมื่อวันจันทร์ที่เปิดเรียนมานี่เจอหน้าใครเป็นต้องถามหาปืน หนักสุดก็ยัยแจนกับยัยเบลเลย แซวจนฉัน ไม่สามารถพูดแก้ต่างอะไรได้เต็มปาก “รถมาแล้วฮะ”“อ้อ จ้ะ” ฉันสลัดความคิดกระชับกระเป๋าก่อนจะก้าวขึ้นรถ เลือกที่นั่งแถวกลาง โทนตามมานั่งด้วย “เรียนเป็นยังไงบ้างเรา” ลงลิฟต์มาฉันเจอโทนตรงหน้าหอพอดีเราเลยเดินออกมาหน้าปากซอยเพื่อรอรถเมล์ไปมหา’ลัยด้วยกัน“ก็โอเคเลยครับ ตอนนี้ยังสบาย ๆ อยู่ ยังพอรับไหว”“แต่อีกหน่อยความสบายจะหายไปทีละนิด” พูดแล้วฉันก็ยิ้ม“โธ่ พี่พริกหวานขู่ผมอีกแล้ว”“ในฐานะคนที่มีประสบการณ์มาก่อนถึงสองปีน้องต้องเชื่อพี่ ไม่ต้องมากข
มันมีหลายตัวเลือกจนผมมึนไปหมดขนาดก็มีเยอะเห็บแวบ ๆ ว่ามีแบบเย็นด้วยยังไงวะคนผลิตนี่ก็ช่างคิดว่ะนี่ถ้าวานให้ผมไปซื้อโดยไม่ระบุยี่ห้อ ไม่ระบุขนาด หรือสรรพคุณอะไรก็ตาม ผมคงเหมามาหมดทุกยี่ห้อที่มี ง่ายดี แต่ตอนนี้มาอยู่ตรงนี้แล้ว ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วผมว่าผมไม่ควรยืนอยู่เฉย ๆ ผมควรศึกษาเอาไว้หน่อย เผื่อว่าวันไหนเดือนไหนพริกหวานเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมาผมจะได้หยิบถูก“จะทำอะไรปืน” เสียงเย็น ๆ ของพริกหวานเบรกผมเอาไว้พร้อมกับเธอหันขวับมาจ้องหน้าผมสลับกับมองห่อสีเขียวในมือเขม็ง “วางลงที่เดิมเดี๋ยวนี้เลยปืน มันไม่ใช่ของที่ผู้ชายจะเอามาเล่นนะ” ดูดื้อพูดเข้า คิดว่าตัวเองกำลังพูดกับคนอายุเท่าไรอยู่ หน้าตาผมมันบ่งบอกหรือไงว่าอยากจะหยิบมันเล่นแก้เซ็ง“แล้วใครว่าปืนจะเอามาเล่น”“แล้วหยิบทำไม นั่นของผู้หญิงนะ ไม่อายเหรอหยิบแบบนั้น”“อายทำไม หยิบแล้วจะเป็นยังไง ปืนจะมีปีกบินได้เหมือน คำโฆษณาบนห่อนี้น่ะเหรอ” ผมขมวดคิ้วไม่เข้าใจตรรกะความคิดของพริกหวาน ในมือผมมันก็แค่ห่อผ้าอนามัยไหมวะ “ผู้ชายคนไหนมันจะอายก็อายไปเถอะ แต่สำหรับปืน ปืนไม่อาย ถ้าสิ่งนั้นมันมีความจำเป็นต่อคนที่ปืนให้ความสำคัญ” พริกหวานดูอึ้งไปเ
“เรื่องนั้น”“เรื่องไหน” ฉันค้อนวงเล็กใส่คนแกล้งซื่อ “เรื่องนั้นเรามะ...หมายถึง...หมายถึงว่าเราเพิ่งกินอาหารญี่ปุ่นกันมา” ฉันอธิบายไปแก้มก็ร้อนผ่าวไป คาดว่าป่านนี้ทั้งใบหน้าคง แดงเถือกไปหมดแล้ว “สาบานว่าเราไม่ได้มีเจตนาจะพูดอะไรไม่ดี เธอต้องเชื่อเรานะ” ดวงตาเรียวกวาดมองใบหน้าฉัน ปลายนิ้วยกแตะสัมผัสแก้ม ก่อนจะวางฝ่ามือลงแล้วบีบเบา ๆ ฉันเผลอกลั้นหายใจตอนปืนโน้มใบหน้าลงมาหา[ Special Puen Talks ] “ต้องเชื่ออยู่แล้ว ก็เรากินกันมาด้วยกัน”“ปืน!” ผมยิ้มขำเมื่อพริกหวานน้อยแผดเสียงในระดับที่ไม่ได้สร้างความรำคาญให้คนอื่นข่มขู่ผมให้สงบปาก ก่อนจะสะบัดหน้าหนีผมไปอีกทางด้วยความโมโห หรืออายก็ไม่รู้ แต่ผมเดาว่าน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่าอย่างแรกนะ แก้มแดง หูแดงแบบนั้นให้เดาเป็นอื่นไม่ได้จริง ๆ“เอาน่า เดี๋ยวปืนพาไปกินชานมไข่มุกที่ดื้ออยากกิน”“หยุดพูดถึงเรื่องของกินสักทีได้ไหม”“ถ้าไม่กินชานมแล้วกินไรดี บิงซูหรือว่าเค้กดี ?” ผมแกล้งทำหูทวนลมโน้มตัวลงมาอยู่ในระดับเดียวกันกับใบหน้าคนกำลังหัวฟัดหัวเหวี่ยงอีกครั้ง พริกหวานน้อยทำปากขมุบขมิบก่อนจะกัดริมฝีปาก พลางใช้หางตามองผมแวบหนึ่ง ท่าทางไม่พอใจที่พาดผ
3:15 PMตอนนี้ฉันกับปืนนั่งอยู่ในโรงภาพยนตร์ และในอ้อมกอดของฉันมีป๊อปคอร์นรสหวานขนาด 64 ออนซ์ที่กินได้ไม่ถึงครึ่งแนบอกอยู่ 1 กล่อง คนที่บอกอยากดูหนังแอคชั่นสัญชาติอเมริกันเรื่องล่าสุดที่เพิ่งเข้าโรงมาได้ไม่กี่วัน ซึ่งไม่ใช่ฉันผู้ซึ่งไม่อินกับหนังแนวที่เท่าไรกลับหลับตาพริ้มไปตั้งแต่ตอนไหนฉันก็ไม่แน่ใจเท่าไร คือหันมาอีกทีปืนก็เข้าฌานถอดวิญญาณไปเข้าเฝ้าพระอินทร์แล้วเรียบร้อย ขนาดว่าเสียงลำโพงรอบด้านส่งเสียงอึกทึกครึกโครมขนาดนั้นยังหลับได้สบาย อาการนี้ไม่ง่วงจัดก็เพลียจัดฉันจะชักมือของตัวเองออกจากอุ้งมือของปืนแต่ชักออก ไม่สำเร็จ ขนาดว่าหลับลึกนะนั่น เขาจับไว้ตั้งแต่เดินออกมาจากร้านอาหาร เรื่องของเรื่องคือฉันเดินสะดุดอะไรสักอย่างซึ่งปืนหันมาเห็นในจังหวะนั้นเข้าพอดีเลยคว้าไปจับไว้ จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่ปล่อย และตอนนี้ก็ไม่ใช่แค่มือแล้วที่เกี่ยวประสานกันเอาไว้แน่นหนึบ หัวเขาก็เอนมาซบอยู่ที่ไหล่ฉันต่างหมอน ลมหายใจอบอุ่นเป่ารินรดอยู่แถวซอกคอเป็นจังหวะสม่ำเสมอคือจั๊กจี้แหละและในขณะเดียวกันก็รู้สึกอุ่นซ่านอย่างน่าประหลาด และในเมื่อทำอะไรไม่ได้ จะผลักก็เกรงใจ เมื่อยก็ต้องอดทน ขยับตัวทีก็กลัวว่าค
คนรีบที่บอกอีกหนึ่งชั่วโมงเจอกันมาถึงหน้าหอฉันก่อนเวลานัดตั้งสิบห้านาที เดินฝ่าแดดเปรี้ยง ๆ ออกมาจากประตูรั้วก็เห็น BMW คันเดิมของปืนจอดเด่นเป็นสง่าอยู่ริมฟุตบาธในฝั่งตรงข้าม ใครสัญจรผ่านไปมาเห็นล้วนเหลียวมองความงามซ้ำสองกันทั้งนั้น กลับกัน ถ้าเป็นฉันที่ไม่รู้จักกับคนในรถฉันก็ชื่นชม และคงมีความคิดที่อยากจะเห็นโฉมหน้าผู้เป็นเจ้าของเหมือนสาว ๆ กลุ่มที่เพิ่งเดินผ่านไปเหมือนกันแหละกระจกฝั่งคนนั่งเปิดลงเมื่อฉันข้ามถนนมา ปืนชะโงกหน้าบอกให้ฉันรีบขึ้นรถเพราะอากาศข้างนอกมันร้อนจัด ภาวนาอยู่นี่ ขอให้คำพยากรณ์ที่กรมอุตุฯ ออกประกาศไว้เมื่อสองวันก่อนเป็นความจริง ที่ว่ากรุงเทพฯ จะหนาว อุณหภูมิจะลดลงเหลือสิบกว่าองศาในช่วงเดือนธันวาคม ซึ่งเหลืออีกเดือนกว่า ๆ เหมือนจะไม่นานแต่ ก็นานอยู่ดี “หือ”“ใจเราตรงกัน” ปืนคงเดาได้ว่าฉันจะพูดอะไร ซึ่งฉันก็ไม่เถียง“นั่นน่ะสิ” ก่อนออกจากห้องมาฉันเปลี่ยนจากเสื้อยืดกลางเก่ากลางใหม่ มาใส่เสื้อโปโลสีขาวเพื่อไม่ให้ตัวเองดูหม่นหมองเกินไปเมื่อเดินกับปืน พ่อหนุ่มออร่าฟุ้ง กางเกงก็ขาสั้นสีขาวตัวเดิม ตัวนี้เพิ่งซื้อ ใส่ครั้งนี้ครั้งที่สองเอง รองเท้าก็เลือกใส่รองเท้าผ้าใบ
“เมื่อคืนปืนขับรถกลับคอนโดฯ เอง”“ทำไมประมาทแบบนั้นล่ะปืน” ฉันถามเสียงเข้มออกไปทันที ไปตั้งแต่สามทุ่มกลับถึงห้องตอนตีสามกว่าเนี่ยนะ ถ้าเป็นอย่างนี้ ทุกวันตับคงแข็งตายก่อนวัยอันควร อยากจะถามจริง ๆ ว่าเขารักตัวเองบ้างไหม“ประมาทยังไง” ยังจะกล้าถามฉันอีกว่าประมาทยังไง“ดื่มแอลกอฮอล์แล้วขับรถกลับที่พักตอนตีสามตีสี่ไม่เรียกประมาทได้ยังไงล่ะ เมาด้วยรึเปล่าก็ไม่รู้” ฉันว่าพลางถลึงตาดุใส่ คนหน้าเป็นปืนหันมายิ้มแล้วยื่นนิ้วมาจิ้มแก้มฉัน ซึ่งนาทีนี้ฉันไม่อยู่ในอารมณ์อยากจะเล่นเลยปัดมือเขาออกอย่างไม่ไยดี ฉันรู้ตัวนะว่าไม่ควรเสียงแข็งใส่ปืน หรือแสดงความไม่พอใจอะไรออกมามากเกินควร เพราะนั่นคือชีวิตเขา แต่ฉันห้ามอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ ฉันอินเรื่องอุบัติเหตุมากก็เพราะเสพข่าวทุกวัน ฉันเป็นห่วงปืน เป็นห่วงความปลอดภัยของผู้ชายคนนี้มากจนน่าตกใจ ทั้งที่เขากับฉันเราเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน และไม่รู้ว่าเมื่อไรด้วยเหมือนกันที่เขาเริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตชนิดที่ฉันคาดไม่ถึง กับเพื่อนคนอื่น ๆ ฉันยังไม่เคยรู้สึกวิตกอะไรขนาดนี้เลยเอาจริง ๆ “เมื่อคืนปืนไม่เมา เหล้าแทบไม่ได้แตะสาบานได้”ฉันมุ่นคิ้ว ส่งผ่านคำว่าจริง