“สวัสดี...เราชื่อปืน”
ฉันขมวดคิ้ว ร้องหืมในลำคอแล้วรีบเงยหน้า ละสายตาจากหนังสือที่เปิดกางทิ้งไว้ด้วยความงงงวยถึงขีดสุด คือที่เงยหน้าเนี่ยต้องการจะมองให้แน่ใจว่าตัวเองคือคนที่ถูกใครก็ไม่รู้พูดสวัสดี
ใส่พร้อมทั้งบอกชื่อที่เดาว่าคงเป็นชื่อเล่นของเขาคนนั้นจริง ๆ ใช่ไหม ผลปรากฏว่าใช่จริง ๆ นั่นแหละเขาพูดกับฉันว่ะ
เพราะตรงนี้นอกจากฉันกับผู้ชายที่บอกว่าตัวเองชื่อปืนก็ไม่มีใครแล้วล่ะ แต่ก็ใช่ว่าจะร้างผู้คนไปซะทีเดียว เพื่อนนักศึกษาร่วมสถาบันคนอื่น ๆ ที่มาอาศัยนั่งอ่านตำรา ค้นข้อมูล ประกอบการทำการบ้าน ทำรายงาน ใช้บริการหอสมุด ณ บริเวณโซนชั้นสามเวลานี้ต่างเลือกที่จะนั่งโต๊ะที่อยู่ห่างกันออกไปเพื่อความเป็นส่วนตัวกันแทบทั้งนั้น รวมถึงตัวฉันเองด้วยที่ต้องการความสงบในการค้นตำราเปิดหาข้อมูลทำรายงานส่งอาจารย์อิทตย์หน้า ซึ่งถ้าเป็นช่วงตอนพีคอย่างตอนกลางวันน่ะเหรอ แค่มีที่ว่างให้อาศัยนั่งหลบร้อนระหว่างรอเรียนช่วงบ่ายบ้างก็นับว่าดีแล้ว
และคำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวหลังลอบสำรวจอยู่เงียบ ๆ คือ
เราเคยรู้จักกันไหมนะ ?
เคยรึเปล่า ?
ฉันมุ่นคิ้วพลางเอียงคอเล็กน้อยเพื่อมองผู้ชายรูปร่างสูงโปร่งออร่าฟุ้งกระจาย ละสายตาได้ยากยิ่งตรงหน้าอย่างละเอียดถี่ถ้วน
ไม่ว่าจะเค้าโครงใบหน้าแสนเพอร์เฟค ทรงผม คิ้ว ตา จมูก ปาก ขณะเดียวกันก็พยายามนึกย้อนเรื่องราวความทรงจำในอดีตประกอบไปด้วย แต่คิดเท่าไรก็คิดไม่ออกสักทีว่าคนลักษณะท่าทางแบบนี้ หน้าตาอย่างนี้ฉันเคยเจอที่ไหนมาก่อนหรือไม่ คือมันไม่มีแวบเข้ามาในหัวทั้งชื่อ ทั้งเค้ารางใด ๆ ดังนั้นฉันขอสรุปไปเลยละกันว่าเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนส่วนคำถามต่อมาก็คือ…
ทำไมเขาหล่อจัง ?
ซึ่งเอิ่ม...ดูเหมือนว่าคำถามนี้ของฉันมันจะไม่ใช่คำถามที่จะหาคำตอบได้ง่ายเท่าไรเนอะ อาจต้องเจาะลึกไปถึงพ่อแม่ ญาติพี่น้อง กระทั่งเหล่าบรรพบุรุษตั้งแต่สมัยพระเจ้าเหาเขาเลยว่าความหน้าตาดีนี้มีที่มาอย่างไร แต่ช่างคำถามไร้สาระของฉันเถอะ เอาเป็นว่าด้วยความน่าสนใจแบบมึน ๆ ชวนให้เกิดความสับสน และงงงวยชนิดหนักมากของปืนนี่แหละ สองลูกตาของฉันจึงยังคงจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าเนียนใสเขาคล้ายถูกตอกตรึงเอาไว้ด้วยตะปูแน่นหนา กว่าจะขยับปากเปล่งเสียงออกมาเบา ๆ แก้เก้อเมื่อรู้สึกตัวว่าจ้องจน ‘เกินงาม’ ได้ก็นานพอสมควร
“เอ่อ...สวัสดีค่ะ” คือนอกจากฉันจะเริ่มทำตัวไม่ถูก สีหน้าท่าทางค่อนไปทางเลิ่กลั่กเกินเบอร์แล้ว ก็ไม่รู้ว่าทำไมจะต้องรู้สึก
เขินแบบแปลก ๆ กับคนแปลกหน้าที่เพิ่งเคยเจอด้วย งงตัวเองอะ เขาเองก็ไม่ได้แสดงท่าทีสนใจอะไรในตัวอะไรสักหน่อย ก็แค่ ‘จ้อง’ หน้ากลับคืน ไม่แน่ใจว่าเขาต้องการความช่วยเหลือจากฉันหรือว่าต้องการอะไรด้วยนะ ณ จุดนี้และชั่วอึดใจกับการทนต่อสายตาที่จ้องมองมาคล้ายกำลังรออะไรสักอย่างจากฉัน ซึ่งแน่นอนว่าฉันไม่สามารถตีความหมาย หรือนั่งทางนัยหาคำตอบให้ตัวเองได้ว่าที่ปืนจ้องมาเนี่ยต้องการอะไร
มันเลยเป็นเหตุให้ฉันมโนเอาเองแบบมั่นหน้า มั่นโหนก และมั่นใจว่าเขาคงรอให้ฉันแนะนำตัวกลับล่ะมั้ง และในจุดนี้แหละความลังเล มันเลยบังเกิดเอ๊ะนั่น เอ๊ะนี่ คิดว่าจะดีหรือไม่ดี ที่ว่าทักเนี่ยมีจุดประสงค์อะไรแอบแฝงในใจรึเปล่า ถึงจะเป็นคนสถาบันเดียวกันก็ใช่ว่าจะไว้ใจได้ทุกคนนะ คือยิ่งคิดเยอะความคิดมันยิ่งเลอะเทอะไปกันใหญ่
พอลองหลับตาตั้งสติ สงบจิต สงบใจ และบวก ลบ คูณ หารในใจฉบับรวบรัดเสร็จสรรพก็ได้ผลลัพธ์ตรงกันข้ามกับสิ่งที่คิด คงไม่เสียหายอะไรหรอกก็แค่บอกชื่อเล่นเอง ฉันสบตาปืนแวบหนึ่งก่อนจะขยับปากพูดอีกครั้งหลังทิ้งช่วงไปพักใหญ่“เราชื่อพริกหวานนะ”
“อืม...พริกหวาน”
ปืนทวนชื่อฉันในลำคอพลางพยักหน้าหงึกหงักเชิงรับรู้ ขณะเดียวกันมือเรียวยาวของเขาก็ทำการยกเก้าอี้ตัวที่อยู่เยื้องกับที่ฉันนั่งออกมาจากใต้โต๊ะแทนการลากด้วยมือเพียงข้างเดียว จากนั้นจึงหย่อนสะโพก ทรุดกายลงนั่ง แล้วก็ล้วงเอาสมาร์ตโฟนเครื่องหรู
สีดำรุ่นใหม่ล่าสุดของแบรนด์ดังออกมาจากกระเป๋าเสื้อช็อปสีกรมอัน เป็นเอกลักษณ์ และบ่งบอกได้ว่าเจ้าตัวนั้นเรียนอยู่ที่คณะวิศวฯ คิ้วเข้มเห็นเพียงรำไรขมวดเป็นปมหน่อย ๆ ขณะที่นิ้วเรียวสวยของเขากดนั่นกดนี่ไม่ได้หยุดรอยยิ้มมิตรภาพประหนึ่งตัวเองเป็นมิสแกรนด์ประจำจังหวัดบ้านเกิด (นครปฐม) ที่ฉันตั้งใจมอบให้เขามีอันต้องหุบฉับลงโดยปริยาย เพราะอีกฝ่ายก้มหน้าก้มตาสนใจแต่หน้าจอของเจ้าสิ่งที่อยู่ในมือมากกว่าจะเหลือบแลมาทางฉัน ก็คือพอหลังจากนั่งก็ทำการตัดฉันออกจากวงโคจรไปเลย
เหมือนอยู่คนละโลกอะ
คืออะไร ?
งงมากค่ะแม่
ที่คิดว่าเขาอาจจะมีอะไรแอบแฝงฉันคงมโนมากไปหน่อย แม้แต่หางตาเขายังไม่เหลือบแลฉันเลยจ้ะ เอาจริง ๆ ถ้าอยากนั่งโต๊ะนี้
บอกให้ฉันย้ายไปนั่งที่อื่นก็ได้นะ ง่ายดีด้วย ไม่ต้องลงทุนบอกชื่ออะไรกันหรอก แล้วก็คงไม่ต้องเสียเวลายืนกดดันโดยที่ฉันไม่รู้ตัว ตั้งหลายนาทีด้วยเอ๊ะ!
เดี๋ยวนะ...
หรือเขามีปัญหาเรื่องการใช้รูปประโยคที่ถูกต้อง
ฉันมุ่นคิ้วสงสัยก่อนจะเลิกสนใจแล้วก้มหน้าลงเพื่ออ่านหนังสือที่เปิดกางเอาไว้ตามเดิม คือท่าทางเหมือนจะดีอยู่หรอกฉันเนี่ย แต่ติดตรงที่ตั้งใจอ่านเท่าไรมันก็ไม่เข้าหัวแล้วนี่สิ ทั้งที่เพื่อนร่วมแชร์โต๊ะก็ไม่ได้ส่งเสียงดังรบกวนสมาธิอะไรเลยนะ ออกจะนิ่งสงบเสมือนไร้ตัวตนในสายตาฉันด้วยซ้ำ จะโทษเขาเต็มร้อยก็ไม่ได้ เอาเป็นว่าเป็นที่ตัวฉันเองนี่แหละที่สมาธิมีไม่มากพอ ทำยังไงก็ไม่สามารถจมอยู่กับตัวเองต่อไปได้เหมือนก่อนหน้าที่เขาจะปรากฏตัว จะว่าความหล่อพาใจไม่นิ่งก็...มีนิดหนึ่งแหละยอมรับ นี่ถ้ายัยแจนกับยัยเบลไม่ชิ่งหนีฉันกลับบ้านไปก่อนล่ะก็ กล้าฟันธงและคอนเฟิร์มเลยว่ายัยสองคนนั้นจะต้องออกอาการดี๊ด๊า ชนิดเก็บอาการยังไงก็ไม่เนียน เพราะโดยปกติก็ชอบส่องชอบเหล่หนุ่ม ๆ คณะวิศวฯ เป็นงานอดิเรกแก้เครียดกันอยู่แล้ว ถ้ารู้ว่าฉันได้นั่งร่วมโต๊ะกับหนุ่มหล่อคณะนี้ล่ะก็ คงได้ยินเสียงคนร้องโอดครวญแบบแพ็คคู่เพราะความเสียดายพันเปอร์เซ็นต์ และฉันก็ไม่คิดจะปิดปากเงียบด้วย ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าคืนนี้จะแชตไลน์ไปเม้าท์ให้เบลกับแจนได้ดีดดิ้นเล่นและพอคิดถึงเพื่อนขึ้นมาก็อดเสียดายไม่ได้ที่ไม่รู้ว่าปืนอยู่ชั้นปีอะไร ถ้าร
หลังทำเรื่องยืมหนังสือที่ต้องใช้ค้นหาข้อมูลประกอบการทำรายงานกับเจ้าหน้าที่บรรณารักษ์คนสวยมาสองเล่มเรียบร้อย เดินออกมาด้านนอกตึกหอสมุด ท้องฟ้าที่เคยมีแสงแดดเจิดจ้าก็ถูกความมืดกลืนกินไปกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว เสาไฟทุกต้นมีไฟสีส้มส่องสว่างตลอดทางฉันชอบนะ บรรยากาศตอนย่างก้าวเข้าสู่ช่วงหน้าหนาวแม้ว่าหน้าหนาวบ้านเราอากาศเย็นจะมาเร็วไปไวกว่าทุกประเทศก็เถอะ แต่จะว่าไปอากาศ ณ ตอนนี้ ในเวลาเกือบ ๆ จะหนึ่งทุ่มของวันที่ยี่สิบปลาย ๆ ของเดือนตุลาคม ช่วงปลายฝนต้นหนาวแบบนี้มันก็เย็นใช้ได้เหมือนกันแฮะ และเหมือนว่าอากาศมันจะเย็นกว่าทุกวันด้วยแฮะนับตั้งแต่ที่กรมอุตุนิยมวิทยาออกประกาศว่าประเทศไทยของเราได้เข้าสู่ช่วงฤดูหนาวอย่างเป็นทางการไปเมื่อสองอาทิตย์ก่อนด้วย ลมเย็น ๆ ที่พัดโชยผ่านหน้าไปเมื่อกี้ให้ความรู้สึกดีจนอยากยื้อเอาไว้นาน ๆ“เป็นไปได้ขอหนาวกว่านี้อีกเยอะ ๆ เลยนะ”ถึงฤดูนี้มันจะทำให้ดูเหงา ทำให้คนอยู่ไกลบ้านคิดถึงบ้าน คิดถึงครอบครัวมากกว่าช่วงเวลาปกติ แต่ความรู้สึกเหล่านั้นก็แฝงด้วยความสุข ฉาบด้วยรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะและฉันก็เชื่อมั่นเต็มหัวใจว่าแทบทุกคนที่ตั้งหน้าตั้งตารอที่จะนับถอยหลัง
“อาจารย์ปล่อยพวกเราช้าไปตั้งยี่สิบนาที หิวข้าวจะแย่แล้ว”ฉันพยักหน้าเห็นด้วยกับเบลเพื่อนสนิทสุดซี้ที่รู้จักกันเมื่อตอนรับน้องพร้อมสำทับไปว่า “อาจารย์เดินเข้าห้องมาสอนพวกเราเลทไปแค่ห้านาที แต่ปล่อยนักศึกษาอย่างพวกเราเลทไปตั้งสิบห้านาที จริง ๆ เราควรจะชินได้แล้วแหละแต่ก็ไม่ชินสักที เพราะวิชานี้ชอบทำให้พวกเราหิว!” ฉันกลอกตา ลูบท้อง โคลงหัว ขณะเดียวกันก็ลงมือเก็บชีท เก็บปากกายัดใส่กระเป๋าดินสอแล้วถึงได้หยิบโทรศัพท์ออกมาจากช่องเล็กด้านในหลังจากที่ไม่ได้แตะต้องมันนานถึงสองชั่วโมงกว่าคลาสนี้อาจารย์แกจัดว่าเข้มงวดเรื่องการใช้มือถือในชั่วโมงเรียนมากถึงมากที่สุด ทุกคนที่ลงเรียนกับแกจะรู้กันถ้วนหน้าว่าถ้าไม่อยากมีปัญหากับแกอย่าได้ควักมันออกมาเชียว เพราะถ้าเกิดสายตาแหลมคมของเจ๊แกดันกวาดมาเห็นเข้ารับรองได้ว่าเรื่องใหญ่แน่นอน เคยมีตัวอย่างให้เห็นกันมาแล้ว แถมยังมีเสียงเล่าลือเสียงเล่าอ้างส่งต่อ กันมาเป็นทอด ๆ ให้ได้ยินประจำ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็มีข้อยกเว้นนะ ย้ำว่าต้องกรณีที่ร้ายแรงจริง ๆ ถึงได้รับการผ่อนปรน“เออหิวว่าแต่เราจะไปกินข้าวร้านไหนดี ไม่เอาโรงอาหารนะ”“อือ เบื่อเหมือนกัน งั้นร้านป้านี
แน่นอนว่าคนที่ดูตื่นเต้นมากกว่าฉันถึงสองเท่าตอนเห็นรูปที่ปืนถูกเพื่อนแท็กมาชัด ๆ ก็ยัยสองคนนี้นี่แหละ ดวงตานี่เป็นประกายคล้ายลูกแก้วต้องแสงไฟเหมือนกันเด๊ะ ส่วนยัยเบลมันดูรูปไม่ถนัดหรือยังไงไม่รู้ แย่งโทรศัพท์ไปจากมือฉันเลยล่ะจ้ะ สงสัยเรื่องปากท้องคงกลายเป็นเรื่องไร้สาระไปแล้วล่ะฉันว่าแต่ฉันไม่นะยังหิวเหมือนเดิมมื้อเช้ากินแค่นมกับขนมปัง เพราะสาย“หูยยยยย หล่ออ่า แบบว่าน่าลากเข้าห้องเก็บสมบัติมากเลยอะแก๊ ตอนแกเล่าให้ฟังฉันก็พยายามจินตนาการถึงความหล่อของปืนตามไปด้วยนะแต่มันถึงภาพไม่ออก จนมาเห็นด้วยสองตาของตัวเองนี่แหละ คือว้าว มากเว่อร์” เบลจีบปากจีบคอพร่ำเพ้อ มองดูแล้วน่าหมั่นไส้และตลกไปในคราวเดียวกัน อาการนี้คงจะลืมไปจริง ๆ นั่นแหละว่าตัวเองกำลังหิวข้าวอยู่ “ว่าแต่ทำไมปืนถึงเล็ดลอดจากสายตาเรดาห์ของฉันไปได้ล่ะเนี่ย ไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อนเลย ในเพจของมอก็ด้วย” ยัยเบลยืนกอดอกทำหน้าครุ่นคิดจริงจังหนักมาก คือเพจของมอมีกี่เพจยัยนี่กดติดตามหมดบางทีฉันยังอาศัยใบบุญจากคุณนายเบลเลยส่วนอีกคนก็...“ชื่อโหดแต่หน้าตาไม่โหดตามชื่อเลยอ่าแก ปืนหล่อมากแบบมากจริง ๆ ขอฉันสมัครเป็นเอฟซีคนคิ้วท์ ๆ อ
“บ้ายบายจ้า ไว้เจอกันวันพรุ่งนี้นะจ๊ะเพื่อนจ๋า”“จ้า บ้ายบายน๊า” ฉันเองก็ไม่ยอมแพ้ ใช้เสียงสองตามบ้าง พลางยื่นมือไปดึงแก้ม ยีผมยัยแจนลูกสาวพ่อป่าด้วยความมันเขี้ยวแล้วฉันก็หันมายกมือไหว้พ่อป่า พ่อเพื่อนผู้แสนใจดีที่มักจะแวะมาส่งฉันเสมอหากว่าท่านมารับลูกสาวที่มหา’ลัย ซึ่งก็ไม่ค่อยบ่อยนักหรอก เดือนละหนสองหนได้ ปกติยัยแจนก็กลับรถเมล์เหมือนฉันกับยัยเบลนี่แหละ แต่ก็มีบ้างเหมือนกันที่ยัยสองสาวเพื่อนซี้ขับรถของที่บ้านมาเรียนเอง คือขับรถเป็นกันทั้งคู่เลยแหละ ยกเว้นฉัน พริกหวานผู้ซึ่ง ขี่เป็นแต่จักรยาน “ขอบคุณนะคะพ่อที่แวะมาส่งหนู”“ไม่เป็นไรลูก” พ่อป่ายิ้มกว้างใจดีให้อย่างเคยฉันยืนโบกมือบ้ายบาย รอจนกระทั่งท้ายรถเก๋งป้ายแดงคันงามรุ่นใหม่ล่าสุดภายใต้สัญชาติญี่ปุ่นของพ่อยัยแจนเลี้ยวพ้นไปจากสายตาแล้วนั่นแหละฉันถึงเริ่มขยับเท้า ปราดตามองซ้าย มองขวาเพื่อความชัวร์ ก่อนเดินข้ามถนนแคบ ๆ พอดีให้รถสองคันได้วิ่งสวนทางกันไปมาได้มาฝั่งอะพาร์ตเมนต์ หย่อนมือล้วงหยิบคีย์การ์ดในกระเป๋า อีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่จะเป็นใบเบิกทางไปสู่ด้านในติ๊ด ติ๊ดผลักประตูเข้าไปเห็นว่ามีคนกำลังจะเดินสวนออกมาพอดีฉันเลยรอ“ขอบคุณค
Rrrrrrrrrr MY MOM เหมือนรู้ว่ากำลังคิดถึง “จ้าแม่” ฉันกรอกเสียงสดใสทักทายหลังจากสไลด์รับสาย (ถึงห้องยังพริกหวาน) ฉันอมยิ้ม คำถามเปิดประเด็นแบบนี้มีให้ได้ยินทุกวันแหละ ถ้าแม่ไม่โทรมาฉันก็ต้องโทรไป ไม่ก็คุยไลน์กันถ้าไม่สะดวกโทร ครอบครัวอื่นที่ลูกอยู่ไกลบ้านเป็นยังไงฉันไม่รู้นะ แต่ครอบครัว ฉันเป็นแบบนี้ คือจะคุยมากคุยน้อยไม่เป็นไร แต่ต้องคุยกันทุกวันเพื่อให้รู้สถานการณ์ “เพิ่งถึงจ้ะ พ่อยัยแจนมาส่ง” บอกพลางรินน้ำใส่แก้วดื่ม (งั้นเหรอ แล้วหาอะไรกินยัง นี่แม่มากินราดหน้าที่องค์พระฯ) “ยังเลยแม่ อยากกินหอยทอดอะ” ยู่ปากพลางทิ้งตัวลงนอนแผ่ (แถวนั้นมีไหมล่ะ หากินแถวนั้นไปก่อนสิ) “มีจ้ะ ร้านเปิดใหม่ แต่ไม่อร่อยเลย หนูเคยลองไปกินแล้ว” อาหารการกินบางอย่างก็สู้นครปฐมไม่ได้ (งั้นก็อยากต่อไปนะคะลูกสาว ไว้กลับมาบ้านค่อยให้พ่อพามากินที่องค์พระฯ นี่พ่อก็กระซิบบอกแม่ให้บอกเราไปหาข้าวหาปลา กินได้แล้ว อย่ารอให้มืดค่ำ หน้านี้มันมืดเร็ว อยู่ตัวคนเดียวเดินไปไหนมาไหนมันอันตราย) คำสอนยืดยาวนี่ก็ได้ยินบ่อย ๆ แต่ก็ไม่มีช่วงเวลาไหนที่รำคาญ และไม่ใช่แค่ลูกสาวหรอกที่พ่อจะห่วงเป็นพิเศษ ลูกชายก็ห่วง ข้าวโอ
แล้วคือระหว่างที่ฉันกำลังนั่งชั่งใจ ลังเลว่าควรจะทำยังไงดี รับหรือไม่รับ ปืนก็ไม่มีทีท่าจะถอดใจ สายตัดไปเขาก็โทรกลับมาใหม่เดี๋ยวนั้นเลย เป็นแบบนี้อยู่ราว ๆ สามถึงสี่ครั้ง จนฉันต้องขอยกธงขาวยอมแพ้ในความพยายาม และขณะเดียวกันก็สงสัยด้วยว่าเพราะอะไรถึงต้องการจะคุยแบบเห็นหน้า ที่พิมพ์แชตมาคิดว่าแค่อยากแกล้ง ฉันให้หัวร้อนเล่นซะอีก แต่นี่ นี่มันเหนือความคาดหมายเกินไป จับต้นชนปลายไม่ถูกฉันกลอกตามองเพดาน พลางสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ก่อนจะตัดสินใจสไลด์ปลายนิ้วรับสาย และสิ่งแรกที่ฉันเห็นเต็มจอคือใบหน้าหล่อเหลาสุดแสนจะเรียบเฉยอันเป็นเอกลักษณ์ของปืนรออยู่ เขาไม่ยิ้มไม่แย้ม ฉันเองก็ไม่ได้ฉีกยิ้มใส่เหมือนกัน ซึ่งฉันก็เรียนรู้มาจากตัวเขานั่นแหละ แต่ภายในใจนี่อีกเรื่องหนึ่งเลยนะ มันมีความตื่นเต้นซ่อนอยู่คนไม่คุ้นเคยกัน จู่ ๆ มามองหน้ากันผ่านกล้อง ไม่รู้สึกแปลกก็ให้มันรู้ไป และด้วยความช่างสังเกตที่มี มองแป๊บเดียวฉันก็รู้ได้ในทันทีเลยว่าสถานที่ที่ปืนยืนอยู่ไม่น่าจะใช่ที่พักอาศัย เดาสุ่มว่าน่าจะเป็นร้านเหล้าร้านใดร้านหนึ่ง ล่าสุดแอบได้ยินเสียงนักร้องพูดใส่ไมค์คุยกับลูกค้า เลยสรุปได้ว่าฉันเดาถูกนั่นเอ
“…”ฉันว่าฉันได้ยินเสียงแทรกเข้ามานะ“สัสเข้ม” หูฉันไม่ได้แว่วแล้วล่ะแบบนี้ปืนสถบด่าคำว่าสัสเน้น ๆ ก่อนจะเอี้ยวคอหันหน้าไปตามเสียงเรียกกระโชกโฮกฮากของคนที่เขาเรียกว่าเข้มด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าที่ควร ฉันเดาว่าเพื่อนเขาน่าจะออกมาตามแหละ คงหายมานานจนต้องส่งใครสักคนมาดู“มีเหี้ยไร” “ทำห่าไรนานฉิบหายเลย อ้าวนั่นมึงคุยโทรศัพท์อยู่เหรอวะ”ฉันแอบสะดุ้งกับประโยคสุดท้ายขึ้นมาซะงั้น“คุยไม่คุยก็เรื่องของกู มึงอย่าเสือกสิเข้ม”อา...ตอบได้ดี ฉันพยักหน้า“อ้าวไอ้เหี้ยนิ กูถามมึงดี ๆ ไหม กวนตีนเกินเรื่องเลยนะมึง”หนนี้ฉันนิ่วหน้า“มึงกลับเข้าไปก่อนไป”“กูยังไม่เข้า มึงจะทำไมไอ้ปืน ดูมีลับลมคมในเหี้ย ๆ”ฉันได้ยินเสียงปืนถอนหายใจแหละ“ขอปืนคุยกับตัวเหี้ยน่ารำคาญแป๊บนึง เธออย่าเพิ่งวางสายนะ” เขากระซิบกลับมาโดยที่ไม่ให้โอกาสฉันได้พูดอะไร ก่อนที่ภาพบรรยากาศรอบตัวเขาจะหายไป เหลือแต่ความมืดมิด มองไม่เห็นอะไร เดาว่าเขาน่าจะยัดมือถือลงไปในกระเป๋ากางเกง ฉันขมวดคิ้วขัดใจ พลันร้องอุทานเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ถ้าหูไม่ฝาด ฉันว่าฉันได้ยินเขาแทนตัวเองว่าปืนกับฉันนะ“มีเหี้ยไรก็รีบพูดมา”“ก็มึงออกมานาน กูก็
“หงุดหงิดอะไร ห้ามตอบว่าเปล่านะปืน” ดักทางไว้เลย“ดื้อแม่ง” ทำหน้าง้ำแล้วมองฉันอย่างไม่สบอารมณ์“เราทำไมพูดมาเลย” พอฉันเริ่มรวนนิด ๆ อีกคนก็ถอนหายใจ“ช่างมันเถอะ” บอกปัดแล้วตกข้าวกินต่อด้วยมือข้างเดียว เพราะอีกข้างจับมือฉันไม่ยอมปล่อย ฉันแค่นเสียงร้องเหอะ สะบัดมือหวังให้หลุด แต่นอกจากจะไม่หลุดแล้ว ยังบีบมือฉันแน่นยิ่งขึ้นไปอีก“พอไม่อยากตอบอะไรชอบพูดช่างมันเถอะตลอด”“อือ”“ยังจะอืออีก” ฉันส่งเสียงฮึมฮำขัดใจ “ปืนไปเรียนก่อนนะดื้อ โทรหาก็รับสายด้วย แชตก็ตอบด้วย” เรากินข้าวอิ่มกันได้สักสิบนาทีแล้ว จึงสมควรแก่เวลาที่ปืนจะไปเรียน ฝ่ามือหนาวางลงบนกลุ่มผมฉัน เขาลูบก่อนจะโยกหัวฉันเบา ๆ วิศวฯ ที่ใครต่อใครว่าดุ ห้าวเป้ง และเป็นสายเถื่อนสุดจี๊ดตัวพ่อประจำมหาวิทยาลัย ฉันว่าเหมารวมหมดทุกคนไม่ได้หรอก ฉันสัมผัสมาแล้ว กับคนนี้ไง หรือฉันอาจยังไม่เห็นมุมดาร์กแบบขั้นสุดของเขาไม่รู้นะ แต่ไม่รู้แหละกับคนอื่นเขาจะเป็นอย่างไร อันนั้นอีกเรื่องหนึ่ง สำหรับฉันปืนไม่ได้เลวร้ายอะไร ออกจะดีมากด้วยซ้ำ อ้อ! ยกเว้นเรื่องที่เขาเขม่นใส่รุ่นน้องฉันนะ“จะรับสาย และตอบแชต โอเคนะคะ”“เด็กดี”“บ๊ายบายจ้าปืน” แจนโบกมือก่อ
“หวัดดีปืน”“หวัดดีแจน” อย่างน้อยเขาก็ทักเพื่อนฉันกลับแหละนะ“หิวเหรอแก” ฉันทักยิ้ม ๆ ยัยนี่มาทีหลังใครเพื่อนเลยนะ แต่นางซื้อข้าวมานั่งกินก่อนฉันกับปืนอีก และพอฉันทักแม่เพื่อนรักก็ทำมายกไหล่ขวากวนประสาทพลางตักข้าวราดแกงเข้าปากต่อ สองมาตรฐานเห็น ๆ ฉันเลิกสนใจเพื่อนแล้วหันมาสนใจคนข้างตัวแทน “รีบกินเลยปืนเดี๋ยวเข้าเรียนไม่ทันแปดโมงแล้วเนี่ย เอาน้ำอะไรเดี๋ยวเราไปซื้อให้” จากโรงอาหารนี้ไปคณะวิศวฯ มันไม่ใกล้เลยถ้าเดินเท้าก็ใช้เวลาร่วมสิบนาที พวกฉันน่ะไม่รีบหรอก เพราะกว่าจะเรียนก็ตอนเก้าโมง“กินก่อนค่อยไปซื้อทีหลังน้ำอะ หรือดื้อหิวเดี๋ยวปืนเดินไปซื้อให้ก่อน วิชานี้เข้าเลทได้สิบห้านาที มีเวลาเหลือเฟือ ยังไงก็ทัน ปืนกินเร็วแค่ไหนดื้อก็รู้” เขาบอกพลางกระตุกมือฉันให้ลงนั่ง ส่วนเขาจะลุกแทนเมื่อก้นฉันแตะม้านั่ง แต่ฉันยื้อเอาไว้ก่อน“อื้อรู้ว่ากินเร็ว แต่ยังไม่ต้องซื้อหรอก ค่อยซื้อทีเดียวแล้วกัน” เขาหลุดคำว่าอืมแล้วตักข้าวพอดีคำขึ้นมาแล้วเด่ช้อนมาตรงปากฉันด้วยสายตากึ่งบังคับ รู้สึกอะไรบ้างไหมเพื่อนฉันนั่งจ้องจน ไม่กิน ไม่ทำอะไรกันแล้วเนี่ย แล้วไหนจะรุ่นน้อง ไหนจะสายตา ของคนรอบ ๆ ตัวอีก “ปืน ไม่เอ
ตอนระหว่างที่ฉันกำลังเดินมาที่โรงอาหารปืนไลน์มาถามว่าอยู่ไหน ถึงมหา’ลัยยัง พอฉันบอกถึงแล้วเขาก็แค่ส่งสติ๊กเกอร์รับรู้ ไม่ได้บอกสักคำว่าจะแวะมาหาก่อนเข้าเรียน อันที่จริงเมื่อเช้าปืนก็จะไปรับฉันมาเรียนพร้อมกันนั่นแหละ แต่ฉันปฏิเสธ บอกไม่ให้ไปรับเพราะวันนี้ปืนมีเรียนตอนแปดโมงครึ่ง ถึงหอฉันจะใกล้แต่ถ้าแวะเข้ามารับ กลับออกไปรถดันติดขึ้นมากลัวว่าเขาจะเข้าเรียนไม่ทัน ทีแรกเขาก็ไม่ฟังฉันหรอกดึงดันจะมาให้ได้ แต่ฉันยืนยันเสียงแข็งว่าเจอกันตอนหลังเลิกเรียนทีเดียวเลย นี่ยังไม่ทันจะเริ่มเรียนก็มาเจอกันซะละ“กินข้าวยัง” ถามเมื่อเขาเดินมาถึงตัว แต่เขาดูไม่ได้สนใจคำถามฉันเท่าไรเมื่อเห็นน้องโทนเดินถือจานข้าวขาหมูมาหยุดยืนตรงหัวโต๊ะแล้วยิ้มให้ฉันจาง ๆ ยัยเบลตบมือเรียกแปะ ๆ เป็นการส่งสัญญาณว่าให้น้องไปนั่งข้าง ๆ“น้องโทนมานั่งข้างพี่นี่มา พี่เหงา”“ฮะ” น้องก็ว่าง่ายนะ เดินไปหย่อนกายลงข้างยัยเบล “ปืน ถามทำไมไม่ตอบ” ฉันกระตุกมือดึงความสนใจ“งอแงอะไรคะดื้อ” ก้มหน้าลงมอง ฉันเลยตวัดค้อนเข้าให้“เปล่างอแงสักหน่อย ถามว่ากินข้าวยังก็ไม่ตอบ เอาแต่จ้องหน้าน้องเขาอยู่ได้ น้องคงเกร็งเธอไปหมดแล้วป่านนี้” ว่าเชิงบ่
“พี่พริกหวานดังใหญ่แล้วนะฮะ”“มันเป็นความดังที่พี่ไม่ทันได้ตั้งตัวด้วยสิ” ฉันพูดติดตลก กรอกตาเล็กน้อย เข้าใจความนัยของประโยคนั้นของน้องดี ทั้งที่มันไม่มีอะไรเลยนะ มันเป็นรูปฉันตอนเผลอแค่นั้นเอง ดึงดูดแค่เป็นปืน ที่เป็นมือโพสต์ แล้วมือโพสต์คนดีก็ไม่ได้เข้ามาตอบโต้คอมเมนต์ใครเลยสักคนยกเว้นฉันคืนนั้นเขาโทรหาฉันหลังหายต๋อมไปทำธุระกับแม่มาเขาบอกรูปนั้นสวยดีเลยอยากลงจริง ๆ เรื่องนี้ก็ผ่านมาได้สองวันแล้วแหละ แต่คนที่รู้จักอย่างคนในคณะฉันเนี่ยยังแซวอยู่เลย เมื่อวันจันทร์ที่เปิดเรียนมานี่เจอหน้าใครเป็นต้องถามหาปืน หนักสุดก็ยัยแจนกับยัยเบลเลย แซวจนฉัน ไม่สามารถพูดแก้ต่างอะไรได้เต็มปาก “รถมาแล้วฮะ”“อ้อ จ้ะ” ฉันสลัดความคิดกระชับกระเป๋าก่อนจะก้าวขึ้นรถ เลือกที่นั่งแถวกลาง โทนตามมานั่งด้วย “เรียนเป็นยังไงบ้างเรา” ลงลิฟต์มาฉันเจอโทนตรงหน้าหอพอดีเราเลยเดินออกมาหน้าปากซอยเพื่อรอรถเมล์ไปมหา’ลัยด้วยกัน“ก็โอเคเลยครับ ตอนนี้ยังสบาย ๆ อยู่ ยังพอรับไหว”“แต่อีกหน่อยความสบายจะหายไปทีละนิด” พูดแล้วฉันก็ยิ้ม“โธ่ พี่พริกหวานขู่ผมอีกแล้ว”“ในฐานะคนที่มีประสบการณ์มาก่อนถึงสองปีน้องต้องเชื่อพี่ ไม่ต้องมากข
มันมีหลายตัวเลือกจนผมมึนไปหมดขนาดก็มีเยอะเห็บแวบ ๆ ว่ามีแบบเย็นด้วยยังไงวะคนผลิตนี่ก็ช่างคิดว่ะนี่ถ้าวานให้ผมไปซื้อโดยไม่ระบุยี่ห้อ ไม่ระบุขนาด หรือสรรพคุณอะไรก็ตาม ผมคงเหมามาหมดทุกยี่ห้อที่มี ง่ายดี แต่ตอนนี้มาอยู่ตรงนี้แล้ว ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วผมว่าผมไม่ควรยืนอยู่เฉย ๆ ผมควรศึกษาเอาไว้หน่อย เผื่อว่าวันไหนเดือนไหนพริกหวานเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมาผมจะได้หยิบถูก“จะทำอะไรปืน” เสียงเย็น ๆ ของพริกหวานเบรกผมเอาไว้พร้อมกับเธอหันขวับมาจ้องหน้าผมสลับกับมองห่อสีเขียวในมือเขม็ง “วางลงที่เดิมเดี๋ยวนี้เลยปืน มันไม่ใช่ของที่ผู้ชายจะเอามาเล่นนะ” ดูดื้อพูดเข้า คิดว่าตัวเองกำลังพูดกับคนอายุเท่าไรอยู่ หน้าตาผมมันบ่งบอกหรือไงว่าอยากจะหยิบมันเล่นแก้เซ็ง“แล้วใครว่าปืนจะเอามาเล่น”“แล้วหยิบทำไม นั่นของผู้หญิงนะ ไม่อายเหรอหยิบแบบนั้น”“อายทำไม หยิบแล้วจะเป็นยังไง ปืนจะมีปีกบินได้เหมือน คำโฆษณาบนห่อนี้น่ะเหรอ” ผมขมวดคิ้วไม่เข้าใจตรรกะความคิดของพริกหวาน ในมือผมมันก็แค่ห่อผ้าอนามัยไหมวะ “ผู้ชายคนไหนมันจะอายก็อายไปเถอะ แต่สำหรับปืน ปืนไม่อาย ถ้าสิ่งนั้นมันมีความจำเป็นต่อคนที่ปืนให้ความสำคัญ” พริกหวานดูอึ้งไปเ
“เรื่องนั้น”“เรื่องไหน” ฉันค้อนวงเล็กใส่คนแกล้งซื่อ “เรื่องนั้นเรามะ...หมายถึง...หมายถึงว่าเราเพิ่งกินอาหารญี่ปุ่นกันมา” ฉันอธิบายไปแก้มก็ร้อนผ่าวไป คาดว่าป่านนี้ทั้งใบหน้าคง แดงเถือกไปหมดแล้ว “สาบานว่าเราไม่ได้มีเจตนาจะพูดอะไรไม่ดี เธอต้องเชื่อเรานะ” ดวงตาเรียวกวาดมองใบหน้าฉัน ปลายนิ้วยกแตะสัมผัสแก้ม ก่อนจะวางฝ่ามือลงแล้วบีบเบา ๆ ฉันเผลอกลั้นหายใจตอนปืนโน้มใบหน้าลงมาหา[ Special Puen Talks ] “ต้องเชื่ออยู่แล้ว ก็เรากินกันมาด้วยกัน”“ปืน!” ผมยิ้มขำเมื่อพริกหวานน้อยแผดเสียงในระดับที่ไม่ได้สร้างความรำคาญให้คนอื่นข่มขู่ผมให้สงบปาก ก่อนจะสะบัดหน้าหนีผมไปอีกทางด้วยความโมโห หรืออายก็ไม่รู้ แต่ผมเดาว่าน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่าอย่างแรกนะ แก้มแดง หูแดงแบบนั้นให้เดาเป็นอื่นไม่ได้จริง ๆ“เอาน่า เดี๋ยวปืนพาไปกินชานมไข่มุกที่ดื้ออยากกิน”“หยุดพูดถึงเรื่องของกินสักทีได้ไหม”“ถ้าไม่กินชานมแล้วกินไรดี บิงซูหรือว่าเค้กดี ?” ผมแกล้งทำหูทวนลมโน้มตัวลงมาอยู่ในระดับเดียวกันกับใบหน้าคนกำลังหัวฟัดหัวเหวี่ยงอีกครั้ง พริกหวานน้อยทำปากขมุบขมิบก่อนจะกัดริมฝีปาก พลางใช้หางตามองผมแวบหนึ่ง ท่าทางไม่พอใจที่พาดผ
3:15 PMตอนนี้ฉันกับปืนนั่งอยู่ในโรงภาพยนตร์ และในอ้อมกอดของฉันมีป๊อปคอร์นรสหวานขนาด 64 ออนซ์ที่กินได้ไม่ถึงครึ่งแนบอกอยู่ 1 กล่อง คนที่บอกอยากดูหนังแอคชั่นสัญชาติอเมริกันเรื่องล่าสุดที่เพิ่งเข้าโรงมาได้ไม่กี่วัน ซึ่งไม่ใช่ฉันผู้ซึ่งไม่อินกับหนังแนวที่เท่าไรกลับหลับตาพริ้มไปตั้งแต่ตอนไหนฉันก็ไม่แน่ใจเท่าไร คือหันมาอีกทีปืนก็เข้าฌานถอดวิญญาณไปเข้าเฝ้าพระอินทร์แล้วเรียบร้อย ขนาดว่าเสียงลำโพงรอบด้านส่งเสียงอึกทึกครึกโครมขนาดนั้นยังหลับได้สบาย อาการนี้ไม่ง่วงจัดก็เพลียจัดฉันจะชักมือของตัวเองออกจากอุ้งมือของปืนแต่ชักออก ไม่สำเร็จ ขนาดว่าหลับลึกนะนั่น เขาจับไว้ตั้งแต่เดินออกมาจากร้านอาหาร เรื่องของเรื่องคือฉันเดินสะดุดอะไรสักอย่างซึ่งปืนหันมาเห็นในจังหวะนั้นเข้าพอดีเลยคว้าไปจับไว้ จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่ปล่อย และตอนนี้ก็ไม่ใช่แค่มือแล้วที่เกี่ยวประสานกันเอาไว้แน่นหนึบ หัวเขาก็เอนมาซบอยู่ที่ไหล่ฉันต่างหมอน ลมหายใจอบอุ่นเป่ารินรดอยู่แถวซอกคอเป็นจังหวะสม่ำเสมอคือจั๊กจี้แหละและในขณะเดียวกันก็รู้สึกอุ่นซ่านอย่างน่าประหลาด และในเมื่อทำอะไรไม่ได้ จะผลักก็เกรงใจ เมื่อยก็ต้องอดทน ขยับตัวทีก็กลัวว่าค
คนรีบที่บอกอีกหนึ่งชั่วโมงเจอกันมาถึงหน้าหอฉันก่อนเวลานัดตั้งสิบห้านาที เดินฝ่าแดดเปรี้ยง ๆ ออกมาจากประตูรั้วก็เห็น BMW คันเดิมของปืนจอดเด่นเป็นสง่าอยู่ริมฟุตบาธในฝั่งตรงข้าม ใครสัญจรผ่านไปมาเห็นล้วนเหลียวมองความงามซ้ำสองกันทั้งนั้น กลับกัน ถ้าเป็นฉันที่ไม่รู้จักกับคนในรถฉันก็ชื่นชม และคงมีความคิดที่อยากจะเห็นโฉมหน้าผู้เป็นเจ้าของเหมือนสาว ๆ กลุ่มที่เพิ่งเดินผ่านไปเหมือนกันแหละกระจกฝั่งคนนั่งเปิดลงเมื่อฉันข้ามถนนมา ปืนชะโงกหน้าบอกให้ฉันรีบขึ้นรถเพราะอากาศข้างนอกมันร้อนจัด ภาวนาอยู่นี่ ขอให้คำพยากรณ์ที่กรมอุตุฯ ออกประกาศไว้เมื่อสองวันก่อนเป็นความจริง ที่ว่ากรุงเทพฯ จะหนาว อุณหภูมิจะลดลงเหลือสิบกว่าองศาในช่วงเดือนธันวาคม ซึ่งเหลืออีกเดือนกว่า ๆ เหมือนจะไม่นานแต่ ก็นานอยู่ดี “หือ”“ใจเราตรงกัน” ปืนคงเดาได้ว่าฉันจะพูดอะไร ซึ่งฉันก็ไม่เถียง“นั่นน่ะสิ” ก่อนออกจากห้องมาฉันเปลี่ยนจากเสื้อยืดกลางเก่ากลางใหม่ มาใส่เสื้อโปโลสีขาวเพื่อไม่ให้ตัวเองดูหม่นหมองเกินไปเมื่อเดินกับปืน พ่อหนุ่มออร่าฟุ้ง กางเกงก็ขาสั้นสีขาวตัวเดิม ตัวนี้เพิ่งซื้อ ใส่ครั้งนี้ครั้งที่สองเอง รองเท้าก็เลือกใส่รองเท้าผ้าใบ
“เมื่อคืนปืนขับรถกลับคอนโดฯ เอง”“ทำไมประมาทแบบนั้นล่ะปืน” ฉันถามเสียงเข้มออกไปทันที ไปตั้งแต่สามทุ่มกลับถึงห้องตอนตีสามกว่าเนี่ยนะ ถ้าเป็นอย่างนี้ ทุกวันตับคงแข็งตายก่อนวัยอันควร อยากจะถามจริง ๆ ว่าเขารักตัวเองบ้างไหม“ประมาทยังไง” ยังจะกล้าถามฉันอีกว่าประมาทยังไง“ดื่มแอลกอฮอล์แล้วขับรถกลับที่พักตอนตีสามตีสี่ไม่เรียกประมาทได้ยังไงล่ะ เมาด้วยรึเปล่าก็ไม่รู้” ฉันว่าพลางถลึงตาดุใส่ คนหน้าเป็นปืนหันมายิ้มแล้วยื่นนิ้วมาจิ้มแก้มฉัน ซึ่งนาทีนี้ฉันไม่อยู่ในอารมณ์อยากจะเล่นเลยปัดมือเขาออกอย่างไม่ไยดี ฉันรู้ตัวนะว่าไม่ควรเสียงแข็งใส่ปืน หรือแสดงความไม่พอใจอะไรออกมามากเกินควร เพราะนั่นคือชีวิตเขา แต่ฉันห้ามอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ ฉันอินเรื่องอุบัติเหตุมากก็เพราะเสพข่าวทุกวัน ฉันเป็นห่วงปืน เป็นห่วงความปลอดภัยของผู้ชายคนนี้มากจนน่าตกใจ ทั้งที่เขากับฉันเราเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน และไม่รู้ว่าเมื่อไรด้วยเหมือนกันที่เขาเริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตชนิดที่ฉันคาดไม่ถึง กับเพื่อนคนอื่น ๆ ฉันยังไม่เคยรู้สึกวิตกอะไรขนาดนี้เลยเอาจริง ๆ “เมื่อคืนปืนไม่เมา เหล้าแทบไม่ได้แตะสาบานได้”ฉันมุ่นคิ้ว ส่งผ่านคำว่าจริง