หนึ่งวันหลังจากวาววาเจอชายนิรนามบนเตียงเดียวกับเธอ
คอนโดมีเนียมใจกลางกรุงสูงเด่นสง่าภายใต้แสงดาวระยิบระยับท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืนอันมืดสนิท
เรียวขาเล็กก้าวออกมาจากอ่างอาบน้ำหินอ่อนเย็นฉ่ำ ราวกับปลุกความสดชื่นจากความรู้สึกอ่อนล้าที่นั่งรวบรวมข้อมูลนิยายสุดรักของเธอมาทั้งวัน ร่างกายที่เคยอ่อนเพลียกลับเปล่งประกายสดใส มีชีวิตชีวาอีกครั้ง
วาววาใช้ผ้าขนหนูสีขาวโอบล้อมร่างกายอันเพรียวบางไว้ ก่อนจะเปิดประตูและก้าวออกมาจากห้องอาบน้ำ
“นึกว่าตายในห้องน้ำแล้ว นานมาก!”
“กรี๊ดดดดด!!!”
ปั่ก!!
ท่ามกลางความเงียบสงัด เสียงทุ้มต่ำกังวานดังก้องขึ้นอย่างกะทันหัน วาววาแทบตั้งตัวไม่ทัน
ร่างสูงโปร่งปรากฏกายอยู่ตรงหน้าประตู แววตาสีเลือดฉานจ้องมองเธอ พาความทรงจำอันเลือนรางถึงชายแปลกหน้าที่เคยบุกเข้ามาในห้องวันก่อนหวนกลับมาหลอกหลอนอีกครั้ง
วาววาตกใจสุดขีด ตะโกนกรีดร้องพร้อมถอยหลังจนล้มก้นจ้ำบ๊ะบนพื้นในห้องน้ำ
“แกเป็นใคร!? ออกไปปป!!”
ชายหนุ่มยืนนิ่ง ไร้ซึ่งคำตอบใดๆ เขาแค่เพียงจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยแววตาว่างเปล่าเท่านั้น
"ไอบ้านี่!" วาววาตะโกนซ้ำอีกครั้ง น้ำเสียงสั่นเครือด้วยความกลัว เธอพยายามทรงตัวลุกขึ้นหลังจากล้มไปเมื่อครู่ ร่างกายยังสั่นเทาด้วยความตกใจและหวาดระแวง
แต่ชายหนุ่มตรงหน้ากลับยังคงยืนนิ่ง ไม่ได้แสดงท่าทีคุกคามใดๆ เพียงแค่จ้องมองเธอด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดาเท่านั้น
วาววาฝืนร่างกายที่ยังเจ็บจากการล้มเพื่อลุกขึ้นยืน ดวงตาของวาววาเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัว ด้วยสัญชาตญาณปกป้องตนเอง เธอพยายามผลักประตูปิดใส่หน้าร่างสูงตรงหน้า แต่...
พลึบ!
ฝ่ามือซีดเผือดของเขาเอื้อมขึ้นขัดขวางไม่ให้วาววาปิดประตูได้สำเร็จ
“ออกกกไปปปปป!!!” ร่างเล็กที่ถูกห่อหุ้มด้วยผ้าขนหนูเพียงผืนเดียวแผดเสียงร้องพร้อมกับใช้แรงทั้งหมดที่เธอมีดันประตูสู้กับแรงของชายหนุ่มที่พยายามขัดขวางการกระทำของเธอ
“มาคุยกันหน่อย” ริมฝีปากบางเฉียบขยับเอ่ยคำพูดออกมา เสียงทุ้มต่ำแฝงไปด้วยความเยือกเย็น
“คุยอะไรล่ะ ฉันไม่รู้จักกับคุณ!!!” วาววากล่าวเสียงแข็งกร้าว พร้อมกับยังคงออกแรงดันประตูไม่ลดละ
“วาววา”
เสียงที่เขาเอ่ยเรียกชื่อเธอออกมา ทำให้มือน้อยที่กำลังผลักประตูชะงักงันไปชั่วขณะ สมองอันเฉียบแหลมฉุกคิดขึ้นมาในทันทีว่า ชายหนุ่มแปลกหน้าผู้นี้รู้จักชื่อเธอได้อย่างไร แต่แล้วเธอก็รีบตักเตือนตัวเอง บางทีโจรโรคจิตสมัยนี้ก็อาจจะสืบหาข้อมูลเหยื่อก่อนลงมือก็เป็นได้
ปัง!!
สำเร็จ...ในที่สุดวาววาก็ออกแรงทุ่มสุดตัวเพื่อปิดประตูจนได้
เธอมุ่งมั่นรีบเร่งล็อคกลอนประตูอย่างว่องไว ราวกับว่าการกระทำนี้คือความหวังเดียวที่เหลืออยู่ การปิดกั้นโลกภายนอกไว้ชั่วครู่ ช่วยให้เธอมีเวลาหายใจและตั้งสติ หาอุปกรณ์ป้องกันตัวที่พอมีอยู่ในห้องน้ำแห่งนี้
“อะไรดีนะๆ...” เธอพึมพำพร้อมกวาดสายตามองรอบๆหาสิ่งที่จะช่วยเธอป้องกันตัวเองได้บ้าง
สายตาของเธอหยุดนิ่งที่แปรงขัดส้วมใกล้ๆ
“นี่แหละ!!!”
ก็อก! ก็อก! ก็อก!
“จะออกมาคุยกันดีๆหรือจะให้พังประตูเข้าไป!?”
เขาถามน้ำเสียงเรียบนิ่งราวกับไม่มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น
ผิดกับวาววา ที่ได้แต่ยืนสูดหายใจเข้าลึกๆอยู่หลังประตู รวบรวมทั้งสติและพละกำลัง หัวใจของเธอเต้นรัวด้วยความกลัว แต่เธอก็พยายามตั้งสติ คิดหาทางออกจากสถานการณ์อันเลวร้ายนี้
‘แกเข้ามา...ฉันจะเอาไอนี่ตีหน้า พอแกร้อง...ฉันจะเอาไอนี่ยัดใส่ปาก คอยดู!’ วาววานึกคิดวิธีการเอาตัวรอดในใจ
“คุณก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าผมไม่ใช่มนุษย์ แค่สะกิดกลอนกระจอกๆนี่นิดเดียวก็พังกระจุยแล้ว” เขาขู่ด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
คำว่า ‘ไม่ใช่มนุษย์’ ทำให้คนฟังถึงกับชะงักงันไปชั่วครู่ ฉุกคิดเหตุการณ์เมื่อวานที่เธอตื่นขึ้นมาพบกับชายผู้นี้นอนอยู่ข้างๆ บนเตียงของเธอ
ทว่าสิ่งที่ทำให้เธอตกตะลึงยิ่งกว่าคือคำพูดแปลกๆ และการกระทำที่ไร้เหตุผลของเขา ด้วยการที่เขากระโจนลงจากคอนโดมิเนียมชั้น 26 ของเธอ
แกร๊ก!!!
สายตาคู่สวยเหลือบมองต่ำตามเสียง จู่ๆ แท่นจับประตูห้องน้ำหลุดออกจากตัวประตูอย่างง่ายดาย ทั้งที่มันควรจะใช้แรงมหาศาลหรือเครื่องมืออย่างดีมาไขออกด้วยซ้ำ และแล้ว...ประตูห้องน้ำค่อยๆ แง้มเปิดออกทีละน้อย
“ย้ากกก!!!”
เธอไม่รอช้า ตัดสินใจลงมือโจมตีก่อนในขณะที่ชายผู้คนนั้นยังตั้งตัวไม่ทัน แขนเล็กเหวี่ยงไม้ขัดส้วมในมือฟาดฟันไปที่ใบหน้าของเขาอย่างเต็มแรง
พลั่ก!
ฝ่ามือหนาคว้าขัดเธอไว้ได้ทัน ดวงตาสีเลือดเพลิงจ้องมองหญิงสาวตรงหน้า ราวกับต้องการเผาเธอให้มอดไหม้ บ่งบอกให้เธอรู้ว่าการกระทำของเธอไร้ผล
“เหลือเชื่อ! จะเอาไอนี่มาตีหน้าหล่อๆของผมเนี่ยนะ!?”
“โอ๊ย!”
ตุ่บ!
ข้อมือของวาววาถูกเขาบีบจนต้องคลายไม้ขัดส้วมที่กำไว้แน่นออกจนมันร่วงลงพื้น
“อุตส่าห์พูดด้วยดีๆแล้ว ว่าแค่อยากจะมาคุยด้วย...ไม่ฟังแบบนี้ ดูดเลือดให้ตายซะเลยดีไหม!?”
“ไอโรคจิต!!!”
เสียงคำรามอันน่าหวาดหวั่นดังก้องกังวาน ชายหนุ่มเผยเขี้ยวแวมไพร์แหลมคม ส่งเสียงขู่ฟ่อใส่หญิงสาวจนเธอต้องหลับตาแน่นด้วยความหวาดกลัว พยายามดิ้นรนสุดแรงเกิดเพื่อปลดปล่อยข้อมือที่ถูกเขาคว้าไว้แน่น แต่ไร้ผล
“กลัวผมหรือไง?” รอยยิ้มเยาะเย้ยปรากฏบนใบหน้าคมเข้ม “ถ้าไม่อยากโดนกัดตายก็ตอบคำถามผมมา”
“ค..คำถามอะไร เราไม่รู้จักกันซักหน่อย!!”
“ไม่รู้จัก...งั้นเหรอ?” เสียงหัวเราะหึในลำคอของเขา แม้จะเบาจนแทบไม่ได้ยินเสียงแต่ก็ทำให้วาววารู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาได้
เธอไม่เข้าใจว่าเขาต้องการอะไร ทั้งๆที่ไม่รู้จักกันเสียหน่อย แต่ทำไมเขาถึงทำท่าทางว่ารู้จักกับเธอ
“ผมแค่จะถามคุณว่า คุณรู้ไหมว่าอันนาอยู่ไหน?”
“อันนา...?” วาววาขมวดคิ้วจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความสับสนและสงสัย
ณ วินาทีนี้เองที่วาววาจ้องมองใบหน้าชายแปลกหน้าอย่างเพ่งพินิจ รายละเอียดอันชัดเจนค่อยๆ ปรากฏต่อสายตา
รูปหน้าคมคายดั่งลูกครึ่ง จมูกโด่งเป็นสัน ชวนให้จดจำ ดวงตาสีแดงก่ำที่ดูแปลกและน่ากลัวแต่ก็น่าดึงดูด ผิวขาวซีดเผยให้เห็นเส้นเลือดแดงระเรื่อ ออร่าอันน่าค้นหาแผ่กระจายไปทั่ว
หากการพบเจอกันของเขากับเธอเป็นไปอย่างเรียบง่าย วาววาก็คงเอ่ยออกมาได้อย่างเต็มปากว่า ชายแปลกหน้าผู้นี้รูปงามดั่งเทพบุตร
"จะแกล้งทำเป็นไม่รู้ไปอีกนานแค่ไหนกัน!" เขาเอ่ยเสียงที่เริ่มปะปนความหงุดหงิดเข้ามา
“แล้วทำไมคุณถึงคิดว่าฉันต้องรู้ล่ะ?” วาววาเอ่ยถามเสียงเบา เหงื่อเม็ดเล็กๆ ไหลไหลรินลงตามกรอบหน้า ใจของเธอเต้นรัวด้วยความกลัว
“เพราะคุณคือวาววา”
“คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันชื่อวาววา?” วาววาเอ่ยถาม น้ำเสียงของเธอแฝงไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่พร้อมกันนั้นก็แฝงไว้ด้วยความกังวลใจต่อการกระทำของเขาเช่นกัน
“ถ้าคุณไม่ใช่วาววาแล้วคุณคือใคร?” น้ำเสียงของเขาต่ำลง
“ฉันเหรอ...ฉะ..ฉันชื่อ...เอ่อ..ส้มเปรี้ยว ใช่ฉันคือส้มเปรี้ยว ไม่ใช่วาววา”
สัญชาตญาณเอาตัวรอดผลักดันให้เธอปั้นชื่อปลอมขึ้นมาอย่างฉับพลัน หากบอกว่าเธอไม่ใช่คนที่เขาตามหา คงจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดที่จะทำให้ชายแปลกหน้าผู้นี้หันหลังกลับและเดินจากไป
เธอพยายามดิ้นรนขัดขืน แต่แรงบีบจากมือของเขาแน่นหนาจนแทบไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความอึดอัด วาววาไม่รู้ว่าชายหนุ่มตรงหน้าต้องการอะไร แต่สัญชาตญาณบอกเธอว่าเขาอันตราย
“หึ! ส้มเปรี้ยวงั้นเหรอ?”
“ช..ใช่ ฉันชื่อส้มเปรี้ยว” วาววาพยายามบีบเสียงให้ฟังดูจริงจัง ทั้งที่ในใจเต้นรัวจนแทบจะทะลุอกออกมา
“ยืนยันว่าชื่อส้มเปรี้ยว?” เขาถามย้ำด้วยน้ำเสียงต่ำและห้วนอีกครั้ง
“ใช่! ฉัน..ส้มเปรี้ยว”
ชายตรงหน้ายิ้มเยาะในลำคอ ก่อนจะกลับมาจ้องมองเธอด้วยสายตาจริงจัง
“คุณรู้ไหมในโลกนี้นอกจากอันนาแล้ว ก็มีแค่วาววา...น้องสาวของอันนาที่ผมจะไว้ชีวิต ถ้าหากคุณไม่ใช่วาววา แต่ชื่อส้มเปรี้ยว...ก็คงไม่มีเหตุผลที่ผมจะหาคำตอบอะไรอีก ขอโทษที...ความลับของการเป็นแวมไพร์จะไม่ถูกเปิดเผย”
ชายผู้เรียกตัวเองว่าแวมไพร์แยกเขี้ยวแหลมคมทั้งสองข้าง เสียงขู่คำรามดังก้อง เตรียมพร้อมที่จะดูดเลือดอันแสนหวานของหญิงสาวอย่างโหดเหี้ยม ไร้ซึ่งความปราณี
“เดี๋ยวววว!!”
วาววากรีดร้องอย่างไม่คิดชีวิต แต่ทว่าเสียงร้องอันแหลมสูงของเธอกลับไร้ซึ่งผู้ได้ยิน ห้องในคอนโดหรูใจกลางเมืองของเธอนี้ถูกออกแบบมาเพื่อเก็บกักเสียงทั้งภายในและป้องกันเสียงจากภายนอกมารบกวนเธอโดยเฉพาะ
“สรุปชื่อวาววาหรือส้มเปรี้ยว?”
“สะ..สมมุตว่าฉันชื่อวาววา แล้ว...คุณจะถามอะไรคนชื่อวาววาล่ะ!?” วาววาตอบกลับอย่างฉับไว
“ตกลงคุณชื่อวาววา...หรือส้มเปรี้ยว!!” เขาถามย้ำ
“สองชื่อ!...ฉันชื่อวาววาแล้วก็...ส้มเปรี้ยว..ด้วย” เธอตอบเท็จกลบเกลื่อน
เสียงถอนหายใจยาวเหยียดของคนได้ฟังคำตอบ ดูเหมือนเขาจะเหนื่อยหน่ายกับสถานการณ์นี้เสียจริง
“ฟังนะ...ผมแค่อยากถามคุณ คุณรู้ไหมว่าอันนาอยู่ที่ไหน?”
“ฉัน...ไม่รู้จักคนชื่ออันนา” วาววาตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“อันนา...พี่สาวของคุณน่ะ...คุณวาววา” สายตาคมกริบของเขาจ้องตรงมายังเธอ
“พี่สาวฉันชื่อวีวี่”
ชายแปลกหน้าผู้นี้ขมวดคิ้วแน่น ราวกับกำลังกลั้นความไม่พอใจเอาไว้
“คุณรู้จักชื่อฉันได้ยังไง?” วาววาเอ่ยถามด้วยความแผ่วเบา อย่างไรแล้วเธอยังคงความกลัวชายร่างสูงตรงหน้าอยู่
“คุณบอกผม”
“หา!?” วาววาแทบไม่เชื่อหูตัวเอง
“เมื่อวานที่ผมตื่นมาแล้วอยู่ในห้องนี้ ผมถามว่าคุณเป็นใคร คุณตอบผมว่าคุณชื่อวาววา”
ความทรงจำเมื่อวานตอนเช้าของวาววาฉายแวบขึ้นมาในหัวอีกครั้ง เธอจำได้ว่าตอนแรกเธอกลัวมาก คิดว่าเขาอาจจะมาทำร้ายเธอด้วยคำถามที่ว่า ‘แกเป็นใคร’ สัญชาตญาณของเธอจำต้องรีบพูดชื่อตัวเองออกไปว่า ‘วาววา...’
หรือชายหนุ่มตรงหน้าเธอคือแวมไพร์ ตัวละครในนิยายที่เธอยังเขียนไม่จบ แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร? ตัวละครในนิยายจะออกมาจากนิยายได้จริงหรือ?
ฝ่ามือแกร่งคลายการกักขังข้อมือเล็กของวาววาอย่างแผ่วเบา มอบอิสรภาพคืนให้เธอ
“เพราะคุณคือวาววา ผมเลยจะหาคำตอบจากคุณ ว่าอันนาอยู่ที่ไหน?”
“คุณ...เป็นแวมไพร์เหรอ?” วาววาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เธอรู้ดีว่ามันคงเป็นคำถามไร้สาระ แต่จากรูปร่างหน้าตาที่มีเขี้ยวและดวงตาสีแดงเพลิง ไหนจะการกระทำที่กระโดดลงไปจากระเบียงห้องชั้น 26 นี้ มันก็ทำให้เธอนึกถึงพระเอกในนิยายที่เธอเขียนขึ้นมา
“ผมคิดว่าคุณรู้เรื่องนี้อยู่แล้วนะ”
“คุณคือ...” วาววาเอ่ยถามเขาด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับกลัวคำตอบที่จะได้ยิน “คุณเชนทร์เหรอ?” เธอเอ่ยถามเขาด้วยชื่อที่คุ้นเคยจากตัวละครเอกในนิยายของเธอ
“ใช่...ผมเชนทร์”
วาววาเบิกตากว้างจ้องมองเขาด้วยความงุนงง แต่ก็ไม่ยอมลดละที่จะถามคำถามเพื่อยืนยันตัวตนเขาอีกครั้ง
“คุณอ็องเดร อายุมนุษย์ 20 ปี แต่เป็นแวมไพร์มาแล้ว 357ปี...”
ชายร่างสูงโปร่ง ผิวขาวซีดตรงหน้า จ้องมองวาววาอย่างพินิจพิเคราะห์ด้วยสายตาประหลาดใจ เขาเก็บงำชื่อเดิมของเขาไว้เป็นความลับ ไม่เคยบอกใครมาก่อน แต่ทำไมเธอถึงรู้เรื่องนี้ได้
“ผมว่าผมไม่ได้บอกชื่อนี้กับอันนานะ...คุณรู้ได้ยังไง?”
“ก่อนที่ฉันจะตอบคุณเรื่องอันนา ช่วยพิสูจน์อะไรให้ฉันอย่างหนึ่งได้ไหม?” วาววาถาม
“อะไร?”
“ว่าคุณคือแวมไพร์จริงๆ”
ชายหนุ่มเบือนหน้าหนีไปชั่วครู่ รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยกับคำถามซ้ำๆ ซากๆ ของหญิงสาวตรงหน้า
สายตาของเขาเหลือบไปเห็นมีดคัตเตอร์ที่วางอยู่บนโต๊ะ เขาคว้ามันขึ้นมา ก่อนจะยกแขนขึ้นและกรีดลงบนผิวหนังของตัวเองอย่างว่องไว
วาววารีบหลับตาลงทันทีที่เห็นการกระทำอันหวาดเสียดังกล่าว เธอไม่คาดคิดว่าเขาจะพิสูจน์ตัวเองด้วยวิธีนี้
“ลืมตาสิ! ก็บอกอยากให้พิสูจน์” เขาท้วง
“แล้วจะทำอะไรน่าหวาดเสียวแบบนี้ทำไมล่ะ!”
วาววาค่อยๆลืมตากลับมาดูการพิสูจน์ตัวตนของเขาทีละนิด บาดแผลบนแขนที่เคยกรีดด้วยมีดคัตเตอร์เริ่มเลือนหาย กลายเป็นผิวหนังเรียบเนียนราวกับไม่เคยเกิดบาดแผลมาก่อน
เธอเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง ความรู้สึกระหว่างความจริงและความฝันปะปนตีกันมั่วซั่ว
ตัวละครในจินตนาการของเธอ ปรากฏตัวมีชีวิตจริงตรงหน้า ร่างกายของเขาสมจริงราวกับหลุดออกมาจากหนังสือ ทุกรายละเอียดที่เธอบรรจงเขียน ตอนนี้ได้อยู่บนตัวของชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอทั้งหมด
“เอาล่ะ สรุปว่ารู้ใช่ไหมว่าอันนาอยู่ไหน?” เขาเอ่ยถามคำถามที่เป็นจุดมุ่งหมายในการมาเจอเธอในวันนี้
“ถ้าบอกแล้วคุณจะเชื่อฉันไหม...?”
“บอกมาสักทีเถอะ”
“จริงๆแล้วอันนา...คือ...”
วาววาตอบด้วยน้ำเสียงเบา แววตาสีแดงก่ำของเชนทร์ แวมไพร์หนุ่มรูปงามจ้องมองเธออย่างตั้งใจ ราวกับต้องการคำตอบจากเธออย่างใจจดใจจ่อ
“อันนากับคุณคือตัวละครในนิยายที่ฉันสร้างขึ้นมา...”
---------- ...นิยายของวาววา... ... ณ ร้านอาหารเล็กๆแห่งหนึ่ง มีโต๊ะไม้สีอ่อนเรียงรายรองรับลูกค้าประมาณ 10-12 โต๊ะ ร้านอาหารแห่งนี้เป็นร้านอาหารไทยโบราณ รสชาติไทยๆที่รังสรรค์โดยครอบครัวที่อบอุ่น คุณพ่อยืนอยู่หน้าร้านคอยต้อนรับแขกและรับออเดอร์ด้วยรอยยิ้ม คุณแม่วุ่นวายอยู่ในครัวปรุงอาหารด้วยความพิถีพิถัน ส่วนลูกสาวคนเล็กกำลังช่วยยกจานอาหารเสิร์ฟตามโต๊ะต่างๆ “สวัสดีครับ อ้าว...อันนาลูก” รอยยิ้มของพ่อฉายแววอบอุ่นยามต้อนรับลูกค้าที่หน้าร้าน แต่เมื่อสายตาเหลือบเห็นใบหน้าคุ้นเคยของลูกสาวคนโตที่ยืนเคียงข้างชายหนุ่มรูปงาม ความประหลาดใจก็พลันปรากฏบนใบหน้า “พาใครมาด้วยล่ะลูก?” คนเป็นพ่อเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “นี่คุณเชนทร์ค่ะ เขาอยากมาชิมฝีมือคุณแม่” อันนาตอบชายผู้เป็นพ่อก่อนจะหันไปหาเชนทร์เพื่อแนะนำให้เขาได้รู้จักผู้ชายคนสำคัญอีกหนึ่งคนในชีวิตของเธอ “นี่พ่อของอันนาเองค่ะ” “สวัสดีครับ” เชนทร์ยกมือไหว้ทักทายคนเป็นผู้ใหญ่อย่างนอบน้อม ใบหน้าคมคายสไตล์ลูกครึ่งยามประสานมือไหว้แบบไทยๆ ยิ่งเผยเสน่ห์น่าเอ็นดูเป็นทวีคูณ “ใครเหรอพี่อันนา?” เสียงแหลมใสดังแท
สองเท้าก้าวฉับๆ วาววารีบเร่งมุ่งหน้าสู่ห้องทำงาน ในวันนี้เธอปรากฏตัวในชุดที่เรียบหรู สะท้อนรสนิยมสไตล์ Old Money อย่างมีระดับบรรยากาศวันนี้ช่างแตกต่างจากทุกๆ วัน ความอึดอัดปกคลุมไปด้วยความสงสัย พนักงานในบริษัทต่างจับจ้องไปที่ชายหนุ่มรูปงามผู้ปรากฏตัวขึ้นราวกับเป็นเงาเดินตามติดวาววาไปทุกที่พลึบ!วาววาวางของที่เธอถือติดตัวมาไว้ข้างโต๊ะทำงานของเธอ ในห้องกว้างใหญ่ ตกแต่งอย่างหรูหรา สะท้อนถึงสถานะผู้บริหารระดับสูง เธอหยิบแฟ้มเอกสารบนโต๊ะขึ้นมาตรวจดูโดยไม่สนใจเชนทร์ที่เดินตามเธอเข้ามาในห้องนี้ด้วยแม้แต่น้อยก๊อก ก๊อก ก๊อกเสียงเคาะประตูดังขึ้น มีนาเลขาสาวสวยของเธอเดินเข้ามา"สวัสดีค่ะคุณวา" มีนากล่าวทักทายเสียงหวาน ปลายตามองชายร่างสูงโปร่ง หน้าคมเข้มสไตล์ลูกครึ่งยืนนิ่งสง่างามในชุดสีดำสนิท สร้างความสับสนให้เธอไม่น้อย“นี่คุณราเชนทร์ ให้เขารอในห้องระหว่างที่วาประชุมก็ได้ค่ะ” วาววาอธิบาย “ไม่ต้องเตรียมกาแฟหรือเครื่องดื่มใดๆ นะคะ คุณราเชนทร์แจ้งว่าไม่ชอบดื่มกาแฟช่วงเช้า”เธอรีบพูดดักเลขาของเธอ พยายามหาข้ออ้างเพื่อรักษาระยะห่างของเลขาคนสวยจากชายหนุ่มแวมไพร์ตรงหน้าอย่างไรเสีย ก็เพื่อความปลอดภั
หลังจากการประชุมอันวุ่นวายในช่วงเช้าสิ้นสุดลงและพนักงานได้ทยอยเดินกลับไปยังโต๊ะทำงานของตนแล้ว ในประชุมขนาดใหญ่นี้เหลือเพียงเจ้าของบริษัทนั่งผ่อนคลายพิงเก้าอี้ในตำแหน่งประธาน ประกบข้างด้วยเหล่าผู้บริหารระดับสูงหญิงสาววัยกลางคน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ หรือ COO เธอมักยิ้มอย่างภาคภูมิใจเมื่อได้เห็นลูกสาวทั้งสองของเธอเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพ‘วีวี่’ หรือ วีรยา รัตนพิพัฒน์วงศ์ อายุ 34 ปี พี่สาวของวาววา ปัจจุบันเธอรับตำแหน่ง “CFO” หรือ “Chief Financial Officer” ภายนอกเธอดูเรียบร้อย สุขุม เยือกเย็น แต่แฝงไว้ด้วยไหวพริบและความเฉลียวฉลาดและทายาทคนสุดท้อง ‘วาววา’ วารีริน รัตนพิพัฒน์วงศ์ ด้วยวัยเพียง 27 ปี เธอไม่ได้มีแต่ความสวยเฉิดฉาย แต่ยังมากด้วยความสามารถ เธอดำรงตำแหน่ง CMO ผู้กุมบังเหียนกลยุทธ์การตลาดของบริษัท“พ่อกับแม่จะไปทริปกันนานแค่ไหนคะ?” วาววาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกังวล ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของเธอจ้องม
ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม เฉดสีม่วงเข้มค่อยๆ แผ่ขยายปกคลุมฟากฟ้า แสงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า ทิ้งไว้เพียงแสงจันทร์อ่อนๆ สาดส่องลงมายามค่ำคืนภายในร้านอาหารสุดหรู ตกแต่งอย่างมีรสนิยม สร้างบรรยากาศโรแมนติก บทเพลงบรรเลงคลอเคลียไปกับสายลมเย็นๆ พัดผ่าน วิวแม่น้ำเจ้าพระยา ทอประกายระยิบระยับยามค่ำคืน แสงไฟจากตึกสูงระฟ้าสะท้อนลงบนผิวน้ำแสงเทียนสลัวส่องสว่างบนใบหน้าของชายหญิงคู่หนึ่งที่กำลังนั่งดินเนอร์บนโต๊ะริมระเบียง ทั้งสองดูมีความสุขกับดินเนอร์มื้อนี้ ชายหนุ่มมองหญิงสาวด้วยสายตาหยาดเยิ้มก่อนจะเอื้อมมือไปสัมผัสฝ่ามือหญิงสาวที่วางบนโต๊ะอย่างนุ่มนวลห่างไปไม่ไกลนัก วาววาและมิเกลยืนซุ่มมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กระซิบกระซาบคุยกัน เบาๆ"เตรียมตัวให้พร้อม!" มิเกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น พร้อมกับยื่นคีย์การ์ดห้องโรงแรมให้เพื่อนรัก&nb
ณ ห้องทำงานของวาววาเธอเริ่มต้นวันใหม่เปี่ยมไปด้วยความสดใส เมื่อคืนเธอนอนหลับเต็มอิ่มเพราะไร้การรบกวนจากแวมไพร์ และเธอก็เชื่อว่ากระเทียมที่เธอได้แขวนรอบหน้าต่างและประตูระเบียงพวกนั้นช่วยป้องกันไม่ให้แวมไพร์เชนทร์เข้ามาในห้องของเธอได้ปลายปากกาของเธอขยับไปมาอย่างรวดเร็วบนกระดาษ ลายเซ็นของผู้บริหารระดับสูงตวัดบนเอกสารแต่ละฉบับอย่างสวยงาม“จะว่าไป...”ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจของวาววาอย่างฉับพลัน“ถ้าเขาคือแวมไพร์ที่หลุดออกมาจากนิยายที่ฉันเขียน...มันจะเชื่อมโยงกับตอนที่ฉันไปร้านคาเฟ่นั่นแล้วไฟดับหรือเปล่านะ...?”ความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์ในค่ำคืนนั้นหลั่งไหลกลับมาอีกครั้ง“ภาพหน้าปกนิยายที่เป็นภาพแวมไพร์ก็หายไป...เนื้อหาในส่วนที่มีเชนทร์ ตอนนี้กลายเป็นตัวอักษรภาษาต่างด้าวที่อ่านไม่ออก...”เธอนิ่งคิดชั่วครู่...แสงสว่างแห่งไอเดียก็ปรากฏขึ้น เธอ
----------...นิยายของวาววา......ยามค่ำคืนโอบล้อม ดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า อันนากลับมาถึงบ้านอันอบอุ่น ชั้นล่างของบ้านหลังนี้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและกลิ่นหอมของอาหารเมื่อยามกลางวัน แต่ตอนนี้ร้านอาหารปิดแล้ว ความเงียบสงบปกคลุมทั่วทุกมุม เหลือเพียงแสงไฟสลัวๆ จากโซนเล็กๆหลังร้านพ่อและแม่ของเธอกำลังนั่งดูทีวี แสงไฟจากจอทีวีส่องสว่างใบหน้าของพวกเขา อันนากล่าวทักทายพวกท่านด้วยรอยยิ้มก่อนจะเดินขึ้นบันไดมุ่งสู่ห้องนอนของเธอ อันนา สาวสวยลูกครึ่ง ไทย-สวีเดน ดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อน เธออายุ 25 ปี มากกว่าวาววา 1 ปี เมื่อ 7 ปีก่อน หลังจากเธอสูญเสียพ่อแท้ๆ ไป ชีวิตของเธอก็พลิกผัน เมื่อแม่ของเธอตัด
วันเสาร์ แสงแดดยามเช้าในวันหยุดสุดสัปดาห์ สาดส่องผ่านหน้าต่างกระจกขนาดใหญ่ของห้องนอนบนคอนโดหรูกลางเมือง ลอดผ่านผ้าม่านบางๆ ลงมาแตะใบหน้าของ "วาววา" หญิงสาววัย 27 ปี กลิ่นหอมอ่อนๆ ของกาแฟคั่วบดจากเครื่องชงอัตโนมัติลอยแตะจมูกปลุกเธอให้ตื่นจากภวังค์ วาววาขยับตัวบนที่นอนนุ่มนิ่ม ลืมตาขึ้นมาอย่างง่วงเหงา ยืดเส้นยืดสายคลายความเมื่อยล้าจากการนอนหลับ เธอพลิกตัวไปอีกด้านโดยที่ยังหลับตาอยู่ มือของเธอสัมผัสกับวัตถุบางอย่างที่แข็งและเย็น "อ๊ะ!" วาววาตกใจ ลืมตาสลึมสลือขึ้นมาและมองไปที่วัตถุที่เธอสัมผัสเมื่อครู่ พบว่ามันคือหน้าอกกว้างๆ ของชายหนุ่ม! “กรี๊ดดด!!!” นัยน์ตาของเธอเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง หัวใจเต้นรัวจนแทบจะหลุดออกจากอก เขาคือใครกัน ทำไมเขาถึงมานอนอยู่บนเตียงเดียวกับเธอได้ พลึบ! เพราะเสียงร้องตะโกนด้วยความตกใจของวาววา ทำให้ชายหนุ่มที่หลับสนิทบนเตียงในชุดออลแบล็คลืมตาตื่นขึ้นด้วยความว่องไว ร่างกายของเขาพลิกตัวจากท่านอนลุกขึ้นยืนอย่างฉับพลัน ประหนึ่งสัญชาตญาณนักล่าถูกปลุกให้ตื่น นัยน์ตาแดงก่ำของเขาจ้องมองมายังต้นตอของเสียงร้อง และแยกเขี้ยวทั้งสองในปาก
เมื่อวาน (วันศุกร์) เวลา 19.00 น ณ ร้านคาเฟ่เล็กๆ ย่านราม 2 (วันก่อนที่วาววาจะตื่นมาแล้วพบชายนิรนามนอนอยู่ข้างกายเธอ) แกร้ก! ประตูคาเฟ่เล็กๆ บรรยากาศอบอุ่นแห่งนี้ถูกเปิดออก วาววาย่างก้าวเข้าไปด้านใน บรรยากาศภายในเงียบสงัดไร้ผู้คน แสงไฟวอร์มไลท์ค่อนข้างมืดสลัวสาดส่องลงมาที่โต๊ะและเก้าอี้รอต้อนรับลูกค้าไม่เกิน 5 ที่นั่ง ในขณะที่วาววากำลังกวาดสายตามองไปรอบๆ ร้าน ทันใดนั้น เสียงฟ้าผ่าจากด้านนอกก็ดังสนั่น ก้องกังวานไปทั่วท้องฟ้า แสงสว่างจ้า วาบผ่านหน้างต่างใสเพียงบานเดียวที่ร้านมี วาววาสะดุ้งตัวด้วยความตกใจ “อ๊ายยย!!!” ซู่... ไม่ทันไร เม็ดฝนก็เทกระหน่ำลงมาจากท้องฟ้าราวกับพายุเข้า “อ้าวแม่หนู...” เจ้าของร้านร่างท้วม ยิ้มแย้มแจ่มใส ท่าทางใจดีเดินออกมาจากหลังร้านเมื่อได้ยินเสียงร้องตกใจของวาววา “ท่าทางฝนจะตกหนัก นั่งหลบในร้านป้าก่อนได้นะ” “ข..ขอบคุณค่ะ” วาววายิ้มตอบก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะที่ใกล้เธอที่สุด “เมนูอยู่บนโต๊ะ ต้องการอะไรก็บอกป้าได้เลยจ้ะ” กระเป๋าใบหรูที่วาววาถืออยู่ถูกวางลงบนเก้าอี้ข้างที่นั่งของเธอ ก่อนที่เธ
----------...นิยายของวาววา......ยามค่ำคืนโอบล้อม ดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า อันนากลับมาถึงบ้านอันอบอุ่น ชั้นล่างของบ้านหลังนี้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและกลิ่นหอมของอาหารเมื่อยามกลางวัน แต่ตอนนี้ร้านอาหารปิดแล้ว ความเงียบสงบปกคลุมทั่วทุกมุม เหลือเพียงแสงไฟสลัวๆ จากโซนเล็กๆหลังร้านพ่อและแม่ของเธอกำลังนั่งดูทีวี แสงไฟจากจอทีวีส่องสว่างใบหน้าของพวกเขา อันนากล่าวทักทายพวกท่านด้วยรอยยิ้มก่อนจะเดินขึ้นบันไดมุ่งสู่ห้องนอนของเธอ อันนา สาวสวยลูกครึ่ง ไทย-สวีเดน ดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อน เธออายุ 25 ปี มากกว่าวาววา 1 ปี เมื่อ 7 ปีก่อน หลังจากเธอสูญเสียพ่อแท้ๆ ไป ชีวิตของเธอก็พลิกผัน เมื่อแม่ของเธอตัด
ณ ห้องทำงานของวาววาเธอเริ่มต้นวันใหม่เปี่ยมไปด้วยความสดใส เมื่อคืนเธอนอนหลับเต็มอิ่มเพราะไร้การรบกวนจากแวมไพร์ และเธอก็เชื่อว่ากระเทียมที่เธอได้แขวนรอบหน้าต่างและประตูระเบียงพวกนั้นช่วยป้องกันไม่ให้แวมไพร์เชนทร์เข้ามาในห้องของเธอได้ปลายปากกาของเธอขยับไปมาอย่างรวดเร็วบนกระดาษ ลายเซ็นของผู้บริหารระดับสูงตวัดบนเอกสารแต่ละฉบับอย่างสวยงาม“จะว่าไป...”ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจของวาววาอย่างฉับพลัน“ถ้าเขาคือแวมไพร์ที่หลุดออกมาจากนิยายที่ฉันเขียน...มันจะเชื่อมโยงกับตอนที่ฉันไปร้านคาเฟ่นั่นแล้วไฟดับหรือเปล่านะ...?”ความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์ในค่ำคืนนั้นหลั่งไหลกลับมาอีกครั้ง“ภาพหน้าปกนิยายที่เป็นภาพแวมไพร์ก็หายไป...เนื้อหาในส่วนที่มีเชนทร์ ตอนนี้กลายเป็นตัวอักษรภาษาต่างด้าวที่อ่านไม่ออก...”เธอนิ่งคิดชั่วครู่...แสงสว่างแห่งไอเดียก็ปรากฏขึ้น เธอ
ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม เฉดสีม่วงเข้มค่อยๆ แผ่ขยายปกคลุมฟากฟ้า แสงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า ทิ้งไว้เพียงแสงจันทร์อ่อนๆ สาดส่องลงมายามค่ำคืนภายในร้านอาหารสุดหรู ตกแต่งอย่างมีรสนิยม สร้างบรรยากาศโรแมนติก บทเพลงบรรเลงคลอเคลียไปกับสายลมเย็นๆ พัดผ่าน วิวแม่น้ำเจ้าพระยา ทอประกายระยิบระยับยามค่ำคืน แสงไฟจากตึกสูงระฟ้าสะท้อนลงบนผิวน้ำแสงเทียนสลัวส่องสว่างบนใบหน้าของชายหญิงคู่หนึ่งที่กำลังนั่งดินเนอร์บนโต๊ะริมระเบียง ทั้งสองดูมีความสุขกับดินเนอร์มื้อนี้ ชายหนุ่มมองหญิงสาวด้วยสายตาหยาดเยิ้มก่อนจะเอื้อมมือไปสัมผัสฝ่ามือหญิงสาวที่วางบนโต๊ะอย่างนุ่มนวลห่างไปไม่ไกลนัก วาววาและมิเกลยืนซุ่มมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กระซิบกระซาบคุยกัน เบาๆ"เตรียมตัวให้พร้อม!" มิเกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น พร้อมกับยื่นคีย์การ์ดห้องโรงแรมให้เพื่อนรัก&nb
หลังจากการประชุมอันวุ่นวายในช่วงเช้าสิ้นสุดลงและพนักงานได้ทยอยเดินกลับไปยังโต๊ะทำงานของตนแล้ว ในประชุมขนาดใหญ่นี้เหลือเพียงเจ้าของบริษัทนั่งผ่อนคลายพิงเก้าอี้ในตำแหน่งประธาน ประกบข้างด้วยเหล่าผู้บริหารระดับสูงหญิงสาววัยกลางคน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ หรือ COO เธอมักยิ้มอย่างภาคภูมิใจเมื่อได้เห็นลูกสาวทั้งสองของเธอเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพ‘วีวี่’ หรือ วีรยา รัตนพิพัฒน์วงศ์ อายุ 34 ปี พี่สาวของวาววา ปัจจุบันเธอรับตำแหน่ง “CFO” หรือ “Chief Financial Officer” ภายนอกเธอดูเรียบร้อย สุขุม เยือกเย็น แต่แฝงไว้ด้วยไหวพริบและความเฉลียวฉลาดและทายาทคนสุดท้อง ‘วาววา’ วารีริน รัตนพิพัฒน์วงศ์ ด้วยวัยเพียง 27 ปี เธอไม่ได้มีแต่ความสวยเฉิดฉาย แต่ยังมากด้วยความสามารถ เธอดำรงตำแหน่ง CMO ผู้กุมบังเหียนกลยุทธ์การตลาดของบริษัท“พ่อกับแม่จะไปทริปกันนานแค่ไหนคะ?” วาววาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกังวล ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของเธอจ้องม
สองเท้าก้าวฉับๆ วาววารีบเร่งมุ่งหน้าสู่ห้องทำงาน ในวันนี้เธอปรากฏตัวในชุดที่เรียบหรู สะท้อนรสนิยมสไตล์ Old Money อย่างมีระดับบรรยากาศวันนี้ช่างแตกต่างจากทุกๆ วัน ความอึดอัดปกคลุมไปด้วยความสงสัย พนักงานในบริษัทต่างจับจ้องไปที่ชายหนุ่มรูปงามผู้ปรากฏตัวขึ้นราวกับเป็นเงาเดินตามติดวาววาไปทุกที่พลึบ!วาววาวางของที่เธอถือติดตัวมาไว้ข้างโต๊ะทำงานของเธอ ในห้องกว้างใหญ่ ตกแต่งอย่างหรูหรา สะท้อนถึงสถานะผู้บริหารระดับสูง เธอหยิบแฟ้มเอกสารบนโต๊ะขึ้นมาตรวจดูโดยไม่สนใจเชนทร์ที่เดินตามเธอเข้ามาในห้องนี้ด้วยแม้แต่น้อยก๊อก ก๊อก ก๊อกเสียงเคาะประตูดังขึ้น มีนาเลขาสาวสวยของเธอเดินเข้ามา"สวัสดีค่ะคุณวา" มีนากล่าวทักทายเสียงหวาน ปลายตามองชายร่างสูงโปร่ง หน้าคมเข้มสไตล์ลูกครึ่งยืนนิ่งสง่างามในชุดสีดำสนิท สร้างความสับสนให้เธอไม่น้อย“นี่คุณราเชนทร์ ให้เขารอในห้องระหว่างที่วาประชุมก็ได้ค่ะ” วาววาอธิบาย “ไม่ต้องเตรียมกาแฟหรือเครื่องดื่มใดๆ นะคะ คุณราเชนทร์แจ้งว่าไม่ชอบดื่มกาแฟช่วงเช้า”เธอรีบพูดดักเลขาของเธอ พยายามหาข้ออ้างเพื่อรักษาระยะห่างของเลขาคนสวยจากชายหนุ่มแวมไพร์ตรงหน้าอย่างไรเสีย ก็เพื่อความปลอดภั
---------- ...นิยายของวาววา... ... ณ ร้านอาหารเล็กๆแห่งหนึ่ง มีโต๊ะไม้สีอ่อนเรียงรายรองรับลูกค้าประมาณ 10-12 โต๊ะ ร้านอาหารแห่งนี้เป็นร้านอาหารไทยโบราณ รสชาติไทยๆที่รังสรรค์โดยครอบครัวที่อบอุ่น คุณพ่อยืนอยู่หน้าร้านคอยต้อนรับแขกและรับออเดอร์ด้วยรอยยิ้ม คุณแม่วุ่นวายอยู่ในครัวปรุงอาหารด้วยความพิถีพิถัน ส่วนลูกสาวคนเล็กกำลังช่วยยกจานอาหารเสิร์ฟตามโต๊ะต่างๆ “สวัสดีครับ อ้าว...อันนาลูก” รอยยิ้มของพ่อฉายแววอบอุ่นยามต้อนรับลูกค้าที่หน้าร้าน แต่เมื่อสายตาเหลือบเห็นใบหน้าคุ้นเคยของลูกสาวคนโตที่ยืนเคียงข้างชายหนุ่มรูปงาม ความประหลาดใจก็พลันปรากฏบนใบหน้า “พาใครมาด้วยล่ะลูก?” คนเป็นพ่อเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “นี่คุณเชนทร์ค่ะ เขาอยากมาชิมฝีมือคุณแม่” อันนาตอบชายผู้เป็นพ่อก่อนจะหันไปหาเชนทร์เพื่อแนะนำให้เขาได้รู้จักผู้ชายคนสำคัญอีกหนึ่งคนในชีวิตของเธอ “นี่พ่อของอันนาเองค่ะ” “สวัสดีครับ” เชนทร์ยกมือไหว้ทักทายคนเป็นผู้ใหญ่อย่างนอบน้อม ใบหน้าคมคายสไตล์ลูกครึ่งยามประสานมือไหว้แบบไทยๆ ยิ่งเผยเสน่ห์น่าเอ็นดูเป็นทวีคูณ “ใครเหรอพี่อันนา?” เสียงแหลมใสดังแท
หนึ่งวันหลังจากวาววาเจอชายนิรนามบนเตียงเดียวกับเธอ คอนโดมีเนียมใจกลางกรุงสูงเด่นสง่าภายใต้แสงดาวระยิบระยับท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืนอันมืดสนิท เรียวขาเล็กก้าวออกมาจากอ่างอาบน้ำหินอ่อนเย็นฉ่ำ ราวกับปลุกความสดชื่นจากความรู้สึกอ่อนล้าที่นั่งรวบรวมข้อมูลนิยายสุดรักของเธอมาทั้งวัน ร่างกายที่เคยอ่อนเพลียกลับเปล่งประกายสดใส มีชีวิตชีวาอีกครั้ง วาววาใช้ผ้าขนหนูสีขาวโอบล้อมร่างกายอันเพรียวบางไว้ ก่อนจะเปิดประตูและก้าวออกมาจากห้องอาบน้ำ “นึกว่าตายในห้องน้ำแล้ว นานมาก!” “กรี๊ดดดดด!!!” ปั่ก!! ท่ามกลางความเงียบสงัด เสียงทุ้มต่ำกังวานดังก้องขึ้นอย่างกะทันหัน วาววาแทบตั้งตัวไม่ทัน ร่างสูงโปร่งปรากฏกายอยู่ตรงหน้าประตู แววตาสีเลือดฉานจ้องมองเธอ พาความทรงจำอันเลือนรางถึงชายแปลกหน้าที่เคยบุกเข้ามาในห้องวันก่อนหวนกลับมาหลอกหลอนอีกครั้ง วาววาตกใจสุดขีด ตะโกนกรีดร้องพร้อมถอยหลังจนล้มก้นจ้ำบ๊ะบนพื้นในห้องน้ำ “แกเป็นใคร!? ออกไปปป!!” ชายหนุ่มยืนนิ่ง ไร้ซึ่งคำตอบใดๆ เขาแค่เพียงจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยแววตาว่างเปล่าเท่านั้น "ไอบ้านี่!" วาววาตะโกนซ้
เมื่อวาน (วันศุกร์) เวลา 19.00 น ณ ร้านคาเฟ่เล็กๆ ย่านราม 2 (วันก่อนที่วาววาจะตื่นมาแล้วพบชายนิรนามนอนอยู่ข้างกายเธอ) แกร้ก! ประตูคาเฟ่เล็กๆ บรรยากาศอบอุ่นแห่งนี้ถูกเปิดออก วาววาย่างก้าวเข้าไปด้านใน บรรยากาศภายในเงียบสงัดไร้ผู้คน แสงไฟวอร์มไลท์ค่อนข้างมืดสลัวสาดส่องลงมาที่โต๊ะและเก้าอี้รอต้อนรับลูกค้าไม่เกิน 5 ที่นั่ง ในขณะที่วาววากำลังกวาดสายตามองไปรอบๆ ร้าน ทันใดนั้น เสียงฟ้าผ่าจากด้านนอกก็ดังสนั่น ก้องกังวานไปทั่วท้องฟ้า แสงสว่างจ้า วาบผ่านหน้างต่างใสเพียงบานเดียวที่ร้านมี วาววาสะดุ้งตัวด้วยความตกใจ “อ๊ายยย!!!” ซู่... ไม่ทันไร เม็ดฝนก็เทกระหน่ำลงมาจากท้องฟ้าราวกับพายุเข้า “อ้าวแม่หนู...” เจ้าของร้านร่างท้วม ยิ้มแย้มแจ่มใส ท่าทางใจดีเดินออกมาจากหลังร้านเมื่อได้ยินเสียงร้องตกใจของวาววา “ท่าทางฝนจะตกหนัก นั่งหลบในร้านป้าก่อนได้นะ” “ข..ขอบคุณค่ะ” วาววายิ้มตอบก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะที่ใกล้เธอที่สุด “เมนูอยู่บนโต๊ะ ต้องการอะไรก็บอกป้าได้เลยจ้ะ” กระเป๋าใบหรูที่วาววาถืออยู่ถูกวางลงบนเก้าอี้ข้างที่นั่งของเธอ ก่อนที่เธ
วันเสาร์ แสงแดดยามเช้าในวันหยุดสุดสัปดาห์ สาดส่องผ่านหน้าต่างกระจกขนาดใหญ่ของห้องนอนบนคอนโดหรูกลางเมือง ลอดผ่านผ้าม่านบางๆ ลงมาแตะใบหน้าของ "วาววา" หญิงสาววัย 27 ปี กลิ่นหอมอ่อนๆ ของกาแฟคั่วบดจากเครื่องชงอัตโนมัติลอยแตะจมูกปลุกเธอให้ตื่นจากภวังค์ วาววาขยับตัวบนที่นอนนุ่มนิ่ม ลืมตาขึ้นมาอย่างง่วงเหงา ยืดเส้นยืดสายคลายความเมื่อยล้าจากการนอนหลับ เธอพลิกตัวไปอีกด้านโดยที่ยังหลับตาอยู่ มือของเธอสัมผัสกับวัตถุบางอย่างที่แข็งและเย็น "อ๊ะ!" วาววาตกใจ ลืมตาสลึมสลือขึ้นมาและมองไปที่วัตถุที่เธอสัมผัสเมื่อครู่ พบว่ามันคือหน้าอกกว้างๆ ของชายหนุ่ม! “กรี๊ดดด!!!” นัยน์ตาของเธอเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง หัวใจเต้นรัวจนแทบจะหลุดออกจากอก เขาคือใครกัน ทำไมเขาถึงมานอนอยู่บนเตียงเดียวกับเธอได้ พลึบ! เพราะเสียงร้องตะโกนด้วยความตกใจของวาววา ทำให้ชายหนุ่มที่หลับสนิทบนเตียงในชุดออลแบล็คลืมตาตื่นขึ้นด้วยความว่องไว ร่างกายของเขาพลิกตัวจากท่านอนลุกขึ้นยืนอย่างฉับพลัน ประหนึ่งสัญชาตญาณนักล่าถูกปลุกให้ตื่น นัยน์ตาแดงก่ำของเขาจ้องมองมายังต้นตอของเสียงร้อง และแยกเขี้ยวทั้งสองในปาก