“แต่งตัวเสร็จแล้วก็รีบออกมานะลูก อย่าปล่อยให้พี่แบล็คเขารอนานนะลูก มันไม่งาม” โว๊ยไอ้พี่บ้านั้นจะมาทำมะเขืออะไรวะ หงุดหงิดดดดดดด ฉันรีบจัดการแต่งหน้าทำผมอย่างว่องไวเท่าที่จะไวได้ ไม่งั้นฉันจะต้องโดนแม่แหกอกแน่ ๆ
“เสร็จหรือยังยัยเน่!” นั้นไงล่ะ เสียงโมโหของแม่ดังขึ้นเบา ๆ ที่หน้าประตูห้อง บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าแม่ฉันกำลังหงุดหงิดแล้ว
“เสร็จแล้วจ้า ๆ” ฉันวิ่งไปเปิดประตู พร้อมกับยืนยิ้มให้กับคนเป็นแม่ที่กำลังทำหน้าพร้อมจะฆ่าฉันได้ทุกเมื่อ ฮือ
“ไว ๆ เลยยัยตัวดี แล้วไหนกระเป๋าล่ะ” เกือบลืมไปเลยนะเนี่ย ว่าจบฉันก็รีบไปขนกระเป๋าที่เตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อคืนออกมาทีละใบไว้หน้าห้อง จากนั้นแม่ก็ตะโกนหาตาลื่นที่เป็นพ่อบ้านของบ้านฉันให้มาขนกระเป๋าไปไว้ที่รถของไอ้พี่แบล็ค
“ช้าจังวะ” นอกจากจะทำน้ำเสียงเบื่อหน่ายแล้วพี่เขายังทำหน้าหน้าตาบอกบุญไม่รับอีกด้วย อีรอบนี้ไม่พ้นโดนคุณป้าบังคับมาแน่ ๆ นี่แม่ฉันคงต้องไปคุยอะไรกับคุณป้าแน่ ๆ ถึงได้บังคับให้พี่เขามารับฉันแต่เช้าแบบนี้เนี่ย
“แล้วใครใช้ให้มานั่งรอละวะ” ฉันบ่นอุบอิบกับตัวเองเบา ๆ พอที่จะไม่ให้อีกฝ่ายได้ยิน
“มึงว่าไงนะ?” ฉันรีบส่งยิ้มไปให้ไอ้พี่แบล็คเพื่อกลบเกลื่อนเรื่องเมื่อกี้ ถ้าไอ้พี่มันรู้ว่าฉันยอกย้อนมันนะมีหวังฉันได้โดนมันบีบคอตายแน่ ๆ
“เปล่า ปะ ๆ รีบไปกัน จะสายละ” โชคดีที่พี่เขาไม่เอะใจอะไร พี่เขาเพียงพยักหน้าแล้วเดินนำฉันไปตรงที่รถจอดอยู่
สนามบิน Runway Airport
ใช้เวลาไม่นานมากนักฉันกับพี่แบล็คก็มาถึงสนามบินที่อาจารย์นัดหมายตรงเวลาเป๊ะ ๆ ไม่ขาดไม่สายและไม่โดนตำหนิ ตอนนี้พวกกลุ่มคณะฉันกำลังยื่นรอต่อแถวเพื่อเช็กน้ำหนักกระเป๋ากันอยู่ และคาดว่าคงอีกนานกว่าจะถึงคิวฉัน เพราะงั้นเวลานี้ฉันจะต้องใช้โอกาสนี้มองหาพี่โลคาดีกว่า
“อยู่ไหนของพี่เขาน้า” ฉันยืนสอดส่องสายตาไปมามองหาทั้งทางซ้ายและทางขวา แต่ก็ไม่เห็นวี่แววของพี่เขาสักนิด จนฉันเกือบจะยกธงขาวยอมแพ้แล้ว
“แกดูสิ! พี่โลคาอย่างเท่เลย” เสียงแหลมแสบแก้วหูของเพื่อนร่วมคณะพูดขึ้น ทำให้ฉันที่ยืนคอตกเป็นหมาหงอยต้องรีบเงยหน้าขึ้นไปมองตามสายตาของยัยนั้นอีกครั้ง
ก็เห็นเป็นพี่โลคาที่อยู่ในชุดสบาย ๆ แต่มันกลับดูดีและดูมีออร่าสุด ๆ แสดงว่าพี่เขาเพิ่งมาถึงแน่เลย ไม่งั้นออร่าเด่นขนาดนี้ไม่มีทางเล็ดลอดสายตาเหยี่ยวของฉันไปได้หรอก
“ชิ! มากับยัยลูกคุณหนูนั้นอีกละ ยัยนั้นเป็นแฟนพี่เขาหรือไงถึงได้ทำตัวติดกันยังกับเป็นเหาฉลามไปได้” หนอยอีนี่มันกล้ามาว่าเพื่อนฉันงั้นเหรอ มีเหรอฉันจะยอม
“อย่ายัยเน่!” เสียงนางพิ้งดังขึ้นพร้อมกับข้อมือฉันถูกมันกระชากไว้
“ปล่อย ฉันจะไปเอาเลือดในปากของพวกมันออก หนอย! นินทากันเก่งดีนัก!” ฉันพูดออกมาด้วยความหงุดหงิดเมื่อโดนยัยพิ้งเข้ามาขัดอารมณ์ที่กำลังปะทุเดือนของฉัน โดยไม่ได้สนใจเลยว่าตอนนี้ทุกคนกำลังมองมาที่ฉันอยู่ เพราะเสียงที่ฉันใช้พูดก็ดังพอที่จะให้ทุกคนหันมาสนใจ
“หยุดเลย! แกไม่เห็นหรือไงว่าพวกอาจารย์มองใหญ่แล้ว” ยัยพิ้งกระซิบกระซาบบอกฉันให้ได้สติกลับมา เมื่อฉันควบคุมตัวเองได้จึงมองไปรอบ ๆ ตัว ก็พบว่าตอนนี้พื้นที่ที่ฉันยืนอยู่ได้เงียบลง
แถมยังมีสายตาจับจ้องมาที่ฉันเป็นสายตาเดียวอีกด้วย ทั้งสายตาของเพื่อนร่วมคณะและสายตาจากบรรดาอาจารย์ ไม่พอพี่โลคาเองก็มองมาทางฉันเช่นกัน ฮือ ไม่ได้ ฉันจะมาให้พี่เขาเห็นด้านไม่น่ารักของฉันไม่ได้
“เอ่อ...ขอโทษที่เสียงดังค่ะ” ฉันรีบยกมือไหว้อาจารย์และก้มหัวขอโทษเพื่อนคนอื่นเล็กน้อย ไม่นานสถานการณ์ก็กลับเข้าสู่ปกติเหมือนเดิม เกือบไปแล้ว ฟู่ววว
“รู้งี้ฉันน่าจะปล่อยให้แกอาละวาดดีกว่า ถ้าพี่โลคามองอยู่แบบนี้ ฉันจะได้หมดศัตรูไปได้หนึ่งคน โอ๊ย!เจ็บนะยัยเน่!” พอมันพูดจบฉันก็เลยตีมันไปสักป้าบ โทษฐานที่กล้าจะมากำจัดศัตรูอย่างฉัน
“ไม่มีทางหรอกย่ะ” ฉันยักไหล่ใส่มันไป ส่วนมันก็กลอกตามองบนใส่ฉันแทน เห็นเราทำท่าทีแบบนี้ใส่กันแต่อันที่จริงไม่ได้มีอะไรหรอก และมันก็ไม่ได้จริงจังกับการชอบพี่โลคาเหมือนฉันอะไรขนาดนั้น มันก็แค่ปลื้มเท่านั้น เพราะจริง ๆ แล้วมันมีแฟนเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้วยังไงล่ะ
พอพูดคุยกับยัยพิ้งเสร็จฉันก็หันไปมองทางพี่โลคาอีกรอบ พี่เขาก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิม และก็มียัยด้ายืนอยู่ข้าง ๆ ด้วย ฉันยืนมองพี่เขานานพอสมควรจนเจ้าตัวคงรู้สึกละมั้ง พี่เขาเลยหันมาจ้องที่ฉันแทน
จังหวะนี่แหละได้โอกาสแล้ว ฉันรีบโบกมือทักทายพี่เขาพร้อมกับยิ้มกว้างที่คิดว่าน่าจะน่ารักที่สุดส่งไปให้พี่เขา แต่ดูเหมือนพี่เขาจะไม่สนใจเลย เพราะพี่เขาดันส่งสายตาดุมาให้ฉันแทน แล้วก็ไม่หันมามองฉันอีกเลย เฮ้ออ
ประเทศสหรัฐอเมริกา รัฐแมสซาชูเซตส์
“ถึงสักที เมื่อยโว๊ยยย” ฉันยืนบิดตัวไปมาด้วยความเมื่อยสุด ๆ จากประเทศไทยมายังอเมริกาไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะเนี่ย อย่างต่ำที่ฉันนั่งมาก็ล่อไปสิบชั่วโมงขึ้นแล้ว ไม่พอฉันยังต้องทนกับความหูอื้อและอาการกลัวความสูงของตัวเองอีก
ฉันเกลียดมากเวลาที่ต้องขึ้นเครื่องบิน ตอนที่เครื่องกำลังจะแลนดิ้งนะเหมือนกับว่าฉันกำลังนั่งอยู่บนเครื่องเล่น อาทิ พวกรถไฟเหาะเลยล่ะจะบอกให้ องศาก่อนขึ้นบินมันคล้าย ๆ กันเลย น่ากลัวชะมัด
อีกอย่างที่พวกอาจารย์ต้องพามาดูงานที่รัฐนี้ก็เพราะว่าที่รัฐนี้มีสถาบันที่ขึ้นชื่อเรื่องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาก แถมยังเป็นมหา’ลัยอีกด้วยนะ เป็นมหา’ลัยที่ติดอันดับหนึ่งเลยล่ะ จะบอกให้ แต่คงสงสัยกันใช่ม้าว่าแล้วคณะฉันเกี่ยวไร
อันที่จริงไม่เกี่ยวหรอก แต่เพราะว่าคณะวิทย์เขามาต่างประเทศพอดี เบื้องบนเลยส่งคณะภาษาอย่างพวกฉันมาลองฝึกเจอสถานการณ์จริงด้วยซะเลย เห็นว่าไหน ๆ ก็เบิกงบมาเยอะละก็เอาพวกฉันมาด้วยซะเลย นี่แหละเลยกลายเป็นว่าเหมือนพาคณะฉันมาเที่ยว ส่วนดูงานจริงจังจริง ๆ ก็คงเป็นคณะวิทย์มากกว่า
“แก ฉันกลัวตอบไม่ได้” ยัยพิ้งพูดขึ้นข้างหูฉันเป็นรอบที่ล้านแล้ว ไม่ใช่แค่มันที่กลัวนะแต่ฉันก็กลัวเหมือนกัน แถมยัยบ้านี่ก็ดันพูดวนไปวนมาซ้ำไปซ้ำมาจนฉันเริ่มกลัวมากขึ้นพอ ๆ กับมันแล้วเนี่ย
และที่ฉันกลัวไม่ใช่อะไร นอกจากด่านตรวจคนเข้าเมืองที่จะต้องพูดคุยเป็นภาษาอังกฤษอย่างไรเล่า! ที่ฉันฝึกมามันสูญเปล่ามาก เพราะว่า ฉัน-จำ-อะไร-ไม่-ได้-เลย! ความกลัวนำพาสมองฉันว่างเปล่ามากตอนนี้“เลิกพูดสักที ฉันก็เริ่มจะกลัวพอ ๆ กับแกแล้วนะโว้ย!” ฉันหันหลังไปด่ามันเบา ๆ ไม่งั้นคนอื่นได้มองฉันกับมันอย่างน่าสมเพชแน่นอนที่ดันโง่ภาษา“ก็ฉันกลัวนี่แก” ยัง มันยังไม่หยุดอีก“งั้นแกไปก่อนเลยพูดมากนัก!” ฉันรีบเดินสลับที่กับมัน ซึ่งเป็นจังหวะประจวบเหมาะพอดีที่คิวต่อไปจะเป็นคิวของฉันพอดี และแน่นอนว่ามันก็ช่วยไม่ได้เพราะยัยพิ้งถูกเรียกเข้าไปถามคำถามแล้ว มันมองฉันด้วยสายตาอาฆาตแค้นมาก แต่ฉันไม่สนใจหรอกย่ะ ฮิฮิเยาะเย้ยมันได้ไม่นานหรอก มันก็แลบลิ้นส่งมาให้ฉันเมื่อแฟนของมันที่เรียนคณะวิทย์รีบวิ่งเข้ามาตอบคำถามแทนมัน และช่วยมันพูดคุยกับพี่เจ้าหน้าที่ จนในที่สุดมันก็เดินผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองไป“ซวยแน่ฉัน ไม่น่าไปแกล้งมันเลย!” ฉันบ่นกับตัวเองแล้วก็พยายามก้าวขาช้า ๆ ไปหาพี่เจ้าหน้าที่ ถ้าฉันไม่แกล้งมันป่านนี้มันคงให้แฟนมันมาช่วยฉันแล้ว“Hello” ฉันพ่นคำทักทายอย่างสุภาพที่ฉันพอจะรู้ออกไป พร้อมกับยื่นเอกสารที
โรงแรม Double Tree by Hilton Hotel Boston “แกฉันขอโทษน้าเพื่อนรัก” ยัยพิ้งพูดด้วยสีหน้าเศร้า พร้อมกับยกมือขึ้นถูไปมาในลักษณะท่าไหว้ ฉันได้แต่มองมันด้วยความเอื้อมระอา และแสดงสีหน้าออกไปอย่างชัดเจนว่าโมโหมันมาก ไม่ให้ฉันโมโหได้อย่างไร ก็เราสองคนตกลงกันแล้วที่จะจองห้องร่วมกัน แต่ผลสุดท้ายยัยนี่ดันมาบอกกับฉันว่าจะต้องไปนอนห้องเดียวกับแฟนตัวเองเฉย เฮ้อ เอาเหอะ คนโสดแบบฉันก็ต้องถูกเทแบบนี้แหละ ถ้าถามว่าทำไมฉันถึงไม่ไปนอนกับยัยด้า ก็เพราะว่าอย่างแรกเลยคือฉันกับยัยด้าอยู่กันคนละคณะ ถึงเราจะสนิทกันก็จริง แต่เราสองคนก็มีเพื่อนร่วมห้องร่วมสาขาที่แตกต่างกันอยู่ดี เพราะงั้นยัยด้านางก็มีเพื่อนร่วมห้องของนางแล้วไงล่ะ แถมโรงแรมที่อาจารย์ทำการจองให้ห้องก็ใหญ่และกว้างมาก คือมันไม่ควรพักคนเดียวอะ แต่ตอนนี้คือฉันจะต้องอยู่คนเดียวภายในห้องใหญ่แบบนี้ เชื่อว่าทุกคนจะต้องเป็นแบบฉันแน่ ๆ ที่มานอนต่างถิ่นและแน่นอนว่าจะต้องมี...เรื่องผีเข้ามาเกี่ยว! ห้องกว้างขนาดนี้ฉันก็กลัวนะโว้ย แง้ “เห็นผัวดีกว่าเพื่อน!” ฉันพูดจบก็กลอกตาขึ้นบนพร้อมกับคว่
Rrrr Rrrr rrr ระหว่างที่ผมกำลังนั่งตรวจงานวิจัยเพลิน ๆ เสียงเรียกเข้าของมือถือที่วางอยู่บนโต๊ะก็ดังขึ้น เรียกความสนใจของผมให้ต้องหันไปมองชื่อที่กำลังโชว์ว่าใครเป็นคนโทรเข้ามา ผมกดรับสายแล้วเอ่ยด้วยคำสุภาพออกไป “ครับแม่” คนที่โทรเข้ามาก็คือแม่ของผมเองครับ ผมเงยหน้ามองเวลาที่บ่งบอกว่ามืดแล้ว แต่ที่ประเทศไทยยังคงเช้าอยู่สินะ แม่ผมท่านเป็นผู้อำนวยการของโรงพยาบาลชื่อดังและเปิดมายาวนานหลายรุ่นแล้ว ไม่มีใครไม่รู้จักโรงพยาบาลของแม่ผมหรอกครับ “เป็นไงบ้างครับ ถึงที่พักหรือยังลูก?” “ถึงแล้วครับแม่ แม่ทานอะไรหรือยังครับ” ด้วยความที่ท่านเป็นถึงเจ้าของโรงพยาบาล ก็ต้องพ่วงมาด้วยกับความไม่มีเวลาให้ตัวเอง แม่ผมอุทิศตัวในการบริหารโรงพยาบาลนั้นมาก มากซะจนท่านไม่มีเวลาดูแลตัวเอง หรือทานอาหารให้ตรงเวลาเลยสักมื้อ “ทานแล้วครับ นี่ใครเป็นแม่ใครเป็นลูกกันแน่ฮึ” ผมอมยิ้มกับความขี้เล่นของแม่ตัวเอง ถึงผมจะไม่ค่อยได้เจอท่านสักเท่าไหร่เพราะออกมาอยู่คนเดียวนานแล้ว แต่ผมก็อดคิดถึงเวลาที่ท่านน่ารักแบบนี้ไม่ได้หรอกครับ ถึงผมจะเคยบอกว่าที่ออกมาอย
รูปนี้เป็นรูปตั้งแต่ปีที่แล้วที่ฉันเพิ่งเข้ามาที่มหา’ลัยนี้ใหม่ ๆ ตอนนั้นฉันอยู่ปีหนึ่ง และพี่โลคาอยู่ปีสาม ซึ่งปัจจุบันฉันอยู่ปีสองแล้วก็ยังไม่ได้มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับพี่เขาเหมือนกับช่วงนี้เลยฉันไม่มีรูปตอนที่พี่เขายังเรียนอยู่ที่โรงเรียนมัธยมด้วยกันหรอกนะ นั่นก็เพราะว่าพี่เขาเก็บตัวมาก และหยิ่งขั้นสุด เย็นชามาก ๆ เลยล่ะ สงสัยนั่นคงเป็นเหตุผลที่ทำให้พี่เขาฮอตมากก็ได้มั้งฮอตขนาดที่ผู้หญิงหลายคนยกให้พี่เขาเป็นผู้ชายในอุดมคติของตัวเองกันเลย และฉันเองก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยเหมือนกัน แต่ไม่ใช่เพราะความหล่อของพี่เขาอย่างเดียวหรอกนะที่ทำให้ฉันแอบชอบพี่เขามาได้นานขนาดนี้ครั้งหนึ่งฉันเข้าเรียนตามปกติแบบทุกวัน แต่วันนั้นเป็นวันที่หลายคนยกมือขึ้นมาปิดปากหัวเราะฉัน และมองฉันเป็นตัวตลก ฉันโมโหมาก เพราะฉันไม่รู้เหตุผลว่าทำไมคนพวกนั้นถึงเอาแต่หัวเราะเยาะฉันจนถึงตอนที่ฉันกำลังจะเดินเข้าอาคารเพื่อไปเรียนวิชาคณิตศาสตร์นั่นแหละ เป็นวันที่ฉันเจอกับพี่โลคา และสิ่งที่พี่เขาทำเป็นอะไรที่กินใจฉันมาก ในเดือนนั้นฉันจำได้ดีว่าเป็นเดือนที่ประเทศไทยเข้าสู่ช่วงหน้าหนาว และยังเป็นวันที่ฉันดันรีบซะจนลืมเสื้อกันหน
“เสียงดัง” ฉันหันกลับไปมองตามเสียงคุ้นหู ด้วยรอยยิ้มชนิดที่ว่ามดยังต้องเบื่อน้ำตาล “นอนไม่หลับเหรอคะ” ท่าทางของพี่เขาดูเหมือนคนที่พักผ่อนไม่เพียงพอเลย ฉันเห็นว่าพี่เขากำลังกดนวดตรงระหว่างคิ้วตัวเองในตอนที่พี่เขาเอ่ยว่าฉันด้วยคำว่า ‘เสียงดัง’ นั้นแหละ “อืม” พี่เขาโอเคไหมเนี่ย อ้อ…จริงสิ! “รอหนูแป๊บนะคะพี่โลคา” ว่าจบฉันก็รีบวางแก้วของตัวเอง จากนั้นก็วิ่งเข้าห้องโดยไม่ได้รอให้พี่เขาตอบรับอะไร อากาศหนาว ๆ แบบนี้พี่เขาอาจจะไม่สบายก็ได้ ก็อากาศเมืองไทยกับต่างประเทศมันต่างกันมากเลยนี่นา บ้างทีพี่เขาอาจจะปรับตัวไม่ทันก็ได้มั้ง “หวังว่าพี่เขาจะชอบนะ” ฉันยืนยิ้มกับตัวเองไปในขณะที่มือกำลังบรรจงฉีกซองผงโกโก้เทลงแก้วลายการ์ตูนอีกใบของฉัน จากนั้นฉันก็เอื้อมมือไปกดปุ่มเครื่องต้มน้ำร้อนอีกรอบ และรอไม่ถึงนาทีน้ำก็เริ่มเดือด จนได้ยินเสียงดังเปาะที่บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าน้ำกำลังเดือดได้ที่แล้ว ฉันจึงเอื้อมมือออกไปหมายจะคว้าไปที่หูแก้วของมัน “โอ๊ย!” แต่ด้วยความที่ไม่ทันได้ระวังตัวเลยทำให้ฉันเผลอจับไปโดนส่วนตรงกลางที่เป็นสเตนเลสแทน ส
“นี่อย่าบอกนะว่าฉันตั้งนาฬิกาปลุกของเวลาไทย” ยัยเน่ ยัยโง่ นี่แกลืมเปลี่ยนโซนเวลาเหรอเนี่ย อยากจะบ้าตาย! “ยัยเน่ เปิดประตูให้ฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ!” ฉันรีบลุกขึ้นนั่งพร้อมกับยันตัวยืนขึ้นอย่างไว เมื่อโดนคนหน้าห้องประตูเอ่ยตะโกนเสียงแข็งขึ้นมาอีกรอบ และดูท่าทางแล้วคงโมโหไม่น้อย “มาแล้ว ๆ” ฉันรีบวิ่งไปกดเปิดประตูเพื่อตอนรับยัยแม่มดอย่างยัยพิ้ง ที่ยืนตะโกนเป็นแม่ค้าปากตลาดไปได้อยู่หน้าห้อง มันนี่ก็จริง ๆ เลย ไม่อายพวกฝรั่งคนอื่นบ้างเลยใช่ไหมเนี่ย “กว่าจะเสด็จมาเปิดได้ฉันยืนตะโกนจนปากจะฉีกอยู่แล้ว!” มันเดินกระแทกไหล่ฉันเข้าห้องไป ส่วนฉันก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างเซ็ง ๆ โธ่แพลนที่อุตส่าห์วางเอาไว้ว่าจะไปเที่ยวเป็นอันต้องลดหย่อนลดลงมาเหลือแค่ไม่ชั่วโมงซะแล้ว เพราะดันมีเวลาน้อยลงซะได้ แถมยังไม่ทันพี่โลคาอีกด้วย ป่านนี้พวกคณะพี่เขาคงออกไปศึกษาการเรียนกันแล้วมั้งเนี่ย ก็คณะของพี่เขาอย่างที่บอกในตอนแรกว่ามาเพื่อศึกษาการเรียนโดยเฉพาะ และมันต่างจากคณะฉันที่ต้องมาฝึกภาษาให้คุ้นหู เพราะงั้นช่วงเช้าของทุกวันพวกคณะพี่เขาจะต้อ
ยัยด้ามักจะเล่าให้ฉันฟังเสมอว่าพี่โลคามักจะลากนางไปนู่นไปนี่ด้วยกันตลอด ซึ่งฉันเองที่เป็นเพื่อนกับยัยด้ามานานก็ได้เห็นด้วยตาตัวเองเหมือนกันที่สองคนนี้มักจะไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด แถมพี่เขาก็ดูสนิทและผ่อนคลายเวลาที่อยู่กับยัยด้าด้วยนะ ก็เวลาพี่เขาอยู่กับยัยด้าทีไรฉันมักจะเห็นว่าพี่เขาจะพูดคุยกับยัยด้าตลอด และตอบทุกคำถามกับยัยด้า เมื่อเทียบกับคนอื่นที่เข้าหาพี่เขาหรือเทียบกับฉันพี่เขาก็มักจะไม่ค่อยพูดคุยด้วยเลย ส่วนมากจะเป็นฉันมากกว่าที่ชวนพี่เขาคุย หรือว่าที่พี่เขาปฏิเสธฉันนั้นอาจจะเป็นเพราะว่าพี่เขากำลังสนใจยัยด้าอยู่งั้นเหรอ แล้วถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ ขึ้นมาฉันจะทำอย่างไรล่ะ ฉันคงต้องทำใจยอมรับใช่ไหม เพราะอีกคนก็เพื่อน และอีกคนก็เป็นรุ่นพี่ที่แอบชอบ แต่ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ ขึ้นมาฉันว่าพวกเขาก็ดูเหมาะสมกันดีนะ ทั้งฐานะและการศึกษา เมื่อเทียบกับฉันที่มีแต่ฐานะ (มั้ง) แต่การศึกษาในระดับที่พอไปวัดไปวาได้แบบนี้มันก็น่าคิดแฮะ “ไม่เป็นไรแก ฉันก็ชวนไปงั้นแหละน่า เที่ยวให้สนุกนะ ดูแลพี่โลคาของฉันด้วยล่ะ อย่าให้ผู้หญิงคนไหนเข้าใกล้ได้น
“ไอ้พี่แบล็ค!” ฉันพูดพร้อมกับตบลงที่บ่าใหญ่ของคนที่นั่งหันหลังให้ฉันอยู่ ดูเหมือนพี่เขาจะนั่งมองผู้หญิงคนนี้ คนที่ฉันเคยเจอตอนนั้นในโรงอาหารเย็นของมหา’ลัย แหมมัวแต่นั่งเฝ้าหญิงนี่เองถึงได้ไม่ออกมารับฉัน ปล่อยให้ฉันเดินงมหาทางเข้ามาเองเนี่ย แล้วรูปที่ไอ้พี่บ้านี่ส่งมานะก็เป็นรูปที่พี่เขาถ่ายให้เห็นพวกชั้นหนังสือ โวะ! อยากจะบ้าตาย ก่อนจะถ่ายพี่เขาไม่ดูเลยใช่มะว่าชั้นหนังสือมันมีอยู่ตั้งกี่ชั้น ถ้าไม่ได้พี่พนักงานพูดด้วยภาษามือกับฉันนะป่านนี้ก็หากันไม่เจอกันหรอก! เหอะ! ไอ้เราก็ว่าอยู่ ว่าน้ำหน้าอย่างไอ้พี่แบล็คนะเหรอจะมาห้องสมุดแบบนี้ ที่แท้ก็! “ให้ไวเลย” พี่แบล็คมันดึงฉันเข้าไปใกล้ ๆ พร้อมกับสอดมือเข้าไปหยิบมือถือออกมากดถ่ายรูปฉันกับพี่เขา โดยที่หน้าฉันแนบชิดติดกับหน้าพี่เขาจากการโดนบังคับ โดยการที่ไอ้พี่มันกดหัวฉันให้แนบเข้าไปใกล้ ๆ หน้านาง เออให้ได้อย่างงี้สิ ฉันเลยต้องปั้นหน้ายิ้มหวานแบบมีความสุขสุด ๆ มองจิกกล้องไปแชะ! “เสร็จแล้วก็ไสหัวไปซะ” ฉันมองไอ้พี่แบล็คด้วยความโมโหแก้มป่อง ไอ้พี่บ้า!พอได้รูปปุ๊บก็ไล่ฉ
“พี่หิวไหมคะ เดี๋ยวเน่จะได้ไปจัดโต๊ะให้” ฉันเดินเข้าช่วยพี่โลคาถอดเสื้อนอกออก จากนั้นก็ถือเสื้อนอกไว้ในมือตัวเอง พลางถามคนตรงหน้าที่เพิ่งกลับมาจากที่ทำงานเหนื่อย ๆพี่โลคาตอนนี้ขึ้นทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการของโรงพยาบาลแทนแม่พี่เขาแล้ว พ่วงด้วยดูแลมหา’ลัยแยกอีก แต่ดีที่การดูแลมหา’ลัยไม่ได้ลำบากมากนัก เพราะการเป็นอธิการบดีไม่จำเป็นต้องเข้าไปดูแลทุกวันเหมือนกับโรงพยาบาล จึงไม่ใช่งานหนักอะไรพี่โลคาของฉันไม่ได้จบปริญาโทเท่านั้น แต่พี่โลคาใฝ่เรียนจนจบเด็กเตอร์เหมือนกับพ่อแม่ของตัวเองได้ในอายุที่ยังน้อย ส่วนฉันจบตรีได้ก็ถือว่าบุญมากแล้ว T^T“ครับ มานี่ก่อนเร็ว” ฉันเดินเข้าไปหาพี่โลคาด้วยสีหน้ายิ้ม ทุกครั้งที่พี่เขากลับมักจะอ้อนแบบนี้ตลอด ฉันรู้ดีว่าพี่เขาจะทำอะไร เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมาพี่เขาก็มักจะทำแบบนี้เสมอเวลาที่กลับมาบ้านหรือว่าจะออกไปทำงานฟอด~ “หายเหนื่อยเลยครับ” ปากหวานตลอด ฉันไม่อยากจะบอกเลยว่ายิ่งอยู่กับพี่โลคานานขึ้นพี่โลคาก็มักจะทำอะไรที่ฉันไม่คาดคิดมาก่อนเสมอ ไม่ว่าจะชอบชมฉัน ชอบเซอร์ไพรส์ทุกครั้งที่เป็นวันเกิดหรือวันครบรอบ เอาเป็นว่าพี่เขาโรแมนติกมากขึ้นเรื่อย ๆ เ
“รับผิดชอบยัยหนูด้วยการหมั้นไงละครับ” หมั้นอย่างนั้นเหรอ! “หา! หมะ...หมั้นเหรอคะ!” ฉันมองแม่พี่โลคากับพี่โลคาสลับกันไปมาด้วยความตกใจ “เรียนจบเมื่อไหร่แม่สัญญาว่าจะรีบจัดงานแต่งงานให้ไวที่สุดเลย เพราะงั้นหนูเลเน่รีบเรียนให้จบไว ๆ นะลูก ส่วนเรื่องมหา’ลัยถ้าหนูอยากกลับมาเรียนที่เดิมก็ไม่เป็นปัญหา แม่จะไปคุยกับพ่อพี่เขาให้เอง” เรื่องหมั้นฉันยังตกใจไม่หาย นี่มาเรื่องเรียนจบแล้วแต่งงานอีก ให้ตายเถอะ “เอ่อ...คือว่า เรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหญ่ หนูคงต้องขอคุยกับแม่ก่อนค่ะ” ฉันพูดออกไปด้วยความนอบน้อม เรื่องหมั้นเรื่องแต่งงานมันเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก แถมวันนี้แม่ฉันก็ไม่ได้มานั่งฟังด้วย เพราะงั้นฉันต้องไปเล่าให้แม่ฟังก่อน “เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงเลย เดี๋ยวแม่จะไปคุยกับพราวเองจ้ะ” ฉันยิ้มให้แม่พี่โลคา แต่ภายในใจก็รู้สึกกังวลกลัวว่าแม่ฉันจะไม่ยอม เอาจริงแล้วฉันดีใจมากที่จะได้หมั้นกับพี่โลคา แต่แค่กลัวว่าที่พี่เขาทำแบบนี้มันจะเป็นเพราะโดนบังคับให้ทำหรือเปล่า พี่เขาเต็มใจใช่ไหม...เวลา 13.23 น. “พี่โลคาแน่ใจแล้วเหรอคะว่าอยากจะหมั้นกับเน่จริ
ผลั๊ก! เสียงกระชากเปิดประตูของฉันดังขึ้น เรียกความสนใจให้สองแม่ลูกที่นั่งอยู่ตรงโซฟาต่างหันมามองที่ฉันเป็นทางเดียว ฉันพยายามใช้มือลูบผมที่กำลังยุ่งให้ดูเรียบร้อยขึ้นแล้วเดินไปยกมือไหว้แม่พี่โลคาด้วยท่าทางเกร็ง แม่พี่โลคาเองก็พยักหน้ารับไหว้ฉันเหมือนกัน “หนะ...หนูอธิบายได้นะคะ ท่านกำลังเข้าใจผิด” ฉันพูดด้วยเสียงตะกุกตะกัก รีบเดินไปทางแม่พี่โลคาเพื่อจะอธิบายเรื่องนี้ไปในทางที่ดี แม้ฉันจะต้องโกหกท่านก็เถอะ แต่เพื่ออนาคตพี่เขาแล้วฉันจะทำตัวน่าสงสัยแบบนี้ไม่ได้ “ไม่ต้องอธิบายอะไรทั้งนั้น เห็นเต็มสองตาขนาดนี้ยังจะแก้ตัวอะไรได้อีก” แม่พี่โลคาพูดในขณะที่สายตายังคงจ้องหน้าลูกชายตัวเองด้วยความโมโห “ท่านคะ! เป็นความผิดหนูเองค่ะ คือ...คือหนูอะ...อ่อยพี่เขาค่ะ! หนูสัญญาค่ะว่าจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก” ฉันวิ่งเข้าไปนั่งกอดขาแม่พี่โลคาพลางพูดรัวพูดมั่วไปหมด คิดอะไรได้ก็พูดเพื่อให้พี่โลคาไม่ซวย “ยัยหนู!/หนูเลเน่!” ฉันมองทั้งสองคนด้วยความงุนงง เนื่องจากทั้งสองต่างพากันเข้ามาจับฉันให้ยืนขึ้น “เลเน่ ทำไมหนูทำแบบนี้ละลูก” ฉันมึนเ
“อ๊า” ฉันนอนหอบหายใจเมื่อตัวเองได้ปลดปล่อยบางอย่างออกมา ฉันรู้สึกโล่งตัวอย่างบอกไม่ถูก แต่เพียงแค่แป๊บเดียวเท่านั้น เพราะตอนนี้ฉันกำลังจะกลับมาเกร็งอีกรอบเมื่อเห็นว่าพี่โลคาขยับตัวลงมานั่งติดกับส่วนนั้นของฉัน “พะ...พี่โลคา” ฉันพูดด้วยเสียงหอบหมายจะห้ามพี่เขา แต่ทำไมเหมือนกับว่าตรงส่วนนั้นมันขยายใหญ่มากขึ้นกว่าเดิมได้ล่ะ แถมมัยยังกระตุกขยับไปมาเล็กน้อยอีกด้วย “รู้ตัวไหมเวลาที่ยัยหนูนอนพูดด้วยสีหน้าแบบนั้นมันทำให้พี่มีอารมณ์มากขึ้นแค่ไหน” พี่โลคาชักรูดส่วนนั้นของตัวเองพลางมองหน้าฉันไปด้วย ไม่นานพี่โลคาก็ใช้แขนมาค้ำยันลงที่ข้างหูฉัน อีกมือก็จัดการจับเจ้าส่วนนั้นของพี่โลคามาถูที่น้องสาวสุดหวงของฉันไปด้วย “อือ ดะ...เดี๋ยวสิคะ” แม้ฉันจะร้องห้ามแต่ขาทั้งสองข้างของตัวเองกลับขยับออกห่างเองโดยอัตโนมัติ เพื่อให้สิ่งนั้นถูไถได้ง่ายขึ้น “ชอบเหรอครับ” พี่โลคายิ้มมุมปาก พลางก้มหน้าจ้องมองฉันที่กำลังใช้มือปิดปากตัวเองไว้เพราะไม่อยากส่งเสียงน่าเกลียดออกมา แต่ภายในใจจริง ๆ ก็กำลังก่นด่าตัวเองด้วยที่ดันไปขยับขาออกเพื่อรับสัมผัสอย่างน่าอับอาย “ส
“ปล่อย” ฉันพูดด้วยเสียงนิ่งและจริงจังเพื่อให้อีกคนรับรู้ว่าฉันไม่ได้พูดเล่น ส่วนพี่โลคานางก็เลิกยุกยิกกับฉันเลยเมื่อเห็นว่าฉันเริ่มจะไม่มีท่าทีเล่นแล้ว “ยัยหนู...” พี่โลคากอดเอวฉันจากทางด้านหลังไว้หลวม ๆ พลางเกยคางไว้บนไหล่ของฉัน จากนั้นนางก็เริ่มเรียกฉันแบบที่ชอบเรียกด้วยเสียงอ้อน “ออกไป เน่ขอร้อง” เสียงของฉันเริ่มจะสั่นเครือแล้ว ความรู้สึกของฉันมันเริ่มจะไม่เชื่อฟังตัวฉันซะแล้ว ยอมรับเลยว่าวันนี้ฉันรู้สึกว่าตัวเองมีความสุขมาก แต่มันเป็นความสุขที่ฉันจะต้องเก็บเอาไว้ภายใต้จิตใจของฉัน ฉันพยายามแสดงออกให้พี่เขาเห็นมากที่สุดว่าฉันไม่ต้องการกลับไปยุ่งกับพี่เขาแล้ว “อย่าไล่พี่ ยัยหนูไม่รักพี่แล้วงั้นเหรอ” ฉันจุกกับคำพูดของพี่เขาจนตัวเองนั่งนิ่งเงียบไป ไม่รักงั้นเหรอ เหอะ! ถ้าฉันไม่รักพี่เขาฉันก็คงไม่ยอมให้ตัวเองมาทรมานแบบนี้หรอก “…” พี่โลคาจับฉันให้นั่งหมุนตัวหันไปตรงหน้าพี่เขา เราสองคนต่างมองตากันด้วยความรู้สึกที่ต่างฝ่ายต่างรู้ดีว่าอีกคนคิดอย่างไรกับเรา ใบหน้าพี่เขาเริ่มเลื่อนเข้ามาใกล้ฉันมากขึ้นเรื่อย ๆ “คิดถึง” พี่
กลับไปก็ต้องรีบไปทำควิซอีก เพื่อเก็บคะแนนตรงนี้ให้เป็นคะแนนช่วยเวลาที่คะแนนสอบออกมาได้ไม่ดีอะไรแบบนี้ วิชานี้เป็นวิชาที่ยากมากพอสมควรเลยคอนโดเลเน่ พอฉันเปิดประตูเข้าไป จมูกก็ได้กลิ่นหอมออกมาจากทางห้องครัว ไม่ต้องบอกก็พอเดาได้ว่าใครเข้ามาในห้องของฉันถ้าไม่ใช่พี่โลคา ส่วนที่นางเข้ามาได้อย่างไรอันนี้ฉันคงไม่ต้องไปคิดให้ปวดหัว คงจะใช้อำนาจอีกนั่นแหละ “กลับมาแล้วเหรอครับ หิวไหม?” พี่โลคาหันกลับมามองฉันที่เดินตามกลิ่นหอมยั่วยวนนี้เข้ามาในห้องครัว ฉันแอบตกใจและแปลกใจเล็กน้อยเมื่อได้เห็นพี่โลคาในมุมที่ใส่ชุดแบบนี้ พี่เขาสวมผ้ากันเปื้อนลายกระต่ายสีชมพูของฉันอยู่นะสิ อยากขำนะแต่ต้องเก๊กหน้านิ่งเอาไว้ก่อน “ใครอนุญาตให้พี่เข้ามาทำอาหารในนี้กันคะ” ฉันยืนกอดอกพูดกับพี่เขาด้วยน้ำเสียงเข้มแบบที่พี่เขาเคยทำใส่ฉัน “พี่อนุญาตตัวเอง ไปนั่งรอก่อนจะเสร็จแล้ว” คนหน้ามึนพูดจบก็หันกลับไปทำกับข้าวต่อโดยไม่สนใจเลยว่าฉันยืนจ้องตาเขม็ง สุดท้ายฉันก็ต้องยอมแพ้ออกมานั่งเปิดโน้ตบุ๊กเพื่อทำควิซแทน “ยากจัง” ฉันนั่งทำควิซมาได้สักพักแล้วแต่ก็ยังไม่เ
“เห็นว่ามุงดูคนหล่อกันค่ะ” คนหล่องั้นเหรอ...หรือว่า!! “ขอบคุณมากค่ะ” ฉันพูดขอบคุณรุ่นน้องเสร็จก็รีบวิ่งออกไปจากตรงนี้ให้ไวที่สุด ทางเข้ามหา’ลัยไม่ได้มีแค่ทางเข้าเดียว ฉันไปเข้าอีกทางก็ได้ ส่วนคนหล่อที่รุ่นน้องพวกนั้นพูดก็คงไม่พ้น “ยัยหนู!” นั่นไงล่ะ เป็นพี่โลคาจริง ๆ ด้วย ฉันหันกลับไปมองก็พบว่ามีหลายสายตาต่างจับจ้องมาที่ฉันด้วยสายตาแบบว่า...ริษยา ส่วนพี่โลคาก็หมายจะวิ่งเข้ามาหาฉัน แต่ดันติดฝูงคนตรงนั้นจนทำให้พี่เขาไม่สามารถตามฉันมาได้ “เกือบไปแล้ว” ฉันใช้มือทั้งสองข้างก้มจับเข่าพลางหอบหายใจด้วยความเหนื่อย ประตูอีกด้านที่สามารถเข้ามหา’ลัยได้ก็คือประตูหลังที่อยู่ติดอีกถนน มันไกลจากประตูหน้าพอสมควร แค่เดินธรรมดาก็เหนื่อยแล้วกว่าจะใช้เวลามาถึง แต่นี่ฉันดันวิ่งมา แน่นอนว่าฉันเหนื่อยแทบจะล้มตัวลงไปนอนหายใจเลย “น้องเน่เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ฉันที่กำลังก้มตัวหอบหายใจอยู่ ก็มีมือของใครบางคนมาแตะลงที่ไหล่ของฉัน ฉันจึงเอียงคอขึ้นไปมองก็พบว่าเป็นพี่บลูนั้นเอง “ไม่เป็นอะไรค่ะ” ฉันขยับตัวออกห่างจากพี่บลูจนมือที่เขาแตะไว้ในตอนแรกเลื่อนออกไป
“ปล่อยนะ!” ฉันพยายามดิ้นไปมาเพื่อให้หลุดออกจากอ้อมกอดที่คุ้นเคย ฉันไม่อยากหวนคิดถึงมันอีก “หนีพี่มาทำไม ยัยหนูไม่รักพี่แล้วงั้นเหรอ” พี่โลคากอดฉันแน่นขึ้น แถมยังใช้มือขึ้นมาลูบผมฉันเบา ๆ อีก มันยิ่งทำให้ฉัน “ฮึก” ฉันกำเสื้อของพี่โลคาแน่น และกำมันด้วยความแรงที่ฉันกำลังเจ็บปวดอยู่ภายในใจตัวเอง พร้อมกับปล่อยน้ำตาให้ไหลรินออกมาอย่างห้ามไม่ได้ พี่โลคาก็ยังคงลูบผมฉันอยู่อย่างนั้น “ขอโทษนะ” พี่โลคาเอ่ยขอโทษออกมา พี่เขาไม่ผิดเลย พี่เขาจะมาขอโทษฉันทำไมฉัน “ฮึก พะ...พี่จะมาขอโทษหนะ...หนูทำไม” ฉันพูดด้วยเสียงอู้อี้และสะอึกร้องไห้ไปด้วย “ขอโทษที่วันนั้นพี่ไม่ได้อยู่ช่วยยัยหนู ขอโทษที่ปล่อยให้คนในครอบครัวมาทำร้ายยัยหนูไงครับ พี่ขอโทษ พี่ไม่รู้เลยว่ายัยหนูของพี่จะเก็บเรื่องนั้นไว้คนเดียวตลอด คงเจ็บมากเลยใช่ไหม” พี่โลคาดันตัวฉันออกเล็กน้อย และพี่เขาก็ก้มลงมามองฉันที่กำลังร้องไห้อยู่ “มะ...ไม่ ฮึก พี่ไม่ได้ผิดเลย” ฉันส่ายหน้าไปมาพร้อมกับน้ำตาที่กำลังรินไหล พลางเงยหน้ามองพี่เขาด้วยสายตาจริงใจว่าฉันไม่โกรธหรือโทษพี่เขาเลยสักนิด
เลเน่ Talk “ขอบคุณที่มาส่งนะคะพี่บลู” ฉันก้มตัวลงไปไหว้รุ่นพี่ที่คณะของตัวเอง พี่เขาก็ยิ้มตอบกลับมาพร้อมกับพยักหน้าเป็นเชิงว่ารับคำขอบคุณจากฉัน นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้วที่ฉันย้ายมาอยู่ที่นี่ พวกเพื่อน ๆ และรุ่นพี่ที่มหา’ลัยต่างใจดีกับฉันเกือบทุกคนเลย เป็นคณะที่อบอุ่นพอตัวเลย อีกอย่างฉันเข้ามาเรียนกลางคันด้วย ถ้าเป็นที่อื่นเขาคงไม่รับ แต่ฉันมีคนจัดการให้พร้อมก็เลยไม่เป็นปัญหาอะไร “ไม่เป็นไรครับ น้องเน่ก็รู้ว่าพี่เต็มใจมากแค่ไหน” ฉันทำได้เพียงแค่ยิ้มตอบกลับไป พี่บลูเป็นรู่นพี่ที่คณะของฉัน และยังเป็นนักศึกษาที่ได้ฉายาว่าเจ้าชู้ตัวพ่อ พี่เขาตามจีบฉันตั้งแต่เข้าเรียนวันแรก จนถึงวันนี้นางก็ยังคงตามจีบฉันไม่เลิก ทั้งที่ฉันบอกไปหลายรอบละนะว่าฉันมีคนที่ชอบอยู่แล้ว แต่นั่นไม่ได้ทำให้พี่เขาหยุดตามตอแยฉันได้เลย และที่วันนี้พี่เขามาส่งฉันได้ก็เพราะได้รุ่นพี่อีกคนมาช่วยเป็นกำลังเสริม ฉันก็เลยต้องเลยตามเลยไป “งั้นเน่ขอตัวก่อนนะคะ” พูดจบฉันก็ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบเพราะเดี๋ยวมันจะยาว ฉันจึงรีบเดินไว ๆ เข้าตึกคอนโดของใครก็ไม่รู้แทน ฉันไม่ได้ให้พี่เข