“ไวท์! มึงหนีมาก่อนได้ไง! รู้ไหมว่าไอ้นั่นแม่งเกือบต่อยกู!”
ไนท์พูดพลางใช้ร่างกายของเขาเบียดร่างผู้ชายคนนั้นกระเด็น ทิ้งตัวลงเมื่อเก้าอี้ตัวนั่นว่างเปล่า ฉันยกยิ้มที่เขาทำในสิ่งที่ฉันต้องการพอดี แต่ต้องหุบยิ้มฉับ เมื่อแฝดสยองของฉันจ้องมองนิ่ง
ด้วยความที่เป็นแฝดกัน ฉันรู้ว่าการทำแบบนั้นของไนท์ มันหมายความว่าเขากำลังงอน
“หน้าตาของแกยังดีอยู่นี่ไนท์ ไม่เห็นมีรอยหมัดเลย”
ฉันยกมือขึ้นจับใบหน้าหล่อเหลา พลิกไปทางซ้าย จากนั้นก็พลิกมาทางขวา ไม่มีรอยช้ำอย่างที่ควรจะเป็น
เอ๊ะ! นี่ฉันกำลังสนับสนุนให้น้องชายตัวเองโดนต่อยใช่ไหม
“ก็ … นั่นแหละไนท์ หน้าหล่อๆของแก ยังปกติดี”
ไนท์ยังคงจ้องฉันไม่เลิก เหมือนพยายามเข้ามาให้ถึงสิ่งที่ฉันคิด ฉันถึงกับหน้าถอดสี มันเกิดขึ้นบ่อยมากๆ ที่ไนท์อ่านความคิดฉันออกทั้งที่เขาเพียงแค่จ้องแบบนี้
“เห้อ! เออ! หน้ากูยังปกติดี แต่มึงระวังตัวไว้เลยนะ อย่าให้ไลน์เนอร์เจอตัวเด็ดขาด”
ไนท์ถอนหายใจยืดยาว เหมือนเขาจะพูดบางอย่าง แต่ก็เลือกที่จะไม่พูด ฉันไม่ถือสาที่น้องชายขึ้นมึงกูใส่ เพราะเขาพูดจาหมาไม่รับประทานกับฉันมาตั้งแต่เริ่มขึ้นมอปลาย แต่ไอ้เรื่องที่เขาเตือนให้ฉันระวังตัวจากไลน์เนอร์คู่กัดของเขานี่สิ มันใช่เรื่องที่ต้องเตือนฉันไหม ฉันกับไลน์เนอร์ไม่เคยรู้จักกันเป็นการส่วนตัว แน่นอนว่าฉันไม่ต้องระวังเขาเพราะไม่เคยบาดหมางกัน แล้วทำไมไนท์ถึงเตือน อย่าบอกนะว่าไอ้นี่ไปสร้างเรื่องมาอีกแล้ว
“แกไปสร้างเรื่องมาใช่ไหมไนท์!?”
“ …”
ไนท์เงียบ แต่ท่าทางของเขาบอกชัดว่าเป็นแบบนั้น ฉันผลักไหล่เขาแรงๆ ขยับหนีไปนั่งลงเก้าอี้อีกตัวที่อยู่ข้างๆ ไนท์เปลี่ยนสีหน้าเป็นสำนึกผิด ซึ่งมันไม่ทันแล้วโว้ยไอ้บ้า
ไนท์หาเรื่องมาให้ฉันซวยได้ตลอด ด้วยความที่ฉันแต่งตัวคล้ายผู้ชายทั้งที่เป็นผู้หญิง มันทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าฉันเป็นไนท์
นี่ฉันต้องใช้ชีวิตแบบนี้อีกนานแค่ไหน อยากใช้ชีวิตเหมือนคนอื่นเขาบ้าง อยากแต่งตัวสวย อยากอวดผมยาวสลวยของตัวเอง แต่ดูฉันตอนนี้สิ ทั้งวิกผมสั้นที่ใส่ ทั้งเสื้อผ้าตัวใหญ่โคร่ง ถ้าบอกว่าเป็นผู้ชายจริงๆ คนคงเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเป็นแบบนั้น
“ไนท์! เย็นนี้กลับก่อนเลยนะ จะไปห้าง”
ไนท์ที่ฟุบหน้าอยู่บนโต๊ะมาเกือบสิบนาที ขยับใบหน้าหันมาทางฉัน สีหน้าสงสัยเหมือนอยากรู้ของเขา ไม่ได้ทำให้ฉันบอกว่าจะไปทำอะไร
ฉันก็มีชีวิตของฉันเหอะ ถึงจะเป็นแฝดกัน ก็ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องของกันและกันนะ
“ระวังตัวหน่อยล่ะ ตอนนี้ไลน์เนอร์หมายหัวฉันอยู่”
เขาหมายหัวแกตั้งนานแล้วไหม คนทั้งมหาวิทยาลัยรู้กันหมด ว่าไนท์กับไลน์เนอร์ไม่ลงรอยกัน ฉันเองก็รู้ เพียงแต่คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องของตัวเองเลยไม่ใส่ใจ แต่ตอนนี้ฉันคงต้องใส่ใจแล้วใช่ไหม เพราะบางทีไลน์เนอร์คนนั้น อาจจะเล่นงานฉันที่เป็นแฝดของไนท์ก็ได้
ตุบ! ตุบ!
“เป็นแฝดแกนี่มีแต่เรื่องซวยๆ”
ฉันเอื้อมมือไปทุบไหล่ของไนท์สองที เขามองฉันเหมือนไม่พอใจ แต่ก็ยอมเงียบไม่ตอบโต้ ฉันอยากจะกลายร่างเป็นยักษ์แล้วเขมือบเขาลงท้องไปซะ แค่นี้ฉันก็ใช้ชีวิตลำบากมากแล้วนะ ทำไมต้องหาเรื่องมาเพิ่มให้ด้วย ใช้ชีวิตเงียบๆเหมือนคนอื่นมันยากนักหรือไง ทำไมฉันทำได้ เขาถึงทำไม่ได้
“ขอโทษ!”
“เงียบปากไปเลย!”
“นักศึกษานั่นแหละที่ต้องเงียบ!”
อาจารย์ประจำคลาสตวาดสวนกลับมา ฉันจึงรู้ตัวว่าเมื่อกี้ใช้เสียงดังเกินไป เพราะฉันได้รับการยกเว้นหลายอย่าง ทำให้อาจารย์บางคนเกิดความรู้สึกไม่พอใจ อาจารย์ที่กำลังสอนอยู่ตอนนี้ก็เหมือนกัน เธอไม่พอใจฉันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และสายตาตำหนิกับถ้อยคำแบบนี้ มันมีให้ฉันมาตลอด
“ขอโทษค่ะอาจารย์”
“เลิกคลาสได้ นักศึกษาอย่าลืมส่งงานที่สั่งล่ะ”
อาจารย์ทำเหมือนคำขอโทษของฉันเป็นเสียงของลม ฉันก้มหน้าลงซ่อนความไม่พอใจ น้ำตาไหลปริ่มรอบดวงตา
ไม่ใช่ว่าฉันอยากเป็นบุคคลพิเศษ แต่เพราะมีคนคุกคามหมายเอาชีวิตฉันกับไนท์ ฉันจึงต้องทำแบบนี้ ใช้ชีวิตเหมือนเป็นผู้ชายทั้งที่เป็นผู้หญิง ทำตัวเหมือนคนไม่เต็มเต็งทั้งที่เป็นคนปกติ ฉันก็อยากใช้ชีวิตเหมือนคนอื่นๆ แต่มันทำไม่ได้เพราะฉันยังไม่อยากตาย
ฉันหอบความหงุดหงิดหนีออกมาจากชั้นเรียนทันทีที่อาจารย์คนนั้นปล่อย ความรีบร้อนทำให้ลืมหยิบเอาหมวกที่วางไว้ตอนเรียนออกมาด้วย แมสก็ไม่สนใจที่จะใส่มัน ตอนนี้อารมณ์ฉันไม่ดีเอามากๆ จึงไม่สนใจอะไรเลย
“นั่นไนท์? อะ ไม่สิ ไวท์นี่นา”
หลายคนจำฉันกับไนท์ได้ และแยกฉันกับเขาออก แต่มีไม่น้อยเลยที่เข้าใจผิดว่าฉันเป็นไนท์ในแว๊บแรก เพราะวิกผมแบบสั้นที่ฉันใส่อยู่ ฉันสามารถบิดบังเพศสภาพจากคนภายนอกได้แค่นิดหน่อยเท่านั้น หลายคนรู้ว่าฉันเป็นผู้หญิง และมีอีกหลายคนที่ยังเข้าใจว่าฉันเป็นผู้ชายเหมือนไนท์
“มานี่เลย ไอ้ไนท์!”
ฉันหันขวับไปมอง เพราะเสียงเรียกเหี้ยมๆดังอยู่ข้างหลังแม้ว่าฉันจะไม่ใช่ไนท์ก็ตาม รู้สึกกลัวเมื่อพบว่าเป็นไลน์เนอร์ เดือนหน้าโหดของคณะวิศวะ พยายามซ่อนสีหน้าและความกลัวไว้ และพยายามมองหาทางรอดออกไปจากสถานการณ์ที่กำลังเผชิญหน้าอยู่ตอนนี้ รวมถึงก่นด่าแฝดน้องที่ขยันหาความซวยมาให้อยู่ในใจ
ไอ้บ้าไนท์! ถ้าฉันรอดจากไลน์เนอร์ไปได้ แกโดดอัดน่วมแน่!
“ดูดีๆสิ ฉันไม่ใช่ไนท์”
ฉันยอมให้เดือนวิศวะหน้าโหดที่โคตรหล่อสำรวจความแตกต่างบนใบหน้าและร่างกาย พยายามทำตัวเป็นคนใจเย็น ทั้งที่ตอนนี้หัวใจมีนเต้นตุบตับยิ่งกว่าเสียงตีกลองยาว มันควรจะเต้นเพราะความหล่อของเขา อย่างที่ผู้หญิงคนอื่นๆเป็น แต่มันกลับไม่ใช่ ในหัวฉันมีแต่ความกลัว บางทีฉันอาจจะไม่ตายเพราะคนอื่น แต่คงตายเพราะถูกไอ้คนหน้าโหดนี่ฆ่า
ฉันยังใช้ชีวิตไม่คุ้มค่าเลยอะ ยังไม่เคยลองทำในสิ่งที่อยากจะทำ
“กูไม่ได้โง่”
เสียงของไลน์เนอร์เย็นเฉียบ ร่างกายกำยำและความสูงที่มีมากกว่าร้อยเก้าสิบขยับมาด้านหน้าอีกสองก้าว ใบหน้าหล่อเหลาดุดันโน้มลง แต่ฉันที่มีส่วนสูงมากถึงร้อยเจ็ดสิบห้า ยังต้องเงยหน้าขึ้นมองคนอย่างเขาอยู่ดี
อิจฉาเหลือเกินที่เขาสูงได้ขนาดนั้น ซ้ำยังมีหุ่นที่โคตรน่าอิจฉา ฉันหมายความว่า ถ้าตัดหน้าหล่อแบบโหดๆนี่ทิ้งก่อนอะนะ ความอิจฉาฉันถึงจะทำงานดีขึ้น
“ก็ ไม่ได้ถาม” ฉันตอบไลน์เนอร์ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“อย่ามากวนส้นตีน!” หน้าตาของเขาดุขึ้นพอๆกับน้ำเสียงที่ตะคอกกลับมา
“ทำแบบนั้นตอนไหนก่อน ไปได้แล้วใช่ไหม พอดีรีบ” ฉันยังคงกวนเขาด้วยการพูด
“บอกยังว่าไปได้?” น้ำเสียงยียวนแต่ไม่เท่าสีหน้าของคนพูด
ตอนนี้ฉันรู้แล้วแหละ ว่าทำไม เขากับไนท์ถึงเป็นไม้เบื่อไม้เมากัน ก็หน้าตามันกวนส้นตีนทั้งคู่แบบนี้ไง ต่างคนต่างไม่ยอมกันด้วยมั้ง
“เห้อ! ไม่ต้องบอกก็จะไป! จบนะ!” ฉันหมุนตัวกลับไป เดินหนีไลน์เนอร์ราวกับหนีเจ้าหนี้สุดโหด ยังเดินไม่ถึงไหนน้ำเสียงเยือกเย็นกว่าที่ได้ยิน ก็ดังอยู่ข้างหู“มึงไปกับกูหน่อยสิ ไวท์!”ข้อมือใหญ่เหมือนกรงเหล็ก รวบเอาข้อมือข้างซ้ายของฉันไปกำไว ร่างกำยำน่าอิจฉาลากฉันไปตามทางเดินเชื่อมระหว่างตึกคณะ ฉันขืนตัวไว้ด้วยแรงทั้งหมดที่มี แต่แรงผู้หญิงมันสู้แรงผู้ชายได้ที่ไหน เมื่อสู้ด้วยแรงไม่ได้ ฉันก็ตัดสินใจที่จะใช้ปากสู้ ไม่กลัวว่านั่นอาจจะทำให้เส้นด้ายชีวิตของตัวเองขาดสะบั้นลง“ปล่อยกูนะไอ้เหี้ย!”ฉันไม่สนว่ากำลังถูกใครลากไป ไม่สนแม้จะรู้ถึงความน่ากลัวของไลน์เนอร์ ผ่านทางข่าวลือที่ใครหลายๆคนพูดผ่านหู ในพื้นที่ที่มีคนอยู่เยอะแบบนี้ เขายังกล้าทำแบบนี้กับฉัน ถ้าหากปล่อยให้เขาลากไปในที่ลับตาคน ฉันอาจจะถูกเขากระทืบตาย เพราะคิดว่าฉันเป็นไนท์เดี๋ยวสิ ไม่นี่ เมื่อกี้เขาเรียกฉันไวท์นี่นา ได้ยินชัดเต็มสองหูเลย“นี่! เดี๋ยวก่อน นายรู้ว่าฉันไม่ใช่ไนท์นี่ ปล่อยสิ ปล่อยสิเว้ย” ฉันตั้งใจว่าจะคุยกับไลน์เนอร์ดีๆ แต่สิ่งที่ได้รับกลับมา คือแววตาที่ชวนให้หงุดหงิด และแรงลากที่มากกว่าเดิม ฉันแทบจะปลิวไปตามแรงของเขา
“สีหน้าแบบนั้นคืออะไร?”“หืม! เปล่านี่! ไม่ได้คิดอะไรเล้ย บอกได้ยังว่าลากฉันมาที่นี่เพื่ออะไร?”ฉันทำหน้ายียวนมากขึ้น ไม่ได้กลัวเขาเท่าตอนแรก เพราะมีคนอยู่รอบตัวเราเยอะ ถ้าฉันถูกเขาทำอะไร น่าจะพอร้องขอความช่วยเหลือได้แหละ“ถ่ายแบบ แค่นี้ก็ดูไม่ออกหรือไง”ดวงตาคู่นั้นของไลน์เนอร์ เหมือนกำลังด่าฉันว่าโง่อยู่เลย ฉันเลือกที่จะมองข้ามไป เพราะไม่อยากมีปัญหาตามมาทีหลัง ถ้าแค่ถ่ายแบบเฉยๆ รีบถ่ายให้มันจบดีกว่า จะได้แยกย้ายกับเขาสักที“แค่ถ่ายแบบ บอกดีๆก็ได้นะ ไม่ต้องทำแบบนี้”ฉันขืนมือออกจากข้อมือของไลน์เนอร์ เขาปล่อยให้ฉันเป็นอิสระ แต่ไม่นานก็โน้มตัวลงมาใกล้ จนใบหน้าแทบจะชนกับหน้าของฉัน ซ้ำยังใช้มืออ้อมมาดันแผ่นหลัง ไม่ให้ฉันขยับหนีไปไหน“บอกดีๆแล้วจะยอมมา?”เออว่ะ! บอกดีๆฉันก็ไม่มาหรอก เพราะมันไม่ใช่เรื่องของฉันไง“ไม่อะ!”“ก็นั่นแหละ! ไปเปลี่ยนชุดดิ!”ไลน์เนอร์หยัดตัวขึ้นตรง ไล่ให้ฉันไปเปลี่ยนชุด ฉันเดินหน้าตึงผ่านร่างของเขาไป หยุดยืนอยู่ข้างๆราวเสื้อผ้า หันกลับไปมองเขาอย่างสงสัย ว่าชุดที่ฉันต้องใส่ถ่ายแบบนั้น มันใช่ชุดที่แขวนอยู่ในราวนี้จริงเหรอ“มีอะไร?” น้ำเสียงของเขายังคงห้วน ทำเอาใจฝ่
“เสร็จยัง!”“กระโปรงนี่ต้องถอดไหม?”มาถึงขั้นนี้แล้ว ฉันคิดว่ายอมทำตัวว่าง่าย น่าจะได้รับอิสระง่ายกว่า คนถูกถามลากสายตาลงต่ำ มองท่อนขาของฉันพลางทำหน้าครุ่นคิด“ขาใหญ่ปิดไว้เถอะ”“กรี๊ด! มันจะมากเกินไปแล้วนะไลน์เนอร์”ฉันเหลืออดเหลือทนกับคนอย่างเขา ที่บูลลี่ท่อนขาของฉันว่ามันใหญ่ เดินเข้าไปใกล้จนเขาแสดงสีหน้าตกใจให้เห็น ดวงตาคมกล้าเบิกกว้างขึ้น เมื่อฉันดึงกระโปรงที่ใส่อยู่ขึ้นจนเกือบถึงกางเกงชั้นใน“แหกตาดูซะ! มันใหญ่ตรงไหนก่อน!”“อะ อืม! ก็ใหญ่นะ โหนกนูนอีกต่างหาก!”“กรี๊ด! นี่นายหมายถึงตรงไหนเนี่ย!”“เธอให้ฉันดูอะไรอยู่ล่ะ?”เป็นอีกครั้งที่ได้เห็นแววตาแปลกไปของไลน์เนอร์ มันอยู่เพียงแค่เวลาสั้นๆ แต่เล่นเอาหัวใจฉันเต้นรัว เลือดไหลผ่านร่างจนรู้สึกร้อนผ่าว ท้องน้อยเสียววาบลามไปจนถึงส่วนหวงแหน“ลามกที่สุด!”ฉันตราหน้าเขาพลางคลายมือออกจากกระโปรงแบบจับจีบ ถอยหลังหนีจากร่างสูงใหญ่ ที่ก้าวเข้าหาด้วยท่าทีคุกคาม ไลน์เนอร์เดินต้อนฉันไม่หยุด จนกระทั่งแผ่นหลังแนบผนังห้องไร้ทางหนี ฉันจึงใช้สายตาสู้“ละ ลองทำอะไรบ้าๆดูสิ ฉันกัดหูขาดนะ!”เหมือนการขู่ทางสายตาจะไม่ได้ผลกับคนตรงหน้า ฉันจึงขู่เขาด้วยการพ
“กรี๊ด! น่าเกลียดที่สุดเลย!”ฉันกรีดร้องสุดเสียงและพูดออกมา เมื่อเผลอจินตนาการไปถึงส่วนที่ไม่ควรเห็นของไลน์เนอร์ คนที่คร่อมฉันอยู่ทำหน้าเหลอหลาเพราะความงง ส่วนคนอื่นๆทำหน้าตึง เพราะฉันทำให้การถ่ายแบบต้องหยุดชะงัก“คือ ขอโทษค่ะ พอดี ไลน์เนอร์เขาจ้องหน้าอกฉัน”ฉันโยนความผิดไปให้ไลน์เนอร์ เขามองฉันเหมือนอยากจะฆ่า จากนั้นก็ลากสายตาไปจ้องหน้าอกของฉันจริงๆ ฉันยกมือขึ้นหวังใช้มันดันใบหน้าเขาให้หันไปทางอื่น เขาจับมือข้างนั้นไว้ จับดันขึ้นไปกดทับอยู่เหนือศรีษะ“ทำดีมากไลน์เนอร์ ท่านี้ให้ความรู้สึกดีมาก เจ้เสียวท้องน้อยเลยอะ”ไม่ใช่แค่เจ้คนนั้นที่เสียว ฉันเองก็รู้สึกเสียววาบตามท้องน้อย บิดม้วนอยู่สักพักก็เริ่มลามไปส่วนที่ต่ำลงไป น้ำหวานที่ร่างกายไม่เคยขับออกมา ถูกขับออกมาช้าๆพอให้รู้สึกถึงมันได้อะไรกัน ความรู้สึกวูบวาบนี้ มันคืออะไรกันแน่“ทำหน้าแบบนั้น เธอก็เสียวหรือไง?”“ไม่ใช่สักหน่อย ฉันแค่ … รังเกียจที่โดนคนแบบนายสัมผัส”ฉันโกหกออกไป และพูดสิ่งที่มันตรงกันข้ามกับความรู้สึกในตอนนี้ ยึดเอาความรู้สึกแรกมาพูด ฉันเกลียดคนที่บังคับฝืนใจฉัน เกลียดพวกที่ใช้กำลังมากกว่าสมอง“ตอนนี้มึงอาจจะรังเกียจ
กรี๊ด!บรรยากาศของเมืองหลวงตอนกลางคืน แสงไฟสีเหลืองขาวที่สลับสับเปลี่ยนบนท้องถนน มันส่องกระทบเข้ามาในรถ ทำให้ผู้ชายที่ไม่ค่อยตั้งใจขับรถคนนั้น ดูลึกลับและดึงดูด ไม่แปลกใจว่าทำไมเขาถึงฮอตนัก เสน่ห์ของเขาเลื่องลือไปทั่วมหาวิทยาลัย เป็นผู้ชายสุดโหด ที่ผู้หญิงทั้งมหาวิทยาลัยโหวต ว่าเหมาะกับตำแหน่งสามีของพวกหล่อน รองลงมาจากพี่อาเธอร์ วิศวะโยธาชั้นปีที่ 4เห้อ! เป็นที่น่าเสียดายสำหรับฉัน พี่อาเธอร์คนนั้น นิสัยเลวร้ายยิ่งกว่าไลน์เนอร์ซะอีก ฉันเคยชื่นชมเขาอยู่พักใหญ่ พอได้รู้ว่าเขามองฉันเป็นอะไร ฉันก็ไม่ปลื้มเขาอีกเลย“ถึงแล้ว!”สงสัยฉันชื่นชมความหล่อของไลน์เนอร์นานไปหน่อย มันใช่ที่ไหนเล่า! เพราะฉันเอาแต่นึกถึงสมัยที่ตัวเองชื่นชมพี่อาเธอร์ กับบรรยากาศที่มันชวนหลงใหลมากเกินไป รู้สึกตัวอีกทีไลน์เนอร์ก็บอกว่าถึงแล้ว และเขาขับรถมาถึงบ้านของฉันจริงๆ ทั้งที่ฉันยังไม่ได้บอกเขาเลยว่าบ้านฉันอยู่ที่ไหน“ลงไป!”ไลน์เนอร์ไม่ปล่อยให้ความสงสัยของฉันทำงานเลย เอ่ยปากไล่ด้วยน้ำเสียงเย็นชา บวกกับใบหน้าที่พร้อมวิ่งเข้าไปบวก ฉันที่ไม่อยากเสียสุขภาพจิตอยู่ข้างๆคนแบบเขา เอื้อมมือไปคว้าที่จับประตู กำลังจะผลักมันออ
“ถ้ามันทำอะไรแปลกๆ มาบอกพี่”ดวงตาสีเทาอ่อนที่ฉายแต่ความน่ากลัวออกมา ในตอนนี้ฉันเห็นว่ามันอบอุ่นและอ่อนโยนลง ดวงตาของเขามักจะเป็นแบบนี้เสมอ หลังจากที่ฉันตีตัวออกห่างจากกลุ่มที่เขาดูแลอยู่ พี่อาเธอร์ไม่เหมือนเดิมเลย ฉันก็ไม่ต่างกัน ตอนนี้เรากลายเป็นเพียงแค่คนที่เคยอยู่กลุ่มเดียวกัน ความรู้สึกชอบที่มีให้เขานั้น มันเป็นแค่อดีตที่ฉันอยากลืม“ฉันออกมาจากกลุ่มนานแล้ว การที่พี่โผล่มาที่นี่ มันทำให้ฉันใช้ชีวิตลำบากขึ้น อย่ามาหาฉันอีกเลย ฉันไม่ใช่ไวท์คนเดิมแล้วนะ”ฉันยืดตัวขึ้นจากเก้าอี้ ขยับไปด้านข้างเอื้อมไปคว้ากระเป๋ามาสะพาย ตั้งใจเดินผ่านพี่อาเธอร์ไปเงียบๆ แต่เขาไม่ยอมให้ฉันทำแบบนั้น มือใหญ่เอื้อมมากำท่อนแขน ดึงเข้าหาตัวช้าๆ ลดใบหน้าต่ำลงอย่างรวดเร็ว“ปล่อยนะ!”“ยังโกรธพี่เรื่องนั้นอยู่เหรอ?”“ไวท์ไม่โกรธหรอก พี่ไม่ผิดอะไรเลย และพี่ก็ไม่ต่างจากผู้ชายคนอื่น ไวท์เข้าใจ ใครๆก็คงมองไวท์เหมือนที่พี่มองนั่นแหละ”ฉันยิ้ม ประโยคพวกนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกทั้งหมดของฉัน ประชดประชัน น้อยเนื้อต่ำใจ เขาเป็นคนแรกที่ฉันนึกว่ามันจะต่าง แต่ก็ไม่ เขาไม่ต่างจากผู้ชายคนอื่นเลย มองฉันที่รูปลักษณ์ภายนอก ซึ่งม
“อยากให้เลิกเสือกไหม?”เหมือนจะเห็นรอยยิ้มหยักสวยจากกลีบปากคล้ำ มากกว่าได้ยินประโยคชวนวูบไหวจากเขา ฉันผละถอยหลัง รู้สึกแปลกและร้อนวูบเพราะรอยยิ้มของไลน์เนอร์“ก็ต้องอยากสิ ช่วยปล่อยให้ฉันใช้ชีวิตเงียบๆเหมือนเดิมได้ไหม การที่นายมาวุ่นวายกับฉันหลังจากที่รู้แล้วว่าฉันไม่ใช่ไนท์ มันทำให้ฉันลำบากนะ”เพราะรอยยิ้มนั้นของไลน์เนอร์ กับใบหน้าที่ดูอ่อนโยนลงกว่าที่เคยเห็น ฉันจึงลองคุยกับเขาดีๆ“ทำไม?”“ไม่ต้องรู้หรอกว่าทำไม ฉันมีเหตุผลก็แล้วกัน เพราะฉะนั้นปล่อยฉันไปเถอะ”“ …”“ …?”ดวงตาสีเข้มของไลน์เนอร์ เปลี่ยนไปจนฉันใจสั่น ‘ เสียดาย’ และ ‘เสียใจ’ไม่รู้ฉันเพี้ยนไปหรือเปล่า ถึงรู้สึกว่าดวงตาของเขาแสดงความรู้สึกแบบนั้นออกมา“ขะ ขอบคุณที่เข้าใจนะ”ฉันก้าวเดินออกมาด้วยความรวดเร็ว หัวใจเต้นเร็วจนผิดปกติ ไม่อยากคิดอะไร ไม่อยากให้ภาพของไลน์เนอร์ฝังอยู่ในหัวเหมือนสองวันที่ผ่านมา จึงสลัดทุกอย่างเกี่ยวกับเขาทิ้งไป คงไม่มีโอกาสให้เจอกันอีกแล้ว ฉันต้องดีใจ และกลับไปใช้ชีวิตปกติชีวิตที่หลบๆซ่อนๆ เหมือนเป็นเพียงแค่เงา18 : 45 น.เรื่องราวของผู้ชายชื่อไลน์เนอร์ ยังคงรบกวนฉันอยู่เหมือนเดิม ฉันนอนคิดเรื่องข
20 : 05 น.ฉันมาถึงช้ากว่าเวลานัดจริงๆ ทั้งที่สนามแข่งกับบ้านอยู่ห่างกันไม่ถึงสองกิโลเมตร เมื่อจ่ายเงินพี่วินเสร็จแล้ว ฉันก็รีบล้วงหาโทรศัพท์ในกระเป๋าออกมา ต้องใช้มันเป็นใบผ่านทาง และใช้มันบอกข้าวหอมด้วยว่ามาถึงแล้วปึ่ก!“ขอโทษครับคนสวย เป็นอะไรหรือเปล่า?”เพราะมัวแต่ก้มมองโทรศัพท์จนไม่ได้มองทาง ฉันถูกใครสักคนชน และเป็นเขาที่ช่วยพยุงไว้ แต่ใบหน้ากะลิ้มกะเหลี่ยกับน้ำเสียงตอนถาม มันทำให้ฉันฉุนกึกเขาตั้งใจชนฉันหรือเปล่าวะ? ฉันว่าใช่แหละ แม่ง! ต่อยสักทีดีไหม!“เป็น!”ในขณะที่ฉันกำลังคิดว่าจะต่อยคนที่พยุงตัวอยู่ดีไหม เสียงเข้มๆก็ดังขึ้นด้านหลัง และไม่นานร่างของฉันก็ลอยหวือไปตามแรงดึง หลุดออกจากอ้อมแขนของผู้ชายคนหนึ่ง ไปอยู่ในอ้อมกอดของผู้ชายอีกคน“พี่ พี่อาเธอร์!”ผู้ชายคนนั้นเสียงสั่น ชื่อที่ได้ยินจากเขาคนนั้น ทำให้ฉันรีบเงยหน้าขึ้นจากอก เป็นพี่อาเธอร์จริงๆ ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชากำลังมีรอยยิ้มเล็กๆข้างมุมปาก ฉันขืนตัวออก แต่เหมือนอ้อมกอดนั้นจะแน่นขึ้นกว่าเดิม“ขอ ขอโทษครับพี่! ผม ผมไม่รู้ว่าเป็นเด็กพี่”เด็กพี่? เด็กใครนะ?ฉันไม่พอใจที่ถูกมองว่าเป็นเด็กของพี่อาเธอร์ จึงใช้มือหยิกเขาเพื่อท
อึก! อึก!ความหอมหวานของเหล้าผสมทำให้ฉันดื่มมันเกือบหมดแก้ว บาร์เทนเดอร์หนุ่มยิ้มมุมปาก วางแผ่นเมนูไว้ตรงหน้า ฉันหยิบมันขึ้นมาเพื่อดูว่าจะสั่งอะไรต่อ แต่ดูไปก็เท่านั้น ฉันเลือกถามมันกับเขา ว่าอะไรอร่อย และเหมาะกับฉันที่สุด“คุณคิดว่าอะไรอร่อย แล้วเหมาะกับฉัน?”คิ้วสีดำเข้มเลิกขึ้นสูง เขาไล่สายตาสำรวจฉันอย่างจริงจัง สายตาวาบหวามแบบนั้น ทำเอาหน้าร้อนวูบขึ้นมา คิดถึงสายตาของไลน์เนอร์ขึ้นมาเฉยเลย วันที่เขาลากฉันไปถ่ายแบบ เขาก็มองฉันด้วยสายตาแบบนี้เลย มันหมายความว่ายังไงนะ สนใจ หรือ …“มอง … มองแบบนั้นหมายความว่ายังไง?”มุมปากหยักยกขึ้นเป็นรอยยิ้มกว้าง มือที่เห็นรอยสักโผล่พ้นจากร่มผ้า วางลงตรงหน้าฉัน เขายื่นหน้าเข้ามาเอียงไปด้านข้าง กระซิบข้างหูเสียงพร่า“เพราะสนใจไงครับ”“สนใจ … งั้นเหรอ”“อื้อ คุณสวยนี่นา ก็ต้องสนใจอยู่แล้วแหละ”เขาถอยออกไปทำหน้าที่ของตัวเอง ประโยคนั้นควรจะทำให้ฉันดีใจ แต่มันกลับทำให้รู้สึกแย่มากกว่า ไลน์เนอร์เองก็คิดแบบนี้หรือเปล่านะ เห้อ! ช่างเรื่องไลน์เนอร์ได้ไหม ไอ้สมองบ้าๆเนี่ย เลิกคิดเรื่องเขาสักทีพรึ่บ!“อันนี้ของคุณครับ”“ฉันไม่เหมาะกับอันนี้หรอกมั้ง?”เตกีลาเพร
“ไม่ต้องแยกกันนั่งนะ กูให้ทางร้านเตรียมสถานที่ไว้ให้แล้ว”ไนท์พูด เหมือนเขารู้ว่าพวกเราจะไม่พอใจแน่ๆ จึงออกหน้าบริการเรื่องสถานที่ พวกเราไม่คุยกับเขา เดินตรงไปยังโซนที่มาบ่อยๆ ฉันมองหาที่นั่งที่ดีที่สุด เมื่อเจอก็เดินปรี่เข้าไปนั่ง มองหน้านักร้องสุดหล่อที่กำลังร้องเพลงอยู่ พรูลมหายใจออกเบาๆ เมื่อมันไม่ช่วยให้ความหงุดหงิดลดน้อยลงเลย“ไวท์จะดื่มอะไร?”วาโยนั่งลงข้างๆ ถามฉันพลางยกมือเรียกบริกร เมื่อบริกรชายวางแผ่นเมนูลง ฉันก็จับพลิกมันไปมาเพื่อเลือก เพราะยังเมาค้างอยู่ ถึงจะอยากเมาเพิ่มมากแค่ไหน ใจมันก็ไม่กล้าพอ สั่งเหล้าผสมมาดื่มพลางๆไปก่อนแล้วกัน“คอกเทลก่อนแล้วกัน”“เอา Pink lady ไหม?”วาโยหยิบเมนูที่ฉันเลือกบ่อยที่สุดขึ้นมาถาม ฉันจึงพยักหน้าตอบเขาไป เขาเงยหน้าสั่งเมนูนั้นกับพนักงานให้ ไม่วายหันมาถามเรื่องกับแก้มต่อ“ขอ Pink Lady ครับ แล้วกับแก้มล่ะไวท์?”“อะไรก็ได้”เพราะเน้นดื่มไม่เน้นเคี้ยว ฉันจึงไม่สนใจกับแก้มมากนัก วาโยสั่งของที่ฉันชอบกินมาสามอย่าง สั่งของตัวเองมาเพียงอย่างเดียว เสร็จแล้วก็ยื่นเมนูไปให้เพื่อนคนอื่นสั่งบ้าง จากนั้นก็ยกมือเท้าคางจ้องหน้าฉัน“ทำไมถึงลุกขึ้นมาแต่งตัว
“ไปดื่มกัน! อยากเต้นอะ”“ไปดิ!”“ไปด้วย!”แล้วเพื่อนทั้งหกคนก็ลุกขึ้น เดินตามเราสองพี่น้องมา ไนท์ยกมือขึ้นโอบลำคอฉัน ดึงรั้งเบาๆพลางกระซิบข้างหู คำถามของเขามาพร้อมคำเตือน ฉันเลือกที่จะเงียบ เพราะให้คำตอบเขายังไม่ได้‘ชอบไลน์เนอร์เหรอ? อย่าชอบคนแบบมันเลยนะ’ฉันชอบไลน์เนอร์หรือเปล่า ฉันยังหาคำตอบที่ชัดเจนให้ตัวเองไม่ได้ แต่การใกล้ชิดของเราในช่วงเวลาสั้นๆ หัวใจของฉันสั่นเพราะเขาไปไม่น้อยเลย ไหนจะความรู้สึกอื่นที่ไม่เคยเกิดขึ้นเพราะผู้ชายคนไหนนั่นอีก ฉันอาจจะชอบเขาจริงๆ แต่มันจะชอบได้เหรอ ในเมื่อเขามีผู้หญิงข้างกายอยู่แล้วเพราะไม่อยากให้เกียรติของสถาบันเสื่อมเสีย และยังไม่มีผับที่ไหนเปิดก่อนหนึ่งทุ่ม พวกเราจึงตกลงกันว่าจะไปดูหนังก่อน ดูหนังเสร็จแล้วก็หาซื้อชุดจากในห้างนั่นแหละเปลี่ยน จากนั้นค่อยไปดื่มฉลองกัน19 : 45 น.เพราะไม่ต้องปิดบังตัวตนแล้ว ฉันจึงแต่งตัวได้อย่างที่ต้องการ ผมสีดำยาวที่เคยเก็บซ่อนมันไว้ใต้วิกผม ปล่อยให้ยาวสยายเต็มแผ่นหลัง ชุดเปิดเผยเนื้อหนังซะจนเพื่อนๆมองตาค้าง ตอนเดินออกไปจากห้องลองชุด“ว้าว! โคตรเด็ดเลยไวท์”“อย่ามองเยอะสิวะ!”วาโยปรามเพื่อนคนนั้น ทำหน้าตาราวกับเป็
12 : 45 น.เพราะมีเรียนบ่าย และฉันขาดเรียนติดต่อกันหลายวัน ถึงจะรู้สึกปวดหัวเพราะอาการเมาค้าง และเรื่องตำแหน่งงานที่สูงขึ้นของพ่อ ฉันก็ต้องแบกสังขารมามหาวิทยาลัย วันนี้เดินทางมาด้วยรถโดยสารเหมือนเดิม ส่วนคันที่ถูกทิ้งไว้ร้านเหล้า มันถูกคนของพ่อนำกลับมาเมื่อเช้า ตอนที่กำลังจะออกมาจากบ้าน คนงานทำการติดแผ่นป้ายทะเบียนให้อยู่จึงไม่ได้ใช้งานมันปึ่ก!“อ๊ะ! โทษที! ไม่เห็นว่ามีคนอยู่”เป็นเสียงของลูกหนู และเป็นเธอที่ใช้ร่างกายชนฉันจากด้านหลัง ฉันหันกลับไปมอง ยัยนั่นตกใจเล็กน้อย แต่ก็ยังคงทำหน้ายิ้มเยาะอยู่เหมือนเดิม‘ผู้หญิงของฉัน’ฉันชะงักเพราะเสียงของไลน์เนอร์ที่ดังอยู่ในหัว มันคล้ายกับความฝันเมื่อคืนเลย แล้วผู้หญิงของฉันที่เขาพูดถึง มันคือลูกหนู ผู้หญิงที่กำลังทำหน้าวอนโดนตบอยู่ตรงนี้“อยากมีเรื่องมากหรือไง?”“ก็ไม่นี่! แค่มองไม่เห็นปะ! แต่ฉันไม่คิดเลยนะ ว่าคนอย่างเธอจะเรียนอยู่มหาวิทยาลัยนี้”เพราะมหาวิทยาลัยแห่งนี้ เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนที่มีค่าเทอมแพงที่สุด และยัยลูกหนูที่เรียนมนุษยศาสตร์เอกการแสดงคนนี้ ไม่เคยเห็นฉันตอนที่ยังเป็นแค่ไวท์มาก่อน เธอไม่รู้ว่าฉันเรียนอยู่ที่นี่ไม่ใช่เรื่องแปล
“นายอยากให้ฉันทำมากกว่านี้หรือเปล่า?”แอลกอฮอล์ในร่างกายแสนร้ายกาจ ฉายภาพความเร่าร้อนของบุคคลปริศนาสองคน ที่กำลังร่วมรักกันอย่างดุเดือน คลิปวีดีโอที่เผลอเห็นน้องชายฝาแฝดเปิดดู สร้างความอยากรู้อยากเห็น และความวูบวาบตามร่างกาย“ไวท์! ถ้าไม่อยากเดือดร้อน! เลิกทำซะ! ฉันไม่อยากลากเธอมาเกี่ยวด้วย”เหมือนนั่นจะเป็นคำเตือนด้วยความปรารถนาดี แต่ฉันกลับฟังแล้วรู้สึกเสียใจ เขาปฏิเสธฉันอยู่ใช่ไหม ฉันไม่มีค่าพอให้เขาอยากเกี่ยวข้องด้วยเหรอ“ถ้าเป็นลูกหนู … นายจะปฎิเสธไหม?”“ไม่! ทำไมฉันต้องปฎิเสธผู้หญิงของฉันด้วย”“อ่า! งั้นเหรอ? นายกับลูกหนู เป็นแบบนั้นสินะ นายไม่ต้องไปส่งฉัน ฉัน ฉันกลับเอง”พลั่ก!รู้สึกเหมือนท้ายทอยโดนตีด้วยไม้หนักๆ ฉันใช้แรงที่มีทั้งหมดในร่างกาย ผลักร่างสูงใหญ่ของไลน์เนอร์ออกห่าง เขาเสียการทรงตัวจนเกือบล้ม ฉันใช้จังหวะนั้นวิ่งฝ่าความมืดออกมา สติสัมปชัญญะมีขึ้นมาจากเดิมแค่นิดหน่อย คงเป็นเพราะหัวใจที่ถูกบีบรัดอย่างรวดเร็ว บีบอัดจนรู้สึกเจ็บแปลบเพราะคำพูดของไลน์เนอร์ลูกหนูคือผู้หญิงของเขา ฉันเมานั่นแหละ ฉันคงเมามากๆ ถึงได้รู้สึกเสียใจมากมายขนาดนี้วันต่อมา10 : 45 น.ฉันลืมตามองเ
“เดินไหวหรือเปล่า?”“ไหว! เดินไหว”“หึ! อวดเก่ง!”เอ้าไอ้นี่! ฉันเดินไหวจริงๆ ถ้าเขาปล่อยฉัน ฉันจะเดินให้ดู แต่ไลน์เนอร์ไม่ปล่อย เขายังคงใช้ร่างกำยำนั้นเป็นหลักให้ฉันเดิน แขนข้างขวาที่เห็นรอยสักโผล่พ้นออกมารำไร โอบอยู่รอบเอวของฉัน สีหน้าเขายังคงเหมือนเดิม มันเต็มไปด้วยความหงุดหงิด แม้จะเห็นในมุมที่ต่ำกว่าปกติ“นี่! ทำหน้าดีๆหน่อย เสียดายของ”“หน้าฉันเป็นแบบนี้อยู่แล้ว”“ชิ! ก็เห็นยิ้มออกบ่อย”ฉันก้มหน้าลงมองทางเดิน เหมือนรอยยิ้มมุมปากของไลน์เนอร์จะติดอยู่ในใจของฉัน เขาเป็นคนที่ยิ้มได้เท่มาก สีเสน่ห์จนอยากให้เขายิ้มแบบนั้นบ่อยๆโอ้ย! ฉันเมาหนักจนเพี้ยนหรือเปล่าเนี่ย คนป่าเถื่อนอย่างไลน์เนอร์เนี่ยนะ เขาไม่เหมาะกับรอยยิ้มหรอก อย่าคิดบ้าๆแบบนั้นอีกเชียวนะ“เดี๋ยว! เดี๋ยวก่อน! นายจะพาฉันไปไหน?”ฉันร้องลั่น เมื่อทางเดินที่ควรมุ่งสู่ลานจอดรถ มืดสลัวไร้แสงไฟสาดส่อง คนข้างๆถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก้มใบหน้าลงมาใกล้จนได้กลิ่นของบุหรี่จางๆ“ฉันบอกว่าจะไปส่งใช่ไหม รถฉันจอดอยู่ทางนั้น” ปลายนิ้วมือของไลน์เนอร์ พุ่งตรงไปทางที่ไร้แสงไฟ บริเวณที่เราอยู่มืดสลัวพอๆกัน แต่มันดีกว่าทางนั้นแน่นอน“อ่า! งั้นเหรอ”
‘เหมือน ฉันจะชอบ เธอเลย เสียดายชีวิต ขึ้นมา เลยแฮะ’‘นี่! พูดอะไรของนาย’ปึ่ง!ฉันกับเขาสะดุ้ง มองไปที่ประตูห้องด้วยความหวาดกลัว ชายชุดดำเดินมากระชากแขนฉัน ใบหน้าของเขาดูดีมาก แล้วก็น่ากลัวมากๆเหมือนกัน‘ใครส่งหนูมาที่นี่?’‘หนู! หนูแค่หลงทาง’‘ช่างโชคร้ายเหลือเกินนะ เสียดายที่เด็กหน้าตาสวยอย่างหนู จะหยุดโตแต่แค่เพียงเท่านี้ เอาไปจัดการซะ! อย่าให้ศพโผล่มาแฉตัวพวกมึงได้ล่ะ!’‘ไม่นะ! ปล่อย!’‘ไม่นะ! ปล่อยเธอ’เสียงของฉันกับเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ฉันถูกชายตัวโตลากออกจากห้อง ดิ้นรนมากเท่าไหร่ก็เหนื่อยเปล่า เขาลากฉันด้วยการดึงเส้นผม ลากไปตามทางเดินทอดยาวที่ฉันเคยชื่นชมว่าหรูหรา เมื่อลากมาถึงส่วนหลังของบ้าน ตรงหน้าฉันก็ปรากฏร่างเด็กผู้ชายคนหนึ่ง‘ปล่อยเธอ!’น้ำเสียงทรงอำนาจ และคนที่จับฉันอยู่ปล่อยมือทันที เด็กที่ดูโตกว่าฉันนิดหน่อยเดินมาจับมือฉัน เขาออกแรงดึงเพียงนิดเดียว ฉันก็ก้าวเดินตาม ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะพาไปไหน ไม่รู้ว่าประโยคที่เขาพูดออกมา พอจะเชื่อถือได้หรือเปล่า‘ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ แล้วหลบซ่อนตัวดีๆนะ’เขาบอกเมื่อพาฉันเดินมาจนถึงประตูหลังเล็กๆ ฉันมองหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจ
“นี่! ทำ! ทำอะไรเนี่ย!”“หึ! เธอไม่ได้ชอบพี่อาเธอร์ใช่ไหม?”“ถะ ถามทำไม?”“ถ้าเธอชอบเขา เตรียมตัวชิบหายได้เลย”ดวงตาคนพูดน่ากลัวมาก เป็นครั้งแรกที่เห็นความน่ากลัวขนาดนี้ในดวงตาเขา ไลน์เนอร์ปล่อยมือออกจากผมของฉัน ใบหน้ากวนๆที่เห็นก่อนหน้านั้น รู้สึกว่ามันดูดีกว่าใบหน้าตอนนี้เยอะเลยนี่สินะความน่ากลัวของจริง“อย่าเข้าไปยุ่งกับพี่อาเธอร์อีก ฉันเตือนเพราะหวังดีนะไวท์”เหมือนเขาจะหวังดีจริงๆ เพราะแววตาห่วงใยที่เหลือบมามอง ฉันยังคงยืนนิ่ง ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงเตือนฉัน เขากับพี่อาเธอร์มีปัญหาอะไรกัน แล้วมันร้ายแรงถึงขั้นไหน“ทำไม?”ต่อมเผือกทำงานแบบไม่รู้เวล่ำเวลา และไม่ดูสีหน้าคู่สนทนาด้วย คิ้วเรียงสวยมุ่นเข้ามาใกล้กัน คนตัวสูงกว่าร้อยเก้าสิบขยับก้าวเข้ามา ฉันถอยหลังช้าๆ ตามสัญชาตญาณการเอาตัวรอด“ไม่ต้องเสือกเลย ฟังที่เตือนก็พอ”“อะ! ไอ้นี่!”“ฟังนะไวท์ เธอต้องฟังนะ”ดวงตาของไลน์เนอร์ดูแปลกไป จากที่อ่านความรู้สึกยากอยู่แล้ว ตอนนี้ยากกว่าเดินมาก เดี๋ยวก็ดูโกรธ แป๊บๆก็ฉายความใจดี บางทีก็รู้สึกอบอุ่น หลายอารมณ์จนเลือกไม่ถูกว่าเขาอยู่ในอารมณ์ไหนกันแน่“อือ”“ดีมาก”มือใหญ่วางลงบนศรีษะของฉัน ขย
พรึ่บ!“!…?”“?”“ที่นั่งมีตั้งเยอะ ทำไมไม่ไปนั่งที่อื่น?”“ตรงนี้ใกล้ลูกหนูดี”“เก้าอี้ข้างนั้นก็ว่างป่ะ ไปนั่งสิ!”“อยากนั่งตรงนี้ มีปัญหาอะไรไหม?”คิ้วข้างขวายกขึ้นสูง ทำหน้ากวนส้นแบบนี้คิดว่าหล่อมากหรือไงเออ! หล่อค่ะ ใบหน้ายียวนของไลน์เนอร์ดูดีมาก ยิ่งติดรอยยิ้มนิดๆข้างมุมปากแบบนั้น ยิ่งดึงดูดสายตาผู้คน ยัยลูกหนูจ้องเขาตาขวาง เผื่อแผ่มาทางฉันด้วย เพิ่มเติมคือสายตาอาฆาต“ไม่มี!”ฉันตอบเสียงกระชาก ยกแก้วเหล้าขึ้นดับอาการแปลกๆที่เพิ่งจะเคยเกิดขึ้นกับตัวเอง ฉันไม่เคยรู้สึกอิจฉา หรืออยากเอาชนะผู้หญิงคนไหนเลยสักครั้ง เป็นครั้งแรกที่รู้สึกอยากเอาชนะยัยลูกหนู และเป็นครั้งแรกที่อยากจะเอาชนะไลน์เนอร์ด้วย อยากทำให้ใบหน้าหล่อเหลานั่นเหยเกดูสักครั้ง“พี่! เดี๋ยวฉันมานะคะ”ข้าวหอมคุยกับฉันเสร็จก็รีบร้อนลุกขึ้นยืน เดินออกไปทางสนามแข่ง ที่เริ่มมีรถขับมาจอดเรียงราย ฉันมองตามเธอไปอย่างอยากรู้ ว่าทำไมถึงได้รีบร้อนขนาดนั้น เมื่อเห็นผู้หญิงตัวเล็กน่าทะนุถนอม หยุดฝีเท้าลงตรงหน้าพี่อาเธอร์ มุมปากฉันก็ยกขึ้นสูงสู้เขานะข้าวหอม!“ไม่ไปเหรอ?”คนข้างๆพูดขึ้น เสียงดังอยู่ใกล้ๆหูจนไม่กล้าหันไปมอง ได้แต่เอียง