“ไวท์! มึงหนีมาก่อนได้ไง! รู้ไหมว่าไอ้นั่นแม่งเกือบต่อยกู!”
ไนท์พูดพลางใช้ร่างกายของเขาเบียดร่างผู้ชายคนนั้นกระเด็น ทิ้งตัวลงเมื่อเก้าอี้ตัวนั่นว่างเปล่า ฉันยกยิ้มที่เขาทำในสิ่งที่ฉันต้องการพอดี แต่ต้องหุบยิ้มฉับ เมื่อแฝดสยองของฉันจ้องมองนิ่ง
ด้วยความที่เป็นแฝดกัน ฉันรู้ว่าการทำแบบนั้นของไนท์ มันหมายความว่าเขากำลังงอน
“หน้าตาของแกยังดีอยู่นี่ไนท์ ไม่เห็นมีรอยหมัดเลย”
ฉันยกมือขึ้นจับใบหน้าหล่อเหลา พลิกไปทางซ้าย จากนั้นก็พลิกมาทางขวา ไม่มีรอยช้ำอย่างที่ควรจะเป็น
เอ๊ะ! นี่ฉันกำลังสนับสนุนให้น้องชายตัวเองโดนต่อยใช่ไหม
“ก็ … นั่นแหละไนท์ หน้าหล่อๆของแก ยังปกติดี”
ไนท์ยังคงจ้องฉันไม่เลิก เหมือนพยายามเข้ามาให้ถึงสิ่งที่ฉันคิด ฉันถึงกับหน้าถอดสี มันเกิดขึ้นบ่อยมากๆ ที่ไนท์อ่านความคิดฉันออกทั้งที่เขาเพียงแค่จ้องแบบนี้
“เห้อ! เออ! หน้ากูยังปกติดี แต่มึงระวังตัวไว้เลยนะ อย่าให้ไลน์เนอร์เจอตัวเด็ดขาด”
ไนท์ถอนหายใจยืดยาว เหมือนเขาจะพูดบางอย่าง แต่ก็เลือกที่จะไม่พูด ฉันไม่ถือสาที่น้องชายขึ้นมึงกูใส่ เพราะเขาพูดจาหมาไม่รับประทานกับฉันมาตั้งแต่เริ่มขึ้นมอปลาย แต่ไอ้เรื่องที่เขาเตือนให้ฉันระวังตัวจากไลน์เนอร์คู่กัดของเขานี่สิ มันใช่เรื่องที่ต้องเตือนฉันไหม ฉันกับไลน์เนอร์ไม่เคยรู้จักกันเป็นการส่วนตัว แน่นอนว่าฉันไม่ต้องระวังเขาเพราะไม่เคยบาดหมางกัน แล้วทำไมไนท์ถึงเตือน อย่าบอกนะว่าไอ้นี่ไปสร้างเรื่องมาอีกแล้ว
“แกไปสร้างเรื่องมาใช่ไหมไนท์!?”
“ …”
ไนท์เงียบ แต่ท่าทางของเขาบอกชัดว่าเป็นแบบนั้น ฉันผลักไหล่เขาแรงๆ ขยับหนีไปนั่งลงเก้าอี้อีกตัวที่อยู่ข้างๆ ไนท์เปลี่ยนสีหน้าเป็นสำนึกผิด ซึ่งมันไม่ทันแล้วโว้ยไอ้บ้า
ไนท์หาเรื่องมาให้ฉันซวยได้ตลอด ด้วยความที่ฉันแต่งตัวคล้ายผู้ชายทั้งที่เป็นผู้หญิง มันทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าฉันเป็นไนท์
นี่ฉันต้องใช้ชีวิตแบบนี้อีกนานแค่ไหน อยากใช้ชีวิตเหมือนคนอื่นเขาบ้าง อยากแต่งตัวสวย อยากอวดผมยาวสลวยของตัวเอง แต่ดูฉันตอนนี้สิ ทั้งวิกผมสั้นที่ใส่ ทั้งเสื้อผ้าตัวใหญ่โคร่ง ถ้าบอกว่าเป็นผู้ชายจริงๆ คนคงเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเป็นแบบนั้น
“ไนท์! เย็นนี้กลับก่อนเลยนะ จะไปห้าง”
ไนท์ที่ฟุบหน้าอยู่บนโต๊ะมาเกือบสิบนาที ขยับใบหน้าหันมาทางฉัน สีหน้าสงสัยเหมือนอยากรู้ของเขา ไม่ได้ทำให้ฉันบอกว่าจะไปทำอะไร
ฉันก็มีชีวิตของฉันเหอะ ถึงจะเป็นแฝดกัน ก็ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องของกันและกันนะ
“ระวังตัวหน่อยล่ะ ตอนนี้ไลน์เนอร์หมายหัวฉันอยู่”
เขาหมายหัวแกตั้งนานแล้วไหม คนทั้งมหาวิทยาลัยรู้กันหมด ว่าไนท์กับไลน์เนอร์ไม่ลงรอยกัน ฉันเองก็รู้ เพียงแต่คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องของตัวเองเลยไม่ใส่ใจ แต่ตอนนี้ฉันคงต้องใส่ใจแล้วใช่ไหม เพราะบางทีไลน์เนอร์คนนั้น อาจจะเล่นงานฉันที่เป็นแฝดของไนท์ก็ได้
ตุบ! ตุบ!
“เป็นแฝดแกนี่มีแต่เรื่องซวยๆ”
ฉันเอื้อมมือไปทุบไหล่ของไนท์สองที เขามองฉันเหมือนไม่พอใจ แต่ก็ยอมเงียบไม่ตอบโต้ ฉันอยากจะกลายร่างเป็นยักษ์แล้วเขมือบเขาลงท้องไปซะ แค่นี้ฉันก็ใช้ชีวิตลำบากมากแล้วนะ ทำไมต้องหาเรื่องมาเพิ่มให้ด้วย ใช้ชีวิตเงียบๆเหมือนคนอื่นมันยากนักหรือไง ทำไมฉันทำได้ เขาถึงทำไม่ได้
“ขอโทษ!”
“เงียบปากไปเลย!”
“นักศึกษานั่นแหละที่ต้องเงียบ!”
อาจารย์ประจำคลาสตวาดสวนกลับมา ฉันจึงรู้ตัวว่าเมื่อกี้ใช้เสียงดังเกินไป เพราะฉันได้รับการยกเว้นหลายอย่าง ทำให้อาจารย์บางคนเกิดความรู้สึกไม่พอใจ อาจารย์ที่กำลังสอนอยู่ตอนนี้ก็เหมือนกัน เธอไม่พอใจฉันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และสายตาตำหนิกับถ้อยคำแบบนี้ มันมีให้ฉันมาตลอด
“ขอโทษค่ะอาจารย์”
“เลิกคลาสได้ นักศึกษาอย่าลืมส่งงานที่สั่งล่ะ”
อาจารย์ทำเหมือนคำขอโทษของฉันเป็นเสียงของลม ฉันก้มหน้าลงซ่อนความไม่พอใจ น้ำตาไหลปริ่มรอบดวงตา
ไม่ใช่ว่าฉันอยากเป็นบุคคลพิเศษ แต่เพราะมีคนคุกคามหมายเอาชีวิตฉันกับไนท์ ฉันจึงต้องทำแบบนี้ ใช้ชีวิตเหมือนเป็นผู้ชายทั้งที่เป็นผู้หญิง ทำตัวเหมือนคนไม่เต็มเต็งทั้งที่เป็นคนปกติ ฉันก็อยากใช้ชีวิตเหมือนคนอื่นๆ แต่มันทำไม่ได้เพราะฉันยังไม่อยากตาย
ฉันหอบความหงุดหงิดหนีออกมาจากชั้นเรียนทันทีที่อาจารย์คนนั้นปล่อย ความรีบร้อนทำให้ลืมหยิบเอาหมวกที่วางไว้ตอนเรียนออกมาด้วย แมสก็ไม่สนใจที่จะใส่มัน ตอนนี้อารมณ์ฉันไม่ดีเอามากๆ จึงไม่สนใจอะไรเลย
“นั่นไนท์? อะ ไม่สิ ไวท์นี่นา”
หลายคนจำฉันกับไนท์ได้ และแยกฉันกับเขาออก แต่มีไม่น้อยเลยที่เข้าใจผิดว่าฉันเป็นไนท์ในแว๊บแรก เพราะวิกผมแบบสั้นที่ฉันใส่อยู่ ฉันสามารถบิดบังเพศสภาพจากคนภายนอกได้แค่นิดหน่อยเท่านั้น หลายคนรู้ว่าฉันเป็นผู้หญิง และมีอีกหลายคนที่ยังเข้าใจว่าฉันเป็นผู้ชายเหมือนไนท์
“มานี่เลย ไอ้ไนท์!”
ฉันหันขวับไปมอง เพราะเสียงเรียกเหี้ยมๆดังอยู่ข้างหลังแม้ว่าฉันจะไม่ใช่ไนท์ก็ตาม รู้สึกกลัวเมื่อพบว่าเป็นไลน์เนอร์ เดือนหน้าโหดของคณะวิศวะ พยายามซ่อนสีหน้าและความกลัวไว้ และพยายามมองหาทางรอดออกไปจากสถานการณ์ที่กำลังเผชิญหน้าอยู่ตอนนี้ รวมถึงก่นด่าแฝดน้องที่ขยันหาความซวยมาให้อยู่ในใจ
ไอ้บ้าไนท์! ถ้าฉันรอดจากไลน์เนอร์ไปได้ แกโดดอัดน่วมแน่!
“ดูดีๆสิ ฉันไม่ใช่ไนท์”
ฉันยอมให้เดือนวิศวะหน้าโหดที่โคตรหล่อสำรวจความแตกต่างบนใบหน้าและร่างกาย พยายามทำตัวเป็นคนใจเย็น ทั้งที่ตอนนี้หัวใจมีนเต้นตุบตับยิ่งกว่าเสียงตีกลองยาว มันควรจะเต้นเพราะความหล่อของเขา อย่างที่ผู้หญิงคนอื่นๆเป็น แต่มันกลับไม่ใช่ ในหัวฉันมีแต่ความกลัว บางทีฉันอาจจะไม่ตายเพราะคนอื่น แต่คงตายเพราะถูกไอ้คนหน้าโหดนี่ฆ่า
ฉันยังใช้ชีวิตไม่คุ้มค่าเลยอะ ยังไม่เคยลองทำในสิ่งที่อยากจะทำ
“กูไม่ได้โง่”
เสียงของไลน์เนอร์เย็นเฉียบ ร่างกายกำยำและความสูงที่มีมากกว่าร้อยเก้าสิบขยับมาด้านหน้าอีกสองก้าว ใบหน้าหล่อเหลาดุดันโน้มลง แต่ฉันที่มีส่วนสูงมากถึงร้อยเจ็ดสิบห้า ยังต้องเงยหน้าขึ้นมองคนอย่างเขาอยู่ดี
อิจฉาเหลือเกินที่เขาสูงได้ขนาดนั้น ซ้ำยังมีหุ่นที่โคตรน่าอิจฉา ฉันหมายความว่า ถ้าตัดหน้าหล่อแบบโหดๆนี่ทิ้งก่อนอะนะ ความอิจฉาฉันถึงจะทำงานดีขึ้น
“ก็ ไม่ได้ถาม” ฉันตอบไลน์เนอร์ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“อย่ามากวนส้นตีน!” หน้าตาของเขาดุขึ้นพอๆกับน้ำเสียงที่ตะคอกกลับมา
“ทำแบบนั้นตอนไหนก่อน ไปได้แล้วใช่ไหม พอดีรีบ” ฉันยังคงกวนเขาด้วยการพูด
“บอกยังว่าไปได้?” น้ำเสียงยียวนแต่ไม่เท่าสีหน้าของคนพูด
ตอนนี้ฉันรู้แล้วแหละ ว่าทำไม เขากับไนท์ถึงเป็นไม้เบื่อไม้เมากัน ก็หน้าตามันกวนส้นตีนทั้งคู่แบบนี้ไง ต่างคนต่างไม่ยอมกันด้วยมั้ง
“เห้อ! ไม่ต้องบอกก็จะไป! จบนะ!” ฉันหมุนตัวกลับไป เดินหนีไลน์เนอร์ราวกับหนีเจ้าหนี้สุดโหด ยังเดินไม่ถึงไหนน้ำเสียงเยือกเย็นกว่าที่ได้ยิน ก็ดังอยู่ข้างหู“มึงไปกับกูหน่อยสิ ไวท์!”ข้อมือใหญ่เหมือนกรงเหล็ก รวบเอาข้อมือข้างซ้ายของฉันไปกำไว ร่างกำยำน่าอิจฉาลากฉันไปตามทางเดินเชื่อมระหว่างตึกคณะ ฉันขืนตัวไว้ด้วยแรงทั้งหมดที่มี แต่แรงผู้หญิงมันสู้แรงผู้ชายได้ที่ไหน เมื่อสู้ด้วยแรงไม่ได้ ฉันก็ตัดสินใจที่จะใช้ปากสู้ ไม่กลัวว่านั่นอาจจะทำให้เส้นด้ายชีวิตของตัวเองขาดสะบั้นลง“ปล่อยกูนะไอ้เหี้ย!”ฉันไม่สนว่ากำลังถูกใครลากไป ไม่สนแม้จะรู้ถึงความน่ากลัวของไลน์เนอร์ ผ่านทางข่าวลือที่ใครหลายๆคนพูดผ่านหู ในพื้นที่ที่มีคนอยู่เยอะแบบนี้ เขายังกล้าทำแบบนี้กับฉัน ถ้าหากปล่อยให้เขาลากไปในที่ลับตาคน ฉันอาจจะถูกเขากระทืบตาย เพราะคิดว่าฉันเป็นไนท์เดี๋ยวสิ ไม่นี่ เมื่อกี้เขาเรียกฉันไวท์นี่นา ได้ยินชัดเต็มสองหูเลย“นี่! เดี๋ยวก่อน นายรู้ว่าฉันไม่ใช่ไนท์นี่ ปล่อยสิ ปล่อยสิเว้ย” ฉันตั้งใจว่าจะคุยกับไลน์เนอร์ดีๆ แต่สิ่งที่ได้รับกลับมา คือแววตาที่ชวนให้หงุดหงิด และแรงลากที่มากกว่าเดิม ฉันแทบจะปลิวไปตามแรงของเขา
“สีหน้าแบบนั้นคืออะไร?”“หืม! เปล่านี่! ไม่ได้คิดอะไรเล้ย บอกได้ยังว่าลากฉันมาที่นี่เพื่ออะไร?”ฉันทำหน้ายียวนมากขึ้น ไม่ได้กลัวเขาเท่าตอนแรก เพราะมีคนอยู่รอบตัวเราเยอะ ถ้าฉันถูกเขาทำอะไร น่าจะพอร้องขอความช่วยเหลือได้แหละ“ถ่ายแบบ แค่นี้ก็ดูไม่ออกหรือไง”ดวงตาคู่นั้นของไลน์เนอร์ เหมือนกำลังด่าฉันว่าโง่อยู่เลย ฉันเลือกที่จะมองข้ามไป เพราะไม่อยากมีปัญหาตามมาทีหลัง ถ้าแค่ถ่ายแบบเฉยๆ รีบถ่ายให้มันจบดีกว่า จะได้แยกย้ายกับเขาสักที“แค่ถ่ายแบบ บอกดีๆก็ได้นะ ไม่ต้องทำแบบนี้”ฉันขืนมือออกจากข้อมือของไลน์เนอร์ เขาปล่อยให้ฉันเป็นอิสระ แต่ไม่นานก็โน้มตัวลงมาใกล้ จนใบหน้าแทบจะชนกับหน้าของฉัน ซ้ำยังใช้มืออ้อมมาดันแผ่นหลัง ไม่ให้ฉันขยับหนีไปไหน“บอกดีๆแล้วจะยอมมา?”เออว่ะ! บอกดีๆฉันก็ไม่มาหรอก เพราะมันไม่ใช่เรื่องของฉันไง“ไม่อะ!”“ก็นั่นแหละ! ไปเปลี่ยนชุดดิ!”ไลน์เนอร์หยัดตัวขึ้นตรง ไล่ให้ฉันไปเปลี่ยนชุด ฉันเดินหน้าตึงผ่านร่างของเขาไป หยุดยืนอยู่ข้างๆราวเสื้อผ้า หันกลับไปมองเขาอย่างสงสัย ว่าชุดที่ฉันต้องใส่ถ่ายแบบนั้น มันใช่ชุดที่แขวนอยู่ในราวนี้จริงเหรอ“มีอะไร?” น้ำเสียงของเขายังคงห้วน ทำเอาใจฝ่
“เสร็จยัง!”“กระโปรงนี่ต้องถอดไหม?”มาถึงขั้นนี้แล้ว ฉันคิดว่ายอมทำตัวว่าง่าย น่าจะได้รับอิสระง่ายกว่า คนถูกถามลากสายตาลงต่ำ มองท่อนขาของฉันพลางทำหน้าครุ่นคิด“ขาใหญ่ปิดไว้เถอะ”“กรี๊ด! มันจะมากเกินไปแล้วนะไลน์เนอร์”ฉันเหลืออดเหลือทนกับคนอย่างเขา ที่บูลลี่ท่อนขาของฉันว่ามันใหญ่ เดินเข้าไปใกล้จนเขาแสดงสีหน้าตกใจให้เห็น ดวงตาคมกล้าเบิกกว้างขึ้น เมื่อฉันดึงกระโปรงที่ใส่อยู่ขึ้นจนเกือบถึงกางเกงชั้นใน“แหกตาดูซะ! มันใหญ่ตรงไหนก่อน!”“อะ อืม! ก็ใหญ่นะ โหนกนูนอีกต่างหาก!”“กรี๊ด! นี่นายหมายถึงตรงไหนเนี่ย!”“เธอให้ฉันดูอะไรอยู่ล่ะ?”เป็นอีกครั้งที่ได้เห็นแววตาแปลกไปของไลน์เนอร์ มันอยู่เพียงแค่เวลาสั้นๆ แต่เล่นเอาหัวใจฉันเต้นรัว เลือดไหลผ่านร่างจนรู้สึกร้อนผ่าว ท้องน้อยเสียววาบลามไปจนถึงส่วนหวงแหน“ลามกที่สุด!”ฉันตราหน้าเขาพลางคลายมือออกจากกระโปรงแบบจับจีบ ถอยหลังหนีจากร่างสูงใหญ่ ที่ก้าวเข้าหาด้วยท่าทีคุกคาม ไลน์เนอร์เดินต้อนฉันไม่หยุด จนกระทั่งแผ่นหลังแนบผนังห้องไร้ทางหนี ฉันจึงใช้สายตาสู้“ละ ลองทำอะไรบ้าๆดูสิ ฉันกัดหูขาดนะ!”เหมือนการขู่ทางสายตาจะไม่ได้ผลกับคนตรงหน้า ฉันจึงขู่เขาด้วยการพ
“กรี๊ด! น่าเกลียดที่สุดเลย!”ฉันกรีดร้องสุดเสียงและพูดออกมา เมื่อเผลอจินตนาการไปถึงส่วนที่ไม่ควรเห็นของไลน์เนอร์ คนที่คร่อมฉันอยู่ทำหน้าเหลอหลาเพราะความงง ส่วนคนอื่นๆทำหน้าตึง เพราะฉันทำให้การถ่ายแบบต้องหยุดชะงัก“คือ ขอโทษค่ะ พอดี ไลน์เนอร์เขาจ้องหน้าอกฉัน”ฉันโยนความผิดไปให้ไลน์เนอร์ เขามองฉันเหมือนอยากจะฆ่า จากนั้นก็ลากสายตาไปจ้องหน้าอกของฉันจริงๆ ฉันยกมือขึ้นหวังใช้มันดันใบหน้าเขาให้หันไปทางอื่น เขาจับมือข้างนั้นไว้ จับดันขึ้นไปกดทับอยู่เหนือศรีษะ“ทำดีมากไลน์เนอร์ ท่านี้ให้ความรู้สึกดีมาก เจ้เสียวท้องน้อยเลยอะ”ไม่ใช่แค่เจ้คนนั้นที่เสียว ฉันเองก็รู้สึกเสียววาบตามท้องน้อย บิดม้วนอยู่สักพักก็เริ่มลามไปส่วนที่ต่ำลงไป น้ำหวานที่ร่างกายไม่เคยขับออกมา ถูกขับออกมาช้าๆพอให้รู้สึกถึงมันได้อะไรกัน ความรู้สึกวูบวาบนี้ มันคืออะไรกันแน่“ทำหน้าแบบนั้น เธอก็เสียวหรือไง?”“ไม่ใช่สักหน่อย ฉันแค่ … รังเกียจที่โดนคนแบบนายสัมผัส”ฉันโกหกออกไป และพูดสิ่งที่มันตรงกันข้ามกับความรู้สึกในตอนนี้ ยึดเอาความรู้สึกแรกมาพูด ฉันเกลียดคนที่บังคับฝืนใจฉัน เกลียดพวกที่ใช้กำลังมากกว่าสมอง“ตอนนี้มึงอาจจะรังเกียจ
กรี๊ด!บรรยากาศของเมืองหลวงตอนกลางคืน แสงไฟสีเหลืองขาวที่สลับสับเปลี่ยนบนท้องถนน มันส่องกระทบเข้ามาในรถ ทำให้ผู้ชายที่ไม่ค่อยตั้งใจขับรถคนนั้น ดูลึกลับและดึงดูด ไม่แปลกใจว่าทำไมเขาถึงฮอตนัก เสน่ห์ของเขาเลื่องลือไปทั่วมหาวิทยาลัย เป็นผู้ชายสุดโหด ที่ผู้หญิงทั้งมหาวิทยาลัยโหวต ว่าเหมาะกับตำแหน่งสามีของพวกหล่อน รองลงมาจากพี่อาเธอร์ วิศวะโยธาชั้นปีที่ 4เห้อ! เป็นที่น่าเสียดายสำหรับฉัน พี่อาเธอร์คนนั้น นิสัยเลวร้ายยิ่งกว่าไลน์เนอร์ซะอีก ฉันเคยชื่นชมเขาอยู่พักใหญ่ พอได้รู้ว่าเขามองฉันเป็นอะไร ฉันก็ไม่ปลื้มเขาอีกเลย“ถึงแล้ว!”สงสัยฉันชื่นชมความหล่อของไลน์เนอร์นานไปหน่อย มันใช่ที่ไหนเล่า! เพราะฉันเอาแต่นึกถึงสมัยที่ตัวเองชื่นชมพี่อาเธอร์ กับบรรยากาศที่มันชวนหลงใหลมากเกินไป รู้สึกตัวอีกทีไลน์เนอร์ก็บอกว่าถึงแล้ว และเขาขับรถมาถึงบ้านของฉันจริงๆ ทั้งที่ฉันยังไม่ได้บอกเขาเลยว่าบ้านฉันอยู่ที่ไหน“ลงไป!”ไลน์เนอร์ไม่ปล่อยให้ความสงสัยของฉันทำงานเลย เอ่ยปากไล่ด้วยน้ำเสียงเย็นชา บวกกับใบหน้าที่พร้อมวิ่งเข้าไปบวก ฉันที่ไม่อยากเสียสุขภาพจิตอยู่ข้างๆคนแบบเขา เอื้อมมือไปคว้าที่จับประตู กำลังจะผลักมันออ
“ถ้ามันทำอะไรแปลกๆ มาบอกพี่”ดวงตาสีเทาอ่อนที่ฉายแต่ความน่ากลัวออกมา ในตอนนี้ฉันเห็นว่ามันอบอุ่นและอ่อนโยนลง ดวงตาของเขามักจะเป็นแบบนี้เสมอ หลังจากที่ฉันตีตัวออกห่างจากกลุ่มที่เขาดูแลอยู่ พี่อาเธอร์ไม่เหมือนเดิมเลย ฉันก็ไม่ต่างกัน ตอนนี้เรากลายเป็นเพียงแค่คนที่เคยอยู่กลุ่มเดียวกัน ความรู้สึกชอบที่มีให้เขานั้น มันเป็นแค่อดีตที่ฉันอยากลืม“ฉันออกมาจากกลุ่มนานแล้ว การที่พี่โผล่มาที่นี่ มันทำให้ฉันใช้ชีวิตลำบากขึ้น อย่ามาหาฉันอีกเลย ฉันไม่ใช่ไวท์คนเดิมแล้วนะ”ฉันยืดตัวขึ้นจากเก้าอี้ ขยับไปด้านข้างเอื้อมไปคว้ากระเป๋ามาสะพาย ตั้งใจเดินผ่านพี่อาเธอร์ไปเงียบๆ แต่เขาไม่ยอมให้ฉันทำแบบนั้น มือใหญ่เอื้อมมากำท่อนแขน ดึงเข้าหาตัวช้าๆ ลดใบหน้าต่ำลงอย่างรวดเร็ว“ปล่อยนะ!”“ยังโกรธพี่เรื่องนั้นอยู่เหรอ?”“ไวท์ไม่โกรธหรอก พี่ไม่ผิดอะไรเลย และพี่ก็ไม่ต่างจากผู้ชายคนอื่น ไวท์เข้าใจ ใครๆก็คงมองไวท์เหมือนที่พี่มองนั่นแหละ”ฉันยิ้ม ประโยคพวกนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกทั้งหมดของฉัน ประชดประชัน น้อยเนื้อต่ำใจ เขาเป็นคนแรกที่ฉันนึกว่ามันจะต่าง แต่ก็ไม่ เขาไม่ต่างจากผู้ชายคนอื่นเลย มองฉันที่รูปลักษณ์ภายนอก ซึ่งม
“อยากให้เลิกเสือกไหม?”เหมือนจะเห็นรอยยิ้มหยักสวยจากกลีบปากคล้ำ มากกว่าได้ยินประโยคชวนวูบไหวจากเขา ฉันผละถอยหลัง รู้สึกแปลกและร้อนวูบเพราะรอยยิ้มของไลน์เนอร์“ก็ต้องอยากสิ ช่วยปล่อยให้ฉันใช้ชีวิตเงียบๆเหมือนเดิมได้ไหม การที่นายมาวุ่นวายกับฉันหลังจากที่รู้แล้วว่าฉันไม่ใช่ไนท์ มันทำให้ฉันลำบากนะ”เพราะรอยยิ้มนั้นของไลน์เนอร์ กับใบหน้าที่ดูอ่อนโยนลงกว่าที่เคยเห็น ฉันจึงลองคุยกับเขาดีๆ“ทำไม?”“ไม่ต้องรู้หรอกว่าทำไม ฉันมีเหตุผลก็แล้วกัน เพราะฉะนั้นปล่อยฉันไปเถอะ”“ …”“ …?”ดวงตาสีเข้มของไลน์เนอร์ เปลี่ยนไปจนฉันใจสั่น ‘ เสียดาย’ และ ‘เสียใจ’ไม่รู้ฉันเพี้ยนไปหรือเปล่า ถึงรู้สึกว่าดวงตาของเขาแสดงความรู้สึกแบบนั้นออกมา“ขะ ขอบคุณที่เข้าใจนะ”ฉันก้าวเดินออกมาด้วยความรวดเร็ว หัวใจเต้นเร็วจนผิดปกติ ไม่อยากคิดอะไร ไม่อยากให้ภาพของไลน์เนอร์ฝังอยู่ในหัวเหมือนสองวันที่ผ่านมา จึงสลัดทุกอย่างเกี่ยวกับเขาทิ้งไป คงไม่มีโอกาสให้เจอกันอีกแล้ว ฉันต้องดีใจ และกลับไปใช้ชีวิตปกติชีวิตที่หลบๆซ่อนๆ เหมือนเป็นเพียงแค่เงา18 : 45 น.เรื่องราวของผู้ชายชื่อไลน์เนอร์ ยังคงรบกวนฉันอยู่เหมือนเดิม ฉันนอนคิดเรื่องข
20 : 05 น.ฉันมาถึงช้ากว่าเวลานัดจริงๆ ทั้งที่สนามแข่งกับบ้านอยู่ห่างกันไม่ถึงสองกิโลเมตร เมื่อจ่ายเงินพี่วินเสร็จแล้ว ฉันก็รีบล้วงหาโทรศัพท์ในกระเป๋าออกมา ต้องใช้มันเป็นใบผ่านทาง และใช้มันบอกข้าวหอมด้วยว่ามาถึงแล้วปึ่ก!“ขอโทษครับคนสวย เป็นอะไรหรือเปล่า?”เพราะมัวแต่ก้มมองโทรศัพท์จนไม่ได้มองทาง ฉันถูกใครสักคนชน และเป็นเขาที่ช่วยพยุงไว้ แต่ใบหน้ากะลิ้มกะเหลี่ยกับน้ำเสียงตอนถาม มันทำให้ฉันฉุนกึกเขาตั้งใจชนฉันหรือเปล่าวะ? ฉันว่าใช่แหละ แม่ง! ต่อยสักทีดีไหม!“เป็น!”ในขณะที่ฉันกำลังคิดว่าจะต่อยคนที่พยุงตัวอยู่ดีไหม เสียงเข้มๆก็ดังขึ้นด้านหลัง และไม่นานร่างของฉันก็ลอยหวือไปตามแรงดึง หลุดออกจากอ้อมแขนของผู้ชายคนหนึ่ง ไปอยู่ในอ้อมกอดของผู้ชายอีกคน“พี่ พี่อาเธอร์!”ผู้ชายคนนั้นเสียงสั่น ชื่อที่ได้ยินจากเขาคนนั้น ทำให้ฉันรีบเงยหน้าขึ้นจากอก เป็นพี่อาเธอร์จริงๆ ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชากำลังมีรอยยิ้มเล็กๆข้างมุมปาก ฉันขืนตัวออก แต่เหมือนอ้อมกอดนั้นจะแน่นขึ้นกว่าเดิม“ขอ ขอโทษครับพี่! ผม ผมไม่รู้ว่าเป็นเด็กพี่”เด็กพี่? เด็กใครนะ?ฉันไม่พอใจที่ถูกมองว่าเป็นเด็กของพี่อาเธอร์ จึงใช้มือหยิกเขาเพื่อท
“ผมมีเรื่องสำคัญมากๆจะบอกพ่อครับ”ผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นศูนย์รวมของความรุนแรง พูดจาได้น่าฟังสุดๆ จนฉันแอบยกนิ้วโป้งให้ ก็พูดดีได้นี่หว่า แล้วจะคีพลุคแบดบอยเพื่อ?“อะไร?”น้ำเสียงของคุณอเล็กซ์นุ่มนวล ต่างกับตอนที่พูดกับไลน์เนอร์ลิบลับ รู้ได้เลยว่าใครลูกรัก ใครเป็นลูกชัง“เรื่องคนที่ผมชอบ”“แล้ว?”“ผมชอบไวท์ครับ”กึด!สิ่งที่พี่อาเธอร์โพล่งออกมา ทำให้ความเงียบเข้ามาเกาะกุมห้องอาหารขนาดใหญ่นี้ไว้ ฉันกำมือแน่น พยายามมองคนพูดเพื่อขอให้เขาพูดใหม่ แต่พี่อาเธอร์ไม่ทำแบบนั้น เขาพูดสิ่งที่ต้องการต่อไปอีก“ผมอยากหมั้นกับไวท์ครับ”“ลูกพูดจริงเหรอ?”“ครับ! ผมชอบไวท์จริงๆ”ฉันได้แต่นั่งมองการสนทนาของสองพ่อลูกตาปริบๆ สมองมันเริ่มประมวลผลช้า ร่างกายเริ่มตอบสนองต่ออาการแพ้ และลิ้นมันเริ่มชาจนขยับตามใจไม่ได้ อยากจะแย้งแทบตายแต่งัดลิ้นให้ขยับไม่ไหว“ว่ายังไงแม็กซ์ นายเห็นด้วยกับสิ่งที่ลูกชายฉันพูดหรือเปล่า?”คุณอเล็กซ์ถามพ่อฉัน เหมือนรู้ว่าถามฉันแล้วผลลัพธ์มันจะเป็นยังไง พ่อหันมามองหน้าฉันเหมือนขอความเห็นใจ การปฎิเสธคนระดับนั้น เป็นสิ่งที่ฉันไม่ควรทำสินะ นี่หรือคือราคาที่ต้องจ่าย เพื่อแลกกับความปลอดภัย
“วันนี้ลูกสาวแม่แต่งตัวสวยจัง”แม่เอ่ยปากชมการแต่งตัวของฉัน ฉันไม่ได้ตอบอะไรท่านเลย เพราะมัวแต่คิดถึงสายตาของคุณอเล็กซ์“ไวท์! ลูกไม่สบายหรือเปล่า?”“คะ? เปล่าค่ะ ไวท์แค่คิดอะไรอยู่น่ะ”แม่เลื่อนมือมากุมมือฉันไว้ ซบใบหน้าลงบนไหล่ของฉัน การกระทำนั้นฉันรู้ดีว่ามันหมายถึงอะไร ความห่วงใยถูกส่งผ่านจากหัวไหล่มาถึงหัวใจ“แม่ดีใจมากเลย ที่ได้เห็นลูกสาวของแม่แต่งชุดสวยแบบนี้ ถ้าไวท์ไม่ว่าอะไร คราวหน้าให้แม่เลือกชุดให้ไวท์ได้ไหมจ๊ะ”“ได้สิคะ”การสนทนาระหว่างฉันกับแม่ จำเป็นต้องหยุดค้างไว้เพียงแค่นั้น เพราะการปรากฏตัวของคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งชายหญิงคู่หนึ่งที่น่าจะมาด้วยกันกับคนกลุ่มนั้น คือไลน์เนอร์และลูกหนู เขาแต่งตัวง่ายๆ เสื้อเชิ้ตสีดำกับกางเกงยีนส์ ยืนคู่กับลูกหนูที่ใส่ชุดราตรีหน้าผมจัดเต็ม ดูไม่เหมาะกันเลย“มาแล้วเหรอ นี่ไอยราภรรยาของฉัน และไลน์เนอร์ ลูกชายอีกคน”คุณอเล็กซ์กล่าวแนะนำให้เรารู้จักกับภรรยาของท่าน ที่น่าจะเป็นเจ้าของโรงแรมแห่งนี้ แต่สิ่งที่ทำให้ฉันแทบลืมหายใจก็คือ ไลน์เนอร์เป็นลูกของท่านกับคุณไอยรา นั่นก็หมายความว่า เขากับพี่อาเธอร์เป็นพี่น้องกันใช่เหรอ? สีตาไม่เหมือนกันเลย ถึงจะม
“สะ เสร็จยัง?”ถามเสียงสั่น พยายามควบคุมการเต้นของหัวใจ ที่ทำได้ยาก และมันค่อยๆเต้นเร็วขึ้น“ยัง! มันติดผ้า!” น้ำเสียงห้วนดังใกล้หู ขนลุกซู่จนต้องย่นคอหนี“รีบหน่อยสิ! ฉันมีนัด”“ใคร?”เหมือนน้ำเสียงของเขาจะห้วนขึ้น ลมหายใจที่เป่ารดข้างหู ก็ดูเหมือนว่าจะร้อนขึ้นกว่าเดิม“หะ?” ฉันถามซ้ำทั้งที่ได้ยินชัดเจน คาดหวัง แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะคำพูดต่อจากนั้นที่ตอบกลับมา“ช่างเถอะ ไม่เกี่ยวกับฉันอยู่แล้ว”ความตื่นเต้น ดีใจ และความวูบไหวที่เล่นงานร่างกายเมื่อสักครู่ จางหายราวกับเปลวไฟถูกน้ำเย็นราด ความจริงจากปากเขา ทำให้ฉันกัดริมฝีปากแน่น รู้สึกได้ถึงกลิ่นคาวเลือดจางๆ เออ! ลืมไปหรือไง ว่าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน อย่าประสาท อย่าโลภมาก กับอีแค่ได้กันเพียงคืนเดียว“ระ รีบๆทำหน่อยสิ!” ฉันเร่งเพราะไม่อยากใกล้ชิดกับเขามากไปกว่านี้ แต่“ขอร้องให้คนอื่นช่วยแท้ๆ นิสัยแย่ชะมัด”ริมฝีปากคนพูดอยู่ชิดใบหู ลมร้อนถูกเป่าเข้าไปเหมือนตั้งใจทำ“ฉัน …ไม่อยากให้ลูกหนูเข้าใจผิด”“มีจริยธรรมเหลือเกินนะ ทั้งที่คืนนั้นเสนอตัวให้ฉันเอาฟรีๆ”“ไลน์เนอร์!”ฉันหมุนตัวกลับไปเพราะคำพูดดูแคลนของไลน์เนอร์ แต่เหมือนเขารอจังหวะนี้
“พี่ไวท์ไม่โกรธเหรอคะ?”ข้าวหอมถาม ในขณะเปิดประตูรถของเธอให้ฉัน ฉันยิ้ม ขยับเข้าไปนั่งข้างในรถ เมื่อเธอขึ้นมานั่งหลังพวงมาลัย สตาร์ทเครื่องยนต์ ฉันจึงเริ่มต้นพูด“โกรธแหละ แต่พี่ไม่มีเวลาอะ นัดทานข้าวกันสองทุ่ม ไม่รู้จะเสร็จทันไหม”ฉันพิมพ์รายละเอียดเรื่องนัดหมาย สถานที่ และเวลาให้ข้าวหอมไปแล้ว เธอบอกว่ามีร้านขาย-เช่าชุดราตรีดีๆ อยู่ใกล้ๆกับมหาวิทยาลัย แต่ร้านนี้ดังมาก ถึงจะติดต่อขอทำนัดเข้าไปแล้ว ก็ไม่รู้จะเสร็จทันเวลาหรือเปล่า“เดี๋ยวข้าวติดต่อไปขอแทรกคิวให้ค่ะ พี่ไวท์ไม่ต้องกังวลนะคะ”ข้าวหอมตั้งใจขับรถมากขึ้น หลังจากบอกไม่ให้ฉันกังวลเรื่องนี้เสร็จ ไอ้เรื่องชุดฉันไม่กังวลเท่าไหร่หรอก สิ่งที่ฉันกังวลมากที่สุด จนอยากทำให้ทุกอย่างมันออกมาดี ก็คือบุคคลที่เป็นผู้นำของ T. K Groups ต่างหาก หวังว่าตัวตนของฉัน จะไม่ส่งผลกระทบกับงานของพ่อนะ17 :05 น. เพราะได้ข้าวหอมช่วยจัดการเรื่องคิวให้ ฉันจึงได้แต่งหน้าและทำผมทันทีที่มาถึงร้าน ซึ่งในขณะที่นั่งให้ช่างแต่งหน้าและทำผมไปด้วยนั้น ข้าวหอมก็ช่วยเลือกชุด ที่มันเข้ากับสถานที่ โอกาส และสรีระร่างกาย“ข้าวว่าชุดนี้ดีที่สุด”ข้าวหอมสรุปด้วยใบหน้าจริง
เมื่อรถขับมาถึงบ้าน ฉันก็พรูลมหายใจออกมาแรงๆ แม่ของฉันไม่อยู่ในบ้าน ไนท์เองก็ยังไม่กลับ การไม่ต้องถูกใครซักถามในเวลาแบบนี้ เป็นเรื่องดีสุดๆสำหรับฉัน ฉันตั้งนาฬิกาปลุกไว้ที่สิบสองชั่วโมงข้างหน้า จะได้ตื่นขึ้นมากินยาเม็ดที่เหลืออยู่ เมื่อมั่นใจว่ามันจะส่งเสียงเตือนให้รู้ ก็กินยานอนหลับที่มีติดห้องไว้ ลงไปพร้อมกับยาแก้ปวดที่ได้มาจากพี่แพรความเหนื่อยล้า และปวดร้าวตามร่างกาย ส่งผลให้ใช้เวลาเพียงไม่นาน ห้วงนิทราก็เข้ามาเยือน ความฝันซ้ำซากที่เคยเกิดขึ้นไม่เว้นวัน มีฉันวิ่งหนีคนที่ตามฆ่าสุดแรง ในวินาทีที่กำลังสิ้นหวัง ไลน์เนอร์ก็ปรากฎตัว ฉันยกมุมปากขึ้นยิ้ม พร้อมกับน้ำตาที่รินไหลออกมา แม้แต่ในฝันอันยาวนาน เขาก็ยังแทรกซึมเข้ามารบกวนมัน และทำให้ฉันใจชื้น แล้วแบบนี้ฉันจะใช้ชีวิตปกติยังไง ฉันจะใช้วิธีไหนในการลืมเขาสัปดาห์ต่อมาฉันพยายามใช้ชีวิตที่ไม่ปกติ ให้มันเหมือนปกติให้ได้มากที่สุด โชคดีที่ไลน์เนอร์ไม่ปรากฏตัวให้เห็นอีกเลย ความรู้สึกต่างๆที่เคยคิดว่าจะแบกรับมันไม่ไหว ค่อยๆเบาบางลง ตามวันเวลาที่ผันเปลี่ยนเวียนไป“ไวท์! เย็นนี้อย่าลืมนัดนะ!”ไนท์เอ่ยเตือนฉัน ก่อนเราจะเริ่มเรียนวิชาสุดท้ายขอ
“ฉันต้องไปรับลูกหนู เธอรับผิดชอบตัวเองได้ใช่ไหม?”ไลน์เนอร์เดินออกมาจากห้องน้ำ ในสภาพที่ไม่ต่างจากตอนเดินเข้าไปเท่าไหร่นัก มีเพียงหยดน้ำเม็ดใหญ่ที่เกาะพราวตามร่างกาย บอกให้รู้ว่าเขาเข้าไปทำความสะอาดร่างกายมา“ไม่ได้ยินที่พูด?”คนยืนเปลือยกายอยู่หน้าห้องน้ำถามซ้ำ ดวงตากดต่ำและลากไล้ ฉันรีบดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างเปลือยของตัวเองไว้ จากสายตาที่ลูบไล้โลมเลีย สติที่หลงมัวเมาไปตลอดสามชั่วโมง ถูกความจริงตรงหน้าตบให้ตื่นก็นะ! ฉันเป็นได้แค่ผู้หญิงชั่วคราว ไม่ใช่ตัวจริงที่ควรให้ค่า เขาจะไปทันทีที่เสร็จก็ไม่แปลก“อือ” ตอบรับพลางก้มหน้าซ่อนความเสียใจ ที่อาจปิดซ่อนไว้ได้ไม่ดีพอ“ถ้าไม่อยากท้องก็หายาคุมฉุกเฉินมากินซะ!”ไลน์เนอร์ก้าวเดินมาหยิบกางเกงที่หล่นอยู่ข้างเตียง เขาใส่มันตรงนั้น อย่างไม่กลัวว่าฉันจะแอบมองเลย เขาทำทุกอย่างได้อย่างเป็นธรรมชาติ มันมีเสน่ห์จนฉันเผลอจ้อง กว่าจะรู้ตัวว่าไม่ควรมอง ดวงตาสีเข้มก็หรี่ลงเหมือนไม่ชอบใจ“เข้าใจที่พูดไหม!?”“อือ … เข้าใจ”ฉันเบือนหน้าหนีไปอีกด้าน อายจนไม่กล้ามองหน้าเขาตรงๆ เขาจะคิดยังไงเกี่ยวกับฉันนะ จะคิดว่าฉันหน้าด้านไร้ยางอาย หรือไม่เคยคิดอะไรเกี่ยวกับฉ
“อึก! อื้อ”แรงดูดสร้างกระแสไฟเล็กๆ ลุกลามไปตามส่วนต่างๆของร่างกาย ความเสียวซ่านโอบอุ้มจุดที่ไวต่อความรู้สึก โดยเฉพาะจุดกระสัน มันขับน้ำหวานออกมามากขึ้น กระตุ้นให้ความต้องการที่ยังไม่มอดดับยากต่อการควบคุม แต่ … ความกลัวยังมีผลต่อร่างกาย สะท้านทุกครั้ง และพยายามขยับท่อนล่างหนี“อือ! อ๊ะ! ไลน์ … เนอร์! อือ”ความแข็งแต่นุ่มปัดป่ายผ่านจุดกระสัน ด้วยความสงสัยว่ามันคืออะไร ฉันจึงลดสายตาลงไปมอง เมื่อเห็นว่าท่อนลำใหญ่กำลังถูไถอยู่เหนือเนื้อผ้าบางเบา ดวงตาก็สั่นระริกแวววาวหยาดน้ำ ความต้องการถูกความกลัวลดทอนลงฉันยังไม่เคยเลย ใหญ่ขนาดนั้น มันจะเข้ามาในตัวฉันยังไง“ฮึก! ละ ไลน์ เนอร์ ฉันว่า ระ เรา! พอแค่นี้เถอะ”เบือนหน้าหนีไปด้านซ้ายเมื่อพูดจบประโยค ฉันกับเขา เราไม่ควรมาถึงขั้นนี้ด้วยซ้ำ แต่เพราะเขาคือไลน์เนอร์ ผู้ชายที่เข้ามากระชากเอาหัวใจของฉันไปตั้งแต่เจอครั้งแรก ร่างกายจึงไม่ฟังที่สมองสั่ง และสมองทำงานไม่สัมพันธ์กับหัวใจฉันต้องการเขา“เธอจะหนีเอาตัวรอดเหรอ?”“ปะ เปล่าสักหน่อย ฉัน ฉันกลัวของนายต่างหาก”เมื่อถูกกล่าวหาว่าจะหนีเอาตัวรอด ฉันก็รีบแก้ต่างให้ตัวเอง เสียงหัวเราะนุ่มทุ้มดึงดูดให้ห
“แม่ง! ตามมา!”ไลน์เนอร์กระชากตัวฉันขึ้นจากโซฟา ฉันเดินตามหลังเขาและพยายามก้าวให้ทันช่วงขาเรียวยาว มองแผ่นหลังของเขาด้วยความรู้สึกหลากหลาย ผสมปนเปกันจนจับความรู้สึกตัวเองไม่ถูกแอ๊ด! พลั่ก!“เข้าไปสิ!”ไลน์เนอร์พาฉันมาหยุดอยู่หน้าห้องๆหนึ่ง เขาเปิดประตูเสร็จก็ผลักไหล่ฉันเบาๆ พร้อมสั่งให้ก้าวเข้าไปข้างใน ฉันลังเลที่จะก้าว เห็นเตียงสีขาวในนั้นแล้วใจมันฟ่อฉันจะทำได้เหรอ? ถ้าผ่านคืนนี้ไปพร้อมกับเขา ฉันจะลืมเขาได้อย่างที่บอกตัวเองไว้ก่อนหน้านั้นไหมนะพรึ่บ!“อ๊ะ! จะทำอะไร!”ฉันตกใจเมื่อจู่ๆ ไลน์เนอร์ก็ก้าวมากระชากเสื้อที่ใส่อยู่ออก เพราะมัวแต่คิดอะไรไปเรื่อย ไม่ได้สังเกตเลยว่าตอนนี้ ประตูห้องถูกปิดลงไปแล้ว เสื้อของไลน์เนอร์ถูกเขาถอดทิ้งไว้บนพื้นตั้งแต่ตอนไหนยังไม่รู้เลย เขาเอาจริงเหรอ! เปลี่ยนใจตอนนี้ได้ไหม ฉันกลัว“ฉัน … ฉันล้อเล่นน่ะ! ฉันแค่อยากเอาชนะนาย! ช่วย! ช่วยปล่อยฉันได้ไหม”ไม่อยากจดจำเขาต่อไป เพราะสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นจากฤทธิ์ของน้ำเมา และยาแปลกๆ ฉันขยับถอยหลังเมื่อไลน์เนอร์ไม่ปล่อย ซ้ำยังก้าวขาไล่ต้อนฉันไปเรื่อยๆ จนถึงเตียงสีขาวขนาดหกฟุตซึ่งตั้งอยู่ด้านในสุดของห้อง ข้างๆเป็นกำ
อึก! อึก!ความหอมหวานของเหล้าผสมทำให้ฉันดื่มมันเกือบหมดแก้ว บาร์เทนเดอร์หนุ่มยิ้มมุมปาก วางแผ่นเมนูไว้ตรงหน้า ฉันหยิบมันขึ้นมาเพื่อดูว่าจะสั่งอะไรต่อ แต่ดูไปก็เท่านั้น ฉันเลือกถามมันกับเขา ว่าอะไรอร่อย และเหมาะกับฉันที่สุด“คุณคิดว่าอะไรอร่อย แล้วเหมาะกับฉัน?”คิ้วสีดำเข้มเลิกขึ้นสูง เขาไล่สายตาสำรวจฉันอย่างจริงจัง สายตาวาบหวามแบบนั้น ทำเอาหน้าร้อนวูบขึ้นมา คิดถึงสายตาของไลน์เนอร์ขึ้นมาเฉยเลย วันที่เขาลากฉันไปถ่ายแบบ เขาก็มองฉันด้วยสายตาแบบนี้เลย มันหมายความว่ายังไงนะ สนใจ หรือ …“มอง … มองแบบนั้นหมายความว่ายังไง?”มุมปากหยักยกขึ้นเป็นรอยยิ้มกว้าง มือที่เห็นรอยสักโผล่พ้นจากร่มผ้า วางลงตรงหน้าฉัน เขายื่นหน้าเข้ามาเอียงไปด้านข้าง กระซิบข้างหูเสียงพร่า“เพราะสนใจไงครับ”“สนใจ … งั้นเหรอ”“อื้อ คุณสวยนี่นา ก็ต้องสนใจอยู่แล้วแหละ”เขาถอยออกไปทำหน้าที่ของตัวเอง ประโยคนั้นควรจะทำให้ฉันดีใจ แต่มันกลับทำให้รู้สึกแย่มากกว่า ไลน์เนอร์เองก็คิดแบบนี้หรือเปล่านะ เห้อ! ช่างเรื่องไลน์เนอร์ได้ไหม ไอ้สมองบ้าๆเนี่ย เลิกคิดเรื่องเขาสักทีพรึ่บ!“อันนี้ของคุณครับ”“ฉันไม่เหมาะกับอันนี้หรอกมั้ง?”เตกีลาเพร