สายลมแผ่วเบาพัดผ่านผมยาวของฉู่เยว่หลีที่ถูกมัดรวบขึ้น ปลิวไสว แผ่นหลังที่ดูสง่างามนั้น ทำให้หัวใจของลู่เฟิงจิ่นเต้นรัวถึงแม้เขาจะไม่ชอบเล่ห์เหลี่ยมและแผนการของนาง แต่รูปร่างหน้าตาที่งดงามเช่นนี้ ทั้งเมืองหลวงก็หาไม่เจอหญิงเช่นอาหลีเช่นนี้ ถึงแม้เขาจะไม่โปรดปราน ก็ต้องกักขังนางไว้ในกรง ห้ามไม่ให้ชายอื่นแตะต้องลู่เฟิงจิ่นเร่งฝีเท้า “อาหลี……”ฝีเท้าพลันหยุดลงเขาเห็นชัดแล้วว่าคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามฉู่เยว่หลีคือใคร“องค์……ชายสี่หรือ?” ลู่เฟิงจิ่นอึ้งไป “ท่าน…กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”“กลับมาเมื่อคืน ได้พบกับเสด็จพ่อแล้ว” ลู่เป่ยโม่ร่างสูงใหญ่ นั่งอยู่บนม้านั่งหิน แสงแดดสาดส่องให้เงาของเขาทอดยาวหายหน้าหายตาไปหลายปี เขาก็ยังคงเป็นองค์ชายสี่คนเดิมรังสีแห่งความดุร้าย ลึกลับ เย็นยะเยือก หากคนทั่วไปเห็นคงไม่กล้าสบตาความสนใจของลู่เฟิงจิ่นมุ่งไปที่ใบหน้าของเขาเขาสวมหน้ากากครึ่งใบ น่ากลัวยิ่งนัก!เมื่อเห็นหน้ากากนั้น ความมั่นใจของลู่เฟิงจิ่นก็กลับคืนมายามนี้ทั้งความสามารถและรูปร่างหน้าตา เขาองค์ชายจิ่นผู้นี้เป็นที่หนึ่งแห่งเมืองหลวง ต่อหน้าลู่เป่ยโม่ เขาไม่จำเป็นต้องอ่อนน้อมถ่อม
“อาหลี!” ลู่เฟิงจิ่นสีหน้าเคร่งเครียด พูดอย่างไม่พอใจ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมาองค์ชายสี่ได้สร้างอิทธิพลมากแค่ไหนในแดนเหนือ? เขาอดทนทุกข์ยาก ยามนี้เมื่อกลับมา ย่อมแก้แค้นเรื่องที่เสียโฉม! ยามนี้เจ้ายังกล้าทำอะไรไม่เข้าเรื่องอีกหรือ?”ฉู่เยว่หลีมองเขา รู้สึกสับสนในใจไม่ว่าตอนนี้นางจะพูดหรือทำอะไร ในสายตาของเขาก็ดูเหมือนจะไร้เหตุผล?ถ้าเป็นเช่นนั้น พวกเขายังมีอะไรต้องคุยกันอีกหรือ?“องค์ชาย วันนี้ข้าเหนื่อยแล้ว ไม่สะดวกจะรับแขก องค์ชายโปรดกลับไปเถิดเพคะ” นางยกกล่องไม้ขึ้น แล้วหันหลังเดินจากไปลู่เฟิงจิ่นสีหน้าไม่สู้ดี ก้าวขายาวขวางนางไว้ “ศัตรูอยู่ตรงหน้า เหตุใดเจ้าถึงพูดกับข้าด้วยท่าทีเช่นนี้?”“หากองค์ชายคิดว่าโม่อ๋องเป็นศัตรู เขาก็เป็นศัตรูขององค์ชายเพียงผู้เดียว ข้าเป็นเพียงหญิงสาวอ่อนแอ ไม่มีสิทธิ์ที่จะตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขา”ศึกครั้งนั้นระหว่างพวกเขา แล้วเกี่ยวอะไรกับนาง?“ศึกครั้งนั้น เจ้าใช้แผนล่อลวงองค์ชายสี่ไปยังแดนเหนือ ทำให้เขาเสียโฉม ความแค้นครั้งใหญ่เช่นนี้ เจ้าคิดว่าเขาจะลืมได้หรือ?”นางไม่ใช่คนที่รอบคอบเสมอหรอกหรือ? เหตุใดครั้งนี้ถึงได้ไร้เดียงสาเช่น
แรกเริ่มฉู่เยว่หลีตกใจไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหัวเราะออกมาน่าขันยิ่งนัก“องค์ชาย พี่ชายใหญ่ของข้าไปขอร้องฮ่องเต้ให้ยกเลิกการหมั้น ตอนนี้องค์ชายให้คนของจวนกั๋วกงไปขอร้องฮ่องเต้ให้ยกเลิกคำสั่ง องค์ชายต้องการให้ฮ่องเต้เกลียดชังคนจวนกั๋วกงหรือ?”“เรื่องนี้เป็นความผิดของจวนกั๋วกงเอง แล้วจะให้ข้าตามคอยเก็บกวาดหรือไร?”ลู่เฟิงจิ่นพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเอง ยามนี้เรียกได้ว่ายังไว้หน้า“อาหลี อย่าเอาแต่ใจนัก เจ้ารู้ว่าข้าไม่อาจทำผิดต่อหน้าเสด็จพ่อได้ ถ้าแม่ทัพฉู่ไปขอร้องเสด็จพ่อ เสด็จพ่อก็แค่ดุไม่กี่คำ แต่เรื่องราวก็คลี่คลาย”“หากเขาไม่ไป การหมั้นของเราจะถูกยกเลิกจริง ๆ! อาหลี พอแค่นี้เถิด! ถ้าการหมั้นถูกยกเลิกจริง ๆ หากวันหน้าเราอยากแต่งงานกันอีก ชาวเมืองหัวเราะเยาะเอา เมื่อถึงตอนนั้นก็แก้ไขอันใดไม่ได้แล้ว”“ข้าไม่เคยคิดจะแก้ไข”เช่นนั้นแล้วเขาพูดไปตั้งมากมาย มีประโยชน์อันใด?ลู่เฟิงจิ่นสีหน้าเคร่งเครียด “อาหลี ข้าเอ่ยปากเองเช่นนี้ เจ้าจะดื้ออีกนานแค่ไหน?”ฉู่เยว่หลีขมวดคิ้ว “องค์ชาย สิ่งใดทำให้องค์ชายคิดว่าต้องเป็นข้าเท่านั้น? เหตุใดตอนนี้ องค์ชายยังคิดว่าข้ากำลังดื้อดึงกับองค์ชาย?
ลู่เฟิงจิ่นเดินจากไปอย่างเดือดดาลจื่อซูโกรธจัด “องค์ชายจิ่นเกินไปแล้ว เขาฟังคนพูดไม่รู้เรื่องหรือ?”ฉู่เยว่หลีเอ่ยเสียงเรียบเฉย “เขาไม่ได้ฟังไม่รู้เรื่อง เพียงไม่แยแสเท่านั้น”“เช่นนั้น คุณหนูก็คิดว่า คำพูดของเขาถูกต้องแล้วหรือ?” จื่อซูรู้สึกท้อใจท่านชายใหญ่บาดเจ็บ ตระกูลกั๋วกงหมดสิ้นทายาท ฮ่องเต้จะยึดอำนาจทางทหารเพราะตระกูลกั๋วกงไม่มีทายาทหรือ?“องค์ชายจิ่นใจร้าย โม่อ๋องก็ดูน่ากลัว คุณหนู เราจะทำอย่างไรต่อไปดีเจ้าคะ?”“ยามเรือถึงท่าย่อมต้องเทียบจอด เจ้ารีบร้อนทำไม?” ฉู่เยว่หลีเขกหัวนางเบา ๆ แล้วมองไปที่กล่องไม้ในมือจื่อซูสีหน้าอยากรู้อย่างเห็น “คุณหนูเจ้าคะ ในกล่องนี้มีอะไรหรือ? เป็นสินสอดจริงๆ หรือ?”ยามที่โม่อ๋องมาถึว เพราะรังสีแสนน่าสะพรึ่งกลัวนั้น จื่อซูจึงไม่กล้าเข้าไปใกล้ ได้ยินแค่คำว่า “สินสอด”แต่ใครจะไปขี้เหนียวปานนั้น สินสอดมีแค่นี้เองหรือ?กล่องไม้ดูเรียบง่าย ไม่ดูหรูหรา ของข้างในคงไม่ใช่ของมีค่าไปได้“โม่อ๋องสู่ขอคุณหนูจริงๆ หรือ?”“เจ้าไม่เชื่อหรือ?” ฉู่เยว่หลีเดินไปยังห้องโถงหลักจื่อซูบ่นพึมพำ “ไม่ใช่ไม่เชื่อเจ้าค่ะ แต่…เหลือเชื่อ โม่อ๋องเสียโฉม ก็เพราะแ
“ข้าจะไปพบกับคนจากวัง” ฉู่เยว่หลียัดกล่องไม้ลงในมือของฉู่เซียวเหอ “พี่ชายใหญ่ รบกวนพี่ไปที่จวนโม่อ๋อง บอกว่า… คนมีตำหนิที่เคยถูกถอนหมั้นเช่นข้า ไม่คู่ควรกับเขา”“เจ้าไม่ได้ถูกถอนหมั้น แต่เจ้าเป็นฝ่ายไม่ต้องการองค์ชายจิ่นต่างหาก!” ฉู่เซียวเหอจะยอมพูดว่าน้องสาวของตนเองไม่คู่ควรได้อย่างไร?แค่คิดก็เจ็บปวดไปทั้งหัวใจแล้ว!“นี่เป็นข้ออ้างเดียวที่ข้าคิดออก พี่ชายใหญ่ มีเวลาไม่มากแล้ว เร็วเข้า!” ฉู่เยว่หลีผลักเขาเบา ๆฉู่เซียวเหอรู้ว่าสถานการณ์คับขัน ยามนี้ก็ทำได้เพียงแค่นี้เขาเก็บกล่องไม้ไว้อย่างระมัดระวัง ออกจากบ้านไปในทันทีฉู่เยว่หลีจึงรีบไปที่ลานหน้าบ้าน แต่คนที่มาก็คือแม่นมของพระสนมรุ่ยเฟยไม่ใช่คนของฮ่องเต้!ฉู่เยว่หลีโล่งใจ เดินเยิ้องย่างเข้าไปต้อนรับ “แม่นม วันนี้เป็นวันดีอะไรหรือ ถึงได้มาที่จวนข้าด้วยตัวเอง?”แม่นมหัวเราะร่วนพลางเอง “แม่นาง พระสนมได้ชาชั้นดีมา จึงอยากเชิญแม่นางเข้าวังไปดื่มชาด้วยกัน ดูสิ พระสนมจัดรถม้าให้แม่นางด้วย เห็นได้ว่าพระสนมคิดถึงแม่นางมากแค่ไหน”ไม่ให้โอกาสฉู่เยว่หลีได้ปฏิเสธ แม่นมเอ่ยต่อ “พระสนมรออยู่นานแล้ว แม่นาง เชิญเถิด!”…ในตำหนักชุนเหอ ค
ใบหน้าที่งดงามไร้ที่ติของฉู่เยว่หลีไม่มีแม้แต่ริ้วรอยแห่งความรู้สึก แต่สิบนิ้วที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อกลับกำแน่นสองคนที่อยู่ตรงหน้า ดูเหมือนจะมีเมตตา แต่แท้จริงแล้วหน้าเนื้อใจเสือเพียงแค่ข่าวลือไร้มูลไม่กี่ประโยค ก็สามารถทำลายชีวิตของหญิงสาวคนหนึ่งหากเป็นหญิงสาวที่อ่อนแอ ไม่แน่ว่าอาจจะผูกคอตัวเองไปแล้วพวกคนพวกนี้ ฆ่าคนโดยไม่ทิ้งร่องรอยจริง ๆ!“อาหลี ข้ารู้ว่า จิ่นเอ๋อร์อยู่กับเด็กสาวป่าเถือนผู้นั้น เจ้าคงไม่สบายใจ ถึงได้รั้นเช่นนี้ ทำให้แม่ทัพฉู่ต้องเสียคุณูปการโดยใช้เหตุเพื่อแลกกับราชโองการถอนหมั้น”พระสนมรุ่ยเฟยวางถ้วยชาลง รอยยิ้มบนใบหน้ายังคงอ่อนโยน “อย่ากังวลไปเลย หลายวันก่อนข้าไปที่จวนองค์ชายจิ่น สั่งให้คนโบยเด็กสาวป่าเถื่อนผู้นั้น โบยเสียจนเลือดเนื้อปนเป แก้แค้นให้เจ้าน่ะ”“วันหน้าหากนางยังกล้าลอยหน้าลอยตาอยู่ในจวนองค์ชายจิ่น ข้าก็จะจัดการนาง ไม่มีทางให้นางได้อยู่เป็นสุข”นางจับมือฉู่เยว่หลี ลูบหลังมือเบา ๆ “อาหลี เพียงแค่เจ้ากราบทูลฮ่องเต้ว่า เป็นเจ้าเองที่เอาแต่ใจ ขอร้องฮ่องเต้โปรดให้ยกเลิกคำสั่ง เรื่องนี้เราจะคิดเสียว่าไม่เคยเกิดขึ้น”“จากนี้ไปเจ้าก็ยังคงเป็นอาหลีคน
แต่แม่นมก็ยังไม่วางใจ “ฮ่องเต้ถูกหลอกลวงเช่นนี้ คงจะทรงพิโรธ เมื่อถึงยามนั้นจะทรงตำหนิองค์ชายหรือไม่เพคะ?”ตระกูลกั๋วกงซื่อสัตย์ แต่กลับไม่มีทายาทสืบสกุลแล้ว ถึงแม้ฮ่องเต้จะพิโรธ ก็คงจะไม่ลงโทษพวกเขาหนักหนาเพียงแต่เพลิงพิโรธของฮ่องเต้ ต้องมีใครสักคนแบกรับ“แน่นอนว่าไม่!” พระสนมรุ่ยเฟยยิ้มเย็นเอ่ย “ตอนนั้น แค่ให้จิ่นเอ๋อร์เข้าเฝ้าฮ่องเต้ เล่าเรื่องราวยามกำจัดพวกกบฏทั่วป่าหู้และพรรคพวก ทั่วป๋าเฟยเยวียนให้สารภาพสร้างคุณงามความ เขาพานางกลับมาเพื่อเป็นการชดเชย ทว่าฉู่เยว่หลีที่ใจแคบ อดทนไม่ไหว แต่เขาเป็นชายชาตรี จึงไม่ถือสาเรื่องนี้กับหญิงสาว วันหน้าจะดูแลฉู่เยว่หลีให้ดีกว่านี้”“คำพูดเหล่านี้ ฮ่องเต้จะทรงพอพระทัย ทรงคิดว่าพระองค์มีลูกชายที่เติบโตอย่างเปี่ยมความเมตตา”“อย่างไรเสียก็เป็นความผิดของพี่น้องฉู่เยว่หลีนั่น ที่เอาแต่ดื้อดึง แล้วจะเกี่ยวกับจิ่นเอ๋อร์ได้อย่างไร? ฮ่องเต้ก็จะเห็นว่า ฉู่เซียวเหอใจแคบ ไม่อาจทำการใหญ่ได้ หลังจากที่จิ่นเอ๋อร์กับฉู่เยว่หลีแต่งงาน เพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน ฮ่องเต้ก็จะหาข้ออ้าง ย้ายกองทัพฉู่แสนนายไปอยู่ใต้บัญชาของจิ่นเอ๋อร์!”ตอนนั้นจวนกั๋วกงจะล่มสลายอย
ข่าวลือทั้งในวังและนอกวังถูกส่งไปยังจวนโม่อ๋องในทันที“คนนอกพูดกันอย่างมีออกรสออกชาติราวกับว่าได้เห็นเหตุการณ์ด้วยตาตนเอง คำพูดหยาบคายเหล่านั้น สำหรับหญิงสาวคนหนึ่งแล้วน่ากลัวกว่าการเอาคมมีดแทงอกเสียอีก!”องครักษ์หลิงอวิ๋นเดินสำรวจถนน กลับมาด้วยใบหน้าเดือดดาล“องค์ชาย พระองค์ไม่ได้ได้ยินด้วยหูของตนเอง คนแพร่ข่าวลือพวกเหล่านั้น ไม่คิดถึงความเป็นความตายของแม่นางหลีเลย! พวกเขาโหดร้ายเหลือไปแล้ว!”หลังจากที่ได้ฟังหลิงอวิ๋นเล่าเรื่องราว แม้แต่จิงเหลยผู้ที่สงบเสงี่ยมมาตลอด ยังสีหน้ามืดครึ้มลงอย่างห้ามไม่ได้หญิงสาวที่ยังไม่แต่งงานกลับไปเกี่ยวข้องกับค่ายทหารนั้น ในสายตาของผู้คนทั่วไปนั้นจะต่างอะไรกับหญิงเริงเมืองในโรงน้ำชา?ลูกสาวของตระกูลขุนนางกั๋วกงผู้ทรงเกียรติ แต่ถูกเล่าลือว่าเป็นหญิงเริงเมืองในโรงน้ำชานั้น จะเสื่อมเสียเพียงใด?“พวกเขาใช้วิธีการต่ำช้สเช่นนี้ ก็เพื่อบีบบังคับแม่นางหลีให้ขอฮ่องเต้ถอนคำสั่ง และให้แต่งงานกับองค์ชายจิ่นต่อไป”หลิงอวิ๋นเกลียดชังเรื่องเช่นนี้ “แต่พวกเขาไม่เคยคิดถึงแม่นางหลีเลย แม้ว่าวันหน้าแม่นางหลีจะเป็นจิ่นอ๋องเฟย แต่นางก็จะต้องแบกชื่อเสียงที่เสื่อมเสี