ใบหน้าที่งดงามไร้ที่ติของฉู่เยว่หลีไม่มีแม้แต่ริ้วรอยแห่งความรู้สึก แต่สิบนิ้วที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อกลับกำแน่นสองคนที่อยู่ตรงหน้า ดูเหมือนจะมีเมตตา แต่แท้จริงแล้วหน้าเนื้อใจเสือเพียงแค่ข่าวลือไร้มูลไม่กี่ประโยค ก็สามารถทำลายชีวิตของหญิงสาวคนหนึ่งหากเป็นหญิงสาวที่อ่อนแอ ไม่แน่ว่าอาจจะผูกคอตัวเองไปแล้วพวกคนพวกนี้ ฆ่าคนโดยไม่ทิ้งร่องรอยจริง ๆ!“อาหลี ข้ารู้ว่า จิ่นเอ๋อร์อยู่กับเด็กสาวป่าเถือนผู้นั้น เจ้าคงไม่สบายใจ ถึงได้รั้นเช่นนี้ ทำให้แม่ทัพฉู่ต้องเสียคุณูปการโดยใช้เหตุเพื่อแลกกับราชโองการถอนหมั้น”พระสนมรุ่ยเฟยวางถ้วยชาลง รอยยิ้มบนใบหน้ายังคงอ่อนโยน “อย่ากังวลไปเลย หลายวันก่อนข้าไปที่จวนองค์ชายจิ่น สั่งให้คนโบยเด็กสาวป่าเถื่อนผู้นั้น โบยเสียจนเลือดเนื้อปนเป แก้แค้นให้เจ้าน่ะ”“วันหน้าหากนางยังกล้าลอยหน้าลอยตาอยู่ในจวนองค์ชายจิ่น ข้าก็จะจัดการนาง ไม่มีทางให้นางได้อยู่เป็นสุข”นางจับมือฉู่เยว่หลี ลูบหลังมือเบา ๆ “อาหลี เพียงแค่เจ้ากราบทูลฮ่องเต้ว่า เป็นเจ้าเองที่เอาแต่ใจ ขอร้องฮ่องเต้โปรดให้ยกเลิกคำสั่ง เรื่องนี้เราจะคิดเสียว่าไม่เคยเกิดขึ้น”“จากนี้ไปเจ้าก็ยังคงเป็นอาหลีคน
แต่แม่นมก็ยังไม่วางใจ “ฮ่องเต้ถูกหลอกลวงเช่นนี้ คงจะทรงพิโรธ เมื่อถึงยามนั้นจะทรงตำหนิองค์ชายหรือไม่เพคะ?”ตระกูลกั๋วกงซื่อสัตย์ แต่กลับไม่มีทายาทสืบสกุลแล้ว ถึงแม้ฮ่องเต้จะพิโรธ ก็คงจะไม่ลงโทษพวกเขาหนักหนาเพียงแต่เพลิงพิโรธของฮ่องเต้ ต้องมีใครสักคนแบกรับ“แน่นอนว่าไม่!” พระสนมรุ่ยเฟยยิ้มเย็นเอ่ย “ตอนนั้น แค่ให้จิ่นเอ๋อร์เข้าเฝ้าฮ่องเต้ เล่าเรื่องราวยามกำจัดพวกกบฏทั่วป่าหู้และพรรคพวก ทั่วป๋าเฟยเยวียนให้สารภาพสร้างคุณงามความ เขาพานางกลับมาเพื่อเป็นการชดเชย ทว่าฉู่เยว่หลีที่ใจแคบ อดทนไม่ไหว แต่เขาเป็นชายชาตรี จึงไม่ถือสาเรื่องนี้กับหญิงสาว วันหน้าจะดูแลฉู่เยว่หลีให้ดีกว่านี้”“คำพูดเหล่านี้ ฮ่องเต้จะทรงพอพระทัย ทรงคิดว่าพระองค์มีลูกชายที่เติบโตอย่างเปี่ยมความเมตตา”“อย่างไรเสียก็เป็นความผิดของพี่น้องฉู่เยว่หลีนั่น ที่เอาแต่ดื้อดึง แล้วจะเกี่ยวกับจิ่นเอ๋อร์ได้อย่างไร? ฮ่องเต้ก็จะเห็นว่า ฉู่เซียวเหอใจแคบ ไม่อาจทำการใหญ่ได้ หลังจากที่จิ่นเอ๋อร์กับฉู่เยว่หลีแต่งงาน เพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน ฮ่องเต้ก็จะหาข้ออ้าง ย้ายกองทัพฉู่แสนนายไปอยู่ใต้บัญชาของจิ่นเอ๋อร์!”ตอนนั้นจวนกั๋วกงจะล่มสลายอย
ข่าวลือทั้งในวังและนอกวังถูกส่งไปยังจวนโม่อ๋องในทันที“คนนอกพูดกันอย่างมีออกรสออกชาติราวกับว่าได้เห็นเหตุการณ์ด้วยตาตนเอง คำพูดหยาบคายเหล่านั้น สำหรับหญิงสาวคนหนึ่งแล้วน่ากลัวกว่าการเอาคมมีดแทงอกเสียอีก!”องครักษ์หลิงอวิ๋นเดินสำรวจถนน กลับมาด้วยใบหน้าเดือดดาล“องค์ชาย พระองค์ไม่ได้ได้ยินด้วยหูของตนเอง คนแพร่ข่าวลือพวกเหล่านั้น ไม่คิดถึงความเป็นความตายของแม่นางหลีเลย! พวกเขาโหดร้ายเหลือไปแล้ว!”หลังจากที่ได้ฟังหลิงอวิ๋นเล่าเรื่องราว แม้แต่จิงเหลยผู้ที่สงบเสงี่ยมมาตลอด ยังสีหน้ามืดครึ้มลงอย่างห้ามไม่ได้หญิงสาวที่ยังไม่แต่งงานกลับไปเกี่ยวข้องกับค่ายทหารนั้น ในสายตาของผู้คนทั่วไปนั้นจะต่างอะไรกับหญิงเริงเมืองในโรงน้ำชา?ลูกสาวของตระกูลขุนนางกั๋วกงผู้ทรงเกียรติ แต่ถูกเล่าลือว่าเป็นหญิงเริงเมืองในโรงน้ำชานั้น จะเสื่อมเสียเพียงใด?“พวกเขาใช้วิธีการต่ำช้สเช่นนี้ ก็เพื่อบีบบังคับแม่นางหลีให้ขอฮ่องเต้ถอนคำสั่ง และให้แต่งงานกับองค์ชายจิ่นต่อไป”หลิงอวิ๋นเกลียดชังเรื่องเช่นนี้ “แต่พวกเขาไม่เคยคิดถึงแม่นางหลีเลย แม้ว่าวันหน้าแม่นางหลีจะเป็นจิ่นอ๋องเฟย แต่นางก็จะต้องแบกชื่อเสียงที่เสื่อมเสี
ยามค่ำคืนฉู่เยว่หลีเปลี่ยนเป็นชุดสีขาวเรียบง่ายจื่อซูไม่เข้าใจสักเท่าไร “คุณหนู คืนนี้เป็นงานเลี้ยงในวังหลวง ฮองเฮาคงไม่พอใจแน่”“ไม่สวยหรือ?” ฉู่เยว่หลีถามพร้อมรอยยิ้มจื่อซูส่ายหน้า “สวยเจ้าค่ะ เหมือนกับนางฟ้าลงมาจากสวรรค์”“ถ้าสวยแล้ว เหตุใดฮองเฮาจึงไม่พอใจ?” นางเดินไปยังลานบ้านจื่อซูเดินตามหลัง “งานเลี้ยงจัดอย่างยิ่งใหญ่ ทุกคนคงจะแต่งตัวสวยงาม คุณหนูแต่งตัวเรียบง่ายเช่นนี้ คงจะดูไม่เข้ากับคนอื่น ฮองเฮาคงคิดว่าคุณหนูมีแผนการณ์อะไรบางอย่าง”การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นในวังนั้น คือการที่ต้องแตกต่าง นั่นคือสิ่งที่ฮองเฮาเกลียดที่สุด“ไม่เป็นไร คืนนี้ ฮองเฮาจะไม่โกรธข้า”ฉู่เยว่หลีมาถึงลานบ้านก็พบกับฉู่เซียวเหอที่ยืนอยู่ข้างรถม้าด้วยสีหน้ากังวล“อาหลี คืนนี้อย่าไปงานเลี้ยงเลย” เมื่อเห็นฉู่เยว่หลีออกมา ฉู่เซียวเหอก็รีบเดินเข้าไปหา“ถ้าข้าไม่ไป ก็เท่ากับว่าข้ากลัวข่าวลือเหล่านั้น ข้าอับอายจนอยากจะตายอยู่แต่ในบ้าน นั่นจะยิ่งทำให้ข่าวลือน่าเชื่อถือมากขึ้นไปอีกไม่ใช่หรือ?”“แต่ถ้าเจ้าไป ก็จะต้องถูกซุบซิบนินทา คืนนี้พี่ใหญ่ต้องดื่มกับฮ่องเต้ คงไม่อาจอยู่ข้างกายเจ้าได้ตลอดเวลา ข้ากลั
หลังจากที่ทั่วป๋าเฟยเยวียนถูกลงโทษในวันนั้น ลู่เฟิงจิ่นโกรธมากจริง ๆแต่เมื่อไปถึงจวนกั๋วกง เขากลับได้รับความอับอายยิ่งกว่า กลับมาแล้วจึงนึกถึงความซื่อสัตย์และความบริสุทธิ์ของทั่วป๋าเฟยเยวียนอีกครั้งทั้งสองก็คืนดีกันในที่สุดตอนนี้ลู่เฟิงจิ่นไม่ต้องการก่อเรื่องวุ่นวายอีก จึงอธิบายว่า “เป็นเพระคนที่มีคนจงใจแพร่ข่าวลือ คนโง่เท่านั้นที่จะเชื่อ เจ้าก็เชื่อเช่นนั้นหรือ?”ทั่วป๋าเฟยเยวียนจ้องเขม็งลู่เฟิงจิ่นเอ่ยอย่างจนใจ “วังหลวงคนมากมายนัก หากมีเรื่องอะไร เราค่อยกลับไปคุยกัน”ทั่วป๋าเฟยเยวียนยังคงอยากจะบ่น แต่เห็นว่าคนในวังค่อย ๆ มากขึ้นเรื่อยๆไม่นาน นางก็พบว่าสายตาที่ไม่เป็นมิตรต่างจ้องมองมาที่นาง“องค์ชายรองและองค์ชายสามมาแล้ว ข้าจะไปคุยกับพวกเขา จะมีนางกำนัลจัดที่นั่งให้เจ้า ถ้าไม่รู้ว่าจะไปไหน ก็บอกว่าเป็นคนของจวนองค์ชายจิ่น พวกนางจะดูแลเจ้าอย่างดี”นี่เป็นครั้งแรกที่ทั่วป๋าเฟยเยวียนเข้าร่วมงานเลี้ยงในราชสำนักช่วงหลายปีที่ผ่านมาจะมีสงครามเกิดขึ้นในหลายแคว้น โลกภายนอกส่วนใหญ่มีแต่ความยากลำบากแต่ด้วยกำลังทหารอันแข็งแกร่งของตงหลิง พวกเขายังสามารถสร้างเมืองหลวงรุ่งเรืองที่สุ
ฉู่เยว่หลีกำลังดื่มชาอยู่แม้ว่ารอบข้างจะมีเสียงซุบซิบมากมาย แต่ใบหน้าของนางยังคงสงบนิ่ง ท่าทางสง่างามท่าทางที่สงบเยือกเย็นนั้น ไร้ที่ติใด ๆแต่ไม่ทันไร ขณะที่ฉู่เยว่หลีวางถ้วยชาลง ก็มีเสียงดัง “ปัง” ถ้วยชาบนโต๊ะของนางก็ถูกคนกระแทกจนแตก!น้ำชาที่เหลืออยู่ในถ้วยกระเด็นไปทั่ว หญิงสาวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ร้องออกมาด้วยความตกใจ แล้วรีบหลบออกไป“ฉู่เยว่หลี นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” ทั่วป๋าเฟยเยวียนยืนอยู่หน้าโต๊ะ มองนางด้วยสายตาที่เย่อหยิ่งฉู่เยว่หลีเงยหน้าขึ้น มองนางช้า ๆแวบแรก ดูเหมือนสงบ แต่พอพิจารณาดี ๆ กลับรู้สึกถึงคลื่นใต้น้ำที่น่าหวั่นเกรงทั่วป๋าเฟยเยวียนรู้สึกอยากถอยหลังโดยไม่รู้ตัวคืนนั้น นางมองไม่เห็น และไม่รู้ว่าเป็นฉู่เยว่หลีหรือไม่ที่ลงมือแต่ลู่เฟิงจิ่นรับประกันกับนางหลายครั้งแล้วว่า ทั้งสองรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ฉู่เยว่หลีไม่รู้ศิลปะการต่อสู้เลยทั่วป๋าเฟยเยวียนยอมรับคำอธิบายนี้ในที่สุด คงจะเป็นฝีมือของยอดฝีมือที่แฝงตัวมาช่วยฉู่เยว่หลีในคืนนั้นฉู่เยว่หลีคนนี้ เจ้าเล่ห์ เจ้าคิดเจ้าแค้น ยามนี้นางจัดฉากใส่สีตีไข่ทุกสิ่งขึ้นมาเอง วิธีการช่างต่ำช้าน่ารังเกียจ!“ทั
ทันใดนั้นในสวนดอกไม้ก็วุ่นวายอลม่านลู่เป่ยโม่พร้อมกับจิงเหลยและหลิวอวิ๋นมาถึง ก็เห็นว่าผู้คนกำลังมุงดูอะไรบางอย่างอยู่หลิวอวิ๋นเข้าไปถามข่าวในทันที “องค์ชาย หญิงสาวที่องค์ชายจิ่นพามานั้น ทำร้ายแม่นางหลี! องค์ชายจะเข้าไปช่วยหรือไม่?”ความตื่นเต้นฉายขึ้นในแววตาของลู่เป่ยโม่ เขาหันไปทางจิงเหลยที่อยู่ข้างหลัง “ดูว่าอานเต๋อลู่ไปถึงไหนแล้ว ให้เขามาดูความสนุกสนานนี้ด้วย”“ขอรับ” จิงเหลยรับทราบแล้วหันหลังกลับไปแต่หลิวอวิ๋นกลับร้อนใจ “แม่นางหลีล้มอยู่กับพื้น องค์ชาย จะไม่ไปช่วยเลยหรือ?”ลู่เป่ยโม่ไม่พูดอะไร เดินต่อไปเมื่อจิงเหลยกลับมา ก็เห็นหลิวอวิ๋นยังคงร้อนใจอยู่เขาหัวเราะเสียงเย็น “ท่านชายฉู่ก็อยู่ที่นี่ เขายังไม่รีบ เจ้ารีบทำไม?”แต่หลิวอวิ๋นกลับเอ่ยว่า “ท่านชายฉู่กำลังดื่มเหล้าอยู่ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับแม่นางหลี เขาถึงได้ไม่รีบน่ะสิ!”จิงเหลยมองเขา หมดคำจะพูดเจ้าโง่นี่ อยู่ข้างกายองค์ชายมาได้สิบกว่าปี ช่างโชคดีเหลือเกินเขาก็เดินตามไป ไม่สนใจไอ้คนพูดมากอีกต่อไปจุดศูนย์กลางของความวุ่นวายยังคงเป็นลู่เฟิงจิ่นกับหญิงสาวสองคนข้างกายลู่เฟิงจิ่นรีบเข้าไป จะพยุงฉู่เยว่หลีข
ความจริงเขาเคยแตะต้องนางหรือไม่กันแน่!ทุกคนต่างรอคำตอบจากจิ่นอ๋องใบหน้าของลู่เฟิงจิ่นร้อนผ่าวเรื่องไร้สาระเช่นนี้ กลับถูกหยิบยกขึ้นมาในที่สาธารณะ ยิ่งกว่านั้นยังอยู่ในวังอีกต่างหาก!ฮ่องเต้อาจจะเสด็จมาได้ทุกเมื่อ ถ้าพระองค์เห็น ภาพลักษณ์ของเขาในสายตาพระองค์ปนปี้ไม่รู้เท่าไร!ลู่เฟิงจิ่นโกรธจนหน้าแดง ผลักทั่วป๋าเฟยเยวียนออกไป “มีอะไร กลับไปคุยกันที่จวน ตอนนี้ไปให้พ้น!”“เจ้าพูดอะไรนะ?” ทั่วป๋าเฟยเยวียนแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เขาบอกให้นางไปให้พ้น!นางไม่เคยดื้อดึงที่จะอยู่ข้างกายเขา มีหลายครั้งที่นางอยากจะจากไปให้พัน ก็เป็นเขาที่ขอร้องและเกลี้ยกล่อมให้นางอยู่ยามเขากลับบอกให้นางไปให้พ้น?“เช่นนั้นแล้วเจ้าเคยแตะต้องนางจริงๆ ใช่ไหม? ลู่เฟิงจิ่น เจ้าเป็นคนโกหก! เจ้ากล้าโกหกข้า!”นางวิ่งเข้าไปหมายจะคว้าคอเสื้อเขานี่เป็นวิธีที่พวกเขาปฏิบัติต่อกันในจวน!ลู่เฟิงจิ่นโตมาขนาดนี้ ไม่เคยถูกใครทุบตี ทั่วป๋าเฟยเยวียนเป็นหญิงสาวเพียงคนเดียวที่เคยตบหน้าเขาเขามักจะโมโหจนอยากจะฆ่านาง แต่กลับรู้สึกว่า หญิงสาวแบบนี้หาไม่ได้อีกแล้วในโลกเขาโกรธ แต่ก็หวงแหนอย่างยิ่งแต่ตอนนี้ พวกเขาอยู่ในวังห