“องค์ชายจงวางใจเถิด ข้าจะไม่เสียใจ” ฉู่เยว่หลียกมุมปาก แย้มยิ้มบาง “ในเมื่อยามนี้ข้าที่ไม่ต้องการองค์ชายแล้ว”หลังจากที่แย้มยิ้มให้ลู่เฟิงจิ่นอีกครั้ง ฉู่เยว่หลีก็จากไปย่างก้าวนั้นช่างสำราญใจแผ่นหลังนั้นชวนหลังใหลไร้ซึ้งความเศร้าโศก!ลู่เฟิงจิ่นกำมือแน่น แข็งทื่อไปทั้งตัว“องค์ชาย เช่นนั้น... กลับจวนก่อนเถิด ดูท่าแม่นางทั่วป๋าเหมือนจะไม่ไหวแล้ว คนไม่รู้คงคิดว่านางตายไปแล้วกระมัง!” ฉู่เซียวเหอเอ่ยอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อนยามนี้หากเจอทั่วป๋าเฟยเยวียนแล้วควบคุมตัวเองไม่ให้วู่วามฆ่านางได้ ก็นับว่าเขาอดทนอย่างถึงที่สุดแล้วอยากให้เขาดีกับทั่วป๋าเฟยเยวียน ชาตินี้คงเป็นไปไม่ได้!“แม่ทัพฉู่ ระวังคำพูดด้วย!” ลู่เฟิงจิ่นจ้องเขาอย่างดุเดือดแต่เมื่อเห็นทั่วป๋าเฟยเยวียนยังหมดสติอยู่บนพื้น ภาพนั้นทำเขาหัวใจกระตุกวูบเมื่อครูไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร เมื่อเห็นฉู่เยว่หลีจะจากไป กลับทิ้งเยวียนเอ๋อร์วิ่งตามไปเสียอย่างนั้นยังไม่รู้ว่าเยวียนเอ๋อร์บาดเจ็บมากน้อยเพียงใดเขาพลันหันหลังกลับ อุ้มทั่วป๋าเฟยเยวียนขึ้น แล้วรีบวิ่งออกจากห้องโถง “ใครก็ได้! กลับจวน!”ฉู่เซียวเหอไม่ได้ตั้งใจจะส่งเขา พอส่
“เป็นฝีมือฉู่เยว่หลี!” ทั่วป๋าเฟยเยวียนหน้าซีดเผือด เห็นได้ชัดว่ากำลังตื่นตกใจลู่เฟิงจิ่นขมวดคิ้ว “จะเป็นอาหลีได้อย่างไร? นางไม่มีวรยุทธ์!”“ไม่ นางมีวรยุทธ์ ฝีมือของนาง เก่งยิ่งกว่าเจ้าด้วยซ้ำ...”“เหลวไหล!” ครั้งนี้ลู่เฟิงจิ่นโกรธขึ้นมาจริง ๆ “ข้ารู้จักอาหลีมาหลายปี มีเรื่องอะไรที่ข้าไม่รู้บ้าง?”“เจ้าไม่เชื่อข้าหรือ?” ทั่วป๋าเฟยเยวียนสีหน้าพลันเปลี่ยน ความโกรธตีขึ้นมา “ไอ้ชาติหมา หรือว่าเจ้า...”“เจ้าด่าใครว่าไอ้ชาติหมา?” ประตูเปิดออกในทันใด หญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาอย่างเดือดดาลโดยมีแม่นมคอยพยุง “องค์ชายจิ่นผู้ทรงเกียรติแห่งตงหลิง แต่เจ้ากลับเรียกเขาว่าไอชาติหมาหรือ?”“เสด็จแม่!” ลู่เฟิงจิ่นสีหน้าเปลี่ยน รีบลุกขึ้นยืน โค้งคำนับ “ถวายบังคมเสด็จแม่”พระสนมรุ่ยเฟย เสด็จแม่ของลู่เฟิงจิ่นนี่เองทั่วป๋าเฟยเยวียนถึงบางอ้อ รู้สึกประหม่า แต่ท่าทีหยิ่งยโสของพระสนมรุ่ยเฟย กลับทำให้ความหยิ่งทะนงของนางเพิ่มขึ้นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นางเก็บความประหม่านั้นไว้ มองพระสนมรุ่ยเฟย ไม่แสดงท่าทีใด“สามหาว!” แม่นมที่อยู่ข้างกายพระสนมรุ่ยเฟย สีหน้าเปลี่ยนบึ้งตึง เอ่ยเสียงขุ่น “พบกับพระสนมรุ
”หุ” เสียงแค่นหัวเราะดังขึ้น ทำลายความอึดอัดระหว่างทั้งสองคนพระสนมรุ่ยเฟยโมโหจนถึงขีดสุด แต่กลับหัวเราะขึ้นมา “ดี ดีมาก ลูกชายของข้า ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นสามีของเจ้าหรอก”“เสด็จแม่ นางจิตใจงาม เพียงแต่ยังเด็กอยู่ก็เท่านั้น…” ลู่เฟิงจิ่นรู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัวรอยยิ้มนี้ของเสด็จแม่ น้อยนักที่เขาจะมีโอกาสได้เห็นคราวก่อนที่ได้เห็น ก็ตอนที่นางยิ้มเยาะยามสั่งประหารแม่นมเฒ่าที่คอยรับใช้ข้างกายตัวเองมาลู่เฟิงจิ่นพยายามอธิบายต่อ “เสด็จแม่ เยวียนเอ๋อร์ไม่มีเจตนาจะดูหมิ่นท่าน ลูกเพียงแค่…”“ลู่เฟิงจิ่น เจ้าจะก้มหัวให้นางหรือ?” ทั่วป๋าเฟยเยวียนที่ยังคงอวดดีตั้งแต่เมื่อครู่ ใบหน้าเปลี่ยนไปในทันที ดูไม่ได้เอาเสียเลยนางรู้ดีถึงสถานะของพระสนมรุ่ยเฟย และรู้ว่าหากขัดคำสั่งนาง ผลที่ตามาคงไม่ดีแน่แต่สิ่งที่นางต้องการ คือความจริงใจนี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะพิสูจน์ว่าลู่เฟิงจิ่นจริงใจกับนางหรือไม่หากลู่เฟิงจิ่นไม่ปกป้องนางในตอนนี้ วันหน้ายามอยู่ในจวนองค์ชาย นางจะไม่มีอำนาจนางไม่ได้โง่ เพียงแต่อยากเดิมพันสักครั้งแต่พระสนมรุ่ยเฟยหมดความอดทนแล้ว“ใครก็ได้!”ทันทีที่นางออกคำสั่ง องคร
ลู่เฟิงจิ่นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ย “ถึงแม้ว่าตอนนั้นจะเป็นอาหลีที่วางแผนหลอกล่อองค์ชายสี่ไปยังศึกทางเหนือ แต่อาหลีก็เป็นคนของลูก หากองค์ชายสี่แค้นใจ ก็คงจะแค้นลูกด้วย”“อาหลีเป็นคนออกอุบายนี้หรือ?” พระสนมรุ่ยเฟยตกใจ “เช่นนั้น ข่าวลือข้างนอกจึงเป็นความจริงสินะ?”“ข่าวลืออะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?” ลู่เฟิงจิ่นไม่รู้ว่ามีข่าวลืออะไรพระสนมรุ่ยเฟยขมวดคิ้ว “พวกเขาว่ากันว่าในกองทัพของเจ้ามีกุนซือหญิง วางแผนการรบเก่งกาจ ไม่มีใครเทียบได้ ชัยชนะของเจ้าตลอดหลายปีที่ผ่านมา ล้วนเป็นเพราะแผนการของนาง”“เหลวไหล!”“จิ่นเอ๋อร์ เรื่องนี้ เจ้าต้องบอกความจริงกับแม่” หากไม่มีมูลจะแพร่ไปได้อย่างไร ตลอดหลายปีที่ผ่านมาทุกครั้งที่ลูกชายออกศึก ก็จะพาฉู่เยว่หลีไปด้วยจริง ๆ อย่างที่ว่า ห่วงใยคนรัก แรกเริ่มนางคิดว่าลูกชายยังคงห่วงใยคนรัก แต่ยามนี้ดูเหมือนว่าลูกชายจะสนใจกลศึกของอาหลีมากกว่า“จิ่นเอ๋อร์ เจ้าได้เป็นเทพสงครามของตงหลิง มีความดีความชอบของอาหลีอยู่มากน้อยเท่าใด? องค์ชายสี่จะกลับมาแล้ว ยามนี้หากเจ้ายังไม่ยอมบอกความจริงกับแม่ แม่ก็ช่วยเจ้าไม่ได้แล้ว!”ลู่เฟิงจิ่นเงียบไปพักใหญ่ จึงเอ่ยเสียวแผ่ว
“เจ้าก็รู้นี่ว่ามีเพียงนางเท่านั้นที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเป็นฮองเฮาของเจ้า! ” พระสนมรุ่ยเฟยจ้องลูกชายตาเขม็งลู่เฟิงจิ่นเอ่ยในทันใด “ลูกเข้าใจดี”เอาเข้าจริงแล้ว ฐานะของทั่วป๋าเฟยเยวียนนั้น ไม่เหมาะสมที่จะขึ้นสู่ตำแหน่งสูงส่งเช่นนั้นไม่เพียงแต่ฮ่องเต้จะไม่ยอมให้เป็นจิ่นอ๋องเฟย แม้แต่ประชาชนทั่วไปก็จะไม่ยอมรับให้นางเป็นแม่ของแผ่นดินคนที่สามารถช่วยเหลือเขาได้อย่างแท้จริง ก็คือฉู่เยว่หลีแต่เขารักเยวียนเอ๋อร์ เขารักนิสัยดื้อรั้นของนาง!กรมทั้งหมดเขามอบให้กับอาหลีได้ แต่เยวียนเอ๋อร์จะเป็นพระสนมที่เขารักที่สุดพระสนมรุ่ยเฟยส่งเสียงฮึดฮัดอย่างเย็นชาแต่คำพูดของลูกชายนั้นถูกต้องแค่หญิงสาวนางหนึ่งเท่านั้น ตามใจนั้นทำได้ แต่ไม่ควรเอาใจจนเสียคนฉู่เยว่หลีอวดดีปานนั้น ก็เพราะตัวเองมีคุณงามความดีมิใช่หรือ?สร้างคุณงามความดีให้ลูกชายเพียงเล็กน้อย แต่กลับฉีกหน้าลูกชายนางเช่นนั้น นางเอาความกล้ามาจากไหน?“ลงโทษนางบ้างก็ดี อย่าให้นางคิดว่าตัวเองสำคัญนัก แต่ก็อย่าให้ถึงกับแตกหัก แต่งงานกับนางนั้นมีคุณกับเจ้ามากกว่าโทษไม่รู้กี่ร้อยเท่า”“ลูกเข้าใจแล้ว” ลู่เฟิงจิ่นพยักหน้าแต่พระสนมรุ่
ทั่วป๋าเฟยเยวียนได้ยินก็ยิ่งโกรธ แม้แต่เสียงก็แหลมขึ้น “เจ้าพูดอะไร? เจ้าเบื่อข้าแล้วหรือ? เจ้า…”“หุบปาก!” เสียงของนาง แสบหูลู่เฟิงจิ่นเหลือเกิน ถึงขั้นว่า...รู้สึกรำคาญเขารักความเป็นตัวของตัวเองของทั่วป๋าเฟยเยวียน แต่นางไม่ควรดื้อรั้นไร้เหตุผล“อยู่กับข้า ข้าก็ยอมให้เจ้าทำตัวตามใจ ข้าเพียงแต่ขอให้เจ้าระวังตัวบ้างต่อหน้าเสด็จแม่ แค่นี้ก็ทำไม่ได้หรือ? เยวียนเอ๋อร์ เจ้าโกรธข้าที่ข้าไม่ปกป้องเจ้า แต่เจ้าเองก็ไม่ได้ทำอะไรให้ข้าเลยนอกจากด่าทอข้า”เขาไม่เข้าใจจริง ๆ ว่า เขาเป็นองค์ชายผู้สูงส่ง เหตุใดต้องทนให้นางดุด่า?แรกเริ่มก็รู้สึกตื่นเต้นและแปลกใหม่ แม้แต่การถูกดุด่าก็ยังยอมรับได้ แต่ตอนนี้กลับรู้สึกไม่พอใจเหตุใดเขาต้องทำร้ายตัวเองอยู่เรื่อย ๆ?“เจ้าคิดให้ดี ๆ เถิด!”ลู่เฟิงจิ่นสะบัดแขนเสื้อ แล้วก็เดินจากไปเสียงก่นด่าของทั่วป๋าเฟยเยวียนยังคงดังตามไล่หลังเขาโมโหจนรีบเดินหนีจ้ำหนีไปเพิ่งเข้ามาห้องทำงาน ฉินอู่ก็รีบวิ่งเข้ามา “องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ ชิงคืนชายแดนเหนือสิบสองเมืองมาได้แล้ว โม่อ๋องสร้างคุณงามความดีกลับมา ฮ่องเต้คงจะให้รางวัลอย่างงาม ฮ่องเต้คงโปรดโม่อ๋องมากเป็นแน่”“เ
สายลมแผ่วเบาพัดผ่านผมยาวของฉู่เยว่หลีที่ถูกมัดรวบขึ้น ปลิวไสว แผ่นหลังที่ดูสง่างามนั้น ทำให้หัวใจของลู่เฟิงจิ่นเต้นรัวถึงแม้เขาจะไม่ชอบเล่ห์เหลี่ยมและแผนการของนาง แต่รูปร่างหน้าตาที่งดงามเช่นนี้ ทั้งเมืองหลวงก็หาไม่เจอหญิงเช่นอาหลีเช่นนี้ ถึงแม้เขาจะไม่โปรดปราน ก็ต้องกักขังนางไว้ในกรง ห้ามไม่ให้ชายอื่นแตะต้องลู่เฟิงจิ่นเร่งฝีเท้า “อาหลี……”ฝีเท้าพลันหยุดลงเขาเห็นชัดแล้วว่าคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามฉู่เยว่หลีคือใคร“องค์……ชายสี่หรือ?” ลู่เฟิงจิ่นอึ้งไป “ท่าน…กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”“กลับมาเมื่อคืน ได้พบกับเสด็จพ่อแล้ว” ลู่เป่ยโม่ร่างสูงใหญ่ นั่งอยู่บนม้านั่งหิน แสงแดดสาดส่องให้เงาของเขาทอดยาวหายหน้าหายตาไปหลายปี เขาก็ยังคงเป็นองค์ชายสี่คนเดิมรังสีแห่งความดุร้าย ลึกลับ เย็นยะเยือก หากคนทั่วไปเห็นคงไม่กล้าสบตาความสนใจของลู่เฟิงจิ่นมุ่งไปที่ใบหน้าของเขาเขาสวมหน้ากากครึ่งใบ น่ากลัวยิ่งนัก!เมื่อเห็นหน้ากากนั้น ความมั่นใจของลู่เฟิงจิ่นก็กลับคืนมายามนี้ทั้งความสามารถและรูปร่างหน้าตา เขาองค์ชายจิ่นผู้นี้เป็นที่หนึ่งแห่งเมืองหลวง ต่อหน้าลู่เป่ยโม่ เขาไม่จำเป็นต้องอ่อนน้อมถ่อม
“อาหลี!” ลู่เฟิงจิ่นสีหน้าเคร่งเครียด พูดอย่างไม่พอใจ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมาองค์ชายสี่ได้สร้างอิทธิพลมากแค่ไหนในแดนเหนือ? เขาอดทนทุกข์ยาก ยามนี้เมื่อกลับมา ย่อมแก้แค้นเรื่องที่เสียโฉม! ยามนี้เจ้ายังกล้าทำอะไรไม่เข้าเรื่องอีกหรือ?”ฉู่เยว่หลีมองเขา รู้สึกสับสนในใจไม่ว่าตอนนี้นางจะพูดหรือทำอะไร ในสายตาของเขาก็ดูเหมือนจะไร้เหตุผล?ถ้าเป็นเช่นนั้น พวกเขายังมีอะไรต้องคุยกันอีกหรือ?“องค์ชาย วันนี้ข้าเหนื่อยแล้ว ไม่สะดวกจะรับแขก องค์ชายโปรดกลับไปเถิดเพคะ” นางยกกล่องไม้ขึ้น แล้วหันหลังเดินจากไปลู่เฟิงจิ่นสีหน้าไม่สู้ดี ก้าวขายาวขวางนางไว้ “ศัตรูอยู่ตรงหน้า เหตุใดเจ้าถึงพูดกับข้าด้วยท่าทีเช่นนี้?”“หากองค์ชายคิดว่าโม่อ๋องเป็นศัตรู เขาก็เป็นศัตรูขององค์ชายเพียงผู้เดียว ข้าเป็นเพียงหญิงสาวอ่อนแอ ไม่มีสิทธิ์ที่จะตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขา”ศึกครั้งนั้นระหว่างพวกเขา แล้วเกี่ยวอะไรกับนาง?“ศึกครั้งนั้น เจ้าใช้แผนล่อลวงองค์ชายสี่ไปยังแดนเหนือ ทำให้เขาเสียโฉม ความแค้นครั้งใหญ่เช่นนี้ เจ้าคิดว่าเขาจะลืมได้หรือ?”นางไม่ใช่คนที่รอบคอบเสมอหรอกหรือ? เหตุใดครั้งนี้ถึงได้ไร้เดียงสาเช่น